|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่,ล่าหู่แดง,(Lahu Nyi),อัตลักษณ์ชาติพันธุ์,จักรวาลวิทยา,ภาคเหนือ |
Author |
Sombat Boonkamyeung |
Title |
The Lahu Symbolic Universe and Reconstruction of Ethnic Identity |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
25 |
Year |
2545 |
Source |
http://coe.asafas.kyoto_u.ac.jp/news/inter_ethnic%20relations2002/(8)sombat.pdf. |
Abstract |
ผู้เขียนเห็นว่า ความไม่มั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของล่าหู่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-พม่า อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ การรื้อฟื้นสัญลักษณ์และปฏิรูปโครงสร้างทางสังคม-วัฒนธรรมของล่าหู่เป็นการปฏิบัติการการรื้อฟื้นสัญลักษณ์เพื่อสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ โดยการทำตนเองให้ต่างจากกลุ่มที่มีอำนาจและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่เป็นชนกลุ่มน้อย การกระทำต่างๆ เหล่านี้เป็นการสร้างความรู้สึกหรือสำนึกในอัตลักษณ์ล่าหู่เพื่อหล่อหลอมล่าหู่ให้มีความเป็นเอกภาพท่ามกลางการแข่งขันกันระหว่างกองทหารพม่า กองกำลังอิสระไทยใหญ่และกองกำลังชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่มีฐานกองกำลังอยู่ในบริเวณชายแดน (น.136) |
|
Focus |
บทความชิ้นนี้ผู้เขียนพยายามตอบคำถาม 2 ประเด็น (น.120) คือ 1. ล่าหู่แดง (Lahu Nyi) มีอะไรเป็นเครื่องมือเชิงสัญลักษณ์ในการปฏิบัติทางประเพณีและศาสนาท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศ การเมือง สังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน 2. เครื่องมือเชิงสัญลักษณ์เหล่านั้นสะท้อนความคิดจักรวาลวิทยาของล่าหู่แดงหรือไม่ อย่างไร และสัญลักษณ์เหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์หรือไม่ อย่างไร |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเห็นว่า การรื้อฟื้นประเพณีและหลักการความเชื่อเป็นเครื่องมือเชิงสัญลักษณ์ที่ผู้นำล่าหู่ใช้สร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และหล่อหลอมเอกภาพความเป็นกลุ่มให้ต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ล่าหูแดง (Lahu Nyi) ที่อยู่ในบริเวณชายแดนภาคเหนือไทย-พม่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในประเทศไทยมีล่าหู่กลุ่มสำคัญ 4 กลุ่มย่อย ได้แก่ Lahu Na, Lahu Nyi, Lahu Shi, และ Lahu Sheleh ประชากร Lahu Na และ Lahu Shi ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากสองกลุ่มนี้อพยพเข้ามาในประเทศไทยจากพม่าหลังจากศาสนาคริสต์เข้ามาก่อตั้งในรัฐฉานแล้ว ทั้งสองกลุ่มนี้อพยพเข้ามาในไทยในราวๆ ปี ค.ศ. 1951 (พ.ศ.2494) ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเขาได้หันไปนับถือศาสนาคริสต์มานานแล้ว ต่อมาหลังจากปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ.2497) การสู้รบระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพม่ารุนแรงขึ้น ล่าหู่สองกลุ่มนี้ก็อพยพเข้าสู่ไทยเป็นระยะๆ คือในปี ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) ค.ศ.1964 (พ.ศ.2508) ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) และระหว่าง ค.ศ.1982-1983 (พ.ศ.2525-2626) ตามลำดับ (น.121) ส่วน Lahu Nyi และ Lahu Sheleh ส่วนใหญ่ยังนับถือกื่อชา (G'ui sha) และปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิม นักวิชาการเชื่อกันว่าล่าหู่สองกลุ่มนี้อพยพเข้ามาในประเทศไทยก่อนที่คณะเผยแพร่ศาสนาคริสต์จะเข้าไปในพม่า (น.121) |
|
Demography |
ล่าหู่ (Lahu) หรือมูเซอ (Musur) อาศัยอยู่บนที่สูงในแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนประชากรล่าหู่ทั้งหมดมีมากกว่า 668,000 คน กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ดังนี้ (น.120) ในเขตยูนนาน ประเทศจีน 411,476 คน ในรัฐฉาน ประเทศพม่า 150,000 คน ในภาคเหนือของไทย 85,845 คน ภาคเหนือของลาว 16,000 คน ภาคเหนือของพม่า 5,400 คน ในประเทศไทย ล่าหู่ส่วนมากอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า โดยเฉพาะในอำเภอเมือง อำเภอแม่จัน และกิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง และอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ประชากรล่าหู่มากกว่า 47,800 คน (น.124-125) |
|
Political Organization |
ความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนล่าหู่ที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่าต้องประสบกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต อันเนื่องมาจากการจัดตั้งกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ทั้งกลุ่มที่ต่อสู้กับรัฐบาลพม่าเพื่อเป็นอิสระปกครองตนเองและกลุ่มค้ายาเสพย์ติด รวมทั้งวิธีการต่างๆ ที่รัฐบาลไทยและพม่าต่างใช้ในการอ้างการควบคุมดินแดนและประชาชนในบริเวณนี้ (น.129) ระหว่างปี ค.ศ.1947-1987 (พ.ศ.2490-2530) ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-พม่าทำให้ล่าหู่ตามชายแดนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ต้องอยู่ท่ามกลางสงครามการสู้รบระหว่างกองกำลังกลุ่มต่างๆ ชาวบ้านไม่ได้มีชีวิตสงบสุข บางครั้งกองกำลังของกลุ่มค้ายาเสพย์ติดก็มาซื้อข้าว ไก่ หมูและอาหารจากชาวบ้าน บางครั้งชาวบ้านก็ตกอยู่ใต้การควบคุมของกองกำลังล่าหู่(Eh Bi or Ca Ui groups) บางช่วงเวลาชาวบ้านก็อยู่ภายใต้การควบคุมของก๊กมินตั๋ง (Kuomintang (KMT)) และกองกำลังของขุนส่า (Khun Sa group or MTA) และบางเวลาก็มีทหารของ WNA มาสำรวจและผ่านไป ชาวบ้านสูญเสียอาหารให้กับทหารเหล่านั้น ตลอดจนสูญเสียชีวิตและทรัพย์สมบัติด้วย ถ้าพวกเขาถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนและเป็น "สาย" ให้กับอีกฝ่าย (น.127) กองกำลังอิสระล่าหู่ (the Lahu National Liberation Army) ในปี ค.ศ.1960(พ.ศ.2503) Maw Na To bo ผู้นำทางสังคม-วัฒนธรรมล่าหู่ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลพม่าให้จัดตั้งกองกำลังชาวบ้านอาสา (Phy Thu Sit ) เพื่อป้องกันตนเองจากการเรียกเก็บเงินและการโจมตีของกองกำลังทหารไทยใหญ่ที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) ต่อมาในปี ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) นายพลเนวินทำรัฐประหารและตั้งรัฐบาลใหม่ สนับสนุนให้ชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในรัฐฉานจัดตั้งหน่วย Ka Kwe Ye (KKY) ซึ่งเป็นกองทหารอาสาสมัครรัฐบาล กองกำลังที่ Maw Na To bo ตั้งขึ้นจึงแปรรูปเข้าสู่ระบบและอยู่ใต้คำสั่งของรัฐบาลพม่า ได้รับสิทธิตั้งด่านเก็บภาษีเพื่อสนับสนุนกองกำลังของตน ในปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ.2506) หน่วยกำลังทหารล่าหู่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านของพวกเขา และยังมีบทบาทสำคัญในการสู้รบกดดันกองกำลังทหารไทยใหญ่ แต่ในปี ค.ศ.1964 (พ.ศ.2507) ความสัมพันธ์ระหว่างกองกำลังล่าหู่กับรัฐบาลพม่าก็เปลี่ยนไป กองกำลัง KKY ของล่าหู่ปฏิเสธการปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลพม่า และได้เปลี่ยนสถานภาพของกองกำลังไปเป็นกองกำลังทหารอิสระ (the Lahu National Liberation Army; LNLA) มีจุดมุ่งหมายครอบครองดินแดนเหนือเมืองตัน(Mong Ton) เมืองฮาด (Mong Hsat) เมืองยอง (Mong Yawng) เพื่อสร้างรัฐล่าหู่ (Lahu mvuh mi) กองกำลังล่าหู่ได้เปลี่ยนนโยบายและทิศทางการสู้รบรวมทั้งความร่วมมือของชาวบ้านในการสนับสนุนเป้าหมายของพวกเขา ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ แม้แต่ล่าหู่ในอำเภอพร้าว อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ก็ยังอพยพเข้าไปอยู่ในบริเวณชายแดนเพื่ออยู่ใกล้ๆกับ Maw Na To bo (น.130) ทั้งนี้ การจัดหาทุนสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของกองกำลังทหารอิสระ(LNLA) Maw Na To bo ใช้ความเชื่อเกี่ยวกับกื่อชา เรื่องบุญ (aw bon) และบาป (ven ba) เป็นเครื่องมือ โดยรวบรวมเงินจากการทำพิธีชำระบาป (pa keh ve) ให้แก่คนที่ทำผิดประเพณี (น.136) การควบคุมสังคม Maw Na To bo ได้จัดองค์กรทางสังคม-วัฒนธรรมใหม่เพื่อเผยแพร่และรักษาประเพณีล่าหู่โดย 1. กำหนดให้มีคณะบุคคล 10-20 คน ประกอบด้วย to bo, sa la, a ca, la shaw, ta la, และ ka shaw ma ให้เดินทางไปเผยแพร่คำสอนและประเพณีล่าหู่ (น.132) ธรรมเนียมประเพณีที่ล่าหู่ต้องปฏิบัติ เช่น ห้ามผิดประเวณี ผู้ชายที่แต่งงานแล้วต้องไม่ล่อลวงหญิงสาว ชายหนุ่มและหญิงสาวต้องไม่มีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน คนในชุมชนต้องมีความซื่อสัตย์ และต้องรักษาศีลในวันหยุด (น.135) 2. จัดระเบียบกองกำลังทหารอิสระล่าหู่ที่เดินทางไปยังหมู่บ้านล่าหู่ ให้สำรวจว่าผู้นำหมู่บ้าน (to bo ora daw ) หรือหมู่บ้านใดปฏิบัติตามคำสอนของกื่อชาหรือไม่ เช่น ดื่มเหล้า เล่นการพนัน กินเนื้อสัตว์ในวันหยุด ผิดประเวณี ถ้าคนใดละเมิดคำสอนก็ต้องทำพิธีชำระบาป (น.133) |
|
Belief System |
อำนาจเหนือธรรมชาติ - กื่อชา (G'ui Sha) ล่าหู่เชื่อว่ากื่อชาเป็นเทพเจ้าสูงสุด ผู้สร้างโลกและสวรรค์ มนุษย์สามารถติดต่อกับกื่อชาได้ โดยผ่านผู้นำศาสนา ซึ่งเรียกว่า "to bo" หรือ "pu cawn" หรือ "sha ca" (น.121) ล่าหู่เชื่อว่า ถ้าปฏิบัติตามหลักคำสอนของกื่อชา ก็จะไม่ต้องไหว้/บูชาผี (ne) หรือถูกผีกระทำ (น.122) ล่าหู่เชื่อว่า กื่อชากำลังมองดูการกระทำของมนุษย์ตลอดเวลา ถ้าคนใดทำผิดประเพณีแล้วไม่รู้สึกเสียใจในความผิดนั้น ไม่ว่าการทำบาปจะซ่อนในความมืด ในโลกหรือในน้ำ กื่อชาก็จะยังลงโทษพวกเขาได้ โดยทำให้ชีวิตของพวกเขามีแต่อุปสรรคและโชคร้าย ทั้งที่ร่างกายและจิตใจ เช่น เมื่อนอนหลับก็ฝันร้าย ทำงานในไร่ก็พบเสือและหมี เป็นต้น (น.135) - ไอ่มา (Ai ma) เป็นเทพเจ้าหญิงผู้สร้างโลก (น.122) - ผี (ne) เป็นวิญญาณ/ผีธรรมชาติ (spirits of nature) อยู่ในทุกหนทุกแห่ง เช่น ผีน้ำ (I ka ne) ผีภูเขา(hk'aw ne) ผีหน้าผา(ha ne) ผีฟ้าผ่า(mvuh hteh ne) ผีเป็นวิญญาณผู้ดูแล (guardian spirits) เพราะจากการศึกษาประเพณีและพิธีกรรมแสดงให้เห็นว่า ผีมีหน้าที่คล้ายกับตำรวจ คอยตรวจสอบพฤติกรรมของล่าหู่ ถ้าทำไม่ดี หรือไม่เคารพสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ เช่น ผิดประเวณี ลักขโมย หรือปัสสาวะลงแม่น้ำลำธาร การล่วงละเมิดเหล่านี้จะทำให้ถูกผีทำร้ายในวันหนึ่ง สัตว์เลี้ยงในบ้านอาจจะตายหรือสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ (น.123) ล่าหู่เชื่อว่า กื่อชาและผีแตกต่างกันที่สถานที่อยู่ กื่อชามีโลกของตนต่างหากแยกจากโลกมนุษย์ ขณะที่ผีอยู่ในโลกเดียวกันกับมนุษย์ แต่ต่างมิติกัน มนุษย์จะเห็นผีได้เฉพาะช่วงเวลาและสถานที่บางแห่งเท่านั้น (น.123) ผู้นำศาสนาหรือผู้ประกอบพิธีกรรม "to bo" หรือ "pu cawn" หรือ "sha ca" เป็นผู้นำทางศาสนา ซึ่งเชื่อว่าได้รับเลือกจากกื่อชา คนที่ได้รับเลือกเป็น "to bo" นี้ไม่สามารถปฏิเสธการเลือกได้ แต่ชาวบ้านก็อาจจะไม่ยอมรับและให้ความนับถือ to bo ถ้าเขาปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม เช่น ดื่มเหล้า สูบฝิ่น พูดไร้สาระเพ้อเจ้อ หรือไม่รักษาคำพูด ขณะที่ถ้า to bo มีจริยธรรม ชาวบ้านก็จะสร้างศาลาธรรม (bon yeh หรือ haw yeh) สำหรับทำพิธีกรรมชุมชน (น.122) ขณะที่กื่อชาเลือก to bo ไอ่มาจะเลือก ya la ve หรือ "เข้า" (possess or enter) ร่างชาวบ้านเพื่อเป็นผู้ช่วย to bo ถ้าไอ่มาเลือก "เข้า" ผู้หญิงเป็นผู้ช่วยก็เรียกว่า "ka shaw ma" แต่ถ้า "เข้า" ผู้ชายก็เรียกว่า "ta la" คนที่ได้รับเลือกนี้จะเป็นหญิงหรือชายขึ้นอยู่กับไอม่า แต่ถ้าปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ชาวบ้านก็จะไม่ให้ความนับถือได้ เมื่อไอ่มา "เข้า" คนใด ไอ่มาจะใช้ชื่อต่างกันไปตามบุคลิกลักษณะและพฤติกรรมของคนนั้นๆ เช่น ถ้าเป็นคน short-tempered จะใช้ชื่อ ai ma ca ta shi ถ้าเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะใช้ชื่อ ai ma na vi ti เป็นต้น (น.122) พิธีกรรม พิธีกรรมเกี่ยวกับโชคร้าย ล่าหู่มีการปฏิบัติเกี่ยวกับโชคร้าย 2 วิธี คือ วิธีแรก ถ้าคนนั้นมั่นใจว่าตนมีการกระทำถูกต้องเหมาะสมและเชื่อมั่นในอำนาจของกื่อชา ก็จะไปให้ ka shaw ma หรือ ta la ทำพิธีจุดเทียน (peh haw tu nyi ve) ช่วยหาสาเหตุโชคร้าย แล้วตามด้วยการทำพิธีชำระมลทิน (pa keh ve) เพื่อขออำนาจกื่อชาปกป้องคุ้มครอง ส่วนวิธีที่สอง ถ้าในหมู่บ้านไม่มี ka shaw ma หรือ ta la แต่มี maw te pa พวกชาวบ้านก็จะทำพิธีที่เรียกว่า taw the nyi ve เพื่อหาสาเหตุความเจ็บป่วย เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็จะขอให้ maw te pa ทำพิธีขมาให้ (น.123-124) พิธีก่อกองทราย หรือ sheh kaw ve เป็นพิธีที่สมาชิกทุกคนในหมู่บ้าน ผู้ชายผู้หญิง เด็กและคนแก่ร่วมกันทำ หลังจากตัดโค่นไม้และเผาไร่และเริ่มต้นปลูกข้าว พิธีนี้มีความสำคัญ 2 ประการ คือ หนึ่ง เป็นการขอพรจากกื่อชา (bon law ve) ให้พืชผลงอกงามดี ไม่ถูกแมลงทำลาย มีผลผลิตพอกินตลอดปี และสอง เป็นการขอขมาผีหรือสิ่งศักดิ์ในธรรมชาติที่ได้จุดไฟเผาไร่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายตาย (น.124) พิธีชำระมลทิน หรือ pa keh ve เป็นการขอให้กื่อชาช่วยลบล้างความผิดที่ได้กระทำ (น.124) เมื่อ Maw Na To bo รื้อฟื้นประเพณีความเชื่อล่าหู่ใหม่ เขาได้ใช้พิธีนี้เป็นเครื่องมือระดมเงินทุนสนับสนุนการดำเนินงานของกองกำลังอิสระล่าหู่ ทั้งนี้จากความเชื่อเรื่อกื่อชา บุญ (aw bon) และบาป (ven ba) และสำนึกในความผิดของตน คนที่ละเมิดประเพณีจะมาขอชำระมลทินกับ Maw Na To bo ซึ่งทำให้เขาสามารถรวบรวมเงินจำนวนมากได้ทุกวัน (น.135-136) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ Maw Na To bo ได้นำประเพณีและหลักความเชื่อล่าหู่มาใช้บริหารปกครองและเป็นเกณฑ์แสดงความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (น.130) คือ 1. สร้าง/รื้อฟื้นความคิดเชิงสัญลักษณ์ล่าหู่ (the Lahu symbolic universe) เพื่อสร้างเสถียรภาพและเอกภาพในหมู่ล่าหู่ เช่น สร้างเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ (kaw mo ti) สำหรับไหว้บูชากื่อชา ใช้ภาชนะบรรจุน้ำ (li kaw) ที่ทำจากไม้ไผ่แสดงความเคารพธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนั้น Maw Na To bo ยังสอนว่า ถ้าล่าหู่ใช้สัญลักษณ์เดียวกันในการทำพิธีกรรมหรือเป็นสิ่งที่แสดงความเคารพร่วมกัน หมู่บ้านล่าหู่ทุกแห่งก็เป็นพี่น้องกันและต้องช่วยเหลือกัน ภายใต้คำสอนพื้นฐานเหล่านี้ ล่าหู่ยังคงใช้สัญลักษณ์เหล่านั้น ซึ่งกลายเป็นอัตลักษณ์ล่าหู่ (น.131) 2. ปรับรื้อ (reconstruct) โครงสร้างทางสังคม-วัฒนธรรมเพื่อการปกครอง Maw Na To bo สอนล่าหู่ที่อยู่ในรัฐฉานในภาคเหนือของลาว และภาคเหนือตอนบนของไทยให้ไหว้บูชากื่อชา ฟังคำสอนของเขาและปฏิบัติตามประเพณีล่าหู่ (chaw li va li) เช่น ใช้ aw hpeu พร้อมดอกไม้ 5 ดอกในพิธีแสดงความเคารพ สร้างวัดของหมู่บ้านซึ่งเรียกว่า haw yeh (น.132) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนศาสนาความความเชื่อ หลังจากวิลเลียม ยัง (William M. Young) เริ่มเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ล่าหู่แถบ Kengtung เมื่อปี ค.ศ.1901 (พ.ศ. 2444) ล่าหู่จำนวนหนึ่งได้หันมานับถือศาสนาคริสต์และเริ่มเผยแพร่คำสอนไปในหมู่ล่าหู่กลุ่มอื่น รวมถึงกลุ่มที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่าด้วย การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทำให้เกิดการแบ่งกลุ่มล่าหู่ออกเป็น 2 กลุ่ม (น.128) คือ 1. กลุ่มล่าหู่คริสต์(Christian Lahu) กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า "bon ya" หมายถึง คนของพระเจ้า 2. กลุ่มที่ยังคงความเชื่อดั้งเดิม ล่าหู่กลุ่มคริสต์เรียกกลุ่มนี้ว่า "law ki ya" หมายถึง คนป่าหรือล้าหลัง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ผู้เขียนเห็นว่า การดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ล่าหู่ก่อให้เกิดการแบ่งโครงสร้างทางสังคม-วัฒนธรรม 3 ส่วน คือ 1. ส่วนที่เป็นประเพณีและศาสนา ซึ่งในขณะที่ Maw Na To bo ยังมีชีวิต มี 2 ระดับ ได้แก่ ระดับกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมี Maw Na To bo เป็นผู้นำสูงสุด และระดับหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมีผู้นำทางศาสนาหลายตำแหน่ง มีลำดับดังนี้ to bo, ta la, sha la,a ca และ la shaw งานของผู้นำเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับการสอนจริยธรรมและประเพณี (น.133) 2. ส่วนที่เป็นการบริหารปกครองและการเมือง Maw Na To bo แบ่งส่วนการปกครองออกเป็น 5 ระดับแต่ละระดับมีผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เข้าพิธีรับ a ya deh ผู้นำเหล่านี้มีชื่อเรียกตำแหน่งดังนี้ - teh taw nyi เป็นผู้นำสูงสุดของกลุ่มชาติพันธุ์ล่าหู่ - caw fa เป็นผู้ปกครองระดับเมือง ได้รับการแต่งตั้งจาก teh taw nyi - hpa ya เป็นปกครองระดับอำเภอ ได้รับการแต่งตั้งจาก caw fa - shehn lon เป็นผู้ปกครองระดับตำบล ได้รับการแต่งตั้งจาก hpa ya - a daw เป็นผู้ปกครองกลุ่มหมู่บ้าน ต้องได้รับ a ya deh จาก Maw Na To bo หรือ caw fa และได้รับเทียนขี้ผึ้งศักดิ์สิทธิ์(peh daw)จากผู้นำศาสนา แต่ถ้าผู้ปกครองกลุ่มหมู่บ้านไม่ได้รับ a ya deh จะเรียกว่า hk'a sheh hpa (น.133-134) 3. ส่วนที่เป็นการทหาร ได้แก่ กองกำลังทหารอิสระ มีบทบาทสำคัญในการปกครองและบริหารจัดการล่าหู่ ถ้าชาวบ้านคนใดไม่ปฏิบัติตามประเพณีล่าหู่ หรือถ้าผู้นำล่าหู่ไม่เข้าร่วมและให้การสนับสนุนการปฏิบัติการขององค์กรล่าหู่ กองกำลังก็จะล้อมหมู่บ้านเพื่อให้บทเรียน (น.135) |
|
Other Issues |
ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-พม่า ระหว่างปี ค.ศ.1947 ถึง 1987 (พ.ศ.2490-2530) บางแห่งเป็นฐานที่มั่นของพ่อค้ายาเสพย์ติด บางแห่งเป็นเขตยึดครองของกองกำลังทหารชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย กองกำลังเหล่านี้จัดตั้งขึ้นตามนโยบายการเมืองและการบริหารของรัฐบาลพม่า แม้จะไม่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลกลาง แต่ก็ได้รับอนุญาตให้ตั้งด่านเก็บภาษีการค้าวัว ควาย หมูและสินค้าอื่นๆ เพื่อสนับสนุนกองกำลังของตน บางครั้งกองกำลังเหล่านี้ก็ได้รับการว่าจ้างให้คุ้มกันกองคาราวานค้ายาเสพย์ติด หรือไม่ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพย์ติดเอง เช่น กองกำลังขุนส่า (Khun Sa) หรือกองกำลังจิมมี่ ยัง (Jimmy Young) ในเขตประเทศไทย แม้จะไม่ได้เป็นฐานที่ตั้งของกองกำลังชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย แต่พื้นที่บางแห่งก็เป็นสนามสงครามระหว่างกองกำลังต่างๆ ขณะที่บางแห่งก็มีบางกลุ่มตั้งบ่อนการพนันและโรงงานผลิตยาเสพย์ติดขนาดเล็ก ในปี ค.ศ.1986 (พ.ศ. 2529) เกิดความตึงเครียดระหว่างกองกำลังต่างๆ รัฐบาลไทยจึงสร้างถนนเพื่อความมั่นคงตามแนวชายแดน และกดดันกองกำลังเหล่านั้นเพื่อให้กลับคืนฐานที่มั่น หรือปลดอาวุธ หรือให้เป็นพลเมืองไทยหรือให้อยู่ในประเทศไทยในฐานะผู้อพยพจากพม่า ส่วนกลุ่มที่ปฏิเสธการปลดอาวุธและกลับฐานที่มั่นจะถูกผลักดันให้ออกนอกเขตประเทศไทย ปัจจุบันแม้ว่ากองกำลังชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยจะมีฐานที่มั่นอยู่นอกเขตแดนไทย แต่ก็ยังมีการติดต่อกับญาติพี่น้องที่อยู่ในไทย (น.125-126) |
|
|