สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้งขาว,การเปลี่ยนแปลง,การจำแนกตัวเองทางชาติพันธุ์,เชียงใหม่
Author Nicholas C. T. Tapp
Title Categories of Change and Continuity among the White Hmong (Hmoob Dawb) of Northern Thailand
Document Type Ph.D. Dissertation Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 421 Year 2528
Source Thesis submitted in partial fulfillment of the requirements for the Degree of PhD in the Department of Anthropology, School of Oriental and African studies, University of London.
Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาการไม่ถูกกลืนกลายของม้ง ( the non-assimilation of Hmong) ในบริบทของประเทศไทย(บทที่ 1-4) ประเทศจีน (บทที่ 5-8) และต่างประเทศ (บทที่ 9) การเล่าประวัติศาสตร์ม้ง (the oral account of Hmong history) เป็นการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ของหมู่บ้าน และเป็นการแสดงทัศนคติปัจจุบัน ซึ่งผู้ศึกษาหวังว่าวิทยานิพนธ์ฉบับนี้จะนำไปสู่ความคิดใหม่ๆ เรื่องตำแหน่งแห่งที่ของประวัติศาสตร์ (the place of history) ในสาขามานุษยวิทยา กล่าวคือ สำนึกทางประวัติศาสตร์ที่ใช้ตัดสินหรือประเมินเหตุการณ์ปัจจุบันใหม่อย่างสม่ำเสมอและยืดหยุ่น โครงสร้างชุมชนม้งขาวที่ศึกษานี้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองและศาสนาความเชื่อเป็นตัวกำหนดชุมชน เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จำกัดกรอบความคิดของชาวบ้าน (บทที่1-3) ผู้ศึกษาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองและศาสนาความเชื่อมองเห็นได้จากความคิดคู่ตรงข้ามกันระหว่าง "ประชาชน" (ม้ง) กับ "รัฐ" (จีน) รวมทั้งการวิเคราะห์เรื่องเล่าตำนานในหมู่บ้าน ผู้ศึกษาเห็นว่า ตำนานที่อ้างว่าตัวอักษรม้งสูญหายไปเพราะคนจีน มีความสัมพันธ์กับเรื่องเล่าเกี่ยวกับกษัตริย์ม้งที่ยังคงกระตุ้นการเกิดกระบวนการผู้มีบุญ (messianic uprisings) ขณะเดียวกันผู้ศึกษาก็สำรวจระบบความคิดทำเลที่ตั้งในรูปของเรื่องเล่าความขัดแย้งกับจีนโดยใช้กรณีศึกษาในพื้นที่สำรวจ (บทที่ 7) และสำรวจระบบเครือญาติและกลไกในการรวมสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น (บทที่ 8) ผู้ศึกษานำความคิด "ประวัติศาสตร์แท้จริง" ('real' history) มาใช้และสรุปว่า ม้งแยกตนเองจากกลุ่มที่มีอำนาจโดยการใช้คำและสัญลักษณ์ของกลุ่มที่มีอำนาจ และในบทที่ 9 ผู้ศึกษายังสำรวจปัญหา "การผสมผสานวัฒนธรรม" ('acculturation') ในกลุ่มม้งอพยพ ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ถูกตีความหมายด้วยประเพณีการเล่าเรื่อง (น.2 -abstract)

Focus

วิธีและความคิดที่ม้งขาวใช้จำแนกตนเองในทางชาติพันธุ์ และเน้นที่ความคิดเรื่องทำเลที่ตั้ง (geomancy) ความเชื่อเรื่องผู้มีบุญ(messianism) และการมีตัวหนังสือ (literacy)

Theoretical Issues

Tapp นำความคิด "สภาวะการเป็น" (a specific, phenomenological notion of temporality) มาวิเคราะห์สังคมโดยการวิเคราะห์เนื้อเรื่อง (a 'textual' kind of analysis) ซึ่งได้แก่ เรื่องเล่าตำนาน ทั้งนี้เขาได้หลีกเลี่ยงจุดอ่อนของการศึกษาแบบโครงสร้าง (a purely structuralist approach) ด้วยการเชื่อมโยงลักษณะของความขัดแย้งที่เป็นแก่นของเรื่องกับระบบ(the kind of thematic and systematic oppositions) ที่เห็นได้ในตำนาน และความขัดแย้งกับคู่ตรงกันข้าม (oppositions and contradictions) ที่ปรากฏอยู่ในหมู่บ้าน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ (น.8) Tapp มองเรื่องเล่า (dab neeg หรือ legend) ว่า เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตจริง (a real, lived history) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ข้อเท็จจริง (น.372-373) เขาให้นิยาม a 'real' history ว่า เป็นประวัติศาสตร์เชิงประสบการณ์ (an experienced one)ที่ถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งและมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ประวัติศาสตร์แบบนื้จะปรากฏในบริบทของการปะทะหรือปฏิสัมพันธ์กันระหว่างการไม่เห็นด้วยกับ 'ข้อเท็จจริง' ทางประวัติศาสตร์ (historical 'facts') และความขัดแย้งระหว่างประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวหนังสือกับการบอกเล่า (conflicts between literate and oral accounts of specific 'histories') (น.11) การพิจารณาอดีตตามทรรศนะของม้ง เป็นการพิจารณาโลกแห่งศักยภาพ (a realm of the potential) มากกว่าโลกที่ได้เป็นมา(the 'has-been') หรือโลกที่อาจจะเป็น (the 'might-have'been') มากกว่าโลกที่เคยเป็น (the 'was') ซึ่ง Tapp เห็นว่าในอดีตไม่ว่าพวกม้งจะมีจักรพรรดิหรือไม่ ได้ควบคุมแผ่นดินจีนหรือไม่ และมีตัวอักษรของตนเองหรือไม่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่เขาสนใจคือ ลักษณะเงื่อนไขของคำพูดที่ส่งผลกระทบต่อการกระทำ นั่นคือ สิ่งจดจำกันมาว่า "ถ้ามันไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เราก็คงจะมีสิ่งนั้น" ซึ่งมีความหมายเท่ากับ "เราเคยมีสิ่งนั้น แต่เพราะว่าสิ่งนี้ เราจึงไม่มีสิ่งนั้น" (น.269,396)

Ethnic Group in the Focus

ม้งขาว ในจังหวัดเชียงใหม่ (น.12)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้งอยู่ในสาขา Miao-Yao family ตระกูล Sino-Tibetan ภาษาม้งมีวรรณยุกต์ 8 เสียง ได้แก่ สูง (high) สูง-ตก (high falling) กลาง (mid) กลาง-ขึ้น (mid rising) ต่ำ (low) low heavily gutturalised, lowest glottally stopped และ low rising โดยมีอักษรโรมันแสดงเสียงวรรณยุกต์ที่ท้ายคำ ได้แก่ -b, -j, -, -v, -s, -g, -m, และ -d ตามลำดับ (น.34) เดิมภาษาม้งไม่มีตัวหนังสือเขียนของตนเอง ต่อมามิชชันนารีที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาในประเทศจีนได้นำอักษรโรมันมาใช้เขียนภาษาม้ง ม้งให้ความสำคัญกับตัวหนังสือ ดังปรากฏในเรื่องเล่าเกี่ยวกับการสูญหายของตัวหนังสือว่า การไม่มีตัวหนังสือทำให้ม้งต้องทำงานในไร่นา อยู่ใต้อำนาจของจีนและไม่มีเขตแดนของตนเอง (น.258-263)

Study Period (Data Collection)

เมษายน ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524) - ตุลาคม ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525)

History of the Group and Community

การต่อสู้กันระหว่างม้งกับจีนทำให้มีม้งจำนวนหนึ่งอพยพหนีออกจากประเทศจีนลงมาทางใต้ ซึ่งมี 2 ช่วง คือ การสู้รบระหว่าง ค.ศ. 1733-1737 และระหว่าง ค.ศ.1795-1806 ในช่วง ค.ศ. 1800 ม้งจำนวนมากก็เดินทางมาถึงยูนนาน (Yunnan) และ ค.ศ. 1860 ก็เข้าสู่ตังเกี๋ย (Tonkin) และลาว (น.31) และเริ่มเข้ามาประเทศไทยหลังปี ค.ศ. 1850 (พ.ศ. 2359) (น.30) ม้งในบริเวณพื้นที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นลูกหลานม้งที่เข้ามาประเทศไทยรุ่นแรกๆ โดยเข้ามาแถวบริเวณชียงของตามแนวชายแดนประเทศลาว และเลาะสันเขาตามแนวชายแดนพม่าเข้าประเทศไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ (น.31) บ้าน Nomya ตั้งมานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยกลุ่มสายตระกูล Yaj เป็นผู้เข้ามาก่อตั้งก่อน ต่อมาเมื่อลูกสาวตระกูล Yaj แต่งงานกับชายหนุ่มสายตระกูล Vaj จึงได้มีคนในตระกูล Vaj เข้ามาตั้งบ้านเรือนในหมู่บ้าน และเมื่อประมาณ 5-7 ปีก่อนก็มีม้งสายตระกูล Xyooj หนีโรคภัยไข้เจ็บและโชคร้ายจากที่อยู่เดิมเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านด้วย (น.36-37)

Settlement Pattern

ม้งมักตั้งบ้านเรือนบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 ฟุต (น.28) บ้านม้งเป็นพื้นติดดิน ไม่ยกพื้นสูงเหมือนเรือนไทย มุงหลังคาด้วยใบสักหรือใบหญ้า ถ้าบ้านใดฐานะดีก็อาจจะมุงหลังคาสังกะสี บ้านที่ฐานะยากจนอาจจะปลูกด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง หมู่บ้านหนึ่งอาจจะมีสมาชิก 7-15 ครัวเรือน ปกติหมู่บ้านจะตั้งบ้านเรียงกันเป็นรูปเกือกม้า อยู่ต่ำกว่ายอดเขา มีแนวป่าบังและอยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรืออาจจะใช้ไม้ไผ่ทำเป็นท่อน้ำต่อลงมายังหมู่บ้าน ใกล้หมู่บ้านปลูกกล้วย ต้นท้อหรือต้นไผ่ ตามไหล่เขาปลูกสมุนไพร บริเวณรอบตัวบ้านจะมียุ้งหรือฉางไม้ยกพื้นสูงเพื่อป้องกันหนู และมีคอกสัตว์ (น.30)

Demography

ม้งในประเทศไทยมี 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ม้งเขียว (Green Hmong) กับม้งขาว (White Hmong) ทั้งสองกลุ่มมีประเพณี การแต่งกายและภาษาถิ่น (dialect) ต่างกัน ปกติทั้งสองกลุ่มจะตั้งบ้านเรือนแยกหมู่บ้านกัน ประชากรม้งทั้งสองกลุ่มในประเทศไทยรวมกันแล้วมีประมาณ 80,000 คน (น.31) ม้งบ้าน Nomya มีจำนวนครัวเรือน 27 ครัวเรือน เป็นเมี้ยน (เย้า) 1 ครัวเรือน ขมุซึ๋งแต่งงานกับหญิงม้งตระกูล Yaj ในหมู่บ้าน 1 ครัวเรือน ที่เหลือ 25 ครัวเรือนเป็นม้งตระกูล Yaj, Vaj และ Xyooj (น.36)

Economy

ม้งเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอย พืชหลักที่ปลูกมี 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวไร่สำหรับบริโภค ข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ และฝิ่น ขณะเดียวกันก็ปลูกพืชจำพวกน้ำเต้า ผักกินใบ ถั่วและพืชหัวผสม (intercrop) กับพืชหลัก ส่วนธัญพืชอื่น เช่น ข้าวฟ่าง งาจะปลูกในแปลงเล็กๆ นอกจากนั้นยังปลูกต้นกัญชง (Indian hemp) สำหรับใช้เส้นใยทอผ้าด้วย การเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอยนี้ เมื่อดินหมดความอุดมสมบูรณ์ก็จะถูกละทิ้ง แล้วถางป่าแห่งใหม่เพื่อเพาะปลูก ซึ่งทำให้ชาวบ้านต้องย้ายไปอยู่ในที่แห่งใหม่ตามไปด้วย (น.28-29) Tapp เห็นว่า ลักษณะการเพาะปลูกแบบนี้ทำให้ม้งบ้าน Nomya เผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมโดยเริ่มจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่การปลูกฝิ่นซึ่งเป็นพืชเงินสดสำคัญสำหรับการดำรงชีพสำหรับม้งถูกรัฐบาลประกาศว่าผิดกฎหมายฝิ่นในปี ค.ศ. 1958-1959 (พ.ศ.2501-2502) ทั้งในแง่การปลูก การบริโภคและการขาย และในปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) รัฐบาลก็เริ่มดำเนินโครงการพัฒนาชาวเขา โดยมีวัตถุประสงค์ 4 ประการ (น.65) คือ 1.เพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าและแหล่งทรัพยากรต้นน้ำลำธาร 2.เพื่อให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่น 3.เพื่อพัฒนาสภาพเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขา 4.เพื่อให้ชาวเขารู้สึกจงรักภักดีต่อชาติ Tapp ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างในการพัฒนาว่า การขาดแคลนข้าวของม้งในประเทศไทยทำให้ม้งปลูกฝิ่นเป็นพืชเงินสด (น.91) เขากล่าวว่า เศรษฐกิจการเพาะปลูกแบบผสมของม้งมิได้เป็นการปลูกฝิ่นเป็นพืชเงินสดหรือปลูกข้าวเป็นอาหารหลัก และการขาดแคลนข้าวในหมู่บ้านก็ไม่ได้เป็นเครื่องหมายของการใช้เศรษฐกิจแบบยังชีพดั้งเดิม (the exploitation of a traditional subsistence economy) ทั้งนี้เพราะว่า แต่เดิมข้าวเป็น 'อาหารพิเศษ' ('special' food) ของม้ง ข้าวไม่ใช่ทั้งอาหารหลักและพืชหลักในการเพาะปลูกของม้ง (น.89-90) ทั้งนี้ มีหลักฐานว่า ม้งชอบกินข้าวโพดมากกว่า ขณะที่ม้งในลาวเปลี่ยนจากกินข้าวโพดมากินข้าวหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว และในประเทศไทยข้าวกลายเป็นอาหารหลักของม้งตั้งแต่คริสตทศวรรษ 1920 ดังนั้นในอดีตข้าวจึงไม่ได้เป็นอาหารหลักในถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของม้ง การนำการขาดแคลนข้าวในประเทศไทยไปผูกกับการปลูกฝิ่นเป็นพืชเงินสดจึงไม่ถูกต้องในเชิงประวัติศาสตร์ นอกจากท้องที่พิเศษมากๆ แล้ว การปลูกข้าวไม่พอเพียงมักเกิดขึ้นเสมอในที่สูง ด้วยเหตุนี้การปลูกหรือผลิตสินค้าหายากในพื้นที่ราบและสามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งของที่ถือว่าฟุ่มเฟือยบนที่สูงจึงได้รับความสนใจ (น.91-92) ปฏิทินการเพาะปลูกบ้าน Nomya นับเดือนแบบจันทรคติ (น.92) เดือนอ้าย-เดือนยี่ กรีดฝิ่น 'hlais yeeb' เดือนสาม-เดือนสี่ เตรียมพื้นดินและกำจัดวัชพืช 'luaj teb tsuam quav nroj' รวมทั้งเผาป่า 'hlawv teb' เดือนห้า ปลูกข้าวและข้าวโพด 'cog nplej cog pobkwm' เดือนหก ขุดข้าวโพด 'nthua pobkwm' เดือนเจ็ด ขุดถางไร่ 'ncaws teb' เดือนแปด หว่านฝิ่น 'tseb yeeb' และกำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น 'dob yeeb ' เดือนเก้า-เดือนสิบ กำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น 'dob yeeb yuav' เดือนสิบเอ็ด เริ่มเกี่ยวข้าว 'yuav pib hlais nplej' เดือนสิบสอง เกี่ยวข้าวเสร็จ ฉลองสิ้นปี 'hlais nplej tag noj peb caug' สำหรับการเก็บข้าวโพดนั้นไม่ได้ระบุเดือน เพราะต้องทำก่อนหรือระหว่างการหว่านเมล็ดฝิ่น (น.92)

Social Organization

สังคมม้งนับญาติข้างพ่อ แบ่งกลุ่มตามสายตระกูล ซึ่งเรียกว่า "xeem " กลุ่มผู้สืบสายตระกูลแต่ละกลุ่มจะแยกกันตามการทำพิธีกรรมที่ต่างกัน โดยเฉพาะพิธีศพ การแต่งงานนิยมกระทำในกลุ่มญาติลูกพี่ลูกน้องโดยหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน ถ้าพี่ชายตาย น้องชายจะแต่งงานกับภรรยาของพี่ชาย (น.32)

Political Organization

ความขัดแย้งทางการเมือง การต้องเลือกระหว่างความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์กับการสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยทำให้ม้งประสบกับสภาวะการขัดแย้งทางการเมือง (น.158) ครั้งแรกที่ม้งในจังหวัดเพชรบูรณ์ติดต่อกับม้งที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศลาวเกิดขึ้นในช่วงต้นคริสตทศวรรษ 1960 โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจนโยบายของตำรวจท้องถิ่นหลังจากการออกกฎหมายฝิ่น ค.ศ. 1958-1959 (พ.ศ.2501-2502) (น.160) ขณะที่โครงการที่รัฐเข้าไปดำเนินการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชอื่นทดแทนการปลูกฝิ่น ก็ผลักดันให้ม้งเข้าไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองมากยิ่งขึ้น (น.170) ในปี ค.ศ.1961-1963 (พ.ศ.2504-2506) มีข่าวลือเรื่องว่ามีกษัตริย์ม้งถือกำเนิดขึ้นมา และบอกต่อๆ กันว่าให้ผู้นับถือไปรวมกันที่ถ้ำในอำเภอเทิง (Theung) จังหวัดเชียงราย ที่นั่นเมล็ดข้าวหนึ่งเมล็ดจะกลายเป็นข้าวแสนเมล็ด มีเงินและทองจำนวนมากให้ทุกคน ทุกคนจะเท่าเทียมกัน และไม่ต้องทำงานเลี้ยงชีพ (น.172)

Belief System

ความเชื่อเรื่องทำเลที่ตั้ง (geomancy) ม้งเชื่อว่าภูมิประเทศที่ตั้งหมู่บ้านและหลุมศพมีผลต่อการดำเนินชีวิตของตน หลักสำคัญของระบบทำเลที่ตั้งคือ จากจุดสูงสุด (the point of view) ของเทือกเขาหลัก จะมีเทือกเขา 2 ลูกทอดขนาบข้าง ฝั่ง "ซ้าย" ด้านทิศตะวันออกหมายถึงผู้ชาย ฝั่ง "ขวา" ด้านทิศตะวันตกหมายถึงผู้หญิง สิ่งสำคัญคือ เทือกเขาที่เป็นตัวแทนผู้ชายจะต้องสูงกว่าเทือกเขาที่เป็นตัวแทนผู้หญิง เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหลานของผู้ชาย เส้นแนวสันเขาของเทือกเขาหลักถือว่าเป็นทางเดินลมหายใจมังกร เรียกว่า "เส้นเลือดมังกร" -'loojmem' บริเวณปลายเทือกเขาหลักตามแนวสันเขาจะมีแอ่งน้ำเรียกว่า "บ่อน้ำมังกร" - 'lub pas zaj' ม้งเชื่อว่าหลุมศพที่ดีจะต้องอยู่ในบริเวณแนวเส้นเลือดมังกร การทำพิธีฝังต้องเป็นเวลาบ่ายในช่วงเวลาเสือ เพราะเป็นเวลา "เข้มแข็ง" (a 'strong' time) จะไม่ทำพิธีในช่วงเวลาไก่ ซึ่งเป็นเวลา "อ่อนแอ" ปกติมังกรจะบินออกจากบ่อน้ำตอนกลางคืนและกลับมาตอนกลางวัน เนื่องจากเวลาของโลกมนุษย์กับโลกแห่งวิญญาณจะตรงกันข้าม ขณะที่เวลาเย็นของมนุษย์เป็นเวลาเช้าของวิญญาณ ส่วนเวลาเช้าของมนุษย์ก็เป็นเวลาเย็นของวิญญาณ วิญญาณคนตายจึงต้องเดินทางไปกับมังกรตามเวลาเช้าของโลกวิญญาณ เพื่อจะได้เกาะมังกรได้ก่อนที่มันจะบินออกไปในตอนกลางคืน วิญญาณคนตายจะขี่มังกรไปยังสถานที่ที่จะเกิดใหม่ (น.304-305) ม้งเชื่อว่า ถ้าใครฝังศพในทำเลที่ตั้งที่ดีเช่นนี้ วิญญาณบรรพบุรุษส่วนหนึ่งจะเดินทางไปถึงทะเลสาบมังกรได้ และจะได้เป็นกษัตริย์ในสรรค์ เมื่อพ่อเป็นกษัตริย์ในสวรรค์ ลูกชายก็จะได้เป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์ (น.309)

Education and Socialization

โรงเรียน Tapp เห็นว่าการสร้างโรงเรียนประถมศึกษาซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของโครงการพัฒนาชาวเขา ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ เช่น ชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับความคิดเรื่องโรงเรียน เพราะทำให้คนนอกเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน โรงเรียนได้ดึงเอาเด็กๆ ออกไปจากไร่นาในยามที่พ่อแม่ต้องการความช่วยเหลือในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว และยังดึงพวกเด็กๆ ออกจากการเล่นและเกมที่เป็นประเพณีม้ง (น.75-76) ทั้งนี้ Tapp เห็นว่า จุดมุ่งหมายซ่อนเร้นของโรงเรียนนอกระบบคือ เพื่อบูรณาการผสมผสานกลืนและทำลายวัฒนธรรมที่ต่อต้านรัฐ และเพื่อกีดกันวัฒนธรรมที่เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของชาวเขา (น.77)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

เรื่องเล่าทำไมม้งไม่มีตัวหนังสือ นานมาแล้ว ทุกคนเดินทางและข้ามแม่น้ำใหญ่ ขณะข้ามแม่น้ำคนจีนและคนอื่นๆ เอาหนังสือของพวกเขาเทินไว้บนศีรษะ แต่พวกม้งกลัวหนังสือเปียก และหิว จึงพากันกินหนังสือจนหมด เพราะฉะนั้นคนม้งจึงมีความฉลาดอยู่ภายในใจ และจำสิ่งต่างๆ จากภายในใจมิใช่ตัวหนังสือ (น.261) ตำนานเรื่องกษัตริย์ม้งและ Tswb Tchoj นานมาแล้ว เมื่อครั้งที่ม้งยังอยู่ในประเทศจีน แม่ม่ายคนหนึ่ง ได้ให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเมื่อโตขึ้นได้เป็นจักรพรรดิ(Huab Tais) และก็มีชาวจีนคนหนึ่งเดินทางมาค้นหาเส้นเลือดมังกร (loojmem) เพื่อฝังศพแม่ของเขาที่เพิ่งเสียชีวิต เขามาถึงทะเลสาบแห้งๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งซินแสจีนบอกเขาว่าเป็นสถานที่ดีที่สุด เป็นที่ที่เส้นเลือดมังกรและกษัตริย์ในโลก (the Earth King) มาบรรจบกัน ซินแสบอกให้ชาวจีนคนนั้นเอาไม้เท้าปักค้างคืนไว้ แล้วกลับมาใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อดูว่ามีน้ำค้างบนปลายไม้หรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นมงคล แต่เด็กชายม้งแอบได้ยินข้อความที่ทั้งสองพูดกัน เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนไก่ขัน เด็กชายม้งไปที่ทะเลสาบเห็นน้ำค้างเกาะบนปลายไม้ ก็เอาน้ำค้างออกจากไม้ ดังนั้นเมื่อชาวจีนมาดูไม้เท้าที่ปักไว้จึงไม่พบน้ำค้างบนไม้ เขาจึงกลับไปแล้วก็กลับมาอีกในเช้าวันที่สองและวันที่สาม แต่ก็ไม่พบน้ำค้างบนปลาบไม้ เพราะเด็กชายม้งแอบมาเอาน้ำค้างออกจากไม้ก่อนที่เขาจะมาถึง เขาจึงคิดว่าสถานที่แห่งนั้นไม่เหมาะสมกับการฝังศพ ด้วยเหตุนี้ชาวจีนคนนั้นจึงไม่ได้เป็นกษัตริย์ (Vaj) แต่ชาวจีนคนนั้นเป็นคนโหดร้ายและหยิ่งทะนง พวกเขาจึงพยายามหลอกล่อเด็กชายม้งที่เป็นจักรพรรดิ และในที่สุดก็ฆ่าเด็กคนนั้นตาย ต่อมามีเด็กชายม้งอีกคนหนึ่งเกิดมาและได้เป็นจักรพรรดิ ปกครองแผ่นดินได้ไม่นาน เพียงแค่ 40-50 ปีเท่านั้น เพราะไม่มีความอดทน ชาวจีนที่พ่ายแพ้สงครามได้มาขอความช่วยเหลือจากเด็กชายม้งที่เอาน้ำค้างออกจากไม้เท้า เด็กชายม้งได้ดึงไม้เท้าของคนจีนออกก็เห็นว่าในทะเลสาบแห้งแห่งนั้นมีร้านค้าร้านหนึ่ง มีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่ในนั้นและของมีค่าอีกจำนวนมาก เขาจึงไปบอกแม่ของเขาแล้วชวนให้มาดู เมื่อมาถึงเขาบอกให้แม่นั่งบนโต๊ะ แล้วเขาก็วนรอบโต๊ะ แม่ของเขาก็ถูกโยนเข้าไปในป่าหญ้าและหายไปอยู่ข้างใต้ต้นหญ้า ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากสวรรค์ว่า เขาฝังแม่ตัวเองทั้งเป็น ดังนั้นเขาจะปกครองแผ่นดินเพียง 70 ปี เด็กชายม้งไม่ได้ปกครองแผ่นดินในทันที และขณะนั้นเกิดสงครามไปทั่ว เด็กชายม้งได้แต่ทำงานในไร่ของตนเท่านั้น เนื่องจากเขาไม่มีความอดทน คิดว่าสวรรค์โกหก เขาจึงยิงธนู แล้วยิงลูกศรขึ้นไปบนสวรรค์ ทำให้โลกและสวรรค์สั่นสะเทือน ชาวจีนทุกคนรู้เรื่องการกระทำของเขา จึงพากันมาขอให้เขาช่วยทำสงคราม เด็กชายม้งจึงส่งทหารทั้งหมดของเขาออกไปช่วย และแผ่นดินก็ปลอดภัย แต่เพราะว่าเขาไม่มีความอดทน จึงปกครองแผ่นดินได้ไม่นาน ต่อมามีเด็กชายม้งคนหนึ่งชื่อ Tswb Tchoj มีแม่เป็นคน มีพ่อเป็นหมู เขามีพี่ชายชื่อ Tswb Xyos Tuam ทุกวัน Tswb Tchoj จะจับแรดมาขี่ และก็มีชาวจีนคนหนึ่งมาค้นหาเส้นเลือดมังกรเพื่อฝังศพแม่ของเขา แต่ที่แห่งนั้นมีแรดใหญ่ดุร้ายเฝ้าอยู่ จึงไม่มีใครกล้าเข้าในที่แห่งนั้น คนในแถบนั้นบอกว่าไม่มีใครจับแรดตัวนี้ได้ ยกเว้น Tswb Tchoj เด็กชายกำพร้ายากจน หลังจากที่ชายชาวจีนเฝ้าดูเด็กชายม้งขี่แรด เขาก็กลับบ้านจัดงานศพแม่ของเขา และเผากระดูกแม่จนเป็นเถ้า แล้วเอามาทำขนม ขณะที่เด็กชายม้งก็กลับไปถามแม่ว่าพ่อตนเป็นใคร เมื่อทราบว่าพ่อเป็นหมูและถูกฝังอยู่ใกล้บ้าน จึงไปขุดเอากระดูกหมูมาเผาแล้วนำไปทำขนม (flour-cake) ส่วนชาวจีนคนนั้นเมื่อกลับมาก็ได้ขอ Tswb Tchoj ให้นำขนมที่ทำจากกระดูกของตนไปให้แรดกิน แต่ Tswb Tchoj กลับเอาขนมที่ทำจากกระดูกหมูที่เป็นพ่อของตนเองให้แรดกินแทน ตอนแรกแรดไม่ยอมกินขนมของ Tswb Tchoj มันจะอ้าปากก็ต่อเมื่อเขาเอาขนมของคนจีนให้เท่านั้น เพราะว่าขนมนั้นทำจากกระดูกคน ไม่ใช่กระดูกหมู Tswb Tchoj จึงเอาขนมคนจีนให้ก่อน เมื่อแรดอ้าปากแล้ว เขาก็โยนขนมของเขาเข้าปากแรดแทน แต่แรดก็คายขนมออกไม่ยอมให้ขนมลงไปในท้อง เป็นเช่นนี้ถึงสองครั้ง ครั้งที่สาม Tswb Tchoj จึงตีข้างลำตัวแรดเพื่อให้ขนมลงท้อง แล้วทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็มืด ความมืดปกคลุมไปทั่ว แผ่นดินไหวสะเทือน แล้วคนจีนก็ประกาศว่า Tswb Xyos เป็นกษัตริย์ ปกครองแผ่นดินนาน 10,000 ปี แต่แม่ของเด็กชายพูดขึ้นมาในเวลาไม่เหมาะสมว่า ลูกของตนจะเป็นกษัตริย์ Tswb Xyos จึงตาย อย่างไรก็ตาม เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกตามคำทำนายแล้วได้ปกครองแผ่นดิน แต่คนจีนก็ไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น (น.277-279) เรื่องพี่น้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมังกร นานแสนนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่ม้งอาศัยอยู่ในดินแดนจีน เวลานั้นทั้งม้งและจีนยากจนมาก ทุกคนชอบทำดีและทำแต่สิ่งดีๆ ทุกคนต้องการเป็นคนดีและคนแข็งแรง พวกเขาจึงค้นหาสถานที่ดีที่สุดเพื่อฝังพ่อแม่ แล้วชายคนหนึ่งก็พบสถานที่ดังกล่าว เมื่อพ่อแม่ของเขาตาย เขาทำพิธีฝังศพให้พ่อแม่ 3 ปี วิญญาณแห่งโลกและสวรรค์บอกให้ดาวดวงหนึ่งลงมายังโลก สั่งสอนสิ่งต่างๆ ให้แก่ทุกคน ดาวดวงนี้กลายเป็นมนุษย์ผู้ชาย คนจีนเรียกชื่อว่า Khoo Meej เขาสอนว่าในโลกและสวรรค์มีที่ที่เข้มแข็ง มีพลัง - 'zog' และที่ที่อ่อนแอ ไม่มีพลัง -'khwv' ทั้งที่ที่มีเข้มแข็งและอ่อนแอจะอยู่ในหุบเขา ด้านขวามือเป็นที่อ่อนแอ ด้านซ้ายมือเป็นที่เข้มแข็ง ไม่ว่าเราจะเลือกหุบเขาไหน ก็จะมีทั้งที่ที่อ่อนแอและเข้มแข็ง ณ จุดระหว่างภูเขา 2 ลูก ภูเขาด้านขวามือเรียกว่า 'Pem Hwv ' หมายถึง เสือขาว (the White Tiger) ภูเขาด้านซ้ายมือเรียกว่า 'Xeeb Looj' หมายถึง มังกร(the Azure Dragon) เมื่อจะตั้งหมู่บ้าน ต้องรู้สถานที่ตั้งของมังกรและต้องรู้วิธีค้นหามังกร เมื่อพี่ชายน้องชาย 2 คนออกไปค้นหามังกรเพื่อทำหลุมศพของพวกเขา ทั้งคู่พบสถานที่แห่งเดียวกัน ทั้งสองคนต่างก็บอกลูกชายของตนว่า เมื่อพวกเขาอายุ 120 ปี จะต้องนำพวกเขามาฝัง ณ ที่แห่งนั้น ศพของพวกเขาถูกฝังอยู่ใกล้กัน ศพของพี่ชายใช้ทองวางไว้ใต้คอ ศพน้องชายใช้หินวางใต้คอ เมื่อศพถูกฝังได้ 3 ปีแล้ว ถ้าคอของใครหักก่อน คนนั้นก็จะได้เป็นกษัตริย์ในสวรรค์ และเมื่อพ่อเป็นกษัตริย์ในสวรรค์ ลูกก็จะได้เป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์ ต่อมาปรากฏว่าบนหลุมศพน้องชายมีดอกไม้บานก่อนหลุมศพพี่ชาย ลูกชายของพี่ชายเห็นเข้าและพบว่าคอของน้องชายกำลังจะหักก่อน พวกเขาจึงเอาหินที่วางใต้คอศพน้องชายออก แล้ววางทอที่ใต้คอแทน เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี ลูกๆของน้องชายมาที่หลุมศพของพ่อ ก็พบว่าหลุมศพของลุงเปิดแล้ว และลุงได้เป็นกษัตริย์ในสวรรค์ พวกเขาจึงได้รู้ว่า ญาติลูกผู้พี่ของตนเป็นคนเลว ตั้งแต่นั้นมาม้งและจีนก็ไม่ทำอะไรด้วยกันอีก ม้งอพยพออกจากจีนและไม่ปรารถนาจะพูดภาษาเดียวกันอีก (น.311-312)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การจำแนกอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ม้งใช้คู่ขัดแย้งตรงกันข้าม (oppositions) กำหนดความแตกต่างของตนเองจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นและนิยามอัตลักษณ์ของตนเอง ม้งอธิบายว่าตนเองแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่มีอำนาจด้วยการกำหนดอัตลักษณ์ของตนในรูปของสิ่งที่ไม่ได้เป็น ได้แก่ การไม่มีตัวหนังสือ การไม่มีอาณาเขตพรมแดนและ การไม่มีกษัตริย์ กระแสการกดขี่ทางชาติพันธุ์ปัจจุบันได้ถูกฉายภาพย้อนกลับไปยังอดีตที่ห่างไกล เพื่อตัดสินความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของตนจากคนจีน ความแตกต่างนี้เป็นผลลัพธ์ในตำนานและเรื่องเล่า ไม่ใช่ความคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แท้จริง (the concept of real history) ที่ถูกต้อง เพราะการกดขี่เหล่านี้มีสาเหตุทางประวัติศาสตร์ของมันเอง Tapp เห็นว่า ยิ่งม้งกำหนดวัฒนธรรมของตนในแง่ความขัดแย้งกับวัฒนธรรมอื่นมากเท่าไร ม้งก็ยิ่งใช้คำและสัญลักษณ์ของกลุ่มอื่นมากเท่านั้น กล่าวง่ายๆ คือ ยิ่งเราพูดว่าเราไม่เหมือนเขามากเท่าใด เราก็ยิ่งต้องนิยามตนเองด้วยการอ้างถึงเขามากเท่านั้น (น.344,370,398)

Social Cultural and Identity Change

การยอมรับนับถือศาสนาพุทธ การเผยแพร่ศาสนาพุทธในหมู่ชาวเขาหรือโครงการธรรมจาริกเริ่มขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1964-1965 (พ.ศ. 2507-2508) มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความรู้สึกผูกพันและความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ (น.187) วัยรุ่นม้งมาบวชเป็นสามเณรในศาสนาพุทธก็เพื่อโอกาสทางการศึกษา(น.205) การยอมรับนับถือศาสนาคริสต์ การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ชาวเขามีมานานแล้วตั้งแต่ปลายคริสตศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มมีครั้งแรกที่ยูนนานตอนเหนือและไกวโจวแถบตะวันตกเฉียงเหนือ(North-western Kweichow) ในช่วงเวลานั้นม้งหันมายอมรับนับถือศาสนาคริสต์เพราะการบีบคั้นทางเศรษฐกิจและความต้องการมีตัวหนังสือในภาษาม้ง (น.206,208-211) ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ม้งยอมรับศาสนาคริสต์เนื่องจากความกดดันทางเศรษฐกิจ ศาสนาคริสต์ได้ปลดปล่อยพวกเขาจากภาระผูกพันทางพิธีกรรมหรือเครือญาติ เช่น การจ่ายค่าสินสอดเจ้าสาว คณะเผยแพร่ศาสนาได้สร้างโรงเรียนและโรงพยาบาลให้พวกเขา สนับสนุนและให้ทุนการศึกษา ม้งยอมรับนับถือศาสนาคริสต์มากกว่าศาสนาพุทธและมองคณะเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นเครื่องหมายแสดงอำนาจที่เหนือกว่ารัฐไทย (น.220-223) Tapp เห็นว่า ม้งยอมรับศาสนาคริสต์ในฐานะที่กลยุทธ์หนึ่งที่เสนอทางออกหรือทางแก้ปัญหาความขัดแย้งเบื้องต้น ศาสนาคริสต์เป็นทางเลือกในการรักษาความเป็นม้งโดยไม่ต้องถูกรัฐไทยกลืนกลาย ขณะที่ม้งปฏิเสธศาสนาพุทธเพราะศาสนาพุทธเกี่ยวข้องกับความเป็นคนไทยและรัฐไทย (น.229-230)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่1 แสดงภาคเหนือของไทย (Northern Thailand) (น.42) แผนที่ 2 แสดงบริเวณพื้นที่สำรวจ(The Survey Site) (น.43) แผนที่ 3 แสดงการอพยพภายในบริเวณพื้นที่สำรวจ (Migrations within the Survey Site) (น.44) แผนที่ 4 แสดงภูมิภาคทั่วไป (The General Region) (น.45) แผนที่ 5 แสดงที่ตั้งบ้านเรือนในหมู่บ้าน (Househoid Composition of the Village) (น.46) แผนที่ 6 แสดงโครงการพัฒนาต่างๆ ในภาคเหนือของไทย ( Development Projects in Northern Thailand) (น.455) แผนที่ 7 แสดงที่ตั้งพื้นที่โครงการหลวง (Location of Royal Project Sites in Northern Thailand) (น.456) แผนที่ 8 แสดงที่ค่ายค่ายอพยพและประชากรในประเทศไทย (Refugee Camps and Populations within Thailand) (น.457)

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 10 ต.ค. 2567
TAG ม้งขาว, การเปลี่ยนแปลง, การจำแนกตัวเองทางชาติพันธุ์, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง