สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ความรู้,มายาคติ,อัตลักษณ์,การปรับตัว,ความมั่นคงของชาติ,ประเทศไทย
Author ประสิทธิ์ ลีปรีชา
Title ความรู้และมายาคติเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 28 Year 2546
Source ชาติพันธุ์และมายาคติ กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
Abstract

ผู้เขียนได้สรุปว่า เนื่องจากอคติทางชาติพันธุ์ที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งไม่มีโอกาสชี้แจงบริบทที่แท้จริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ทำให้เกิดมายาคติว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาและภัยความมั่นคงของชาติในที่สุด ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่มีความชอบธรรมในการต่อรองอำนาจ และถูกกระทำจนกลายเป็นคนชายขอบในที่สุด ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอ้างความชอบธรรมเพื่อเลือกปฏิบัติและเกิดความรุนแรงตามมาได้ ฉะนั้นควรทำความเข้าใจอย่างถูกต้องถึงบริบทของเหตุการณ์และข้อมูลอย่างแยกแยะก่อนนำเสนอภาพตัวแทนนั้นกับสังคม (หน้า 50-51)

Focus

ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงมายาคติว่าด้วยภาพลักษณ์ของชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทย ที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งแตกต่างกับความเป็นจริง โดยมีบริบทต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ของสงครามอุดมการณ์ทางการเมือง การปลูกฝิ่น การจัดการทรัพยากร การปลูกพืชพาณิชย์ และยาเสพติด นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้นำเสนอความเป็นจริงในปัจจุบันที่มีการเคลื่อนไหว เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้สังคมม้งมีอำนาจการต่อรอง ซึ่งส่งผลต่อการดำรงอัตลักษณ์ของความเป็นม้ง (หน้า 25)

Theoretical Issues

ผู้เขียนได้ใช้ทฤษฎีวาทกรรมเป็นฐานคิดหลัก และแนวการศึกษาการรื้อถอนและสร้างใหม่ หรือการวิเคราะห์วาทกรรมอธิบายมายาคติที่มีต่อชาติพันธุ์ม้งในปัจจุบัน (พ.ศ. 2546) โดยมีแนวคิดอื่นประกอบ คือ การสร้างภาพตัวแทนทางการเมือง (Politic Representation หรือ Stereotype) อัตลักษณ์ (Identity) และท้องถิ่นนิยม (Localism) เพื่อชี้ให้เห็นบริบทและเงื่อนไขที่สังคมม้งได้พยายามเคลื่อนไหวเพื่อสร้างวาทกรรมใหม่ที่ต่างไปจากวาทกรรมครอบงำ เพื่อภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์ม้งในบริบทของท้องถิ่นนิยมและโลกาภิวัตน์ (หน้า 23-25) ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า ม้ง ได้ถูกสร้างภาพลักษณ์ในหลายลักษณะ เช่น เป็น "แม้วแดง" หรือ "แม้วคอมมิวนิสต์" หรือเป็น "ผู้ทำลายป่า" และเป็น "ผู้ค้ายาบ้า" ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศชาติ ทำให้ม้งกลายเป็นผู้ต้องหาของสังคม และเป็นที่เข้าใจผิด ม้งจึงจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจใหม่จากพื้นฐานวัฒนธรรมที่มีอยู่ เช่น การบวชป่าดงเซ้งเพื่อสร้างป่าชุมชน และใช้ระบบเครือญาติ รื้อฟื้นความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmoob) ในสังคมไทย ซึ่งในบริบทของประเทศจีนเรียกว่า "เหมียว" แต่บริบทในประเทศเวียตนาม ลาว และไทยมักเรียกว่า "แม้ว" (หน้า 25-26, 28)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเคยอยู่อาศัยในพื้นที่ราบลุ่มของแม่น้ำเหลืองในศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นได้อพยพลงไปทางใต้ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย (หน้า 26)

Settlement Pattern

ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยทั้งหมดล้วนอพยพมาจากประเทศจีนเมื่อประมาณไม่เกิน 200 ปี ซึ่งปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยในจำนวน 13 จังหวัด (หน้า 26-27)

Demography

จากการสำรวจโดยสถาบันวิจัยชาวเขาในปี พ.ศ. 2541 มีชาวไทยม้งทั้งสิ้น 126,300 คน โดยมีทั้งสิ้น 206 หมู่บ้าน 15,704 ครัวเรือน (หน้า 27-28)

Economy

ผู้เขียนได้อธิบายเศรษฐกิจของชาติพันธุ์ม้งโดยทั่วไปเพื่อชี้ให้เห็นมายาคติในปัจจุบันว่า เนื่องจากวัฒนธรรมการทำไร่เลื่อนลอยที่ถูกเรียกในตอนหลัง (ไร่ย้ายที่แบบหมุนเวียน-ผู้สรุป) ซึ่งมีการปลูกฝิ่นเป็นรายได้หลัก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐในอดีต แต่ต่อมาต้นทศวรรษ 2510 เป็นต้นมาได้ปลูกพืชพาณิชย์ทดแทนตามนโยบายการปราบปรามฝิ่นของรัฐ ซึ่งมีการใช้พื้นที่และสารเคมีจำนวนมาก ทำให้ปัจจุบันชาติพันธุ์ม้งถูกวาทกรรมของวิถีการผลิตดังกล่าวสร้างภาพตัวแทนเชิงลบให้ชาติพันธุ์ม้งมีภาพลักษณ์เป็นผู้ทำลายทรัพยากรแวดล้อม (หน้า 37-40)

Social Organization

ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยมีองค์กรทางสังคมทั้งที่ไม่เป็นทางการ กึ่งทางการ และเป็นทางการ คือ การที่ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยมี 2 กลุ่ม คือ ม้งเด๊อะ (ม้งขาว-Hmoob Dawb) และม้งเหล่งหรือม้งนจั๊วะ (ม้งเขียว-Moob Leeg/Moob Ntsuab) โดยทั้งสองกลุ่มมีจารีต พิธีกรรม ประเพณี และสำเนียงภาษาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก (หน้า 27) ซึ่งได้ใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติเป็นฐานในการสร้างกลุ่มกึ่งทางการขึ้น เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติด การจัดการทรัพยากรป่าไม้ (หน้า 46-48) ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้มีการศึกษาได้ร่วมกับผู้นำชุมชนจัดตั้งองค์กรทางการขึ้น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมม้ง โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจ และตอบโต้การนำเสนอภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์ให้ถูกต้อง (หน้า 49-50)

Political Organization

จากผลกระทบของนโยบายการสร้างอัตลักษณ์ของชาติไทยของรัฐไทย ที่ยึดการสร้างความเป็นอื่นให้กลุ่มคนผู้ด้อยอำนาจกว่า (หน้า 24) มาโดยตลอด ทำให้ในช่วงทศวรรษกว่าที่ผ่านมา ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยได้สร้างองค์กรที่สัมพันธ์กับอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะรัฐไทยทั้งในระดับจังหวัดและประเทศชาติ เพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับไทยม้ง ดังเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งและสมาคมสร้างสรรค์และพัฒนาม้งในประเทศไทย สามารถเป็นกลไกในการประสาน และปฏิบัติการในลักษณะร่วมกันเคลื่อนไหวทางสังคม ในฐานะเป็นการเมืองภาคประชาสังคมร่วมกับพันธมิตรแนวร่วมอื่น ๆ (หน้า 46, 49-50)

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ผู้เขียนได้กล่าวถึงอัตลักษณ์เชิงลบที่ถูกสร้างขึ้นให้กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงหรือชาวเขา โดยเฉพาะม้ง ในแง่ที่ถูกสร้างให้กลายเป็นอื่น โดยเฉพาะสื่อในฐานะเป็นวาทกรรมนับแต่ต้นทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการสร้างตัวตนเชิงสัญลักษณ์ให้คนทั่วไปเชื่อว่าชาติพันธุ์ม้งเป็นภัยต่อความมั่งคงของชาติ (หน้า 29) ซึ่งถูกสร้างขึ้นใน 3 บทริบท คือ 1) ภาพลักษณ์ "แม้วแดง" ในบริบทของสงครามแย่งชิงอุดมการณ์ทางการเมือง โดยในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐมักขูดรีดภาษีเถื่อน ข่มขู่ และทำหลายทรัพย์สินชาวบ้าน ในที่สุดชาวบ้านได้กลายเป็นฐานและเครื่องมือให้กับผู้นำทางการเมืองลัทธิคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเคียดแค้นที่รัฐไม่มีความเป็นธรรม (หน้า 29-34) 2) ภาพลักษณ์ผู้ปลูกฝิ่นและทำลายป่า ในบริบทการปราบปรามฝิ่นและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเวลาต่อมา ซึ่งแท้ที่จริงรัฐบาลเคยให้สัมปทานไม้และส่งเสริมปลูก ขาย และสูบฝิ่นและอย่างถูกต้องตามกฎหมายในต้นทศวรรษ 2480 แล้ว แต่เมื่อรัฐมีนโยบายปราบปรามฝิ่นในต้นทศวรรษ 2520 ด้วยการปลูกพืชเงินสดเชิงเดี่ยวทดแทน ซึ่งมีการใช้พื้นที่และสารเคมีกันมาก ทำให้ชาติพันธุ์ม้งมีภาพลักษณ์เป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อม ภายใต้บริบทการแย่งชิงทรัพยากรในที่สุด (หน้า 35-40) 3) ภาพลักษณ์ "ม้งยาบ้า" โดยการนำเสนอภาพตัวแทนของสื่ออย่างไม่แยกแยะ โดยไม่สนใจความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แม้ชาวบ้านจะเป็นเพียงเครื่องมือของผู้มีอำนาจมากกว่าจะเป็นต้นเหตุ ทำให้มายาคติดังกล่าวได้ส่งผลให้เป็นข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตามมาในที่สุด (หน้า 41-43) ฉะนั้นผู้เขียนจึงเสนอให้ควรมีการจำแนกแยกแยะบริบทที่แท้จริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงอันเนื่องมาจากอคติทางชาติพันธุ์ (หน้า 50-51)

Social Cultural and Identity Change

ผู้เขียนได้อธิบายว่าชุดของมายาคติต่าง ๆ ซึ่งตอกย้ำให้ชาติพันธุ์ม้งเสียความชอบธรรมในการต่อรองอำนาจน้อยลง ทำให้ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้ตื่นตัวร่วมกับภาคประชาสังคมเคลื่อนไหวเพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางบวกให้กับตัวเอง ซึ่งมีทั้งการพัฒนาเชิงต่อยอดให้กับทุนทางสังคม วัฒนธรรม ภายใต้บริบทที่รัฐเริ่มมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนได้ให้ความสำคัญกับท้องถิ่นนิยม ซึ่งได้เปิดพื้นที่ให้ชาติพันธุ์ม้งสร้างองค์กรในฐานะเป็นกลไกในระดับเครือข่ายและชาติพันธุ์ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมวัฒนธรรม ยาเสพติด การจัดการและอ้างสิทธิชุมชนเหนือทรัพยากรบนพื้นที่สูง ทั้งนี้เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการในระดับโครงสร้าง สถาบันต่าง ๆ (หน้า 43-48) โดยเฉพาะการสร้างทุนเชิงสัญลักษณ์ใหม่ๆ และการตอบโต้การนำเสนอภาพตัวแทนที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น จัดงานเทิดพระเกียรติฯ (หน้า 49-50) ตลอดจนการแก้ข่าว (หน้า 42) เป็นต้น

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

หลังการนำเสนอบทความ ได้มีการอภิปรายและตั้งคำถามถึงประเด็นการนำเสนอเรื่องมายาคติอย่างหลากหลาย โดยศาสตราจารย์ ดร. อมรา พงศาพิชญ์ ได้กล่าวว่าที่นำเสนอนั้นมีแต่มุมมองทางเดียวคือเป็นภาพที่ถูกสร้างโดยรัฐ ซึ่งได้ใช้แนวคิดรัฐศาสตร์ทำความเข้าใจชาติพันธุ์เท่านั้น โดยละเลยมุมมองทางมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และการพัฒนา ฉะนั้นควรเน้นการอธิบายอัตลักษณ์ที่เป็นของผู้ถูกศึกษาด้วย เพราะอัตลักษณ์เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 142-144) ในขณะที่ ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ ได้แย้งว่า การนำเสนอความต่างทางวัฒนธรรมในมุมมองต่าง ๆ นั้น ในที่สุดก็อาจเป็นเพียงภาพสะท้อนความจริงชุดหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น ควรตระหนักถึงบริบทของเรื่องที่นำเสนอเนื่องจากเป็นเรื่องการเมืองของการสะท้อนความจริงที่มีนัยเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพื่อกีดกันหรือเข้าถึงทรัพยากร (Acess to Resources) ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับการปฏิบัติในทางนโยบายได้ (หน้า 146-150) นอกจากนี้ ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ยังได้เสริมว่าควรมีการนำเสนอภาพของม้งโดยม้งนั้นในฐานะเป็นการปฏิบัติการ (Practice) ของรูปแบบการต่อรอง ขัดขืน และตอบโต้ (Resistance) ของผู้ซึ่งตกอยู่ในภาวะที่ถูกสร้างภาพตัวแทนขึ้นด้วย (หน้า 155-157) หลังจากมีการแสดงความคิดเห็นจากที่ประชุมแล้ว ดร. อานันท์ กาญจนพันธุ์ ก็ได้เปิดเวทีให้ทุกคนได้แสดงความเห็นว่า เรื่องชาติพันธุ์เป็นเพียงภาพหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ามีความหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายนั้นเป็นพลังที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายได้ โดยเฉพาะช่วยเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับคนที่มักถูกกีดกันสิทธิ (หน้า 158-159) ในทำนองเดียวกัน ศาสตราจารย์ ดร. เอกวิทย์ ณ ถลาง มองว่าความหลากหลายนั้นเป็นความมั่งคั่ง (หน้า 161) อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมได้มีความคิดว่าจะจัดการวัฒนธรรมอย่างไรให้มีจุดร่วม ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม (หน้า 162) ซึ่งในตอนท้ายศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี ได้เน้นย้ำถึงคุณค่าของความหลากหลายว่าเป็นหลักการพื้นฐานที่ต้องทำความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่ความเคารพกันในฐานะเป็นบรมธรรม (หน้า 164-165)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้ตารางเปรียบเทียบจำนวนประชากรชาติพันธุ์ม้งทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย (หน้า 27-28) และใช้รูปภาพเพื่ออธิบายสภาพของปัญหา และการปฏิบัติการเพื่อต่อรองอำนาจในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน (หน้า 41, 44)

Text Analyst อะภัย วาณิชประดิษฐ์ Date of Report 08 มี.ค 2548
TAG ม้ง, ความรู้, มายาคติ, อัตลักษณ์, การปรับตัว, ความมั่นคงของชาติ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง