สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สตรี,ค่านิยม,การมีบุตร,เชียงใหม่
Author สมภพ มณีเวช
Title การศึกษาค่านิยมการมีบุตรของสตรีชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 108 Year 2533
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประชากรศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

การศึกษาค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในจ.เชียงใหม่ พบว่าสตรีทั้ง 2 เผ่าให้คุณค่าต่อการมีบุตรทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเหตุผลสำคัญต่อการตัดสินใจมีบุตร เนื่องจากบุตรสามารถช่วยทำงานภายในบ้าน สามารถประกอบอาชีพและหารายได้ รวมทั้งมีความสำคัญในการดูแลร่างกายและจิตใจเมื่อแก่ชรา 2. ด้านอารมณ์ โดยเป็นปัจจัยที่ให้คุณค่าทางความสุข ความพึงพอใจที่พ่อแม่ได้รับจากความรัก ความเป็นเพื่อน ช่วยลดความเหงา ความเบื่อหน่าย 3. ด้านความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวและสืบสกุล ซึ่งไม่เพียงบุตรจะช่วยสืบสกุลประเพณีต่อไป แต่ยังเพื่อมอบมรดกให้ลูกหลานสืบไป 4.ด้านการพัฒนาตนเอง อันเป็นแรงจูงใจต่อการกำหนดเป้าหมายชีวิตไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ปัจจัยที่ส่งผลสำคัญต่อการมีค่านิยมในการมีบุตรขึ้นอยู่กับอายุ จำนวนบุตร โครงสร้างครอบครัว อาชีพ ฐานะครอบครัว การศึกษา และศาสนา

Focus

ศึกษาถึงค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีม้งและกะเหรี่ยง รวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างทางค่านิยมการมีบุตรระหว่างชาวเขาทั้ง 2 เผ่าดังกล่าว

Theoretical Issues

การวิจัยครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการมีค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีม้งและกะเหรี่ยงที่สอดคล้องกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ และ ทฤษฎีทางจิตวิทยา-สังคม อันเป็นปัจจัยในการตัดสินใจการมีจำนวนบุตร และการวางแผนครอบครัว ทั้งนี้ยังคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากบุตรในด้านคุณค่าทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางร่างกายและจิตใจ ในด้านคุณค่าทางอารมณ์ ด้านคุณค่าความผูกพันธ์เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของชีวิตครอบครัวและการสืบสกุล และด้านคุณค่าการพัฒนาตนเอง รู้สึกมีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพื่อไปสู่เป้าหมายของชีวิต (หน้า 80)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มเป้าหมายของการศึกษานี้ คือ กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) ที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 5 บ้านดงดำ ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ ม้งลาย ที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 7 บ้านดอยปุย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 15-49 ปี ที่มีสถานภาพสมรส (หน้า 8, 105-106)

Language and Linguistic Affiliations

จากข้อจำกัดในการวิจัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาพบว่า สตรีชาวเขาที่มีอายุมากมักไม่เข้าใจภาษาไทย จึงเป็นอุปสรรคในการศึกษาซึ่งจำเป็นต้องอาศัยล่ามในการสื่อสาร (หน้า 9) ม้งที่บ้านดอยปุยพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากมีการติดต่อกับคนไทยพื้นราบอีกทั้งยังได้เข้าโรงเรียนกับตำรวจตระเวนชายแดน (หน้า 105) ส่วนกะเหรี่ยงบ้านดงดำส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยเหนือได้ (หน้า 107)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยไม่ได้ระบุช่วงเวลาการศึกษาไว้อย่างชัดเจน แต่จากเอกสารการขอความอนุเคราะห์เก็บรวบรวมข้อมูลได้ทำเรื่องไว้ ณ วันที่ 13 ธ.ค. 2531 (หน้า93)

History of the Group and Community

จากการศึกษาทางวรรณกรรมของผู้วิจัยพบว่า ม้งเดิมอาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำเหลือง เมื่อเกิดสงครามจึงอพยพมาสู่ประเทศเวียดนาม ลาวและถึงไทยในที่สุด ม้งที่อพยพมาประเทศไทยนั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ม้งน้ำเงิน (ม้งดำ) และ ม้งขาว โดยแตกต่างกันที่การแต่งกายและ กลุ่มใหญ่ คือ ม้งน้ำเงิน (ม้งดำ) และ ม้งขาว โดยแตกต่างกันที่การแต่งกายและภาษา ส่วนกะเหรี่ยงเดิมมีถิ่นฐานอยู่ในพม่า จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กะเหรี่ยงบางส่วนจึงอพยพเข้าสู่ไทย โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ สะกอ โปว์ คะยา และตองสู (หน้า 29-30)

Settlement Pattern

ลักษณะการสร้างบ้าน ที่บ้านดอยปุยยังคงไว้ตามแบบประเพณี คือ คร่อมดิน แต่เปลี่ยนวัสดุจากธรรมชาติเป็นวัสดุที่หาซื้อง่ายและทนทานกว่า เช่น ไม้แผ่น กระเบื้อง สังกะสี ส่วนหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่บ้านดงดำ จะสร้างบ้านด้วยไม้เนื้อแข็งเป็นส่วนมาก หลังคาบ้านส่วนใหญ่มุงสังกะสีหรือกระเบื้อง จัดได้ว่าครอบครัวกะเหรี่ยงบ้านดงดำอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ากะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆ (หน้า 105, 107)

Demography

ม้งที่บ้านดอยปุยมีจำนวนประชากร 81 หลังคาเรือน 167 ครอบครัว รวมทั้งหมด 848 คน (หน้า 105) ซึ่งในจำนวนนี้มีสตรีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 106 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-24 ปี มีจำนวน 38 คน รองลงมาได้แก่ช่วงอายุ 25-34 ปี และ 35-49 ปี โดยมีจำนวน 37 และ 31 คนตามลำดับ ในขณะที่กะเหรี่ยงที่บ้านดงดำมีจำนวนประชากรอาศัย 124 หลังคาเรือน 124 ครอบครัว รวมประชากรทั้งหมด 608 คน แบ่งเป็นชาย 289 คน และหญิง 319 คน (หน้า 106) โดยมีสตรีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 104 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 35-49 ปี มีจำนวน 49 คน รองลงมา คือ กลุ่มอายุ 25-34 ปี และ 15-24 ปี โดยมีจำนวน 30 และ 25 คนตามลำดับ (หน้า 44-45)

Economy

ม้งที่บ้านดอยปุยนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งคนไทยและต่างชาติมาเป็นประจำ จึงมีการขายของที่ระลึก เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ดอกไม้ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ถือเป็นรายได้ประจำ อีกส่วนหนึ่งได้ตั้งแผงขายของที่หน้าวัดพระธาตุดอยสุเทพหน้าพระตำหนักภูพิงค์ และนำไปขายที่ไนท์บาซาร์ในตัวเมือง ส่วนอาชีพทางการเกษตร ได้แก่ การปลูกข้าว เพื่อบริโภคและขาย นอกจากนี้ยังเลี้ยงสัตว์ ปลูกลิ้นจี่ กาแฟ (หน้า 106) ส่วนกะเหรี่ยงที่บ้านดงดำส่วนมากปลูกข้าวเพื่อบริโภคเท่านั้น ในบางปีก็ไม่เพียงพอต่อการบริโภคแม้ว่าจะปลูกทั้งข้าวไร่และนาดำ นอกจากนี้ ยังประกอบอาชีพเลียงสัตว์ รับจ้างการเกษตรกับคนจีน และงานหัตถกรรมในครัวเรือน เช่น การทอผ้าและการจักสารด้วยไม้ไผ่เพื่อใช้ในครัวเรือนและนำไปขาย (หน้า 107) เมื่อเปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจครอบครัวชาวเขาทั้ง 2 ชุมชนนั้น ครอบครัวม้งถือว่ามีฐานะดีมากกว่าครอบครัวกะเหรี่ยง แต่โดยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มฐานะยากจน (หน้า 44) นอกจากนี้ ตัวแปรด้านอาชีพมีผลต่อค่านิยมการมีบุตร โดยเฉพาะสตรีที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียวจะเห็นความสำคัญต่อการมีบุตรอย่างมาก ส่วนสตรีที่ทำงานนอกบ้านด้วยไม่ว่าในภาคเกษตรกรรมและไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมต่างเห็นความสำคัญในระดับที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ตัวแปรฐานะครอบครัวยังสัมพันธ์กับค่านิยมดังกล่าว โดยกลุ่มที่ฐานะยากจนและปานกลาง ยังจำเป็นต้องอาศัยแรงงานบุตรในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมทั้งเพื่อเป็นที่พึ่งพายามแก่ชรา ในขณะที่ครอบครัวที่มีฐานะดีเห็นความสำคัญการมีบุตรน้อยกว่ากลุ่มดังกล่าว (หน้า 52- 54)

Social Organization

ลักษณะโครงสร้างครอบครัวม้งมีสัดส่วนของครอบครัวเดี่ยว (52.8%) มากกว่าลักษณะครบอครัวขยาย (47.2%) เพียงเล็กน้อย สำหรับในชุมชนกะเหรี่ยงร้อยละ 99 มีลักษณะครอบครัวเดี่ยว ส่วนการประกอบอาชีพของสตรีม้งโดยมากไม่ได้ทำอาชีพเกษตรกรรม ในขณะที่สตรีกะเหรี่ยงนิยมทำการเกษตรและรองลงมาจะทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน (หน้า 44)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

การนับถือศาสนาของสตรีม้งนั้น มีทั้งการนับถือศาสนาเดียว ได้แก่ พุทธและคริสต์ และยังมีการนับถือผีร่วมกับศาสนาพุทธด้วย สำหรับสตรีกะเหรี่ยงดูเหมือนว่าจะไม่มีการนับถือผีร่วมศาสนาอื่น ซึ่งโดยส่วนใหญ่สตรีกะเหรี่ยงหันมานับถือศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาคริสต์ (หน้า 45)

Education and Socialization

กว่าร้อยละ 70 ของสตรีทั้ง 2 เผ่า ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งมีเพียง 17 คนของสตรีกะเหรี่ยงที่ได้เรียนสูงกว่าระดับ ป. 4 ในขณะที่สตรีม้งมีเพียง 10 คนเท่านั้น (หน้า 45) ซึ่งถือเป็นตัวแปรหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อค่านิยมการมีบุตร โดยผู้ที่ได้เรียนตั้งแต่ป.4 สามารถรับรู้ข่าวสารได้จากสื่อต่างๆ ทำให้เข้าใจและเห็นถึงปัญหาจากการมีบุตรมาก (หน้า 55)

Health and Medicine

ม้งบ้านดอยปุยจะรักษาพยาบาลด้วยยาแผนใหม่จากโรงพยาบาล คลีนิคในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่าการเลี้ยงผี แต่ทั้งนี้ยังมีการรักษาพยาบาลควบคู่กับการเลี้ยงผี (หน้า 106) เช่นเดียวกับกะเหรี่ยงบ้านดงดำที่รักษาด้วยแพทย์สมัยใหม่มากกว่าการเลี้ยงผี ซึ่งได้รับจากเจ้าหน้าที่พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา หรือสาธารณสุขชุมชน หากมีผู้ป่วยอาการหนักจะส่งตัวไปโรงพยาบาลอำเภอฮอด (หน้า 108)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้เข้ามามีบทบาทจัดระเบียบหมู่บ้านและแนะนำให้ชาวบ้านรักษาวัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกายไว้ โดยเฉพาะผู้หญิง (หน้า 106)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ค่านิยมต่อการมีบุตร สตรีทั้ง 2 เผ่าต่างให้ความสำคัญค่อนข้างสูง ซึ่งมาจากปัจจัยด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ที่มีผลต่อการตัดสินใจมีบุตร สำหรับม้งแล้วเหตุผลสำคัญคือ การมีบุตรไว้เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ เพื่อเลี้ยงดูยามชรา และมีไว้เพื่อช่วยเหลือในการทำสวน ทำนา ทำไร่ ในลักกษณะเดียวกับกะเหรี่ยงที่เห็นว่าบุตรมีส่วนช่วยในเรื่องรายได้ และสามารถช่วยในการทำเกษตรกรรมได้ นอกจากนี้ ยังมีบุตรไว้เพื่อเป็นแรงงานในบางลักษณะ เช่น ช่วยงานบ้าน ดูแลน้อง 2. ด้านอารมณ์ โดยให้เหตุผลที่สำคัญในเรื่อง การมีความสุขในการเลี้ยงดูบุตรมากกว่าการไปทำงานนอกบ้าน การมีลูกช่วยให้พ่อแม่มีเพื่อนแก้เหงา และเพื่อช่วยคลายความเบื่อหน่าย เช่นเดียวกับสตรีกะเหรี่ยง แต่เหตุผลสำคัญที่สุดนั้น คือ บุตรช่วยลดความตึงเครียด 3. ด้านความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวและสืบสกุล โดยทั้ง 2 เผ่าต่างมีเหตุผลที่ตรงกันว่า การมีบุตรช่วยสืบสกุลขนบธรรมเนียมประเพณีของครอบครัว และเพื่อให้เป็นผู้รับมรดกจากบิดามารดา นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอื่น เช่น ทำให้ครอบครัวมีความสุข ช่วยให้ชีวิตคู่ประสบผลสำเร็จ เป็นต้น 4.ด้านการพัฒนาตนเอง โดยเหตผุลทั้งหลายนั้นต่างนำไปสู่ความสำเร็จของชีวิต เช่น ลูกเป็นกำลังใจใหพ่อแม่สร้างฐานะให้มั่นคง ลูกสามารถทำกิจกรรมให้ลุล่วงได้ แทนพ่อแม่ เป็นส่วนส่งเสริมให้คู่สมรสประสบความสำเร็จ (หน้า 57-72, 78-79)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 22 เม.ย 2556
TAG ม้ง, ปกาเกอะญอ, จกอ, คานยอ, กะเหรี่ยง, สตรี, ค่านิยม, การมีบุตร, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง