สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ไทยพื้นราบ,การใช้ทรัพยากรป่าไม้,ลำพูน
Author ไชยา อู๋ชนะภัย
Title การจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน : การศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง ชาวไทยพื้นราบ และชาวไทยภูเขา ในภาคเหนือของประเทศไทย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 151 Year 2537
Source หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาภูมิศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

งานเขียนได้ระบุถึงการจัดทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน โดยเปรียบเทียบระหว่างคนไทยพื้นราบเชื้อสายไทยใหญ่ ที่อยู่บ้านล้อง-สนติสุข หมู่ 11 ต.ปวง อ.หัวช้าง จ.ลำพูน กับกะเหรี่ยงโปว์ บ้านหนองหลัก หมู่ 9 ต.ตะเคียนปม กิ่ง อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน ว่ามีรูปแบบการจัดการป่าโดยนำประเพณีความเชื่อต่างๆ มาจัดการด้านการอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งแต่เดิม ทั้งไทยพื้นนราบและกะเหรี่ยงก็ได้นำประเพณีพื้นบ้านมาจัดการทรัพยากรป่าไม้ เช่น แบ่งป่าออกเป็นป่าแบบต่างๆ ในการ ใช้ป่า เช่นป่าช้า ป่าเสื้อบ้าน ป่าขุนน้ำ ในกลุ่มคนไทยพ้นราบ ส่วนกะเหรี่ยง ก็แบ่งออกเป็นป่าช้า ป่าดงหอ ป่าขุนน้ำ ป่าเสื้อบ้าน และป่าขุนน้ำ ซึ่งในภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนกฎการรักษาป่า เมื่อมีบุคคลภายนอกเข้าลักลอบตัดไม้ และ เก็บของป่าภายในเขตป่าของหมู่บ้าน

Focus

ศึกษาพัฒนาการการจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน ของชุมชนพื้นราบ หมู่ 11 บ้านล้อง- สันติสุข ต.บ้านปวง และชุมชนกะเหรี่ยง หมู่ 9 บ้านหนองหลัก ต.ตะเคียนปม กิ่ง อ.ทุ่งหัวช้าง จ. ลำพูน และวิเคราะห์ความแตกต่างของปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน ในพื้นที่ศึกษา ( หน้า 8 )

Theoretical Issues

ศึกษาการจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้านของไทยพื้นราบและไทยภูเขา โดยแยกการวิเคราะห์ออกเป็นการพัฒนาการจัดการ การวิเคราะห์การจัดการ การวิเคราะห์ปัจจัยภายในของปัจจัยภายนอกว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรในการจัดการทรัพยากรแบบพื้นบ้าน จากการศึกษาพบว่า 1) การจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้านของคนพื้นราบและกะเหรี่ยงเป็นการจัดการเชิงอนุรักษ์ 2) วิธีการจัดการทรัพยากรป่าไม้เชิงอนุรักษ์ของกะเหรี่ยง มีลักษณะเป็นแบบพื้นบ้านมากกว่าคนพื้นราบ และแตกต่างกันในด้านของวิธีการบำรุงรักษาป่าไม้แบบสมัยใหม่ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน ระหว่างคนพื้นราบ และกะเหรี่ยงมีความแตกต่างกัน การวิเคราะห์การจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้านเป็นการจัดการเชิงอนุรักษ์ โดยการกำหนดรูปแบบการจัดการ และควบคุมการใช้ทรัพยากร การจัดการส่วนหนึ่งได้จัดการด้วยวิธีสมัยใหม่ และมีวิธีการเป็นแบบช่วยเหลือกันหากเกิดการแย่งชิงทรัพยากรจากนายทุน โดยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์ในลักษณะเอนกประสงค์ และใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและเชิงนิเวศน์วิทยา ซึ่งพิจารณาจากตัวแปร 3 อย่างคือ ผลิตภาพ ความมั่นคงและความยืนยง โดยยึดหลักพื้นฐานการจัดการ 3 อย่าง ได้แก่ การใช้ลักษณะเอนกประสงค์ การใช้ในระยะยาว (หน้า 133-136 )

Ethnic Group in the Focus

คนไทยพื้นราบเชื้อสายไทยใหญ่ (หน้า 130 ) ที่อยู่บ้านล้อง-สันติสุข หมู่ที่ 11 ต.บ้านปวง กิ่งอำเภอหัวช้าง จ.ลำพูน (หน้า 27,29 ) กะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 130 ) บ้านหนองหลัก หมู่ 9 ต.ตะเคียนปม กิ่ง อ.ทุ่งหัวช้าง จ.ลำพูน (หน้า27,29)

Language and Linguistic Affiliations

ไทยพื้นราบพูดคำเมือง ภาษาท้องถิ่นของคนภาคเหนือ (หน้า 41 )

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

การย้ายที่อยู่เพื่อหาที่ทำกินของคนไทยพื้นราบที่อยู่พื้นที่ กิ่ง อ.ทุ่งหัวช้าง มี 2 ช่วงคือระหว่าง พ.ศ. 2300- 2330 โดยย้ายมาจาก อ.เถิน มาอยู่บริเวณที่เคยเป็นที่อยู่ของลัวะ กับช่วง พ.ศ. 2430-2485 จะย้ายเป็นกลุ่มญาติพี่น้องมาตั้งเป็นชุมชนอยู่กับลัวะ และกะเหรี่ยงที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อนแล้ว ครั้งแรกอยู่บ้านปวง ซึ่งภายหลังกลายเป็นชื่อตำบล ชาวบ้านก็เริ่มขยายไปอยู่ที่ใหม่ บริเวณบ้านปวง กลายเป็นบ้านใหม่ บ้านหนองกอก บ้านดอนมูลเป็นต้น (หน้า 39 ) การตั้งถิ่นฐานกับการปกครองของบ้านล้อง-สันติสุข คนไทยพื้นราบแยกเขตการปกครองจาก 6 หมู่บ้านใหม่ ปี 2532 เป็นการรวม 2 กลุ่มบ้านตั้งเป็นหมู่ 11 (หน้า 39 ) การตั้งถิ่นฐานเริ่มก่อนปี พ.ศ.2431 กระทั่งเกิดเป็น 2 กลุ่มบ้านในเวลาต่อมา (หน้า 40 ) ไม่มีข้อมูลกล่าวถึงประวัติหมู่บ้านหนองหลัก

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ประชากรบ้านล้อง-สันติสุข เป็นคนไทยเชื้อสายไต หรือไทยใหญ่ มีทั้งหมด 44 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 144 คน ผู้ชาย 76 คน หญิง 68 คน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษา จำนวน 41 ครัวเรือน ( หน้า 41 ) และศึกษากะเหรี่ยง 142 ครัวเรือนจาก 151 ครัวเรือน (หน้า 30)

Economy

หมู่บ้านล้อง - สันติสุข - อาชีพหลัก ทำอาชีพเพาะปลูกเป็นอาชีพหลัก แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ลาดชัน และดินขาดความอุดมสมบูรณ์ และมีที่ทำกินน้อย ประชากรจำนวน 36 ครัวเรือน หรือ 82.9 % ปลูกข้าวไม่พอกิน ดังนั้นจึงทำงานเสริม อาชีพรองของคนพื้นราบ ได้แก่ เก็บของป่า 38 ครัวเรือน หรือ 92.7% ค้าขาย 1 ครัวเรือน หรือ 2.4% และ 2 ราย ไม่ทำอาชีพรอง หรือ 4.9% (หน้า 44) - ที่ดิน พื้นที่หมู่บ้าน มี 10,544.1 ไร่ แบ่งเป็นที่นา 105.9 ไร่ สวนผลไม้ 66.4 ไร่ ไร่ถาวร 192.1 ไร่ ไร่เก่า 1,868.3 ไร่ ที่อยู่อาศัย 38.1 ไร่ ป่าไม้ 7,689.7 ไร่ ที่ทำกิน เช่น นา สวน ที่เป็นของคนนอกหมู่บ้าน 585.5 ไร่ (หน้า 45) ที่นาเฉลี่ย 2.5 ไร่ มีจำนวน 5 ครัวเรือน หรือ 6% และมีที่นาอยู่นอกเขตหมู่บ้าน ที่ไร่ถาวร เฉลี่ย 3.5 ไร่ ได้แก่ สวนลำไย และมะม่วง เป็นต้น (หน้า 45 ) การใช้ประโยชน์จากป่า ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่า 3 อย่าง ได้แก่ ใช้ในรูปเนื้อไม้ ฟืน และเป็นที่เลี้ยงสัตว์ ( หน้า 73 ) ป่าใกล้ชุมชนคนพื้นราบการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ มี 2 ประเภท คือป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง มีการใช้ประโยชน์จากป่า ดังนี้ 1) การใช้ประโยชน์ในรูปของเนื้อไม้และฟืน มีพื้นที่ 6,759.9 ไร่ ไม้มีค่า เช่น สัก ตะเคียน มะค่า ประดู่ มีอยู่จำนวนไม่มาก ที่เหลืออยู่อายุไม้ยังไม่มาก (หน้า 74 ) ไม้ฟืนจะนำไปใช้เป็นไม้ก่อสร้าง การใช้ไม้ฟืนของคนพื้นราบและกะเหรี่ยง ได้มาจาก 3 บริเวณคือ บริเวณที่ อยู่อาศัย ป่าใกล้ไร่นากับป่าในครอบครอง สำหรับคนพื้นราบ หาฟืนมาจากป่าครอบครอง จำนวน 82.4% 2) การเก็บของป่า สำหรับครัวเรือนที่มีอาชีพเก็บของป่าเป็นอาชีพรอง มี 92.7% โดยคิดเป็นรายได้เฉลี่ย 3,602 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ของป่าที่เก็บเช่น เห็ด หน่อไม้ ผักหวาน ไข่มดแดง เป็นต้น (ตารางเก็บของป่า หน้า 76 ) ของป่าของคนพื้นราบ และ กะเหรี่ยง ที่ใช้ประโยชน์มี ดังนี้ (1) เห็ดถอบ อยู่ช่วงเดือน พ.ค.-ปลายเดือน มิย.เห็ดนี้มักขึ้นบริเวณป่าเต็งรัง ราคาลิตรละ 40-80 บาท (หน้า 77,82) (2) เห็ดไข่ห่าน เห็ดแดงและอื่นๆ จะออกในช่วงหน้ากลางเดือน พ.ค.-ปลายเดือน ต.ค ขึ้นอยู่ในป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ (หน้า 77 , 82) (3) เห็ดหล่ม จะขึ้นในเดือน ก.ย.-ปลายเดือน ธ.ค.ขึ้นตามไม้ผุ ส่วนเห็ดถอบกับเห็ดไข่ห่าน จะขึ้นบริเวณดินร่วน กับจอมปลวก (หน้า 77,82) (4) หน่อไม้ จะออกในช่วงหน้าฝน อยู่บริเวณริมห้วย (5) ผักหวาน และผักป่า เช่นผักกูด ชะอม จะขึ้นในช่วงหน้าฝนริมห้วย ส่วนผักหวานจะออกหน้าร้อน ตั้งแต่กลางเดือน ก.พ.-ปลายเดือน เม.ย. จะขึ้นในป่าเบญจพรรณ (หน้า 77,82) (6) ไข่มดแดง จะมีในหน้าร้อน ตั้งแต่เดือน ก.พ.-เม.ย มดแดงจะทำรังในป่าเต็งรังกับป่าเบญจพรรณ (หน้า 78,82) (7) สัตว์ป่า สัตว์ขนาดเล็ก เช่น อึ่ง เขียดจะมีมากในหน้าฝน หน้าแล้งจะอยู่ริมน้ำ ส่วนสัตว์ป่าที่มีในป่าหมู่บ้าน เช่น กระรอก กระแต ไก่ป่า เป็นต้น (หน้า 78 ) การใช้พื้นที่ป่าเพื่อเลี้ยงสัตว์ คนพื้นราบ จำนวน 58.5% เลี้ยงโคเพื่อเป็นรายได้เสริม การเลี้ยงจะเป็นแบบเกี่ยวหญ้าให้กิน ส่วนใหญ่จะเลี้ยงแบบนี้ เจ้าของจะมีโคไม่เกิน 3 ตัว โดยมากเจ้าของจะเกี่ยวหญ้าตามบริเวณไร่นา และบริเวณป่าหรือพาไปเลี้ยงใกล้หมู่บ้าน (หน้า 78) กับการเลี้ยงในป่าแบบเช้าไปเย็นกลับ จะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือหน้าฝน ถึงหน้าหนาว เป็นเวลา 7-8 เดือน กับในหน้าแล้งเป็นเวลา 4-5 เดือน (หน้า 78 ) การเลี้ยงโคในช่วงหน้าฝน ซึ่งเป็นช่วงเพาะปลูก คนพื้นราบจะมีพื้นที่สำหรับเลี้ยงโค ราว 9,450 ไร่ เจ้าของโคจะนำโคไปปล่อยใกล้ที่ทำกิน (หน้า 78 )เมื่อทำนาเสร็จก็จะไปต้อนกลับบ้าน ถึงหน้าแล้งก็จะนำไปเลี้ยงในนา (หน้า 79 ) การเลี้ยงโคในหน้าแล้ง แหล่งน้ำสำหรับโคได้แก่ แม่น้ำลี้ กับห้วยผาลาด จะเลี้ยงในที่นาและไร่ พื้นที่เลี้ยงในช่วงหน้าแล้งจะมีประมาณ 460 ไร่ (หน้า 79 ) การใช้ประโยชน์จากป่าไม้ของชุมชนกะเหรี่ยง 1) ไม้เพื่อการก่อสร้างและซ่อมแซม อยู่ในเขตป่าไม้ใช้สอย มีแหล่งทำไม้สำคัญ อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำลี้ มีพื้นที่ 4,370.50 ไร่ มีกะเหรี่ยง 8 ครัวเรือน ทำไม้เป็นรายได้เสริม (หน้า 80) 2) การเก็บของป่า จะขึ้นอยู่กับฤดูกาล (หน้า 81 ตารางหน้า 82) การเก็บของป่าของกะเหรี่ยง จะคล้ายกับคนพื้นราบ แต่ของป่า ในป่าไม้ของกะเหรี่ยงจะมีความหลากหลายกว่า ป่าของคนพื้นราบของป่าที่มีเช่น ผลไม้ป่า น้ำผึ้งป่า ครั่ง ยางไม้ มะม่วงป่า เป็นต้น (หน้า 83 ) กะเหรี่ยงมีฐานะยากจนเหมือนกับคนพื้นราบ แต่มีประชากรหนาแน่นกว่าคนพื้นราบ เมื่อคิดอัตราต่อการใช้พื้นที่ป่าจะอยู่ที่ 1 คน ต่อ 21 ไร่ ขณะที่คนพื้นราบมีอัตราอยู่ที่ 1 คนต่อ 53.4 ไร่ แต่กะเหรี่ยงจะมีกฎการใช้ป่าที่เข้มงวดมากกว่าคนพื้นราบ ( หน้า 84 ) 3) การใช้พื้นที่ป่าเลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงโคแบบเช้าไปเย็นกลับ พื้นที่ใช้เลี้ยงโคในหน้าฝน มีเนื้อที่ 16,730 ไร่ โดยมากกว่าพื้นที่ของคนพื้นราบ 7,230 ไร่ ส่วนฤดูแล้งจะมีพื้นที่เลี้ยงโค 2,352.5 ไร่ น้อยกว่าคนพื้นราบ 204.2 ไร่ การเลี้ยงโคแบบปล่อย เจ้าของจะทำเครื่องหมายเอาไว้แล้วปล่อย ให้หากินในป่าจนโตพอขาย เจ้าของก็จะนำออกจากป่าไปขายให้พ่อค้า การเลี้ยงในป่า เจ้าของจะไปดู 1-3 ครั้งต่อเดือน ซึ่งจะใช้เวลา 3 ถึง 5 วัน ทั้งนี้ที่เลี้ยงแบบปล่อยมี 2 ที่ คือพื้นที่ห้วยทองแดง จำนวน 2,190.7 ไร่ กับป่าขุนน้ำ ฝั่งซ้ายของแม่น้ำลี้ มีเนื้อที่ 1,197.7 ไร่ (หน้า 84) รวมเนื้อที่จำนวน 3,388.4 ไร่ (หน้า 85) รายได้เฉลี่ย คนพื้นราบมีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 10,960 บาท ส่วนของกะเหรี่ยงมีรายได้เฉลี่ย 16,313 บาท รายได้เฉลี่ยต่อหัว คนไทยพื้นราบเท่ากับ 2,962 บาทต่อหัว และกะเหรี่ยงเท่ากับ 3,329 บาทต่อหัว (หน้า 116) กลุ่มคนพื้นราบ จำนวน 34 ครัวเรือน (82.9%) และกะเหรี่ยง 132 ครัวเรือน (93.6% ) ปลูกข้าวไม่พอกินทั้งปี ในกลุ่มที่ปลูกข้าวไม่พอกิน มีคนไทยพื้นราบ จำนวน 17 ครัวเรือน (41.5%) และจำนวน 89 ครัวเรือน (62.7 %) ที่ข้าวไม่พอกินจำนวน 6 เดือน ขึ้นไป (หน้า 116) รูปแบบการจัดการทรัพยากรป่าไม้แบบพื้นบ้าน ของคนพื้นราบ แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ป่าอนุรักษ์ กับป่าใช้สอย สำหรบป่าอนุรักษ์แบ่งเป็น 3 ชนิด คือป่าช้า ป่าเสื้อบ้าน ป่าขุนน้ำ (หน้า 131 ) ส่วนกะเหรี่ยง มีรูปแบบการจัดการป่าไม้ ได้แก่ ป่าช้า ป่าดงหอ ป่าขุนน้ำ กับป่าประปาภูเขา (หน้า 131)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ในหมู่บ้านมีพ่อหลวง หรือ ผู้ใหญ่บ้าน ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน และติดต่อกับทางการ ในการปกครองแบ่งเป็น 2 กลุ่มบ้าน ได้แก่ บ้านล้อง และบ้านสันติสุข ในกลุ่มบ้านนั้นจะมีผู้ช่วยพ่อหลวง 2 คน ได้แก่ ฝ่ายปกครอง กับฝ่ายรักษาความสงบ ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการหมู่บ้าน (หน้า 44 ) คณะกรรมการหมู่บ้าน จะมีหน้าที่อนุมัติการใช้ป่า เช่น นำไม้มาสร้างบ้าน หรือซ่อมบ้าน ก็ต้องแจ้งกับทางคณะกรรมการหมู่บ้านก่อน (หน้า 94,98) หากคนดื่น ทางคณะกรรมการหมู่บ้าน ก็จะพิจารณาปรับ แต่ถ้าหากคนที่ทำผิดไม่ยอม ก็จะแจ้งตำรวจต่อไป (หน้า 95)

Belief System

- ชาวบ้านล้อง-สันติสุข ชาวบ้านล้อง-สันติสุข นับถือศาสนาพุทธ กับนับถือผี เช่นผีปู่ย่า ผีเจ้าที่ (หน้า 41 ) มีการนำประเพณี และพิธีกรรม มาจัดการกับการใช้ทรัพยากรป่าไม้ เช่น คนพื้นราบมีป่าอนุรักษ์ประเพณี ได้แก่ ป่าช้า และป่าเสื้อบ้าน (หน้า 61) ส่วนป่าอนุรักษ์ทรัพยากร ซึ่งเป็นป่าห้ามตัดไม้ แต่เก็บของป่า เก็บฟืน และเลี้ยงสัตว์ได้ คนพื้นราบจะประกอบพิธีไหว้ผีขุนน้ำ ที่ป่าขุนน้ำ เพื่อขอให้ช่วยรักษาแหล่งน้ำกับป่า (หน้า 87 ) ป่าศักดิ์สิทธิ์หรือป่าอนุรักษ์ประเพณี เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม อันเป็นศูนย์รวมความเชื่อ ของคนในชุมชน ( หน้า 86 ) มี 2 ประเภท คือ 1) ป่าช้าเป็นพื้นที่ประกอบพิธีศพ หากเป็นเด็กจะฝัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะเผา ป่าไม้มีการตัดไปใช้ในการก่อสร้างมีพื้นที่ 11.3 ไร่ ป่าช้าของคนพื้นราบจะให้คนบ้านใหม่มาใช้ด้วย เพราะเคยเป็นหมู่บ้านเดียวกัน (หน้า 87 ) สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ป่า คนไทยพื้นราบ ไม่ชอบเก็บของป่าในป่าช้า เพราะเชื่อว่าจะรบกวนวิญญาณผู้ล่วงลับ หรือจะได้รับสิ่งไม่เป็นมงคล จะทำให้ไม่สบาย (หน้า 76 ) 2) ป่าเสื้อบ้าน มีอยู่ 2 ที่ คือชุมชนบ้านเดิมของคนพื้นราบ เป็นป่าเต็งรัง มีพื้นที่ 22 ไร่ บ้านสันติสุข เป็นป่าเบญจพรรณ มีเนื้อที่ 1 ไร่ เพราะนับถือผีต่างกัน การนับถือผีเสื้อบ้าน เชื่อว่าผีจะช่วยคุ้มครองให้หมู่บ้าน (หน้า 87) การจัดการป่าไม้แบบดั้งเดิมของคนพื้นราบ ประเพณีและพิธีกรรม ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าของคนพื้นราบ มีดังนี้ ประเพณีบวงสรวงบูชาเจ้าพ่อปันมหาด ผีเสื้อบ้าน เจ้าพ่อภูเหลือง ผีขุนน้ำ ผีฝาย และประเพณีเกี่ยวกับการตาย (หน้า 92,ตารางหน้า 93) การบูชาเจ้าพ่อปันมหาด อันเป็นศาลเจ้าที่ระดับตำบล ซึ่งศาลนี้ จะตั้งอยู่บ้านฆ้องค่ำ สภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณ ศาลตั้งอยู่ห่างจากกลุ่มบ้านล้อง ไปทางทิศตะวันออก 350 เมตร ศาลแห่งนี้เป็นศาลขนาดใหญ่ เชื่อว่าเป็นข้าราชการระดับสูงในอดีต ซึ่งเจ้านครลำปาง ได้ส่งมาปกครองพื้นที่แห่งนี้ เมื่อเสียชีวิต ชาวบ้าน ต.บ้านปวง จึงนับถือเป็นผีเสื้อเมือง โดยมีผีเสื้อบ้าน ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน (หน้า 94) - กะเหรี่ยง ในส่วนของกะเหรี่ยง มีการจัดการป่าตามความเชื่อของกะเหรี่ยง แบ่งเป็นดังนี้ ป่าอนุรักษ์ประเพณี และป่าอนุรักษ์ทรัพยากร ป่าอนุรักษ์ประเพณีได้แก่ป่าช้า ป่าดงหอ และป่าขุนน้ำ เช่น สถานที่ประกอบพิธีต่างๆ ป่าช้ากับป่าดงหอ มีพื้นที่แน่นอนแต่มีขนาดเล็ก สำหรับป่าขุนน้ำ ยังไม่มีการกำหนดขอบเขต โดยจะใช้บริเวณที่เรียกว่า "ตาด" ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีน้ำอยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครอง (หน้า 62,88) ป่าอนุรักษ์ประเพณี แบ่งออกเป็น ป่าช้า และ ป่าดงหอ 1) ป่าช้าของกะเหรี่ยงอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน เป็นป่าเต็ง รัง มีเนื้อที่ 62.3 ไร่ จะใช้เป็นที่ประกอบพิธีเมื่อมีผู้เสียชีวิต กะเหรี่ยงจะไม่เก็บเห็ดในป่าช้า เพราะเชื่อว่าอาจเปื้อนซากคนตาย (หน้า 88) 2) ป่าดงหอ เป็นพื้นที่ใช้บวงสรวงบูชาเจ้าพ่อภูเหลือง-ภูเขียว กับผีเจ้าที่ สภาพป่าเป็นป่าเบญจพรรณมีเนื้อที่ 2.2 ไร่ ศาลทำจากไม้ไผ่มุงแฝก โดยมี 2 หลัง หลังแรกหันหน้าไปทางป่าด้านทิศเหนือ อีหลังหันหน้ามาทางหมู่บ้าน เจ้าพ่อทั้งสอง เชื่อว่า จะช่วยคุ้มครองชุมชน พื้นที่เพาะปลูกและสัตว์เลี้ยง ( หน้า 89 ตารางหน้า 90 ) ประเพณีที่เกี่ยวกับป่าของกะเหรี่ยง ประเพณีบวงสรวงบูชาผีดงหอ ได้แก่เจ้าพ่อภูเขียว-ภูเหลือง ผีขุนน้ำ ผีขุนห้วย ที่ป่าประปาภูเขา ผีขุนห้วย ผีฝาย และประเพณีเกี่ยวกับการตาย ประเพณีบวงสรวงผีดงหอจะทำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง ส่วนประเพณีบวงสรวงบูชาผีขุนน้ำ ผีขุนห้วย ที่ป่าประปาภูเขา แยกเป็นผีขุนน้ำและผีขุนห้วย ที่ป่าประปาภูเขา เกี่ยวข้องระดับหมู่บ้าน สำหรับผีขุนน้ำกับฝาย เกี่ยวข้องเฉพาะเจ้าของที่นา ที่ใช้น้ำจากห้วยและฝาย พิธีจะอยู่ในระหว่างหน้าฝน แต่ผีขุนห้วย ที่ป่าประปาภูเขา พิธีนี้จะทำในหน้าแล้ง (หน้า 95 ) ประเพณีบวงสรวงผีดงหอ (เจ้าพ่อภูเขียว-ภูเหลือง )จะทำในเดือน ก.พ.และเดือน ก.ค. ก่อนจะประกอบพิธี 1 วัน และวันประกอบพิธี 2 วัน รวมเวลา 3 วัน กะเหรี่ยงจะปิดหมู่บ้าน ไม่ให้ใครเข้าออก โดยถือว่าเป็นวันหยุดประจำปี และไม่ทำงาน เพราะเกรงว่าจะผิดผี (หน้า 96) สำหรับ " ตั้งข้าว" คือคนที่ทำพิธี เป็นตัวแทนในการติดต่อกับวิญญาณ จะสืบทอดกันทางสายเลือด แต่ "ตั้งข้าว" ของคนพื้นบ้านจะดูจากความรู้และอายุ ของคนที่จะมาทำพิธี ในหมู่บ้าน จะมีตั้งข้าว 2 คน โดยจะร่วมกันกำหนดวันประกอบพิธี แต่จะแยกกันประกอบพิธี (หน้า 96 ตารางหน้า 97 ) ศาลเจ้าพ่อภูเหลือง - ศาลเจ้าพ่อภูเขียว ศาลเจ้าพ่อภูเหลือง ทำหน้าที่ดูแลฝั่งขวาของแม่น้ำลี้ ศาลเจ้าพ่อภูเขียวทำหน้าที่ดูแลฝั่งซ้ายของแม่น้ำลี้ โดยศาลทั้งสองจะอยู่บนดอยสบเทิม ซึ่งเป็นภูเขาสูงในลุ่มแม่น้ำลี้ โดยจะอยู่ในพื้นที่ป่าของกะเหรี่ยง ทุกหมู่บ้านจะตั้งศาลเจ้าพ่อภูเหลืองหรือเจ้าพ่อภูเขียว แล้วแต่ว่าที่ดินจะอยู่ฝั่งใดของลำน้ำลี้ (หน้า 87) กะเหรี่ยง และคนพื้นราบมีความเชื่อเรื่องวิญญาณตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในการใช้ทรัพยากรป่าไม้ ตลอดจนมีความเชื่อ เรื่องไม้ศักดิ์สิทธิ์ กับไม้ที่ไม่เป็นมงคลในการตัด ( หน้า 109 ) อย่างไรก็ดี สำหรับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าโดยอาศัยประเพณีนั้น คนพื้นราบจะมีส่วนร่วมมากกว่ากะเหรี่ยง เพราะมีกะเหรี่ยงส่วนหนึ่งไปทำงานรับจ้าง จึงขาดโอกาสที่จะร่วมจัดงานประเพณีของชุมชน (หน้า 110) ปี 2536 สำนักสงฆ์มาประจำในหมู่บ้าน จึงได้มีการนำพิธีทางพุทธศาสนามาใช้ในการจัดการทรัพยากรป่าไม้ เช่น การบวชต้นไม้ การสืบชะตาขุนน้ำ (หน้า 64 )

Education and Socialization

เด็กในหมู่บ้าน จะเดินไปเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษาที่บ้านปวง ที่อยู่ห่างหมู่บ้าน 2 กิโลเมตร ( หน้า 39, 41 ) ชาวบ้านส่วนมากเรียนจบภาคบังคับ และอ่านออกเขียนได้ (หน้า 41)

Health and Medicine

การรักษาพยาบาล ถ้าหากเจ็บป่วยไม่สบาย จะไปรักษาที่อนามัย ต.บ้านปวง แต่ถ้าหากป่วยหนักจะไปรักษาที่โรงพยาบาลลี้ เนื่องจากว่ามีความทันสมัยกว่าโรงพยาบาลกิ่งอำเภอ (หน้า 39 )

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ปัญหาที่ชาวบ้านพบคือ คนนอกเข้ามาแย่งชิงทรัพยากรป่า เช่น ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง จากนายทุน และปัญหาการไม่ได้รับสิทธิ์ทางกฎหมาย ในการดูแลป่า (หน้า 124)

Social Cultural and Identity Change

- การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวิธีการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของคนพื้นราบ มีการเปลี่ยนแปลง 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2516 ขณะนั้นยังไม่มีการแยกการปกครองบ้านใหม่ หมู่ 6 ซึ่งแบ่งเขตพื้นที่ป่ากับบ้านดอนมูล หมู่ 8 และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2532 เมื่อคนพื้นราบแยกบ้านใหม่ ทำให้มีการกำหนดการใช้ป่าใหม่ ซึ่งแต่เดิมมีแต่ป่าอนุรักษ์ประเพณี ได้แก่ ป่าช้า ป่าเสื้อบ้าน ต่อมาได้เพิ่มอีก 2 แบบ ได้แก่ป่าขุนน้ำ และป่าใช้สอย ทั้งนี้คณะกรรมการหมู่บ้าน จะดำเนินการปรับ หากมีผู้ที่กระทำผิดในการใช้ป่า (หน้า 63 ) - การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวิธีการจัดการทรัพยากรป่าไม้ของกะเหรี่ยง หมู่บ้านได้แบ่งพื้นที่ป่ากับหมู่บ้านใกล้เคียง เช่นบ้านขุนกอง บ้านทุ่งข้าวหาง บ้านป่าก่อและบ้านห้วยงูสิงห์ ปี พ.ศ.2518 ได้จัดขอบเขตป่าขุนน้ำของกะเหรี่ยงที่ชัดเจน และ ปี พ.ศ.2527 ได้รับงบประมาณในการสร้างฝายและเดินระบบประปาภูเขาเข้าหมู่บ้าน โดยได้รับงบประมาณจาก กชช. (คณะกรรมการบริหารการพัฒนาชนบทแห่งชาติ ) ที่บ้านห้วยร้าง (หน้า 63) ในช่วงปี พ.ศ.2521 เมื่อรัฐเข้ามาพัฒนาและบริหารทรัพยากร ได้มีกะเหรี่ยงจากบ้านขุนแกง ได้เข้าบุกเบิกในการลักลอบตัดไม้ในเขตป่าช้า ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ในการปรับเงิน เช่น การห้ามเก็บหน่อไม้ไปขาย ในปี พ.ศ.2534 ก็ได้เพิ่มค่าปรับมากขึ้น (หน้า 64 )

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การจัดการทรัพยากรป่า ภายในหมู่บ้านมีการจัดการเรื่องการใช้ทรัพยากรป่าไม้ โดยคนพื้นราบได้แบ่งป่าเป็นป่าอนุรักษ์ กับป่าใช้สอย (หน้า 94) ป่าอนุรักษ์ได้แก่ ป่าช้า กับป่าเสื้อบ้าน จะห้ามไม่ให้เข้าไปใช้ป่า แต่จะให้ทำพิธีทางศาสนา และให้เลี้ยงสัตว์ในป่า หาของป่าได้ ป่าขุนน้ำ จะให้เก็บฟืน หาของป่าและล่าสัตว์ได้ และเลี้ยงสัตว์ได้ แต่ไม่ให้เข้าไปทำให้ป่าเสื่อมสภาพ (หน้า 94 ) ป่าใช้สอย อนุญาตให้ทำไร่แบบยังชีพ ห้ามขยายพื้นที่ ห้ามตัดไม้ขาย แต่นำไม้มาซ่อมบ้าน และทำคอกสัตว์ได้ (หน้า 94 ) สำหรับการลงโทษ หากมีคนฝ่าฝืน คณะกรรมการหมู่บ้าน ก็จะพิจารณาปรับ หากไม่ยอมก็จะแจ้งตำรวจให้ดำเนินคดีต่อไป (หน้า 95 )

Map/Illustration

ตาราง เนื้อที่ป่าไม้ในปีที่มีการสำรวจระดับประเทศ ( หน้า 2 ) ป่าไม้ในภาคต่างๆในปี 2504-2532 ( หน้า 6 ) ปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน ( หน้า 38 ) การเคลื่อนย้ายเพื่อตั้งถิ่นฐานของคนพื้นราบ ( หน้า 40 ) ประชากรของบ้านล้อง-สันติสุข ( หน้า 42 )การประกอบาชีพของบ้านล้อง-สันติสุข ( หน้า 45 ) การใช้ที่ดิน ( หน้า 46 )ปฏิทินการเกษตรบ้านล้อง-สันติสุข (หน้า 47 ) ประชากรบ้านหนองหลัก (หน้า 54 )การประกอบาชีพของบ้านหนองหลัก (หน้า 57 ) การใช้ที่ดิน (หน้า 58 ) ปฏิทินการเกษตรบ้านหนองหลัก (หน้า 59 ) ประเภทป่าของชุมชนพื้นราบ (หน้า 68 ) ประเภทป่าขงชุมชนกะเหรี่ยง (หน้า 71 ) การใช้ประโยชน์จากป่าไม้และที่ทำกินของชุมชนพื้นราบ (หน้า 75, 80 ) การใช้ไม้ฟืนของชุมชนพื้นราบ,กะเหรี่ยง ( หน้า 75,81 ) ปฏิทินการเก็บของป่าของชุมชนพื้นราบ,บ้านหนองหลัก ( หน้า 76,82 ) การจัดการทรัพยากรขงชุมชนพื้นราบ,ชุมชนกะเหรี่ยง (หน้า 86,90 ) ประเพณีที่เกี่ยวกับการจัดการป่าขงชุมชนพื้นราบ,กะเหรี่ยง ( หน้า 93,97 ) ความเข้มแข็งของวัฒนรรมการจัดการป่าไม้ ( หน้า 109 )ความสัมพันธ์ขององค์กรชาวบ้านเกี่ยวกับการจัดการทัพยากรป่าไม้ (หน้า 111 ) ฐานะทางเศรษฐกิจ (หน้า 116 ) อิทธิพลของความเป็นเมืองกับการจัดการป่าไม้ (หน้า 119 ) บทบาทขององค์กรเอกชนพัฒนาชนบท กับการจัดการป่าไม้ (หน้า 121 ) การเมืองและกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (หน้า 123 ) ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรป่าไม้จากภายนอก (หน้า 125 ) ภาพ การวิเคราะห์ทรัพยากร (หน้า 9 ) มนุษย์ วัฒนธรรมและธรรมชาติ (หน้า 10 ) การจัดการทรัพยากรขงกะเหรี่ยง (หน้า 22 ) แผนที่เส้นทาง (หน้า 35 ) ภูมิประเทศบ้านล้อง-สันติสุข ,บ้านหนอง หลัก (หน้า 36,50 ) ป่าชุมชนพื้นราบ,กะเหรี่ยง ( หน้า 66,70 ) การใช้ประโยชน์จากป่าและที่ดินของชุมชน พื้นราบ,กะเหรี่ยง (หน้า 74,79 )การจัดการป่าไม้ของชุมชนพื้นราบ, กะเหรี่ยง (หน้า 85,89 ) การใช้ที่ดิน,ตามระดับความสูง ของชุมชนพื้นราบ ( หน้า 100,102 ) การใช้ที่ดิน,ตามระดับความสูงของชุมชนกะเหรี่ยง ( หน้า 103,105 )การจัดการป่าไม้แบบพื้นบ้าน (หน้า 107 ) แผนภูมิ ประชากรบ้านล้อง - สันติสุข (หน้า 43 ) ประชากรบ้านหนองหลัก (หน้า 54 )

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 22 ก.ย. 2555
TAG โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ไทยพื้นราบ, การใช้ทรัพยากรป่าไม้, ลำพูน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง