|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,สุขภาพ,แพทย์พื้นบ้าน,เชียงราย |
Author |
เสถียร ฉันทะ |
Title |
ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพพืชสมุนไพร : กรณีศึกษาในวิถีชีวิตชุมชนไทลื้อ จ.เชียงราย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
36 |
Year |
2547 |
Source |
ยศ สันตสมบัติ และคณะผู้วิจัย (บรรณาธิการ) |
Abstract |
ไทลื้อเดิมอาศัยอยู่ในบริเวณแคว้นสิบสองปันนา มีการอพยพเข้ามาทางประเทศไทย 2 เส้นทาง คือ ทางเชียงตุงมาทางท่าขี้เหล็ก และเส้นทางผ่านลาวเข้าทางเชียงของ ไทลื้อมีการทำนา ทำข้าวไร่ เลี้ยงสัตว์ และมีภูมิปัญญาการจัดการทรัพยากรน้ำด้วยระบบเหมืองฝาย และภูมิปัญญาการรักษาพยาบาล ด้วยการจำแนกสาเหตุความเจ็บป่วย 2 ประการ คือ เกิดจากอำนาจตามธรรมชาติ โดยเชื่อว่าร่างกายประกอบด้วย 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะทำให้เกิดความสมดุล และการใช้สมุนไพร โดยยังมีการใช้วิธีการรักษาแบบพื้นบ้านอยู่ ควบคู่กับการรักษาสมัยใหม่ |
|
Focus |
ศึกษาภูมิปัญญาการจัดการสุขภาพของไทลื้อ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทลื้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มีถิ่นฐานเดิมในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คำว่า สิบสองปันนา เรียกตามการแบ่งพื้นที่นาที่ควบคุมด้วยระบบเหมืองฝาย หลายเมืองรวมกัน นอกจากนี้ไทลื้อยังตั้งถิ่นฐานทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือรัฐฉานของพม่า ในแถบล้านช้าง ทางภาคเหนือของประเทศลาว และทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดำในเวียดนาม (หน้า 313) ในอดีต สิบสองปันนามีความสัมพันธ์กับดินแดนล้านช้างมีการติดต่อค้าขาย ระบบเศรษฐกิจ ประเพณี การจัดระบบปกครอง และการชลประทานคล้ายกัน ไทลื้อเริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในล้านนา เป็นผลจากนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" โดยเฉพาะในสมัยต้น รัตนโกสินทร์ ในปัจจุบันมีชุมชนไทลื้อกระจายตัวอยู่ในภาคเหนือ คือเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา และเชียงราย นอกจากนี้ยังมีไทลื้ออพยพเข้ามาเพิ่มเติมจากการลี้ภัยทางการเมือง หลังการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ และการแสวงหาที่ดินทำกิน ใหม่ เส้นทางอพยพหลักมีอยู่ 2 ส้นทาง คือจากสิบสองปันนาผ่านพม่าทางเมืองเชียงตุง เมืองยอง ท่าขี้เหล็ก เข้าสู่เชียงราย ตั้งรกรากที่บ้านไม้ลุงขน อำเภอแม่สาย เชียงราย ส่วนหนึ่งอพยพไปที่บ้านหาดบ้าย อำเภอเชียงแสน สมทบกับไทลื้อที่อพยพมาจากประเทศลาว บริเวณบ้านห้วยคาน น้ำทา น้ำยู้ น้ำตุ่ย ข้ามแม่น้ำโขงเข้าสู่เชียงราย อีกเส้นทางอพยพจากประเทศลาวผ่านเมืองสิงห์ สู่บ้านห้วยทราย บ้านปง ข้ามมาทางอำเภอเชียงของ ตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านห้วยเม็ง บ้านสรีดอนชัย และบ้านท่าข้าม บางส่วนอพยพผ่านมาทางจังหวัดน่าน แพร่เข้ามาสู่เชียงราย ตั้งบ้านเรือนบริเวณบ้านโล๊ะ บ้านปอกลาง บ้านดอนและบ้านปางหัด (หน้า 314 - 315) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทลื้อพูดภาษาที่เรียกว่า "ปากลื้อ" (หน้า 315) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประมาณปี พ.ศ. 2420 มีไทลื้ออพยพมาจากจังหวัดน่าน โดยนายอิ่น หัตถกอง เดิมอาศัยอยู่ที่สิบสองปันนา เมืองเชียงรุ้ง เนื่องจากการรุกรานของพวกเงี้ยว พวกป้อง (ไทใหญ่) จึงอพยพผ่านทางลาวเข้าสู่ไทยทางจังหวัดน่าน เมื่อตั้งบ้านเรือนได้ 2-3 ปี เกิดน้ำท่วมจึงอพยพไปอยู่ที่บ้านตรึ่ง บริเวณห้วยหลวง อำเภอเชียงของ อยู่ได้ประมาณ 2 ปี จึงอพยพไปอยู่บ้านพร้าวกุด (ปัจจุบันชื่อบ้านศรีลานนา) นอกจากนี้ยังมีการอพยพจากสิบสองปันนาผ่านเชียงตุง พม่า เข้าสู่ลาวผ่านน้ำยู้ น้ำงึม เข้าทางภาคเหนือของไทย มาอยู่ทางบริเวณหาดบ้าย เชียงของ อยู่ได้ 2-3 ปี จึงอพยพไปอยู่ประเทศลาว 7 ปี จึงข้ามมาอยู่ที่บ้านโล๊ะ และบ้านปอกลางได้ 2-3 ปี จึงอพยพมาอยู่ที่บ้านปางหัดปัจจุบัน ปางหัด เป็นชื่อหมู่บ้านที่ตั้งประมาณปี พ.ศ. 2469 เรียกตามพื้นที่ทำปางไม้ ซึ่งมีต้นไม้หัดขึ้นอยู่ ต่อมาช่วงปลาย พ.ศ. 2510 - 2514 พื้นที่บริเวณนั้นเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กลายเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ทั้งของรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนเหตุการณ์คลายตัวลง ในปี พ.ศ. 2526 หลังจากนั้นมีขบวนการตัดไม้เถื่อนเข้าไปตัดไม้ จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านตัดไม้ขายถึงปัจจุบัน ในช่วงหลัง พ.ศ. 2526 รัฐเริ่มเข้ามาสนับสนุนการปลูกพืชเชิงพาณิชย์ เปลี่ยนระบบการผลิตจากเพื่อบริโภคไปสู่เพื่อขายมากขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกในหมู่บ้านมากขึ้น (หน้า 318-319) |
|
Settlement Pattern |
ในการขึ้นบ้านใหม่ ตั้งแต่การขุดหลุม ยกเสาลงหลุม แต่ละขั้นตอนมีกำหนดเวลาที่เป็นศิริมงคล ตามปฏิทินความเชื่อของไทลื้อ ลักษณะรูปทรงบ้านไทลื้อในอดีตนิยมสร้างบ้านชั้นเดียว ยกพื้นสูง มีหลังคาติดกันสองหลัง หลังใหญ่เรียกว่า เรือนหลวง หลังเล็กเรียกว่า เรือนครัวไฟ (หน้า 316) |
|
Demography |
ชุมชนไทลื้อปางหัด มี 212 หลังคาเรือน ประชากร 1,061 คน ชาย 523 คน หญิง 538 คน (หน้า 317) |
|
Economy |
ไทลื้อมีการทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เพื่อการบริโภคเป็นหลัก อาศัยแรงงานจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติและเพื่อนบ้านด้วยการเอามื้อเอาวัน การทำไร่ข้าวของไทลื้อ เป็นระบบการผลิตที่ควบคู่กับการทำนา เพราะใช้แรงงานน้อยกว่า ไร่ข้าวของไทลื้อมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูง มีแตง แฟง ข้าวสาลี งา ฝ้าย ส่วนข้าวมีหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวแพร่ขาว ข้าวแพร่แดง ข้าวซิม ข้าวแก่นฝ้าย ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีพืชสมุนไพรอีกหลายชนิด ส่วนการแลกเปลี่ยนแรงงาน มีการเอามื้อเอาวันระหว่างครอบครัว เครือญาติ และเพื่อนบ้าน การผลิตข้าวไร่แบบดั้งเดิมเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อปี พ.ศ. 2518 เริ่มมีการคมนาคมสะดวกมากขึ้น การส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์จากรัฐ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนเลิกปลูกไร่ข้าว หันไปปลูกข้าวโพดแทน และเกิดการขยายพื้นที่ทำไร่ข้าวโพดมากขึ้น การใช้ที่ดินเข้มข้นจากการใช้สารเคมี ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีทำไร่เริ่มคลายตัวลง การทำนาเริ่มต้นด้วยการเตรียมพื้นที่ โดยจะมีการใช้แรงงานจากควายเป็นหลัก การหว่านกล้า ถอนต้นกล้า และนำไปปลูกในที่นาต่อไป โดยการใช้แรงงานจากการเอามื้อเอาวัน ตลอดช่วงการปลูกข้าว จะมีการบอกกล่าวต่อเจ้าที่ เช่น ในช่วงเริ่มต้น มีพิธีแฮก ใช้ข้าวเหนียวปั้น กล้วย อ้อย บอกกล่าวแม่ธรณี มีการสานตะเหลวไม้ไผ่ มีสรวยใบตองใส่ดอกไม้ธูปเทียนไปปักกับต้นเอี้ยงหมายนา เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันแรงงานจากควายเปลี่ยนมาเป็นรถไถ และปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเพื่อขายมากขึ้น ระบบเหมืองฝาย การทำนาเกี่ยวข้องกับระบบเหมืองฝาย ไทลื้อบ้านปางหัดมีการทำเหมืองฝาย มีแก่ฝายเป็นคนดูแลรับผิดชอบเหมืองฝาย เมื่อใกล้ช่วงฤดูทำนา จะมีการประชุมสมาชิกผู้ใช้น้ำ เพื่อมาช่วยกันดูแลเหมืองฝาย หลังจากนั้น จะมีการทำพิธีเลี้ยงผีฝายโดยปู่จารย์หรือข้าวจ้ำ เพื่อขอให้มีน้ำเพียงพอ เมื่อถึงฤดูทำนา จะมีการจัดสรรน้ำให้แก่สมาชิก โดยมีระบบการวัดระดับน้ำเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม อันเป็นกลไกในการควบคุมและจัดสรรทรัพยากรน้ำในชุมชน ปัจจุบันมีการทำฝายจากคอนกรีต ทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมในกลุ่มผู้ใช้น้ำเปลี่ยนไป และเกิดปัญหาตะกอนทับถมจากฝายคอนกรีต (หน้า 324-327) |
|
Social Organization |
ลักษณะความสัมพันธ์ทางครอบครัวและเครือญาติ จะมีระบบอาวุโสการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของครอบครัว และผู้อาวุโส ครอบครัวไทลื้อเป็นครอบครัวขยาย (Extension family) เมื่อมีการแต่งงาน ฝ่ายชายต้องย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อไปเป็นแรงงาน (หน้า 316) ในชุมชนไทลื้อมีกลุ่มองค์กรทางสังคมต่างๆ ได้แก่ กลุ่มเหมืองฝาย คอยจัดการจัดจ่ายการใช้น้ำเพื่อการบริโภคและการผลิต กลุ่มทอผ้า เป็นการรวมกลุ่มเครือญาติและเพื่อนบ้านเพื่อปั่นฝ้าย ใช้ในงานประเพณี "แอ่วสาวหรือการลงข่วง" ปัจจุบันเริ่มสูญหายไป กลุ่มแม่บ้าน รวมตัวกันแบบกึ่งทางการ เพื่อช่วยเหลือในกิจกรรมต่างๆ เช่นงานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มผู้อาวุโสเดิม มีบทบาทในช่วงประกอบพิธีกรรมต่างๆ และหมอพื้นบ้าน เป็นกลุ่มในระบบเครือญาติ เพื่อนบ้าน และรักษาความเจ็บป่วยให้คนในชุมชน (หน้า 322-323) |
|
Political Organization |
ไทลื้อในอดีตมีเจ้าพญาเป็นเจ้าเมืองมีขุนเป็นผู้ปกครองในระดับถัดลงมา เช่น ตำบลปอจะมีพญาป๋อเป็นผู้ปกครอง ส่วนบ้านปางหัดมีแก่บ้าน เทียบเท่ากับผู้ใหญ่บ้าน มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรรมการหมู่บ้านฝ่ายปกครอง การศึกษา (หน้า 322) |
|
Belief System |
ไทลื้อมีความเชื่อเรื่องผี แต่ละครอบครัวจะมีผีบ้านผีเรือน มีหิ้งผีไว้บนบ้าน ในระดับเครือญาติมีผีปู่ย่า จะมีการตั้งศาลผีปู่ย่าที่เป็นต้นตระกูลของแต่ละตระกูล จะมีการเลี้ยงผีปู่ย่าทุกปี ส่วนความเชื่อระดับชุมชน มีเสื้อบ้านที่มีการสร้างหอผีไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางบ้าน มีผีเจ้าหลวงผาตั้ง ช่วยคุ้มครองให้ชุมชนสงบสุข นอกจากนี้ ยังมี ผีป่า ผีไร่ ผีนา ผีฝาย การการทำไร่จะมีการเลี้ยงผีไร่ ผีฝาย เพื่อให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ (หน้า 323) |
|
Education and Socialization |
กล่าวถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพร ที่เป็นภูมิปัญญาของไทลื้อ มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยการบอกเล่าบันทึกต่อกันมา ไทลื้อมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องยาสมุนไพร เป็น 2 ระดับ คือ 1) ระดับครอบครัวและเครือญาติ มีความรู้การรักษาโดยใช้สมุนไพร ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ใช้อย่างแพร่หลาย ผู้อาวุโสจะมีบทบาทสูงในการให้คำปรึกษาแนะนำวิธีการรักษาด้วยสมุนไพรด้วยวิธีการต่างๆ คือ เมื่อสมาชิกในครอบครัวเครือญาติเกิดความเจ็บป่วย อาจมีการใช้ให้ลูกหลานไปเก็บยาสมุนไพรที่ปลูกไว้ในบ้าน ทำให้ลูกหลานสามารถเรียนรู้เรื่องสมุนไพรไปในตัว การเรียนรู้และถ่ายทอดผ่านชีวิตประจำวัน จากการปรุงอาหาร การประกอบพิธีกรรม หรือพืชที่ใช้ปลูกประดับในงานพิธีกรรม และประการสุดท้าย การเรียนรู้และถ่ายทอดผ่านพิธีกรรม จากหมอพื้นบ้านหรือปู่จารย์ และการประกอบพิธีกรรมในระดับครอบครัว 2) การเรียนรู้และถ่ายทอดจากหมอยาพื้นบ้าน มี สามประการได้แก่ การเรียนรู้และถ่ายทอดระหว่างหมอยาพื้นบ้านด้วยกันเอง ทั้งในหมู่บ้านหรือระหว่างหมู่บ้าน การเรียนรู้ถ่ายทอดจากหมอยาพื้นบ้านไปสู่ครอบครัว เครือญาติในช่วงเวลาเจ็บป่วย จากการให้ไปเก็บสมุนไพร หรือการให้ช่วยประกอบพิธีกรรม และการเรียนรู้ถ่ายทอดจากหมอยาสู่ผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วย (หน้า 346-348) |
|
Health and Medicine |
ภูมิปัญญาการรักษาพยาบาลของไทลื้อ จำแนกสาเหตุความเจ็บป่วย 2 ประการ คือเกิดจากอำนาจตามธรรมชาติ โดยเชื่อว่าร่างกายประกอบด้วย 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะทำให้เกิดความสมดุล แต่ถ้ามีธาตุใดมากเกินไป จะทำให้ไม่สมดุลและเกิดความเจ็บป่วย ความไม่สมดุล เกิดจาก อากาศเปลี่ยน สถานที่ การทำงานหนัก อาหารแสลง สามารถปรับแก้ความสมดุลด้วยสมุนไพร ความเจ็บป่วยที่เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ แบ่งได้เป็นความเจ็บป่วยจากผีทำ มีทั้งผีดีและผีร้าย ความเจ็บป่วยจากพ่อแม่เกิด (ปู่แถนย่าแถน) มักเกิดกับเด็กทารก ที่พ่อแม่ไม่ทำตามสัญญาที่ทำกับแถนไว้ จึงถูกลงโทษ และความเจ็บป่วยที่เกิดจากการเสียขวัญ เชื่อว่ามี 32 ขวัญ ความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้นเมื่อขวัญออกจากร่าง ต้องทำพิธีแก้ทางผีและสู่ขวัญ ความเจ็บป่วยจากดวงชะตา โชคเคราะห์ ที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลและดวงดาว จะสามารถทราบได้จากการให้หมอเมื่อ ดูปับสาทำนาย และแก้ไขโดยการส่งเคราะห์ และความเจ็บป่วยจากกรรมเก่า (หน้า 331-334) การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน เมื่อสมาชิกในบ้านเกิดความเจ็บป่วย คนในเครือญาติจะมาช่วยให้กำลังใจ และช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุและวิธีรักษาพยาบาล และพาไปหาหมอพื้นบ้านเพื่อเสี่ยงทายหาสาเหตุอาการเจ็บป่วย โดยการเสี่ยงทายมีหลายวิธีดังนี้ 1) การเสี่ยงทายด้วยเทียน หาสาเหตุความเจ็บป่วย และการทำนายพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ พิธีกรรมมีเทียน 8 เล่ม ข้าวสาร ดอกไม้ หมอพื้นบ้านหรือปู่จารย์จะท่องคาถาแล้วเหวี่ยง "ขันธ์" ที่ใส่ของต่างๆ ดูรูปการกระจายตัวของดอกไม้ เทียนเพื่อไปทำนาย 2) ทำนายด้วย "ผีโป๊กกะโหล่ง" ญาติจะนำดอกไม้ ธูป เทียน หมาก พลู ข้าวสารมาหาปู่จารย์โดยไม่รู้ตัว เพราะผีที่ทำร้ายผู้ป่วยจะรู้ตัว กะโหล่งคือกะลามะพร้าว และมีไม้กระดาน ปู่จารย์จะท่องคาถาเรียกผีโป๊กกะโหล่ง เพื่อหาว่าผีตนใดมาทำให้เจ็บป่วย 3) การทำนายเมื่อ "ปะไหนถามฮั่น" ใช้ทำนายเกี่ยวกับของหาย ทั้งของที่มีและไม่มีวิญญาณ ปู่จารย์จะใช้วิธีนับคำพูดของผู้ถาม โดยจะมีการทายนับตามวัน ตามคำพูดคำสุดท้ายของผู้ถาม 4) การทำนายเมื่อ "วาไม้สัจจะ" เป็นการถือสัจจะคำพูดระหว่างคนกับผี ส่วนใหญ่เป็นการหาสาเหตุความเจ็บป่วยที่เกิดจากผีทำ หลังการเซ่นไหว้ผี จะมีการวาไม้เพื่อถามผีว่ารับเครื่องเซ่นหรือยัง 5) การทำนายเมื่อ "หักตอกและการคืบไม้" เป็นการทำนายเกี่ยวกับอาการผีทำใช้ตอกนับจำนวนคู่หรือคี่ ซึ่งหากตรงกับอธิษฐานสามรอบ จะถือว่าใช่ การคืบไม้ก็ทำลักษณะเดียวกัน 6) การทำนายเมื่อ "ตีตัวเลข" ทำนายความเจ็บป่วยที่เกิดจากผี มีไม้กระดาน ถ่านหรือชอล์ก ขันธ์ ดอกไม้ เทียน หมาก พลู ข้าวสาร ข้าวเปลือก จะขีดตารางแปดทิศและทำนายโดยนับเลขว่าตกลงที่ช่องใดก็ให้ทำนายช่องนั้น 7) การทำนายเมื่อ "ลงผีหม้อนึ่ง" ทำได้สองวิธีคือ การลงนางดำหรือหญ้าหม้อนึ่ง เป็นการทำนายความเจ็บป่วยและหาของหาย และการแกว่งขวัญข้าว 8) การทำนายเมื่อ "ขึ้นขันธ์" หาสาเหตุเมื่อผู้ป่วยมีอาการหนัก ปกติไม่ค่อยใช่วิธีการนี้ จะมีชามใส่น้ำแล้วนำผ้าขาวมาคลุม นำขันธ์มาตั้ง เมื่อสวดเสร็จ เปิดผ้าคลุมจะเห็นเงาผีที่มาทำให้เจ็บป่วยลางๆ 9) ญาณทัศนะ เป็นการสังเกตผู้ป่วย หรือใช้มือจับดูก็จะทราบทันทีว่าความเจ็บป่วยเกิดจากผีตนใด (หน้า 334 - 336) การรักษาพยาบาล ของไทลื้อ มีทั้งพิธีกรรมส่งเคราะห์ เป็นการส่งเคราะห์ตามราศีเกิด เพื่อหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมที่อาจเกิดขึ้น และส่งเคราะห์เมื่อเกิดเหตุการณ์เดือดร้อนหรือประสบภัยต่างๆ พิธีกรรมสืบชะตาคน เพื่อสานต่อชะตาชีวิตของบุคคลที่ชะตาตกอยู่ในอันตราย ตามคำทำนายทายทักของหมอพื้นบ้าน จะทำเพื่อเสริมสร้างสภาพจิตใจ บำรุงขวัญ กำลังใจผู้ป่วย การมัดมือเรียกขวัญ ผู้ใหญ่จะมัดมือให้ลูกหลาน เพื่อขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดูแลลูกหลาน (หน้า 336-337) การรักษาด้วยพืชสมุนไพร ความเจ็บป่วยเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องทำให้ร่างกายกลับคืนมาสมดุลดังเดิม การนำพืชสมุนไพรมาใช้รักษา โดยหมอยาพื้นบ้าน โดยไทลื้อมีการจัดการพืชสมุนไพรด้วยวิธีการปลูก ในบริเวณสวนรอบบ้าน การเก็บสมุนไพร เฉพาะส่วนที่ใช้ เช่น ผล ดอก ใบ และการแลกเปลี่ยนทรัพยากร มีการแลกเปลี่ยนระหว่างเครือญาติและชุมชน จากการสำรวจพืชสมุนไพรในบริเวณสวนรอบบ้าน มีถึง 174 ชนิด ในสวนผสมผสานมีพืชสวน 112 ชนิด เป็นพืชสมุนไพร 54 ชนิด ในไร่จะมีพืช 11 ชนิด (หน้า 344-345) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้หญิงไทลื้อสวมเสื้อสีดำคราม แขนยาว ตัวเสื้อรัดรูป เอวลอย มีสาบหน้าเฉียงมาผูกกับด้าย ฝั้นตรงมุมของลำตัว เรียกว่า "เสื้อปั๊ด" ผ้าซิ่นทอจากฝ้าย มีลวดลายต่างๆ การเกล้าผมของผู้หญิงเรียกว่า "การเกล้าว้อง" และใช้ผ้าโพกไว้ ส่วนผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยวสะดอ (กางเกงขาก๊วย) สีดำ เสื้อกุ๊ยเฮงหรือเสื้อเชิ้ต ปัจจุบันชุดไทลื้อจะสวมใส่กันเฉพาะคนแก่เท่านั้น และใส่ในโอกาสเทศกาลสำคัญ (หน้า 316) |
|
Folklore |
กล่าวถึงตำนานกำเนิดพืชสมุนไพร เล่าว่าสมัยก่อน พระพุทธเจ้าอายุได้ 80 ปี ได้เกิดประชวร หมอยา 3 คนได้แก่ กุ่มมะละเป็ก กุ่มมะละใจ กุ่มมะละปั๋นจ๋ะ เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าป่วย ก็ไม่อยากให้อาการพระพุทธเจ้าป่วยทรุดหนักจนถึงกับนิพพาน จึงพยายามหาวิธีรักษาพยาบาลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงบอกแก่หมอทั้งสามว่า ให้หมอทั้งสามไปเสาะแสวงหายามารักษา โดยนำยาไปฝนกับหน้าหินผา แล้วให้ตัวยาไหลลงมา แล้วพระพุทธเจ้าจะอยู่รอด หมอแต่ละคนจึงต่างออกเดินทางไปแสวงหายามารักษาพระพุทธเจ้า เมื่อได้ยาแล้วจึงกลับมา แต่ไม่ทันกาลพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อน แต่ละคนจึงนำตัวยาที่หามาเหวี่ยงยาทิ้งไป ยาที่ตกพื้นก็เกิดมาเป็นต้นสมุนไพร บางส่วนไปเป็นกาฝากต้นไม้ จึงกลายเป็นตำนานยาสมุนไพร เมื่อหมอจะรักษาจะมีการกล่าวอันเชิญหมอทั้งสาม มาช่วยในการรักษา (เชิงอรรถ หน้า 339) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กล่าวกันว่าไทลื้อกับไทยองเป็นกลุ่มเดียวกัน และการเรียกตนเองว่าลื้อหรือยอง เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์การอพยพเคลื่อนย้ายที่ไทลื้อถูกวาดต้อนในฐานะเชลย ส่วนยองนั้นยอมอพยพและยอมสวามิภักดิ์ ยองจึงไม่ยอมรับตัวเองว่าเป็นลื้อ การนิยามความหมายดังกล่าว เป็นการมองและให้ความหมายจากประวัติศาสตร์ของไทลื้อ ส่วนการนิยามความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อจากทางด้านภาษา ภาษาพูดที่เรียกว่า "ปากลื้อ" เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ และการให้ความหมายลื้อจากการแบ่งหรือบอกพื้นหลังทางการเมืองและการปกครอง บ่งบอกถึงสถานภาพ สถานะทางประวัติศาสตร์ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยแล้ว "ลื้อ" หมายถึง กลาง ไม่สั้น ไม่ยาว หรือมีความสมดุล ตามนัยนี้ จึงเป็นการนิยามความหมายของตนเองว่าเป็นจุดสมดุลของทุกสรรพสิ่งในวิถีการดำเนินชีวิต (หน้า 315) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันการแพทย์แผนใหม่ได้เข้ามามีบทบาทในการรักษาพยาบาลให้กับไทลื้อบ้านปางหัด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายโรคที่การรักษาพยาบาลสมัยใหม่ไม่สามารถให้การรักษาได้ จำต้องพึ่งพาการรักษาแบบดั้งเดิม ที่มีการรักษาที่คำนึงถึงร่างกาย จิตใจ สังคมและสภาพแวดล้อม ไทลื้อบ้านปางหัดสามารถเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับการรักษาโรค ซึ่งมีการขึ้นค่าครูรักษาพยาบาล และเลือกรักษาพยาบาลให้กับคนในชุมชนก่อน หากเป็นคนนอกชุมชนอาจมีการกลงค่ารักษาพยาบาลกันก่อน หมอยาพื้นบ้านให้ความเห็นว่าการคิดค่ารักษาไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด แต่ก็มีการให้ความเห็นว่าการคิดค่ารักษาพยาบาลที่แพงมาก จะทำให้การรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพลดลง (หน้า 348-349) |
|
Map/Illustration |
- ภาพหมอพื้นบ้านไทลื้อกับพืชสมุนไพรที่ปลูกไว้ในบ้าน (หน้า 330)
- ภาพการจัดการทรัพยากรนา ไร่ ป่าของไทลื้อ (หน้า 330) |
|
|