สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),ความเชื่อ,ผี,คริสตศาสนา,เชียงใหม่
Author ทิพวรรณ คำมา
Title การดำรงอยู่ของความเชื่อเรื่องผีของกะเหรี่ยงคริสต์
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 180 Year 2546
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ศึกษาถึงความเชื่อเรื่องผีของกะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวง ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งคนเหล่านี้เคยนับถือผีมาก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ในภายหลัง โดยได้บอกเล่าความเชื่อเรื่องผีที่ยังคงดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่นความเชื่อเรื่องผีด้านการเกษตร เช่นการเพาะปลูก การฟันไร่ การรักษาพืชผล และการเก็บเกี่ยวผลผลิต ผีในธรรมชาติ เช่นในป่า ต้นไม้ น้ำ ดิน และการรักษาพยาบาล อันเนื่องมาจากการกระทำของผี โดยงานเขียนได้ระบุถึงปัจจัยและเงื่อนไขของความเชื่อเรื่องผียังคงอยู่ แม้ว่ากะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวง ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว

Focus

ศึกษาความเชื่อเรื่องผีของปกาเกอะญอ ( กะเหรี่ยง ) ที่นับถือศาสนาคริสต์ และปัจจัยเงื่อนไขที่ส่งผลต่อความเชื่อเรื่องผี (หน้าฑ,จ,5 )

Theoretical Issues

คนที่นับถือศาสนาคริสต์ที่ปฏิเสธเรื่องผี ยังไม่อาจเลิกนับถือผี เนื่องจากว่า 1.คนในชุมชนได้ใช้ความเชื่อเรื่องผี เป็นกลไกหรือเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคม เพราะยังใช้เป็นข้อห้ามไม่ให้ผู้ใดกระทำผิดแม้ว่าเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ 2.การรักษาการเจ็บป่วยทางใจ ต้องทำให้ผู้ป่วยเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธา รวมทั้งมีความเชื่อว่าผีทำให้เกิดการเจ็บป่วย (หน้า 172,173) 3.กะเหรี่ยงคริสต์จะมีพฤติกรรมเรื่องความเชื่อเรื่องผี เมื่อไม่มีคนที่เคร่งศาสนาคริสต์อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว (หน้า 173 ) การที่กะเหรี่ยงคริสต์ทำเช่นนี้เพราะความเชื่อเรื่องผีขัดต่อคำสอนทางศาสนา ดังนั้นจึงทำแบบปกปิดหรือแอบประกอบพิธี เพราะความเชื่อเรื่องผีเป็นความเชื่อดั้งเดิม ที่ไม่ได้รับการยอมรับโดยเปิดเผยของคนในชุมชน (หน้า 174 )

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอะญอ ( หน้า 1 ) เผ่าสะกอ ที่อาศัยอยู่บ้านแม่หงานหลวง หมู่ 1 ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่นับถือศาสนาคริสต์ และเรื่องผี ( หน้า 5 )

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ธ.ค. 2543-ตค.2545

History of the Group and Community

หมู่บ้านแม่หงานหลวง ตั้งเมื่อ 200 ปีก่อน โดยกะเหรี่ยง 4 ครอบครัวมาซื้อที่หมู่บ้านที่ประกอบด้วยเนื้อที่บ้านแม่หงานหลวง บ้านสันปูเลย บ้านแม่ขอม จากกะเหรี่ยงเจ้าของเก่า ค่าซื้อที่ดิน เป็นหมูขนาด 5 กำมือ เงินแถบ 5 แถบและผ้าห่ม 1 ผืน (หน้า 72,73) เมื่อตกลงซื้อที่ดินแล้วกลางคืนได้พักที่ห้วยแม่ขอม ตอนนอนหลับไฟได้ไหม้ผ้าห่ม จากเหตุการณ์นี้ คนซื้อที่และเจ้าของเดิม เชื่อว่า เกิดสิ่งอัปมงคล จึงห้ามคนในหมู่บ้านแม่นิง และบ้านแม่หงานหลวง แต่งงานกัน 3 ชั่วอายุคน หากผัวไม่ตาย เมียก็ต้องตาย ถ้าแต่งงานกัน จากเรื่องที่เกิดขึ้น ชาวบ้านบางรายสันนิษฐานว่า เกิดเนื่องจากให้ราคาที่ดินไม่ถูกต้อง ผีเจ้าที่จึงไม่พอใจ อย่างไรก็ตามหมู่บ้านก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆจากการเพิ่มของประชากร ทำให้เกิด 4 หมู่บ้านเล็กๆ ( หน้า 72 )

Settlement Pattern

บ้านสร้างด้วยไม้ มุงหลังคาด้วยสังกะสีและกระเบื้อง บ้านบางหลังจะสร้างด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยหญ้าคา ชาวบ้านชอบปลูกบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง พื้นที่ใต้ถุนบ้านจะใช้เป็นที่เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู วัว ควาย บางหลังจะสร้างยุ้งเพื่อเก็บข้าว แต่โดยมากจะนำข้าวไปเก็บไว้บนบ้าน และไม่สร้างยุ้งข้าว และไม่ชอบสร้างรั้วบ้าน ( หน้า 70 ) ในหมู่บ้าน มีบ้านเรือนทั้งหมด 52 หลังคาเรือน หมู่บ้านตั้งอยู่บนเชิงเขา ดอยแม่ขอม และ ดอยแม่หงาน หากเพาะปลูกจะใช้น้ำจาก ลำห้วยแม่ขอม และลำห้วยแม่หงาน ในหมู่บ้านจะกินและใช้น้ำจากห้วยแม่หงานหลวง โรงเรียนตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีทิวทัศน์สวยงาม บ้านพักครูตั้งอยู่เชิงเขา ( หน้า 70 )

Demography

บ้านแม่หงานหลวง มีประชากร 372 คนเป็นชาย 205 คน หญิง 167 คน มีครัวเรือน จำวน 64 ครัวเรือน 80 ครอบครัว เป็นครอบครัวเดี่ยว 50 ครอบครัว และครอบครัวขยาย 15 ครอบครัว (หน้า 73 ตารางหน้า 74)

Economy

กะเหรี่ยงจะทำอาชีพเพาะปลูกเป็นอาชีพหลัก โดยจะปลูกข้าวไร่ แบบไร่หมุนเวียน และในไร่ข้าวจะปลูกพืชสวนครัว เช่น พริก ผักกาด ข้าวโพด เป็นต้นเป็นพืชเสริม ( หน้า 2 ) สำหรับคนที่ไม่มีไร่เป็นของตัวเอง จะเพาะปลูกที่บริเวณป่าแพะ หรือป่าใช้สอยซึ่งมีพื้นที่อยู่บริเวณเชิงเขา บริเวณนี้จะใช้เป็นไร่หมุนเวียน ถือว่าเป็นของส่วนรวมเป็นของทุกคนในหมู่บ้าน ( หน้า 23,67) กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยากจน และมีความผูกพันกับความเชื่อเรื่องผี เช่นการรักษากับหมอผี การเซ่นไหว้ขอให้ผีดูแลผลผลิตด้านการเกษตรให้งอกงาม เพราะไม่มีเงินซื้อปุ๋ย และยาฆ่าแมลง ( หน้า 161 ) การเลี้ยงสัตว์ นิยมเลี้ยงไก่ เพราะต้องใช้ในพิธีกรรมต่างๆ รองลงมาได้แก่ หมู วัว ควาย (หน้า 88,95,ตารางอาชีพ หน้า 89 ) การเลี้ยงหมูจะผูกไว้กับเสาบ้าน การเลี้ยงจะมีทั้งเลี้ยงไว้ขาย และเอาไว้ฆ่าเป็นอาหารในพิธีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน เป็นต้นสำหรับ วัว ควาย จะนำไปเลี้ยงในป่า (หน้า 96) - การผลิต กะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวงจะปลูกข้าวไร่แบบหมุนเวียน โดยมีการทำงานดังนี้ 1) การฟันไร่ จะอยู่ในเดือนกุมภาพันธุ์ เกษตรกรจะไปดูพื้นที่ที่จะทำไร่ข้าว เมื่อได้พื้นที่แล้ว ในวันฟันไร่ จะมีเพื่อนบ้านไปช่วย เรียกว่า "ไปเอาวัน" หรือ "ไปเอามื้อ" การฟันไร่จะผลัดเปลี่ยนกันแล้วไปช่วยเพื่อนบ้านหลังอื่นด้วย จนทำงานเสร็จทั้งหมู่บ้าน ต้นไม้ที่ฟันจะปล่อยไว้ให้แห้ง โดยจะตากไว้จนถึง 1 เดือน (หน้า 90,109 ) 2) การเผาไร่ ทำในเดือนเมษายนหลังจากไม้แห้ง ก่อนเผาชาวบ้านจะมาช่วยทำแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลามไหม้ป่า โดยจะทำทางกว้าง 3-5 เมตร เมื่อเผาไร่เรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงจะไปปลูกข้าวสาลี หรือข้าวโพด เพราะเชื่อว่าขี้เถ้าเป็นปุ๋ยเหมาะกับการปลูกพืช และรีบปลูกเพื่อให้ทันฝนที่จะตก ( หน้า 91,109,110 ) 3) การปลูกข้าวไร่ (การน่ำข้าวไฮ่) การปลูกอยู่ปลายเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม บางครั้งเกษตรกรจะปลูกพืชอื่นด้วย โดยจะผสมกับเมล็ดข้าว 1 กำมือ ซึ่งปลูกได้ข้าวประมาณ 1 ปี๊บ แล้วก็จะหยอดพร้อมข้าว พืชที่ปลูกพร้อมข้าวได้แก่ งา แตงกวาดอย ผักชี เป็นต้น (หน้า 92,115) 4) การเกี่ยวข้าวไร่ จะเริ่มกลางเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ชาวบ้านจะช่วยกันเกี่ยว โดยจะนำข้าวไปกินที่ไร่ เมื่อเกี่ยวแล้วจะมัดด้วยตอก ตากข้าวไว้ 3 วัน (หน้า 93,122,123) 5) การตีข้าว การทำงานผู้ชายจะเป็นคนตีข้าว ส่วนผู้หญิงจะไปเก็บข้าวที่ตากมากองไว้ที่ลาน (หน้า 93,123,124) - พืชที่ปลูก กะหล่ำ เกษตรกรจะปลูกในเดือนกรกฎาคม และเก็บผลผลิตในเดือนกันยายน ถึงตุลาคม โดยจะมีพ่อค้านอกหมู่บ้านมารับซื้อ (หน้า 94 ) แครอท เดือนมิถุนายน เกษตรกรจะเตรียมดิน และจะปลูกเดือนกรกฎาคม โดยจะเก็บผลผลิตช่วงเดือนตุลาคม (หน้า 95) มันฝรั่ง (มันอลู,มันเลย์) ก่อนการปลูกจะเตรียมดิน เดือนกรกฎาคม และปลูกในเดือนสิงหาคม และเก็บผลผลิตขายในเดือนตุลาคม ( หน้า 95 )

Social Organization

สังคมเป็นแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เช่น ในการทำงานเวลาฟันไร่ ชาวบ้านจะไปช่วยกัน และผลัดเปลี่ยนกันจนทำงานเสร็จเรียบร้อยทั้งหมู่บ้าน ( หน้า 90 ) ในหมู่บ้านโดยมากจะเป็นญาติกัน และมีความสนิทสนมกัน แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์แก่กัน ( หน้า 160 ) สังคมหมู่บ้านนับถือผีมานาน แต่ความคิดเก่านั้นขัดหลักศาสนาคริสต์ ดังนั้นคนในหมู่บ้าน จึงปรับเปลี่ยนวิธีแสดงความคิด ที่ต่างจากแต่ก่อนแล้วแต่ว่าจะอยู่ในเวลาและสถานที่ใด (หน้า 170) การสืบตระกูลสืบข้างผู้หญิง ซึ่ง "ยาย" หรือผู้อาวุโสของบ้านจะเป็นผู้ทำหน้าที่ เป็นผู้นำในการเลี้ยงผีบรรพบุรุษ เพื่อขอความคุ้มครอง เพราะว่าบ้านเป็นของผู้หญิง ซึ่งหากเจ้าของบ้านตายลง จะมีการฆ่าสัตว์เลี้ยงมาเป็นอาหารเลี้ยงแขกในงานศพ และเผาบ้านเมื่อเสร็จงานแล้ว ( หน้า 85 )

Political Organization

ในหมู่บ้านมี "ฮีโข่" หรือผู้นำทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเป็นผู้นำ "ฮีโข่" จะสืบตำแห่งทางสายเลือด ( หน้า 183 ) ฮีโข่อีกคำผู้เขียนใช้คำว่า "ซีโข่" มาจากคำว่า "ซี" หมายถึง หมู่บ้าน และ "โข่" หมายถึง หัว เมื่อรวมกัน ซีโข่ หมายถึง หัวของหมู่บ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้าน ตำแหน่งนี้หากพ่อเป็นซีโข่ เมื่อเสียชีวิต ลูกชายจะเป็นต่อ หากลูกไม่มีก็ให้หลานเป็น ( หน้า 83 ) ซีโข่มีหน้าที่ประกอบพิธีเลี้ยงผีเจ้าที่เจ้าทาง ที่จะจัดเป็นประจำทุกปี หรือเรียกว่า "ปีใหม่กะเหรี่ยง" นอกจากนี้ซีโข่ยังมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ ตัดสินปัญหาให้แก่ชาวบ้าน (หน้า 85) ผู้นำที่เป็นทางการจะคอยช่วยเหลือชาวบ้านและให้คำปรึกษาแก่ชาวบ้าน สำหรับผู้นำอย่างเป็นทางการ ที่ได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 161) แต่ยังมีความเชื่อเรื่องผี เช่น เวลาคนในครอบครัวป่วย ผู้นำที่เป็นทางการจะทำพิธีเลี้ยงผีให้ (หน้า 162) ส่วนผู้นำอย่างไม่เป็นทางการเช่นหมอผี หากมีการป่วยไข้ในหมู่บ้าน หมอผีก็จะทำการรักษา (หน้า 162) ผู้นำทั้งแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ยังมีความเชื่อเรื่องผี ดังนั้นจึงมีผลทำให้คนในหมู่บ้านยังนับถือผีด้วยเช่นกัน (หน้า 171 )

Belief System

ความเชื่อเรื่องผี กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกอย่างในธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ป่า มีเจ้าของ เช่นการใช้ดิน จะไม่เพาะปลูกพื้นที่ป่าดงตะ เพราะเชื่อว่าผีดุร้าย ดินจอมปลวก มีเจ้าจอมปลวกอยู่ในนั้น ดินริมน้ำใช้ปั้นเป็นรูปสัตว์ เวลาทำพิธีเลี้ยงผี (หน้า 101,149,150,169 ) สำหรับป่าที่เชื่อว่ามีผีอยู่ได้แก่ ป่าดงตะ ป่าช้าหรือป่าโล ป่าที่มีต้นไม้คนเอาสะดือเด็กไปแขวน มีผีพรายหรือขวัญเด็กอยู่ น้ำตกมีผีอยู่ เพราะบนน้ำตกเป็นป่าช้ามาก่อน เป็นต้น (หน้า 152) กะเหรี่ยงจะไม่ใช้น้ำบ่อซึม เพราะเชื่อมีผีเจ้าน้ำอยู่ในนั้น ออกตรงรูจะมีผีขุนน้ำอยู่ เป็นต้น (หน้า 102,149,150,157 ) ความเชื่อเรื่องผีแยกได้ดังนี้ 1) ด้านเกษตรกรรม ชาวบ้านจะทำพิธีที่เกี่ยวกับผีเช่นช่วงเพาะปลูก 2) ด้านการรักษาพยาบาล เมื่อไม่รู้ว่าป่วยเนื่องจากอะไร ก็จะให้หมอผีเสี่ยงทาย การเสี่ยงทายจะมี 3 อย่าง ได้แก่ เสี่ยงทายโดยใช้ไข่ไก่,ใช้กระดูกไก่ และนับเม็ดข้าวสาร (หน้า 168) 3) ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่นความเชื่อเรื่องผีที่เกี่ยวกับดิน ป่า ต้นไม้ น้ำ สัตว์ เป็นต้น (หน้า 169) ผีที่ทำให้เจ็บป่วยได้แก่ - ผีแคร่ จะทำให้คนกินข้าวไม่อร่อย ป่วยแบบจะหายก็ไม่หาย แต่ไม่ป่วยหนัก (หน้า 34,142) - ผีป่า จะทำร้ายคนหากเข้าป่าแล้วไปพูดหยาบคาย หรือหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงาน ไปลักลอบได้เสียกันในป่า ผีก็จะไม่พอใจ - ผีถนน จะป่วยเพราะผีถนนหรือผีข้างถนนมาทัก เวลาป่วยจะปวดเข่า ปวดหัว เป็นต้น (หน้า 142) - ผีกะ มาจากผีกะเข้าสิง คนป่วยจะมีอาการคือ นั่งอยู่เฉยๆ ก็ล้มลงมีเลือดกำเดาไหลจากปาก ดิ้นไปมา ท่าทางแปลกกว่าปรกติ (หน้า 137,142,144) - ผีต้นไม้ ผีจะอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นไทร ต้นโพธิ์ ต้นไม้ที่แขวนสะดือเด็ก คนที่ถูกผีรังควานจนไม่สบาย (หน้า 142) - ผีน้ำ คนจะป่วยเพราะไปเหยียบตาน้ำ หรือไปเที่ยวหรือไปเล่นตรงที่มีผีน้ำ ผีจะทำให้ปวดตา ปวดเอว เท้าบวม (หน้า 135,142) - ผีตายโหง คือคนที่ตายไม่ปกติ เช่นเกิดอุบัติเหตุ ถูกฆ่า ผีจะทำร้ายคนให้ป่วยไข้ ละเมอเรียกชื่อคนตาย (หน้า 135,142) แม้ว่าความเชื่อเรื่องผีขัดต่อคำสอนของศาสนาคริสต์ แต่กะเหรี่ยงยังมีความเชื่อว่า ผีจะทำให้ป่วยไข้ ส่วนคริสตศาสนิกชนที่เคร่งศาสนา จะไม่เชื่อเรื่องผี แต่ถ้าอยู่กับคนในครอบครัว ก็จะแสดงท่าทีว่ามีความเชื่อเรื่องผี แต่ถ้าอยู่ในที่สาธารณะ ก็จะไม่แสดงออกว่ามีความเชื่อเรื่องผีให้คนรู้ (หน้า 164) ความเชื่อเรื่องขวัญ กะเหรี่ยงเชื่อว่าคนมีขวัญจำนวน 33 ขวัญ อยู่ตามร่างกาย ขวัญที่สำคัญมี 6 ขวัญ ขวัญที่สำคัญมากที่สุดอยู่ที่ศีรษะหากไม่สบายเชื่อว่าขวัญออกจากร่างกาย ต้องทำพิธีเรียกขวัญให้กลับคืนมา (หน้า 16 ) ขวัญจะมี 2 อย่าง คือขวัญดีกับขวัญร้าย ขวัญดีจะช่วยดูแลตนเองให้มีความสุข สำหรับขวัญร้ายจะออกจากร่างไปรบกวนคนอื่นให้เจ็บป่วย (หน้า 88 ) กะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวง กะเหรี่ยงบ้านแม่หงานหลวงมีความเชื่อเรื่องผี เช่น ถ้าหากไม่สบาย ไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่หาย ก็จะให้หมอดูทายหาสาเหตุการป่วย หากป่วยเพราะกระทำผิดสิ่งใดต่อผี ก็จะเลี้ยงผี (หน้า 1,87) การเลี้ยงผีจะข้องเกี่ยวกับการเพาะปลูก เช่น หลังจากที่เผาไร่เสร็จ จะเลี้ยงผี เพื่อให้ได้ผลผลิตดี การเลี้ยงผีจะขึ้นอยู่กับความเชื่อ เช่นชาวบ้านบางคนเชื่อว่า การเลี้ยงผีโดยใช้หมู จะทำให้ได้ผลผลิตดี แต่ถ้าหากปีไหน ปลูกข้าวไม่ดี กะเหรี่ยงก็จะเปลี่ยนไปเลี้ยงด้วยสัตว์ชนิดอื่น เป็นต้น (หน้า 2) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ป่ามีผีคอยดูแลรักษา เช่นไม่ให้ตัดต้นไทร เพราะเป็นที่อยู่ของผี เด็กที่เพิ่งเกิด ชาวบ้านจะนำรกใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วนำไปแขวนที่ต้นไม้ในป่า ต้นไม้นั้นจะไม่ให้ใครตัด หากผู้ใดตัด จะต้องเอาไก่ไปขอขมาเด็ก ผู้เป็นเจ้าของต้นไม้นั้น เพราะเชื่อว่าขวัญของเด็กอยู่ที่ต้นไม้ ( หน้า 2,5,102,155 ) - ผีบ้านกับผีเรือน ผีเรือนจะเป็นผีที่อยู่ตามบ้านเรือน ได้แก่ พ่อ แม่ หรือปู่ ย่าที่ล่วงลับไปแล้วที่ทำหน้าที่ดูแลคุ้มครองลูกหลานให้อยู่อย่างมีความสุข และผีบ้านหรือเทพารักษ์ จะคอยปกป้องรักษาหมู่บ้าน (ผีเจ้าเมือง, ผีเจ้าที่) จะมีความสำคัญในด้านการเกษตร และด้านพิธีกรรมของคนในหมู่บ้าน การเลี้ยงผีเจ้าที่จะเลี้ยง 2 ครั้ง ต่อปี (หน้า 3,16,104) - หมอผี ในหมู่บ้านจะมีหมอผี หรือผู้ทำพิธีเลี้ยงผีในหมู่บ้าน และมีผู้ช่วย 1 คน เมื่อหมอผีตัวจริง เสียชีวิตคนที่เป็นผู้ช่วยก็จะทำหน้าที่เป็นหมอผีต่อไป (หน้า 3,16 ) ศาสนา ทุกวันนี้กะเหรี่ยงหันมานับถือศาสนา อาทิเช่น คริสต์ พุทธ ในกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ ผู้นำคือศิษยาภิบาล จะเป็นผู้นำประกอบพิธี เช่น เข้าโบสถ์ การสวด เป็นต้น (หน้า 3) โดยมีกะเหรี่ยงประมาณร้อยละ 20 ที่นับถือศาสาคริสต์ทั้งนิกายโปร แตสแต้นท์ หรือ "คริสต์เตียน" (เบลอที) กับนิกายโรมันคาทอลิค "คริสต์ตัง" (พกี-ที) (หน้า 4) ในหมู่บ้านมีโบสถ์ 2 แห่ง ได้แก่ โบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก สร้างเมื่อ พ.ศ 2536 ทุกวันจันทร์-เสาร์ จะเข้าโบสถ์ในตอนเย็น กับวันอาทิตย์จะเข้าโบสถ์ตอนเช้า กลางวัน และตอนเย็น ( หน้า 75 ) โบสถ์ของนิกายโปรแตสแต้นท์ อยู่ที่กิ่วแม่หงานหลวง ติดบ้านแม่ขอมบน สร้างเมื่อ พ.ศ.2542 (หน้า 76 ) ชาวบ้านแม่หงานหลวง เมื่อก่อนนี้นับถือศาสนาผี แต่ประมาณ 10 ปีที่แล้วได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ในหมู่บ้านมีคนนับถือนิกายโปรแตสแตนท์ 95 คน 20 ครอบครัว เป็นผู้ชาย 53 คน และหญิง 42 คน (หน้า 86) นับถือนิกายคาทอลิก 230 คน 50 ครอบครัว เป็นชาย 127 คน และหญิง 103 คน นับถือศาสนาผี 8 ครอบครัว เป็นชาย 23 คน หญิง 21 คน รวม 44 คน นับถือศาสนาพุทธ 2 ครอบครัว เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน (ตารางหน้า 86) สาเหตุที่ทำให้กะเหรี่ยงเปลี่ยนจากนับถือผีมานับถือศาสนาคริสต์ เพราะการเลี้ยงผีมีการเลี้ยงผีหลายอย่าง เช่น ผีน้ำ ผีป่า ผีเรือน เป็นต้น การเลี้ยงจะต้องเสียเงินเยอะ และต้องเสียเงินให้แก่หมอผี หากเลี้ยงผิด ต้องทำพิธีเลี้ยงผีใหม่อีกครั้ง (หน้า 87 ) การหันมานับถือศาสนาคริสต์ เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนในครอบครัวต้องปรึกษากัน เมื่อตกลงใจจะเปลี่ยนศาสนา และต้องทำพิธีเลี้ยง "ผีเก๊า" หรือผีบ้าน ผีเรือน ( หน้า 87) การเลี้ยงผีเก๊า ฝ่ายแม่จะใช้หมูเลี้ยง และฝ่ายพ่อจะใช้ไก่เลี้ยง หมูที่นำมาเลี้ยงเรียกว่าหมูเก๊า คือหมูตัวแรกที่เลี้ยง หากไม่มีก็ใช้หมูตัวโตที่สุด และอายุมากกว่าทุกตัวมาเลี้ยง เมื่อทำพิธี ก็จะนำหนังหมูย่างไฟ นำมากินกับน้ำพริก ก่อนกินจะอธิษฐานขอให้ผีพ่อ แม่ ที่ล่วงลับไปแล้วคุ้มครอง ถ้าใครไม่สบายก็ให้หาย และให้มีความสุข การกินจะกิน ตามอันดับความอาวุโส ต้องกินให้ครบทุกคน เพราะหากกินไม่หมดทุกคน เชื่อว่าการเลี้ยงผีไม่สำเร็จ (หน้า 88) สำหรับการเลี้ยงด้วยไก่ ใช้ขนาดใดก็ได้ การเลี้ยงจะมีข้อห้ามคือ 1)ไม่ให้พ่อ แม่ ทะเลาะกัน 2) ห้ามมีดบาดมือเป็นแผล 3) ไม่ให้เด็กพูดว่าไก่ตัวนี้เลี้ยงกินไม่พอ หากทำสิ่งต้องห้ามต้องหาไก่ตัวใหม่มาเลี้ยง (หน้า 88) สำหรับกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ เมื่อเปลี่ยนมานับถือผีก็จะมานับถือพระเจ้า เข้าโบสถ์สวดมนต์ขอพรจากพระเจ้าให้หายป่วย แต่ก็ยังมีความเชื่อเรื่องผีอยู่เช่นเดิม เช่นเรื่องผีที่เกี่ยวกับการเกษตร (หน้า 105) เช่น การปลูกจะปักรูปไม้กางเขน เพื่อเป็นที่อยู่ของเจ้าที่แทนศาลพระภูมิ หรือบ้านขาดเล็ก เหมือนผู้ที่นับถือผี (หน้า 106 )

Education and Socialization

การศึกษาแบบดั้งเดิม การศึกษาแบบก่อน พ่อ แม่ ปู่ ย่า จะถ่ายทอดกับลูกหลานโดยตรง เช่น พ่อจะสอนให้ลูกชายทำงานเลี้ยงชีพ เข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่า สำหรับลูกสาวแม่จะสอนให้ทำงานบ้าน หุงข้าว ทอผ้า และสอนเรื่องมารยาทต่างๆ ส่วนปู่ย่า ตายาย จะสั่งสอนเรื่องข้อปฏิบัติพื้นบ้าน (หน้า 78,83) นอกจากนี้ หมอผีจะถ่ายทอดความรู้เรื่องผี การรักษากับคนในชุมชน (หน้า 79 ) การศึกษาแบบเก่าจะสอนโดยการบอกเล่า หรือเป็นนิทาน หรือร้องเป็นเพลง เด็กจะเรียนรู้จากประสบการณ์ การทำมาหากินของพ่อแม่ (หน้า 159,170 ) การศึกษาแบบระบบโรงเรียน หมู่บ้านมีโรงเรียน 1 แห่ง เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึง มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแห่งนี้ สร้างเมื่อวันที่ 20 พ.ค. พ.ศ. 2521 การสร้างครั้งแรกสร้างเป็นอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง (หน้า 76,79) เปิดสอนครั้งแรกมีครู 2 คน (หน้า 79) ในปี พ.ศ.2539 สำนักคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้อนุมัติให้สร้างอาคารแบบถาวร 1 หลัง 6 ห้องเรียน (หน้า 76,80) และในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการต่อเติมเพิ่มอีก 2 ห้อง (หน้า 76) ปัจจุบันมีครู 12 คน ครูอัตราจ้างรายเดือน 1 คน และภารโรง 1 คน นักเรียนมี 298 คน เนื้อที่โรงเรียนมี 12 ไร่ 2 งาน 7 ตารางวา (หน้า 80 ตารางหน้า 81) ที่นี่เป็นโรงเรียนขยายโอกาส มีนักเรียนจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาเรียน และเดินทางกลับในตอนเย็น นักเรียนที่บ้านอยู่ห่างไกล จะพักอยู่ที่โรงเรียนจะกลับในช่วงวันหยุด (หน้า 82 ) สำหรับการศึกษาอกโรงเรียนนั้น ยังมีชาวบ้านบางส่วนไปเรียนที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ที่ อ.แม่แจ่ม (หน้า 82)

Health and Medicine

- สถานพยาบาล ในหมู่บ้านมีสถานีอนามัย 1 แห่ง แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำ จึงไม่มีใครดูแลชาวบ้าน สถานีอนามัยแห่งนี้ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2531 ขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ 1 คน (หน้า 77) - การรักษา หากไม่สบาย เช่น ปวดหัว มีไข้ หากไม่เป็นอะไรมาก ชาวบ้านจะหาสมุนไพรมาต้มกิน สมุนไพรส่วนใหญ่จะหามาได้จากป่าละแวกบ้าน (หน้า 98) นอกจากนี้ ก็จะไปซื้อยาตามร้านค้าในหมู่บ้าน แต่ถ้ากินยาหรือสมุนไพร แล้วอาการไม่ทุเลา (หน้า 98) ก็จะไปรักษาที่โรงพยาบาลแม่แจ่ม หรือสถานีอามัยปางหินฝน (หน้า 99) - การรักษาด้วยไสยศาสตร์ หากอาการป่วยไม่ดีขึ้น กะเหรี่ยงที่นับถือคริสต์กับนับถือผี ก็จะให้หมอผีเสี่ยงทายหาสาเหตุของการป่วย โดยชาวบ้านจะนำเสื้อ และดอกไม้ไปด้วย หมอผีก็จะทายว่าไปทำผิดต่อผีเจ่าที่ไร่ ผีป่า หรือผีใด โดยญาติจะทำพิธี เซ่นไหว้ขอขมาผี (หน้า 99) - ความแตกต่างของการนับถือผี ในการรักษาด้วยไสยศาสตร์ระหว่างกะเหรี่ยงคริสต์ และกะเหรี่ยงที่นับถือผีมีดังนี้ 1) การเสียงทาย กะเหรี่ยงคริสต์จะให้หมอผีช่วยเสี่ยงทายแทนตน สำหรับกะเหรี่ยงที่นับถือผี จะเสี่ยงทายด้วยตัวเองก็ได้ 2) ผีที่กะเหรี่ยงคริสต์ เชื่อว่ามี คือ ผีน้ำ ผีป่า ผีกะ ผีตายโหง ส่วนผีที่กะเหรี่ยงที่นับถือผี เชื่อว่ามีคือ ผีตะแคร่ ผีน้ำ ผีป่า ผีถนน ผีข้างทาง ผีกะ ผีต้นไม้ ผีเจ้าโป่ง (หน้า 100) 3) เมื่อไม่สบายกะเหรี่ยงคริสต์จะขอพรจากพระเจ้า และให้หมอผีทำพิธีเลี้ยงผี ส่วนกะเหรี่ยงที่นับถือผีจะขอจากผีและเลี้ยงผีได้ 4) พิธีเลี้ยงผีของกะเหรี่ยงคริสต์ จะไม่ให้คนป่วยและเพื่อนบ้านรู้ ยกเว้นแต่หมอผี ส่วนกะเหรี่ยงที่นับถือผี ถ้าเลี้ยงผี ให้เพื่อนบ้านรู้ก็ไม่เป็นไร (หน้า 100) ส่วนการเสี่ยงทายเพื่อรักษามี 3 อย่างคือ 1) เสี่ยงทายโดยใช้ไข่ไก่ 2) เสี่ยงทายโดยใช้กระดูกไก่ 3) เสี่ยงทายโดยการนับเม็ดข้าวสาร (หน้า 130-132,168)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย เด็กกับผู้ใหญ่ จะแต่งกายชุดประจำเผ่า ส่วนคนหนุ่มสาว นักเรียน หรือคนที่ไปทำงานที่อื่น จะแต่งตัวเหมือนคนพื้นราบทั่วไป (หน้า 74)

Folklore

ตำนานกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอ เชื่อว่า "ยัว" เป็นผู้สร้างโลก ยัวเป็นต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์และตระกูล กะเหรี่ยงเชื่อว่าตนเป็นลูกของยัว ซึ่งจากตำนานมีว่า ยัวมีลูกชาย 3 คน คนโตคือ ปกาเกอะญอ หรือ ปกาเกอะยอ หมายถึง คน คนที่สองคือคนไทย (ม่า) คนเล็กเป็นฝรั่ง (หน้า บทนำ)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

- วิธีดำเนินการวิจัย เลือกผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ผู้นำอย่างเป็นทางการ เช่นผู้ใหญ่บ้าน อบต. เป็นต้น และผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ เช่นผู้สูงอายุ ผู้นำหมู่บ้าน ( ซี-โข่ ) หมอผี (หน้า 32 ) คนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องผี เช่น คนที่เคยถูกผีเข้า (หน้า 32) กลุ่มนักเรียน 10 คน ผู้ปกครอง 20 คน (หน้า 33) - เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ 1) แบบสอบถาม เช่นข้อมูลทั่วไป เช่นชื่อ ศาสนาที่นับถือ อาชีพ การศึกษา (หน้า 33) 2) แบบสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลักอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ข้อมูลทั่วไป ประวัติหมู่บ้าน ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องผี (หน้า 36) 3) แบบสังเกต เช่น ข้อมูลสิ่งแวดล้อม บทบาทผู้นำ พิธีกรรมต่างๆ (หน้า 41) 4) กระบวนการเก็บข้อมูลแบบมีส่วนร่วม ได้แก่การทำแผนที่ชุมชนแบบมีส่วนร่วม ข้อมูลโดยการจัดอันดับโดยทำปฏิทินการเกษตร (หน้า 44)

Map/Illustration

ภาพ - กรอบแนวคิดในการวิจัย (หน้า 31)แสดงการเข้าถึงผู้ให้ข้อมูลหลัก (หน้า 50) แผนที่บ้านแม่หงานหลวง (หน้า 71 ) โบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (หน้า 76) โรงเรียนบ้านแม่ หงานหลวง (หน้า 76,81 ) ธนาคารข้าว (หน้า 77 ) ไร่ใหม่ที่เผาแล้ว (หน้า 91 ) การปลูกข้าวไร่ (หน้า 92) พืชผักในไร่(หน้า 92)การเกี่ยวข้าว,ลานตีข้าว( หน้า 93) การถอนหญ้ากะหล่ำ,ตัดกะหล่ำ,ขนไปขาย (หน้า 94) การถอนแครอท ,ฤดูเก็บเกี่ยวแครอท(หน้า 95)พื้นที่ไร่ใหม่,ไร่เก่าการปลูกข้าว (หน้า 111) - พิธีกรรมของเจ้าของไร่ที่นับถือผี(หน้า 113)ขุดหลุมรูปสี่เหลี่ยม,ขุดหลุมในสี่เหลี่ยม 3 หลุม แรอบ 12 หลุม ,หยอดข้าว ( หน้า 113) พิธีขุดรอบไร่,หยอดข้าวรอบกระท่อม(หน้า 113)กะเหรี่ยงทั่บถือผีเอาข้าวให้เจ้าที่ที่ไร่,การขอผีเจ้าที่,ทำไม้สี่แจ่งรอบไร่ พิธีรดน้ำในไร่(หน้า 114) การปลูกข้าวแซมในไร่( หน้า 115 ) การปลูกข้าวไร่,การกินข้าวไร่ ( หน้า116) การทำอาหารเลี้ยงเจ้าที่ที่ไร่,การปลูกข้าวไร่เพิ่ม อาหารเลี้ยงเจ้าที่ ( หน้า 120 ) ทำพิธีขอเจ้าที่และพระเจ้าอวยพรผลผลิต ,การกินไก่ที่ไร่ (หน้า 121) - การดูลายเส้นเพื่อใช้ประกอบการทำนายของหมอผี ( หน้า 132 ) การเสี่ยงทายโยใช้ข้าวสาร,ใช้กระดูกไก่ ( หน้า 132 ) ภาพคนที่ถูกผีกะเข้าสิง ( หน้า 139 ) ภาพน้ำออกรูบริเวณหลังโรงเรียน,น้ำซึมบริเวณหน้าโรงเรียน ที่เชื่อว่ามีผีอยู่ ( หน้า 151 ) น้ำออกรูที่เชื่อว่ามีผีอยู่ ( หน้า 152 ) ภาพป่าที่หน้าโรงเรียนที่เชื่อวามีผ้ำ ( หน้า 155 ) ต้นไม้ที่ผูกสายสะดือเด็ก ( หน้า 156 ) ตาราง จำนวนประชากรแยกตามเพศและอายุ (หน้า 74) ระดับการศึกษา( หน้า79) จำนวน นักเรียน และครู ปี42-44,หมู่บ้าในเขตบริการโรงเรียน ( หน้า81,82 ) รายชื่อผู้ใหญ่บ้านแม่หงานหลวง( หน้า84 ) จำนวนครอบครัวที่นับถือศาสนาต่างๆ(หน้า 86) อาชีพของชาวบ้าน ( หน้า89 ) ประเภทของสัตว์เลี้ยง( หน้า 89 )

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ความเชื่อ, ผี, คริสตศาสนา, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง