|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สตรี,ค่านิยม,การมีบุตร,เชียงใหม่ |
Author |
สมภพ มณีเวช |
Title |
การศึกษาค่านิยมการมีบุตรของสตรีชาวเขาเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง, โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
108 |
Year |
2533 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประชากรศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
การศึกษาค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีเผ่าม้งและเผ่ากะเหรี่ยงในจ.เชียงใหม่ พบว่าสตรีทั้ง 2 เผ่าให้คุณค่าต่อการมีบุตรทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยเหตุผลสำคัญต่อการตัดสินใจมีบุตร เนื่องจากบุตรสามารถช่วยทำงานภายในบ้าน สามารถประกอบอาชีพและหารายได้ รวมทั้งมีความสำคัญในการดูแลร่างกายและจิตใจเมื่อแก่ชรา 2. ด้านอารมณ์ โดยเป็นปัจจัยที่ให้คุณค่าทางความสุข ความพึงพอใจที่พ่อแม่ได้รับจากความรัก ความเป็นเพื่อน ช่วยลดความเหงา ความเบื่อหน่าย 3. ด้านความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวและสืบสกุล ซึ่งไม่เพียงบุตรจะช่วยสืบสกุลประเพณีต่อไป แต่ยังเพื่อมอบมรดกให้ลูกหลานสืบไป 4.ด้านการพัฒนาตนเอง อันเป็นแรงจูงใจต่อการกำหนดเป้าหมายชีวิตไปสู่ความสำเร็จ นอกจากนี้ปัจจัยที่ส่งผลสำคัญต่อการมีค่านิยมในการมีบุตรขึ้นอยู่กับอายุ จำนวนบุตร โครงสร้างครอบครัว อาชีพ ฐานะครอบครัว การศึกษา และศาสนา |
|
Focus |
ศึกษาถึงค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีม้งและกะเหรี่ยง รวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างทางค่านิยมการมีบุตรระหว่างชาวเขาทั้ง 2 เผ่าดังกล่าว |
|
Theoretical Issues |
การวิจัยครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการมีค่านิยมต่อการมีบุตรของสตรีม้งและกะเหรี่ยงที่สอดคล้องกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ และ ทฤษฎีทางจิตวิทยา-สังคม อันเป็นปัจจัยในการตัดสินใจการมีจำนวนบุตร และการวางแผนครอบครัว ทั้งนี้ยังคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากบุตรในด้านคุณค่าทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางร่างกายและจิตใจ ในด้านคุณค่าทางอารมณ์ ด้านคุณค่าความผูกพันธ์เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของชีวิตครอบครัวและการสืบสกุล และด้านคุณค่าการพัฒนาตนเอง รู้สึกมีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพื่อไปสู่เป้าหมายของชีวิต (หน้า 80) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มเป้าหมายของการศึกษานี้ คือ กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) ที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 5 บ้านดงดำ ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ ม้งลาย ที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 7 บ้านดอยปุย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 15-49 ปี ที่มีสถานภาพสมรส (หน้า 8, 105-106) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
จากข้อจำกัดในการวิจัยครั้งนี้ ผู้ศึกษาพบว่า สตรีชาวเขาที่มีอายุมากมักไม่เข้าใจภาษาไทย จึงเป็นอุปสรรคในการศึกษาซึ่งจำเป็นต้องอาศัยล่ามในการสื่อสาร (หน้า 9) ม้งที่บ้านดอยปุยพูดภาษาไทยได้ เนื่องจากมีการติดต่อกับคนไทยพื้นราบอีกทั้งยังได้เข้าโรงเรียนกับตำรวจตระเวนชายแดน (หน้า 105) ส่วนกะเหรี่ยงบ้านดงดำส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยเหนือได้ (หน้า 107) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยไม่ได้ระบุช่วงเวลาการศึกษาไว้อย่างชัดเจน แต่จากเอกสารการขอความอนุเคราะห์เก็บรวบรวมข้อมูลได้ทำเรื่องไว้ ณ วันที่ 13 ธ.ค. 2531 (หน้า93) |
|
History of the Group and Community |
จากการศึกษาทางวรรณกรรมของผู้วิจัยพบว่า ม้งเดิมอาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำเหลือง เมื่อเกิดสงครามจึงอพยพมาสู่ประเทศเวียดนาม ลาวและถึงไทยในที่สุด ม้งที่อพยพมาประเทศไทยนั้นแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ม้งน้ำเงิน (ม้งดำ) และ ม้งขาว โดยแตกต่างกันที่การแต่งกายและ กลุ่มใหญ่ คือ ม้งน้ำเงิน (ม้งดำ) และ ม้งขาว โดยแตกต่างกันที่การแต่งกายและภาษา ส่วนกะเหรี่ยงเดิมมีถิ่นฐานอยู่ในพม่า จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กะเหรี่ยงบางส่วนจึงอพยพเข้าสู่ไทย โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ สะกอ โปว์ คะยา และตองสู (หน้า 29-30) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการสร้างบ้าน ที่บ้านดอยปุยยังคงไว้ตามแบบประเพณี คือ คร่อมดิน แต่เปลี่ยนวัสดุจากธรรมชาติเป็นวัสดุที่หาซื้อง่ายและทนทานกว่า เช่น ไม้แผ่น กระเบื้อง สังกะสี ส่วนหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่บ้านดงดำ จะสร้างบ้านด้วยไม้เนื้อแข็งเป็นส่วนมาก หลังคาบ้านส่วนใหญ่มุงสังกะสีหรือกระเบื้อง จัดได้ว่าครอบครัวกะเหรี่ยงบ้านดงดำอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ากะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆ (หน้า 105, 107) |
|
Demography |
ม้งที่บ้านดอยปุยมีจำนวนประชากร 81 หลังคาเรือน 167 ครอบครัว รวมทั้งหมด 848 คน (หน้า 105) ซึ่งในจำนวนนี้มีสตรีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 106 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 15-24 ปี มีจำนวน 38 คน รองลงมาได้แก่ช่วงอายุ 25-34 ปี และ 35-49 ปี โดยมีจำนวน 37 และ 31 คนตามลำดับ ในขณะที่กะเหรี่ยงที่บ้านดงดำมีจำนวนประชากรอาศัย 124 หลังคาเรือน 124 ครอบครัว รวมประชากรทั้งหมด 608 คน แบ่งเป็นชาย 289 คน และหญิง 319 คน (หน้า 106) โดยมีสตรีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 104 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 35-49 ปี มีจำนวน 49 คน รองลงมา คือ กลุ่มอายุ 25-34 ปี และ 15-24 ปี โดยมีจำนวน 30 และ 25 คนตามลำดับ (หน้า 44-45) |
|
Economy |
ม้งที่บ้านดอยปุยนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งคนไทยและต่างชาติมาเป็นประจำ จึงมีการขายของที่ระลึก เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ดอกไม้ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ถือเป็นรายได้ประจำ อีกส่วนหนึ่งได้ตั้งแผงขายของที่หน้าวัดพระธาตุดอยสุเทพหน้าพระตำหนักภูพิงค์ และนำไปขายที่ไนท์บาซาร์ในตัวเมือง ส่วนอาชีพทางการเกษตร ได้แก่ การปลูกข้าว เพื่อบริโภคและขาย นอกจากนี้ยังเลี้ยงสัตว์ ปลูกลิ้นจี่ กาแฟ (หน้า 106) ส่วนกะเหรี่ยงที่บ้านดงดำส่วนมากปลูกข้าวเพื่อบริโภคเท่านั้น ในบางปีก็ไม่เพียงพอต่อการบริโภคแม้ว่าจะปลูกทั้งข้าวไร่และนาดำ นอกจากนี้ ยังประกอบอาชีพเลียงสัตว์ รับจ้างการเกษตรกับคนจีน และงานหัตถกรรมในครัวเรือน เช่น การทอผ้าและการจักสารด้วยไม้ไผ่เพื่อใช้ในครัวเรือนและนำไปขาย (หน้า 107) เมื่อเปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจครอบครัวชาวเขาทั้ง 2 ชุมชนนั้น ครอบครัวม้งถือว่ามีฐานะดีมากกว่าครอบครัวกะเหรี่ยง แต่โดยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มฐานะยากจน (หน้า 44) นอกจากนี้ ตัวแปรด้านอาชีพมีผลต่อค่านิยมการมีบุตร โดยเฉพาะสตรีที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียวจะเห็นความสำคัญต่อการมีบุตรอย่างมาก ส่วนสตรีที่ทำงานนอกบ้านด้วยไม่ว่าในภาคเกษตรกรรมและไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมต่างเห็นความสำคัญในระดับที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ตัวแปรฐานะครอบครัวยังสัมพันธ์กับค่านิยมดังกล่าว โดยกลุ่มที่ฐานะยากจนและปานกลาง ยังจำเป็นต้องอาศัยแรงงานบุตรในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมทั้งเพื่อเป็นที่พึ่งพายามแก่ชรา ในขณะที่ครอบครัวที่มีฐานะดีเห็นความสำคัญการมีบุตรน้อยกว่ากลุ่มดังกล่าว (หน้า 52- 54) |
|
Social Organization |
ลักษณะโครงสร้างครอบครัวม้งมีสัดส่วนของครอบครัวเดี่ยว (52.8%) มากกว่าลักษณะครบอครัวขยาย (47.2%) เพียงเล็กน้อย สำหรับในชุมชนกะเหรี่ยงร้อยละ 99 มีลักษณะครอบครัวเดี่ยว ส่วนการประกอบอาชีพของสตรีม้งโดยมากไม่ได้ทำอาชีพเกษตรกรรม ในขณะที่สตรีกะเหรี่ยงนิยมทำการเกษตรและรองลงมาจะทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน (หน้า 44) |
|
Belief System |
การนับถือศาสนาของสตรีม้งนั้น มีทั้งการนับถือศาสนาเดียว ได้แก่ พุทธและคริสต์ และยังมีการนับถือผีร่วมกับศาสนาพุทธด้วย สำหรับสตรีกะเหรี่ยงดูเหมือนว่าจะไม่มีการนับถือผีร่วมศาสนาอื่น ซึ่งโดยส่วนใหญ่สตรีกะเหรี่ยงหันมานับถือศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาคริสต์ (หน้า 45) |
|
Education and Socialization |
กว่าร้อยละ 70 ของสตรีทั้ง 2 เผ่า ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งมีเพียง 17 คนของสตรีกะเหรี่ยงที่ได้เรียนสูงกว่าระดับ ป. 4 ในขณะที่สตรีม้งมีเพียง 10 คนเท่านั้น (หน้า 45) ซึ่งถือเป็นตัวแปรหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อค่านิยมการมีบุตร โดยผู้ที่ได้เรียนตั้งแต่ป.4 สามารถรับรู้ข่าวสารได้จากสื่อต่างๆ ทำให้เข้าใจและเห็นถึงปัญหาจากการมีบุตรมาก (หน้า 55) |
|
Health and Medicine |
ม้งบ้านดอยปุยจะรักษาพยาบาลด้วยยาแผนใหม่จากโรงพยาบาล คลีนิคในจังหวัดเชียงใหม่มากกว่าการเลี้ยงผี แต่ทั้งนี้ยังมีการรักษาพยาบาลควบคู่กับการเลี้ยงผี (หน้า 106) เช่นเดียวกับกะเหรี่ยงบ้านดงดำที่รักษาด้วยแพทย์สมัยใหม่มากกว่าการเลี้ยงผี ซึ่งได้รับจากเจ้าหน้าที่พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา หรือสาธารณสุขชุมชน หากมีผู้ป่วยอาการหนักจะส่งตัวไปโรงพยาบาลอำเภอฮอด (หน้า 108) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้เข้ามามีบทบาทจัดระเบียบหมู่บ้านและแนะนำให้ชาวบ้านรักษาวัฒนธรรมและประเพณีการแต่งกายไว้ โดยเฉพาะผู้หญิง (หน้า 106) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ค่านิยมต่อการมีบุตร สตรีทั้ง 2 เผ่าต่างให้ความสำคัญค่อนข้างสูง ซึ่งมาจากปัจจัยด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ที่มีผลต่อการตัดสินใจมีบุตร สำหรับม้งแล้วเหตุผลสำคัญคือ การมีบุตรไว้เพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ เพื่อเลี้ยงดูยามชรา และมีไว้เพื่อช่วยเหลือในการทำสวน ทำนา ทำไร่ ในลักกษณะเดียวกับกะเหรี่ยงที่เห็นว่าบุตรมีส่วนช่วยในเรื่องรายได้ และสามารถช่วยในการทำเกษตรกรรมได้ นอกจากนี้ ยังมีบุตรไว้เพื่อเป็นแรงงานในบางลักษณะ เช่น ช่วยงานบ้าน ดูแลน้อง 2. ด้านอารมณ์ โดยให้เหตุผลที่สำคัญในเรื่อง การมีความสุขในการเลี้ยงดูบุตรมากกว่าการไปทำงานนอกบ้าน การมีลูกช่วยให้พ่อแม่มีเพื่อนแก้เหงา และเพื่อช่วยคลายความเบื่อหน่าย เช่นเดียวกับสตรีกะเหรี่ยง แต่เหตุผลสำคัญที่สุดนั้น คือ บุตรช่วยลดความตึงเครียด 3. ด้านความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวและสืบสกุล โดยทั้ง 2 เผ่าต่างมีเหตุผลที่ตรงกันว่า การมีบุตรช่วยสืบสกุลขนบธรรมเนียมประเพณีของครอบครัว และเพื่อให้เป็นผู้รับมรดกจากบิดามารดา นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลอื่น เช่น ทำให้ครอบครัวมีความสุข ช่วยให้ชีวิตคู่ประสบผลสำเร็จ เป็นต้น 4.ด้านการพัฒนาตนเอง โดยเหตผุลทั้งหลายนั้นต่างนำไปสู่ความสำเร็จของชีวิต เช่น ลูกเป็นกำลังใจใหพ่อแม่สร้างฐานะให้มั่นคง ลูกสามารถทำกิจกรรมให้ลุล่วงได้ แทนพ่อแม่ เป็นส่วนส่งเสริมให้คู่สมรสประสบความสำเร็จ (หน้า 57-72, 78-79) |
|
|