|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,ความรู้,มายาคติ,อัตลักษณ์,การปรับตัว,ความมั่นคงของชาติ,ประเทศไทย |
Author |
ประสิทธิ์ ลีปรีชา |
Title |
ความรู้และมายาคติเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
28 |
Year |
2546 |
Source |
ชาติพันธุ์และมายาคติ กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม |
Abstract |
ผู้เขียนได้สรุปว่า เนื่องจากอคติทางชาติพันธุ์ที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งไม่มีโอกาสชี้แจงบริบทที่แท้จริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ทำให้เกิดมายาคติว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาและภัยความมั่นคงของชาติในที่สุด ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่มีความชอบธรรมในการต่อรองอำนาจ และถูกกระทำจนกลายเป็นคนชายขอบในที่สุด ซึ่งอาจก่อให้เกิดการอ้างความชอบธรรมเพื่อเลือกปฏิบัติและเกิดความรุนแรงตามมาได้ ฉะนั้นควรทำความเข้าใจอย่างถูกต้องถึงบริบทของเหตุการณ์และข้อมูลอย่างแยกแยะก่อนนำเสนอภาพตัวแทนนั้นกับสังคม (หน้า 50-51) |
|
Focus |
ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นถึงมายาคติว่าด้วยภาพลักษณ์ของชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทย ที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งแตกต่างกับความเป็นจริง โดยมีบริบทต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ของสงครามอุดมการณ์ทางการเมือง การปลูกฝิ่น การจัดการทรัพยากร การปลูกพืชพาณิชย์ และยาเสพติด
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้นำเสนอความเป็นจริงในปัจจุบันที่มีการเคลื่อนไหว เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้สังคมม้งมีอำนาจการต่อรอง ซึ่งส่งผลต่อการดำรงอัตลักษณ์ของความเป็นม้ง (หน้า 25) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้ใช้ทฤษฎีวาทกรรมเป็นฐานคิดหลัก และแนวการศึกษาการรื้อถอนและสร้างใหม่ หรือการวิเคราะห์วาทกรรมอธิบายมายาคติที่มีต่อชาติพันธุ์ม้งในปัจจุบัน (พ.ศ. 2546) โดยมีแนวคิดอื่นประกอบ คือ การสร้างภาพตัวแทนทางการเมือง (Politic Representation หรือ Stereotype) อัตลักษณ์ (Identity) และท้องถิ่นนิยม (Localism) เพื่อชี้ให้เห็นบริบทและเงื่อนไขที่สังคมม้งได้พยายามเคลื่อนไหวเพื่อสร้างวาทกรรมใหม่ที่ต่างไปจากวาทกรรมครอบงำ เพื่อภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์ม้งในบริบทของท้องถิ่นนิยมและโลกาภิวัตน์ (หน้า 23-25)
ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า ม้ง ได้ถูกสร้างภาพลักษณ์ในหลายลักษณะ เช่น เป็น "แม้วแดง" หรือ "แม้วคอมมิวนิสต์" หรือเป็น "ผู้ทำลายป่า" และเป็น "ผู้ค้ายาบ้า" ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศชาติ ทำให้ม้งกลายเป็นผู้ต้องหาของสังคม และเป็นที่เข้าใจผิด ม้งจึงจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจใหม่จากพื้นฐานวัฒนธรรมที่มีอยู่ เช่น การบวชป่าดงเซ้งเพื่อสร้างป่าชุมชน และใช้ระบบเครือญาติ รื้อฟื้นความเข้มแข็งของชุมชนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง (Hmoob) ในสังคมไทย ซึ่งในบริบทของประเทศจีนเรียกว่า "เหมียว" แต่บริบทในประเทศเวียตนาม ลาว และไทยมักเรียกว่า "แม้ว" (หน้า 25-26, 28) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเคยอยู่อาศัยในพื้นที่ราบลุ่มของแม่น้ำเหลืองในศตวรรษที่ 27 ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นได้อพยพลงไปทางใต้ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย (หน้า 26) |
|
Settlement Pattern |
ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยทั้งหมดล้วนอพยพมาจากประเทศจีนเมื่อประมาณไม่เกิน 200 ปี ซึ่งปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยในจำนวน 13 จังหวัด (หน้า 26-27) |
|
Demography |
จากการสำรวจโดยสถาบันวิจัยชาวเขาในปี พ.ศ. 2541 มีชาวไทยม้งทั้งสิ้น 126,300 คน โดยมีทั้งสิ้น 206 หมู่บ้าน 15,704 ครัวเรือน (หน้า 27-28) |
|
Economy |
ผู้เขียนได้อธิบายเศรษฐกิจของชาติพันธุ์ม้งโดยทั่วไปเพื่อชี้ให้เห็นมายาคติในปัจจุบันว่า เนื่องจากวัฒนธรรมการทำไร่เลื่อนลอยที่ถูกเรียกในตอนหลัง (ไร่ย้ายที่แบบหมุนเวียน-ผู้สรุป) ซึ่งมีการปลูกฝิ่นเป็นรายได้หลัก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐในอดีต
แต่ต่อมาต้นทศวรรษ 2510 เป็นต้นมาได้ปลูกพืชพาณิชย์ทดแทนตามนโยบายการปราบปรามฝิ่นของรัฐ ซึ่งมีการใช้พื้นที่และสารเคมีจำนวนมาก ทำให้ปัจจุบันชาติพันธุ์ม้งถูกวาทกรรมของวิถีการผลิตดังกล่าวสร้างภาพตัวแทนเชิงลบให้ชาติพันธุ์ม้งมีภาพลักษณ์เป็นผู้ทำลายทรัพยากรแวดล้อม (หน้า 37-40) |
|
Social Organization |
ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยมีองค์กรทางสังคมทั้งที่ไม่เป็นทางการ กึ่งทางการ และเป็นทางการ คือ การที่ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยมี 2 กลุ่ม คือ ม้งเด๊อะ (ม้งขาว-Hmoob Dawb) และม้งเหล่งหรือม้งนจั๊วะ (ม้งเขียว-Moob Leeg/Moob Ntsuab) โดยทั้งสองกลุ่มมีจารีต พิธีกรรม ประเพณี และสำเนียงภาษาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก (หน้า 27) ซึ่งได้ใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติเป็นฐานในการสร้างกลุ่มกึ่งทางการขึ้น เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติด การจัดการทรัพยากรป่าไม้ (หน้า 46-48) ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้มีการศึกษาได้ร่วมกับผู้นำชุมชนจัดตั้งองค์กรทางการขึ้น เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมม้ง โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจ และตอบโต้การนำเสนอภาพลักษณ์ทางชาติพันธุ์ให้ถูกต้อง (หน้า 49-50) |
|
Political Organization |
จากผลกระทบของนโยบายการสร้างอัตลักษณ์ของชาติไทยของรัฐไทย ที่ยึดการสร้างความเป็นอื่นให้กลุ่มคนผู้ด้อยอำนาจกว่า (หน้า 24) มาโดยตลอด ทำให้ในช่วงทศวรรษกว่าที่ผ่านมา ชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทยได้สร้างองค์กรที่สัมพันธ์กับอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะรัฐไทยทั้งในระดับจังหวัดและประเทศชาติ เพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับไทยม้ง ดังเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งและสมาคมสร้างสรรค์และพัฒนาม้งในประเทศไทย สามารถเป็นกลไกในการประสาน และปฏิบัติการในลักษณะร่วมกันเคลื่อนไหวทางสังคม ในฐานะเป็นการเมืองภาคประชาสังคมร่วมกับพันธมิตรแนวร่วมอื่น ๆ (หน้า 46, 49-50) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงอัตลักษณ์เชิงลบที่ถูกสร้างขึ้นให้กลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงหรือชาวเขา โดยเฉพาะม้ง ในแง่ที่ถูกสร้างให้กลายเป็นอื่น โดยเฉพาะสื่อในฐานะเป็นวาทกรรมนับแต่ต้นทศวรรษ 2510 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นการสร้างตัวตนเชิงสัญลักษณ์ให้คนทั่วไปเชื่อว่าชาติพันธุ์ม้งเป็นภัยต่อความมั่งคงของชาติ (หน้า 29) ซึ่งถูกสร้างขึ้นใน 3 บทริบท คือ
1) ภาพลักษณ์ "แม้วแดง" ในบริบทของสงครามแย่งชิงอุดมการณ์ทางการเมือง โดยในขณะนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐมักขูดรีดภาษีเถื่อน ข่มขู่ และทำหลายทรัพย์สินชาวบ้าน ในที่สุดชาวบ้านได้กลายเป็นฐานและเครื่องมือให้กับผู้นำทางการเมืองลัทธิคอมมิวนิสต์ เนื่องจากเคียดแค้นที่รัฐไม่มีความเป็นธรรม (หน้า 29-34)
2) ภาพลักษณ์ผู้ปลูกฝิ่นและทำลายป่า ในบริบทการปราบปรามฝิ่นและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเวลาต่อมา ซึ่งแท้ที่จริงรัฐบาลเคยให้สัมปทานไม้และส่งเสริมปลูก ขาย และสูบฝิ่นและอย่างถูกต้องตามกฎหมายในต้นทศวรรษ 2480 แล้ว แต่เมื่อรัฐมีนโยบายปราบปรามฝิ่นในต้นทศวรรษ 2520 ด้วยการปลูกพืชเงินสดเชิงเดี่ยวทดแทน ซึ่งมีการใช้พื้นที่และสารเคมีกันมาก ทำให้ชาติพันธุ์ม้งมีภาพลักษณ์เป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อม ภายใต้บริบทการแย่งชิงทรัพยากรในที่สุด (หน้า 35-40)
3) ภาพลักษณ์ "ม้งยาบ้า" โดยการนำเสนอภาพตัวแทนของสื่ออย่างไม่แยกแยะ โดยไม่สนใจความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แม้ชาวบ้านจะเป็นเพียงเครื่องมือของผู้มีอำนาจมากกว่าจะเป็นต้นเหตุ ทำให้มายาคติดังกล่าวได้ส่งผลให้เป็นข้ออ้างในการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตามมาในที่สุด (หน้า 41-43)
ฉะนั้นผู้เขียนจึงเสนอให้ควรมีการจำแนกแยกแยะบริบทที่แท้จริงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงอันเนื่องมาจากอคติทางชาติพันธุ์ (หน้า 50-51) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนได้อธิบายว่าชุดของมายาคติต่าง ๆ ซึ่งตอกย้ำให้ชาติพันธุ์ม้งเสียความชอบธรรมในการต่อรองอำนาจน้อยลง ทำให้ตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520 กลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้ตื่นตัวร่วมกับภาคประชาสังคมเคลื่อนไหวเพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางบวกให้กับตัวเอง ซึ่งมีทั้งการพัฒนาเชิงต่อยอดให้กับทุนทางสังคม วัฒนธรรม ภายใต้บริบทที่รัฐเริ่มมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนได้ให้ความสำคัญกับท้องถิ่นนิยม ซึ่งได้เปิดพื้นที่ให้ชาติพันธุ์ม้งสร้างองค์กรในฐานะเป็นกลไกในระดับเครือข่ายและชาติพันธุ์ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมวัฒนธรรม ยาเสพติด การจัดการและอ้างสิทธิชุมชนเหนือทรัพยากรบนพื้นที่สูง ทั้งนี้เพราะปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการในระดับโครงสร้าง สถาบันต่าง ๆ (หน้า 43-48) โดยเฉพาะการสร้างทุนเชิงสัญลักษณ์ใหม่ๆ และการตอบโต้การนำเสนอภาพตัวแทนที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น จัดงานเทิดพระเกียรติฯ (หน้า 49-50) ตลอดจนการแก้ข่าว (หน้า 42) เป็นต้น |
|
Other Issues |
หลังการนำเสนอบทความ ได้มีการอภิปรายและตั้งคำถามถึงประเด็นการนำเสนอเรื่องมายาคติอย่างหลากหลาย โดยศาสตราจารย์ ดร. อมรา พงศาพิชญ์ ได้กล่าวว่าที่นำเสนอนั้นมีแต่มุมมองทางเดียวคือเป็นภาพที่ถูกสร้างโดยรัฐ ซึ่งได้ใช้แนวคิดรัฐศาสตร์ทำความเข้าใจชาติพันธุ์เท่านั้น โดยละเลยมุมมองทางมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และการพัฒนา ฉะนั้นควรเน้นการอธิบายอัตลักษณ์ที่เป็นของผู้ถูกศึกษาด้วย เพราะอัตลักษณ์เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 142-144)
ในขณะที่ ดร. ชยันต์ วรรธนะภูติ ได้แย้งว่า การนำเสนอความต่างทางวัฒนธรรมในมุมมองต่าง ๆ นั้น ในที่สุดก็อาจเป็นเพียงภาพสะท้อนความจริงชุดหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น ควรตระหนักถึงบริบทของเรื่องที่นำเสนอเนื่องจากเป็นเรื่องการเมืองของการสะท้อนความจริงที่มีนัยเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพื่อกีดกันหรือเข้าถึงทรัพยากร (Acess to Resources) ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับการปฏิบัติในทางนโยบายได้ (หน้า 146-150)
นอกจากนี้ ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ยังได้เสริมว่าควรมีการนำเสนอภาพของม้งโดยม้งนั้นในฐานะเป็นการปฏิบัติการ (Practice) ของรูปแบบการต่อรอง ขัดขืน และตอบโต้ (Resistance) ของผู้ซึ่งตกอยู่ในภาวะที่ถูกสร้างภาพตัวแทนขึ้นด้วย (หน้า 155-157) หลังจากมีการแสดงความคิดเห็นจากที่ประชุมแล้ว
ดร. อานันท์ กาญจนพันธุ์ ก็ได้เปิดเวทีให้ทุกคนได้แสดงความเห็นว่า เรื่องชาติพันธุ์เป็นเพียงภาพหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่ามีความหลากหลาย ซึ่งความหลากหลายนั้นเป็นพลังที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบายได้ โดยเฉพาะช่วยเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับคนที่มักถูกกีดกันสิทธิ (หน้า 158-159)
ในทำนองเดียวกัน ศาสตราจารย์ ดร. เอกวิทย์ ณ ถลาง มองว่าความหลากหลายนั้นเป็นความมั่งคั่ง (หน้า 161)
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมได้มีความคิดว่าจะจัดการวัฒนธรรมอย่างไรให้มีจุดร่วม ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม (หน้า 162) ซึ่งในตอนท้ายศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี ได้เน้นย้ำถึงคุณค่าของความหลากหลายว่าเป็นหลักการพื้นฐานที่ต้องทำความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่ความเคารพกันในฐานะเป็นบรมธรรม (หน้า 164-165) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางเปรียบเทียบจำนวนประชากรชาติพันธุ์ม้งทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย (หน้า 27-28) และใช้รูปภาพเพื่ออธิบายสภาพของปัญหา และการปฏิบัติการเพื่อต่อรองอำนาจในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน (หน้า 41, 44) |
|
|