สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง, ลีซู,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา,ปัญหาความมั่นคง,ภาคเหนือ
Author ชัยวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
Title ปัญหาชาวเขาและการกำหนดมาตรการเฉพาะในการควบคุมชาวเขาเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, ลีซู, ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 62 Year 2543
Source วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
Abstract

ชาวเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทยและนับวันแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพการเมือง เศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้จึงต้องการศึกษาเพื่อเสนอแนะนโยบายและมาตรการต่อรัฐบาลเพื่อนำไปปฏิบัติต่อชาวเขา โดยนโยบายและมาตรการมีดังนี้ ข้อเสนอแนะในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อชาวเขา - ด้านการเมืองการปกครอง 1) ให้ชาวเขามีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเป็นหลักแหล่งถูกต้องตามกฎหมาย จัดระเบียบการปกครองชุมชนในระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย 2) ให้ชาวเขาอยู่ร่วมในสังคมไทยโดยมีสำนึกในความเป็นคนไทย 3) สกัดกั้นผลักดันชาวเขาจากนอกประเทศไม่ให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 1) ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของชาวเขาให้เพียงพอในการดำรงชีวิต พึ่งตนเองได้ 2) ควบคุมอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรชาวเขา 3) กำหนดมาตรการให้ชาวเขาเลิกปลูกยาเสพติด ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มีระบบการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสม ข้อเสนอแนะในการกำหนดมาตรการปฏิบัติของรัฐบาลที่มีต่อชาวเขา - ด้านการเมืองการปกครอง 1) เร่งรัด สำรวจจำนวน แยกประเภท จัดทำทะเบียน ออกบัตรประจำตัวแก่ชาวเขา พิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชาวเขาในทะเบียนบ้านที่เป็นคนไทย 2) จัดระเบียบการปกครองชุมชนชาวเขาเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย 3) กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมให้ชาวเขาอยู่อาศัยและทำกินถาวรตามกฎหมาย 4) ใช้กฎหมายและระเบียบทางราชการให้เกิดผลทุกพื้นที่ 5) ให้ชาวเขาเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของความเป็นพลเมืองไทย 6) สกัดกั้นการอพยพเข้ามาใหม่ของชาวเขาจากนอกประเทศ พร้อมผลักดันออกไปนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง 7) ลดและขจัดอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในหมู่ชาวเขา ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 1) ยกระดับรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิต 2) ให้ชาวเขาเลิกปลูกและเสพยาเสพติด - ด้านการอนุรักษ์ การใช้ และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ จัดแผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรบนที่สูง และใช้กฎหมายในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง

Focus

ศึกษาถึงทฤษฎีและแนวความคิดเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยและชาวเขาในประเทศไทยรวมถึงแนวทางการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับชาวเขาและปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับชาวเขาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ (หน้า ข , 1)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง ม้ง อาข่า และลีซอ

Language and Linguistic Affiliations

กะเหรี่ยง ไม่ทราบที่มาแน่ชัด บางแหล่งบอกว่ามาจากต้นตระกูลในจีน ธิเบต บางแหล่งระบุว่าใกล้เคียงกับแขนงของพม่า ธิเบต อย่างไรก็ตาม กะเหรี่ยงมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ลักษณะภาษามีการร้อยเรียงถ้อยคำแบบพม่า ตัวอักษรคล้ายมอญและพม่า (หน้า 8) แม้วหรือม้ง มีลักษณะคล้ายภาษาจีน เพราะในอดีตได้คลุกคลีและเคยมีถิ่นฐานอยู่ในจีนมาตั้งแต่ครั้งโบราณ (หน้า 14) อาข่าหรืออีก้อ ภาษาพูดของอีก้อจัดอยู่ในตระกูลภาษาธิเบต - พม่า สาขาโลโล - พม่า ออกเสียงแต่พยางค์เดียวคล้ายกับภาษาของมูเซอและลีซอ บางคำมีรากศัพท์มาจากภาษาจีน พม่า ไทยใหญ่และไทยภาคเหนือ ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง (หน้า 18) ลีซอ มีสำเนียงคล้ายกับภาษาของชนชาติโลโลและสามารถพูดภาษาของชนเผ่าอื่นได้เป็นอย่างดี เช่น อีก้อ มูเซอ จีนฮ่อ และภาษาท้องถิ่นทางภาคเหนือของไทย ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง มีการใช้อักษรภาษาอังกฤษที่มิชชันนารีเข้าไปสอนให้ แต่ไม่แพร่หลายมากนัก (หน้า 20)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ชาวเขาในภาคเหนือของไทยตามความหมายของทางราชการ หมายถึง กลุ่มชนเผ่าแม้ว เย้า มูเซอ อีก้อ กะเหรี่ยง ละว้า ถิ่น และขมุ โดยพบว่าชาวเขาในประเทศไทยน่าจะมีทิศทางการอพยพจากกลุ่มชน 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มตระกูลออสโตร - เอเชียติค เป็นพวกเชื้อสายมอญ - เขมร ได้แก่ ละว้า ขมุ ถิ่น และตองเหลือง (มลาบรี) 2) กลุ่มตระกูลจีน - ธิเบต แบ่งเป็น 2 พวก คือ กลุ่มธิเบต - พม่า (Tibetan Burma) ได้รับอิทธิพลจากชาติธิเบต ได้แก่ อีก้อ มูเซอ ลีซอ และกะเหรี่ยง และกลุ่มจีนดั้งเดิม (Main Chinese) สืบเชื้อสายใกล้ชิดกับจีน แต่ไม่สามารถรวมกับจีนได้จึงอพยพลงมาทางใต้ เช่น แม้วและเย้า (หน้า ข-ค, 4-5) กะเหรี่ยง เป็นชาวเขาที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย เดิมอาศัยอยู่ด้านตะวันออกของธิเบตแล้วไปตั้งอาณาจักรในจีน หลังจากถูกจีนรุกรานจึงถอยร่นมาอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซี ลำน้ำโขง แม่น้ำสาละวิน (หน้า 6) แม้วหรือม้ง เดิมม้งมีถิ่นฐานในมณฑลไกวเจา กวางสี ฮุนหนำ และยูนนาน ต่อมาหนีภัยจากการรุกรานของจีนลงมาอยู่ทางยูนนานตอนใต้ แคว้นตังเกี๋ยว ลาวและทางตอนเหนือของประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานบนที่ราบเชิงเขาในเขตพื้นที่ จ.เชียงราย น่าน เชียงใหม่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ (หน้า 12-13) เย้า มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนกลางของประเทศจีน บริเวณมณฑลเกียงสี ฮูนานและไกวเจา ต่อมาได้อพยพมาอยู่ทางใต้บริเวณมณฑลกวางตุ้ง กวางสีและยูนนาน ต่อมาเมื่อเกิดสงครามระหว่างจีนกับพวกฮวน เย้าจึงอพยพลงมาทางใต้อีก บ้างก็เข้าไปอยู่ในเวียดนามเหนือ แคว้นพงศาลี หลวงพระบาง ชำเหนือ ในประเทศลาว เชียงตุง ประเทศพม่า และบางส่วนอพยพเข้ามาอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยบนดอยหลวง อ.เชียงของ จ.เชียงราย และอพยพลงมาเพิ่มเติมที่ จ.น่าน เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน (หน้า 16) มูเซอหรือลาฮู มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในธิเบต เมื่อถูกจีนรุกรานจึงถอยร่นลงมาทางใต้มาอาศัยในประเทศลาว รัฐฉานในพม่า และบางกลุ่มเข้ามาอาศัยในประเทศไทย (หน้า 17) อีก้อหรืออาข่า มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในมณฑลไกวเจาและยูนนานแล้วอพยพเข้าไปอยู่ในรัฐว้า และเชียงตุงของพม่า แขวงพงสาลี แขวงหวีของลาว และอพยพเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทยเมื่อประมาณ 60 ปีมานี้ (หน้า 17) ลีซอ มีถิ่นฐานอยู่ตอนต้นแม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง และทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนานในจีน อพยพเข้ามาในไทยจากเมืองเชียงตุงเมื่อ 60 ปีที่ผ่านมา (หน้า 19) ละว้าหรือลัวะ เรียกตัวเองว่า "ละเวียะ" อพยพมาทางตอนใต้ของเขมรหรือมาเลย์เมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว ต่อมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เชียงใหม่ และอพยพหนีการรุกรานของชนชาติจีนขึ้นไปอยู่บนภูเขา จึงกลายเป็นชาวเขาในที่สุด (หน้า 21) ถิ่น ไม่มีประวัติความเป็นมาแน่นอน แต่มีข้อสันนิษฐาน 2 แนวทางคือ ชาวเขาเผ่าถิ่นตั้งรกรากอยู่ในไทยก่อนแล้วหรืออพยพมาจากประเทศลาว (หน้า 22)

Settlement Pattern

แม้วหรือม้ง นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่บนยอดสูงของภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 3,000 - 5,000 ฟุต (หน้า 13)

Demography

สถาบันวิจัยชาวเขา จ.เชียงใหม่ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ปี 2535 พบว่าชาวเขาในประเทศไทยมีจำนวน 573,369 คน กระจายอยู่ใน 20 จังหวัดในประเทศไทย (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน น่าน พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ แพร่ อุทัยธานี สุพรรณบุรี เพชรบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี เลย) (หน้า 5-6) กะเหรี่ยง ปัจจุบันคาดว่ามีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในประเทศพม่ากว่า 3 ล้านคน กระจายอยู่บริเวณลุ่มน้ำสาละวินตอนใต้และตลอดแนวพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า (หน้า 6) ส่วนในประเทศไทยมีกะเหรี่ยงอยู่ประมาณ 292,614 คน คิดเป็นร้อยละ 51.07 ของชาวเขาในประเทศไทย กะเหรี่ยงถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้อีก 4 กลุ่ม คือ (1)กะเหรี่ยงสะกอ มีจำนวนมากที่สุด อาศัยกันอยู่มากบริเวณภาคเหนือตอนบน (2)กะเหรี่ยงโปว์ อาศัยอยู่บริเวณอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน จ.แพร่ จ.อุทัยธานี และจ.กาญจนบุรี (3)กะเหรี่ยงคะยา หรือบเว มีอยู่จำนวนน้อยโดยอาศัยในเขต อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน (4)กะเหรี่ยงตองตู มีเพียงไม่กี่หมู่บ้านในเขตอ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้า 7) แม้วหรือม้ง ปัจจุบันคาดว่ามีม้งอาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวน 91,537 คน คิดเป็นร้อยละ 15.96 ของชาวเขาในประเทศไทย (หน้า 13) เย้า ปัจจุบันเย้ามีจำนวนประชากรในประเทศไทยประมาณ 34,545 คน คิดเป็นร้อยละ 6.02 ของชาวเขาในประเทศไทย กระจัดกระจายใน จ.กำแพงเพชร เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน ตาก ลำปาง และ สุโขทัย (หน้า 16) มูเซอหรือลาฮู ปัจจุบันมีประชากรในประเทศไทยประมาณ 57,144 คน คิดเป็นร้อยละ 9.97 ของชาวเขาในประเทศไทย อาศัยอยู่ใน จ.เชียงราย เชียงใหม่ กำแพงเพชร ตาก แม่ฮ่องสอน ลำปางและน่าน (หน้า 17) อีก้อหรืออาข่า มีประชากรประมาณ 32,041 คน คิดเป็นร้อยละ 5.59 ของชาวเขาในประเทศไทย กระจายอยู่ตามจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ตาก และแพร่ (หน้า 17) ลีซอ มีประชากรประมาณ 22,743 คน คิดเป็นร้อยละ 3.97 ของชาวเขาในประเทศไทย ตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดตาก กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย (หน้า 19) ละว้าหรือลัวะ ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 8,227 คน คิดเป็นร้อยละ 1.43 ของชาวเขาในประเทศไทย กระจัดกระจายในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน สุพรรณบุรี อุทัยธานี (หน้า 21) ถิ่น มีจำนวนประชากรประมาณ 25,613 คน คิดเป็นร้อยละ 4.47 ของจำนวนชาวเขาในประเทศไทย (หน้า 22 และดูจำนวนประชากรชาวเขาทั้งหมด 17 จังหวัดที่หน้า 23)

Economy

กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงทำไร่เลื่อนลอยแบบตั้งหลักแหล่งไม่โยกย้ายที่ทำกินเหมือนชาวเขาเผ่าอื่นๆ นอกจากนี้ยังเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู เป็ด ไก่ ปลูกพืชผักให้เพียงพอกินในครัวเรือน เช่น พริกไทย ยาสูบ ผักต่างๆ หาของป่า และยังรับจ้างทำงาน ค้าขายสินค้าอุปโภค - บริโภคข้ามไปมาระหว่างไทย - พม่าอีกด้วย (หน้า 9) แม้วหรือม้ง ม้งมีอาชีพหลักคือการปลูกพืชไร่ต่างๆ เช่น ข้าวโพด มัน พริก กะหล่ำปลี และยังปลูกฝิ่นขายอีกด้วย ส่วนอาชีพรองคือการเลี้ยงหมู (หน้า 15) อาข่าหรืออีก้อ รายได้หลักของอีก้อมาจากการขายฝิ่น เลี้ยงสัตว์ หาของป่า ปลูกพืชล้มลุกบางชนิด เช่น ข้าวโพด แตงโม กล้วย มันเทศ นิยมใช้เงินแท่งที่เรียกว่า "เงินฮาง" มากกว่าใช้ธนบัตรเพราะนอกจากเห็นว่าปลอมยากแล้วยังนำมาใช้เป็นเครื่องประดับได้ (หน้า 19) ลีซอ ส่วนใหญ่ปลูกฝิ่น นอกจากนั้นยังปลูกพืชไร่ต่างๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด มันฝรั่ง พริก สัตว์ที่เลี้ยงคือหมูและไก่ ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม ส่วนอาชีพที่ทำอีกอย่างคือ การหาของป่ามาขาย (หน้า 21)

Social Organization

แม้วหรือม้ง ภรรยาทำงานเกือบจะทุกชนิด เช่น ตักน้ำ เก็บฟืน กรีดฝิ่น ทำอาหารให้สัตว์และสมาชิกในครอบครัว ส่วนฝ่ายชายเฝ้าบ้านและนอนสูบฝิ่น และสามารถมีภรรยาได้ถึง 3-4 คน คนหนุ่มสาวมีอิสระในการเลือกคู่ครองของตนเอง หมั้นกันตั้งแต่อายุเพียง 1 ขวบ และแต่งงานกันอายุเพียง 14-16 ปี เท่านั้น ห้ามแต่งงานกับชนต่างเผ่า (หน้า 14-15)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

กะเหรี่ยง เดิมกะเหรี่ยงนับถือผี แต่ปัจจุบันกะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและคริสต์ บางคนก็นับถือผีไปพร้อมๆ กันด้วย นอกจากนี้ยังเชื่อถือโชคลางแบบไสยศาสตร์อีกด้วย หมอผีเป็นตัวแทนของผีและตัวแทนของกะเหรี่ยง เป็นผู้มีความสำคัญทางศาสนาจะคัดเลือกผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์และทางร่ายเวทมนตร์คาถา กะเหรี่ยงมีพิธีการต่างๆมาก เช่น พิธีเลี้ยงผี พิธีกินข้าวใหม่ พิธีการขึ้นบ้านใหม่ พิธีการเกี้ยวสาว พิธีทำศพ โดยพิธีทำศพเป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของครอบครัวมาก ถ้าผู้ตายเป็นแม่บ้าน บรรดาทรัพย์สินต่างๆ จะถูกทำลายจนหมดสิ้น (หน้า 8-9) แม้วหรือม้ง ได้รับอิทธิพลจากจีน เคารพบูชาผีและบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว เช่น ผีฟ้า ผีหมู่บ้าน ผีเรือน และยังเชื่อว่ามีผีอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ท้องฟ้า ลำน้ำ ต้นไม้ ภูเขา ไร่นา บ้านเรือน โดยม้งเชื่อว่าผีฟ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ผีหมู่บ้านคอยคุ้มครองหมู่บ้าน ส่วนผีเรือนเป็นผีบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครองคนในครอบครัวให้สุขสบาย ม้งห้ามจับศรีษะของกันและกัน ห้ามเกี้ยวพาราสีภายในบ้านเพราะจะผิดผี ประเพณีที่สำคัญที่สุดของม้งคืองานขึ้นปีใหม่ (หน้า 14-15) อาข่าหรืออีก้อ อีก้อนับถือลัทธิผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เน้นหนักไปในทางนับถือผีบรรพบุรุษ ผีมี 2 ประเภท คือ ผีจากวิญญาณของบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว เป็นผีดีที่คอยคุ้มภัย ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นผีร้ายที่นำความวิบัติมาให้ และยังมีเทพอื่นๆ อีกหลายองค์ เช่น เทพแห่งเจ้าลม เทพแห่งเจ้าฝน เป็นต้น อีก้อมีพิธีกรรมต่างๆ มากมาย เช่น พิธีปีใหม่ (จัดขึ้นเดือนธันวาคมของทุกปี) พิธีทำประตูหมู่บ้านเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ตั้งกฎประเพณีของอาข่า พิธีเซ่นผีบ่อน้ำ พิธีโล้ชิงช้า พิธีกินข้าวใหม่ พิธีส่งผี พิธีเลี้ยงผี เป็นต้น และห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปในหมู่บ้านในวันที่มีการทำพิธีเพราะจะนำผีร้ายเข้าไปทำให้เสียพิธี (หน้า 18-19) ลีซอ ไม่มีศาสนาแต่นับถือเรื่องผีและดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ลีซอเกรงกลัวผีหลวง เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการบันดาลจากผี ดังนั้นจึงมีพิธีกรรมลี้ยงดูผี (หน้า 20-21)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงสะกอ ผู้ชายสวมกางเกงขายาวแบบจีนสีดำหรือขาวกับเสื้อแดงยกดอกพู่เป็นตอนๆแขนสั้น เสื้อยาวแค่ครึ่งขา บ้างใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วคลุมทับด้วยเสื้อสีแดง ผู้ชายบางคนใส่เสื้อสีดำ แต่ทุกคนจะมีเสื้อสีแดงเตรียมไว้เสมอ โพกศรีษะด้วยผ้าแพรสีชมพูหรือสีต่างๆ ยกเว้นสีดำ ผู้หญิงทุกคนจะสวมกระโปรงทรงกระบอกยาวลงไปถึงข้อเท้า ผมไว้มวยข้างหลังพันคลายรอบด้วยเส้นด้ายถักสีแดงหรือโพกด้วยผ้าสีขาวอย่างสั้นๆ ใส่ต่างหูรูปวงกลมและห้อยปุยเส้นย้อมสีต่างๆ เป็นพู่ลงมารอบคอ (หน้า 7-8) แม้วหรือม้ง นิยมใช้เครื่องแต่งกายสีดำเป็นพื้น ผู้ชายใส่เสื้อสีดำแขนยาวไม่ผ่าอกแต่ผ่าข้างจากต้นคอลงมาทางเอวซ้าย กางเกงเป็นแบบกางเกงจีน นิยมสวมหมวกมีลักษณะเหมือนกะลาครอบและมีพู่สีแดงบนยอดหมวก ผู้ชายนิยมใส่ห่วงคอเงินเช่นเดียวกับผู้หญิงแต่มีจำนวนห่วงน้อยกว่าและใช้เงินแท้ ม้งมีความชำนาญในการทำหัตถกรรม เช่น ทอผ้า ทำโลหะเงินมาประดิษฐ์เครื่องประดับต่างๆ เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (หน้า 13 - 15) อาข่าหรืออีก้อ หญิงสวมกระโปรงสีดำสั้นเหนือเข่ามีจีบรอบเอวแบบกระโปรงพลีท สวมเสื้อผ่าอกสีดำ นิยมสวมหมวกทำด้วยผ้าและมีโครงทำด้วยไม้ไผ่ประดับด้วยกระดุมเหรียญเงิน กระดุมเปลือกหอยติดปุยขนไก่ ขนชะนี กระรอก ย้อมสีสลับกันไป ส่วนผู้ชายสวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกสีดำ คอกลมผ่าอกสูงรอบคอ มีเชือกผูก สวมกางเกงขายาวแบบครึ่งแข้ง แบบกางเกงขาก๊วย (หน้า 18) ลีซอ ชอบการแต่งกายแบบมีลวดลายและสีสันมาก ชายสวมกางเกงจีน นิยมใช้สีฟ้าและสีดำยาวจรดข้อเท้า สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำทำด้วยผ้ากำมะหยี่ประดับด้วยแผ่นโลหะบางรูปวงกลมเย็บติดกับเสื้อเรียงแถวกันทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถ้าอยู่กับบ้านหรือออกไปทำงานในไร่จะใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา นิยมใช้ผ้าพันแขนสีดำ ส่วนผู้หญิงไม่ว่าจะเด็ก หญิงสาวหรือแก่แล้วก็จะใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน คือสวมกางเกงสีดำยาวเลยเข่าเล็กน้อย มีเสื้อคลุมยาวสีฟ้าหรือสีเขียวสวมทับลงมาถึงหน้าแข้งและผ่าตั้งแต่เอวลงมาทั้ง 2 ข้าง ที่แขนเสื้อติดผ้าสีต่างๆ เป็นบั้งๆ ตัวเสื้อประดับด้วยกระดุมเงิน เหรียญเงินหรือแผ่นเงินสี่เหลี่ยม ที่คอสวมห่วงเงินหลายห่วง ที่แขนใส่ปลอกแขนเงินและนิยมใส่ต่างหูทำด้วยเงินใส่สนับแข้งสีต่างๆ ตั้งแต่เข่า ที่เอวมีผ้าสีดำผืนใหญ่คาดไว้โดยรอบ นิยมโพกผ้าที่ศรีษะเช่นเดียวกับชาย (หน้า 20)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยง คนภาคกลางเรียกว่า "กะเหรี่ยง" ส่วนพวกที่อยู่ภาคกลางตอนใต้แถบจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เรียกว่า "กะหร่าง" ส่วนในจังหวัดทางภาคเหนือเรียกว่า "ยาง" และในพม่าเรียกว่า "กะยีน" (หน้า 6) กะเหรี่ยงเป็นชนชาติกลุ่มน้อยในพม่าที่ต่อสู้เพื่อสิทธิการปกครองแยกเป็นอิสระในระบอบประชาธิปไตยใช้ชื่อว่า "สาธารณรัญกอทูเล" จากพม่ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ 1 ปี โดยต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2497 กะเหรี่ยงและมอญได้ประกาศตั้งรัฐบาลของตนเองเรียกว่ารัฐ "กอทูเล" โดยมีอาณาบริเวณเมืองกอการิคและเมืองเมียวดี ประธานาธิบดีคนแรกชื่อ นาย ซอฮันเตอร์ แต่หลังจากนั้น 4 - 5 เดือน ก็ถูกรัฐบาลพม่าเข้าปราบปรามจนแตกพ่ายไป (หน้า 9-12) เย้า เรียกตัวเองว่า "เมียน" หรือ "อิวเมียน" (หน้า 16) อีก้อหรืออาข่า คนไทยและพม่าเรียกชาวเขากลุ่มนี้ว่า "อีก้อ" หรือ "ก้อ" แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "อาข่า หรือ อะข่า" (AKHA) (หน้า 17) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กำหนดสถานภาพของชาวเขาไว้ 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม เกิดในประเทศไทยตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงรุ่นลูก ชนกลุ่มนี้มีสิทธิได้รับสัญชาติไทย 2) ชาวเขานอก อพยพมาจากนอกประเทศ เช่น พม่า ลาว จีน มาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยจนผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทย โดยรัฐบาลมีมติให้สถานะต่างด้าวเข้าเมืองถูกกฎหมายแก่ชาวเขากลุ่มนี้ 3) ผู้หลบหนีเข้าเมืองเพราะสงครามหรือเหตุผลอื่นๆ เข้ามาหลังวันที่ 3 ตุลาคม 2538 จะถือว่าหลบหนีเข้าเมือง ส่วนกลุ่มที่หนีภาวการณ์สู้รบ รัฐไทยจะช่วยให้อยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยมีองค์กรต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือ (หน้า 24-29 และดูนโยบายของรัฐที่มีต่อชาวเขาในตารางที่ 4 หน้า 47-48)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ข้อเสนอแนะในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่มีต่อชาวเขา ด้านการเมืองการปกครอง 1) ให้ชาวเขามีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเป็นหลักแหล่งถูกต้องตามกฎหมาย จัดระเบียบการปกครองชุมชนในระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย 2) ให้ชาวเขาอยู่ร่วมในสังคมไทยโดยมีสำนึกในความเป็นคนไทย 3) สกัดกั้นผลักดันชาวเขาจากนอกประเทศไม่ให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 1) ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของชาวเขาให้เพียงพอในการดำรงชีวิต พึ่งตนเองได้ 2) ควบคุมอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรชาวเขา 3) กำหนดมาตรการให้ชาวเขาเลิกปลูกยาเสพติด ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มีระบบการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสม ข้อเสนอแนะในการกำหนดมาตรการปฏิบัติของรัฐบาลที่มีต่อชาวเขา ด้านการเมืองการปกครอง 1) เร่งรัด สำรวจจำนวน แยกประเภท จัดทำทะเบียน ออกบัตรประจำตัวแก่ชาวเขา พิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชาวเขาในทะเบียนบ้านที่เป็นคนไทย 2) จัดระเบียบการปกครองชุมชนชาวเขาเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย 3) กำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมให้ชาวเขาอยู่อาศัยและทำกินถาวรตามกฎหมาย 4) ใช้กฎหมายและระเบียบทางราชการให้เกิดผลทุกพื้นที่ 5) ให้ชาวเขาเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของความเป็นพลเมืองไทย 6) สกัดกั้นการอพยพเข้ามาใหม่ของชาวเขาจากนอกประเทศ พร้อมผลักดันออกไปนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง 7) ลดและขจัดอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในหมู่ชาวเขา ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 1) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมชาวเขาโดยเน้นหลักพึ่งตนเอง 2) จัดโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ให้ชาวเขามีรายได้อื่นแทนการปลูกยาเสพติด 3) กระจายบริการสาธารณสุขพื้นฐานให้ครอบคลุมมากที่สุด 4) เร่งรัดการวางแผนครอบครัวให้เกิดผล 5) จัดบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในระบบและนอกระบบ 6) ส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาพุทธในหมู่ชาวเขา 7)ให้ชาวเขาเข้าใจพิษภัยของยาเสพติดเพื่อให้เลิกปลูกและเสพยาเสพติด 8)ดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับการปราบปรามป้องกันยาเสพติดอย่างเคร่งครัด ด้านการอนุรักษ์ การใช้ และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ จัดแผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรบนที่สูง และใช้กฎหมายในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง (หน้า ง-ฉ, 29-48, 59-62)

Map/Illustration

งานวิจัยชิ้นนี้มีตารางประกอบเพื่อนำเสนอข้อมูลค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงจำนวนประชากรชาวเขาที่ได้รับสัญชาติไทยใน 17 จังหวัด (ตารางที่ 1 หน้า 23) ตารางแสดงพัฒนาการนโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับชาวเขา (ตารางที่ 4 หน้า 47-48)

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 26 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ลีซู, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), อ่าข่า, ชาวเขา, ปัญหาความมั่นคง, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง