|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,นิทานพื้นบ้าน,สภาพความเป็นอยู่,โลกทัศน์,ความเชื่อ,เชียงใหม่ |
Author |
รัตนาภรณ์ อัตธรรมรัตน์ |
Title |
วิเคราะห์นิทานพื้นบ้านชาวเขาเผ่าม้ง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
250 |
Year |
2532 |
Source |
หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร |
Abstract |
เป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้านม้งจำนวน 49 เรื่อง จำแนกออกได้ 6 ประเภทคือ นิทานชีวิต นิทานวีรบุรุษ นิทานประจำถิ่น ตำนาน นิทานอธิบายเหตุ นิทานมุขตลก และวิเคราะห์เรื่องราวที่ปรากฏในนิทานเหล่านั้นครอบคลุมเนื้อหาด้านสภาพความเป็นอยู่ โลกทัศน์ ความคิด - ความเชื่อ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของม้งบ้านบวกจั๋นและม้งบ้านบวกเต๋ย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Focus |
รวบรวมและจำแนกนิทานพื้นบ้าน สภาพความเป็นอยู่ โลกทัศน์ ความคิด ความเชื่อ และทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านของม้งบ้านบวกจั๋น และบ้านบวกเต๋ย ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
"ม้ง" เป็นเชื้อสายตระกูล จีน-ธิเบต (Sino-Tebetan Stock) ซึ่งเป็นเชื้อสายเดียวกับเผ่าเย้า "ม้ง" มักชอบเรียกตัวเองว่า "ม้ง" (Hmong) แปลว่า "อิสรชน" มากกว่าเรียกตัวเองว่า "แม้ว" ซึ่งแปลว่า "คนเถื่อน" ส่วนในประเทศไทยโดยทั่วไปมักเรียกว่า "แม้ว" ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกันทั่วไปในประเทศไทย ลาว เวียดนาม และฝรั่งเศส ปัจจุบันรัฐบาลไทยพยายามเปลี่ยนให้คนทั่วไปเรียก "ม้ง" เพื่อสนองความต้องการของม้งในประเทศไทย (หน้า 19-20) ผู้เขียนเรียกว่า "ม้ง" แต่ในนิทานพื้นบ้านที่ผู้เขียนนำเสนอใช้คำว่า "แม้ว"
... ม้งในประเทศไทยแบ่งออกเป็นอย่างน้อย 3 พวก ได้แก่ "ม้งขาว-Maeo Khao" "ม้งลาย-Maeo Lai" "ม้งดำ-Blue Maeo" (หน้า 20)
... บ้านบวกจั๋น ส่วนใหญ่เป็นม้งลาย มีม้งขาวอยู่บ้างเล็กน้อย บ้านบวกเต๋ย ส่วนใหญ่เป็นม้งลายและม้งขาว (หน้า 18) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งไม่มีภาษาที่แน่นอน เพราะม้งไม่มีภาษาเขียน ส่วนใหญ่จะยืมภาษาจากชาติอื่นมาใช้ เช่น ภาษาจีน ภาษายูนนาน ภาษาลาว และภาษาไทยเหนือ ฯลฯ ดังนั้นม้งจึงไม่มีภาษาพูดและภาษาเขียนที่แน่นอนเป็นของตนเอง การสื่อสารในสมัยก่อนจะใช้เครื่องหมายแทนตัวหนังสือ ปัจจุบันม้งได้รับการศึกษามากขึ้นจากโรงเรียนทั้งของรัฐบาลและมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนา จึงสามารถสื่อสารกับคนไทยพื้นราบได้อย่างเข้าใจมากขึ้น (หน้า 20-21) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ม้งตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีนและประเทศต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์ คือ เวียดนาม พม่า ลาว และไทย ขณะที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศจีน มีอาณาจักรเป็นของตนเองและมีกษัตริย์ปกครอง ต่อมาเมื่อราชวงศ์แมนจูขึ้นครองราชย์ มีนโยบายปราบปรามม้ง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ม้งมีแต่สูญเสีย ในที่สุดจึงอพยพมาทางใต้ในมณฑลตังเกี๋ย แต่เกิดการสู้รบกับญวนอีก จึงหนีกระจัดกระจายขึ้นไปบนภูเขาสูง บริเวณแคว้นสิบสองจุไท และสิบสองปันนา
ม้งบางกลุ่มอพยพไปอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาว และในราว พ.ศ. 2400 ก็อพยพเข้าสู่ประเทศไทย ปัจจุบันม้งในประเทศไทยส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานในเขตภูเขาสูงในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน เลย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ (หน้า 19-20)
บ้านบวกจั๋น ในนิทานเรื่อง "บ้านบวกจั่น" กล่าวว่า เมื่อนานมาแล้วม้งอพยพมาเรื่อยๆ จากประเทศจีน แล้วกระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ บนภูเขา ย้ายไปเรื่อย ๆ เพื่อหาที่เหมาะสมในการประกอบอาชีพ จนมาพบที่อุดมสมบูรณ์ที่ "บ้านบวกจั๋น" ตั้งอยู่นี้ เพราะมีหนองน้ำขนาดกว้างพอประมาณ ซึ่งคนไทยเหนือเรียกว่า "บวก" และเป็นบริเวณที่มี "ต้นจันทน์" อยู่มากมาย จึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า"บ้านบวกจั๋น" (หน้า 115-116, 227)
บ้านบวกเต๋ย ตามนิทานพื้นบ้าน เรื่อง "บ้านบวกเต๋ย" กล่าวไว้ว่าม้งกลุ่มหนึ่งอพยพมาจากทางเหนือของประเทศไทย เข้ามาใน
เชียงรายก่อน แล้วเคลื่อนย้ายไปเรื่อย ๆ ในตอนนั้นมีม้งกลุ่มอื่น ๆ อพยพมาก่อนแล้ว กลุ่มนี้มาทีหลัง จึงมาอยู่ตรงปลายภูเขา ครั้นเมื่อจะตั้งชื่อหมู่บ้าน เห็นว่า ม้งกลุ่มอื่นที่มาอยู่ก่อนตั้งชื่อหมู่บ้านตามสภาพท้องถิ่น และตรงที่มาอยู่มีหนองน้ำ (บวก) และเป็นหมู่บ้านที่มาอยู่ทีหลัง จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านบวกเต๋ย" (เต๋ย หมายถึง ล่าช้า หลังสุด) (หน้า 228) |
|
Settlement Pattern |
ม้งนิยมปลูกบ้านหันไปทางไหล่เขา ส่วนมากไม่นิยมทำรั้วบ้าน บ้านเรือนของม้งจะปลูกเป็นโรงคลุมพื้นดินที่ทุบจนแน่น ยกพื้นสูงเฉพาะที่นอน นอกนั้นพื้นจะเป็นโรงคลุมพื้นดิน ใช้วัสดุธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณนั้นปลูกเรือน ฝาบ้านใช้ฟากตั้งเรียงกัน ขนาบด้วยไม้ไผ่ทั้งข้างล่างข้างบน หลังคามุงด้วยไม้ไผ่ผ่าซีก หรือใบคา หรือใบอ้อ ภายในบ้านตรงกลางจะมีเตาไฟตั้งอยู่บนพื้นดินสำหรับผิงไฟ มีที่วางน้ำชาสำหรับแขก และมีเตาไฟสำหรับทำอาหาร มีประตูผี (ขอตรังต่า) ด้านหนึ่ง ประตูธรรมดา (ขอตรังสั่ว) อยู่ผนังคนละด้านกับประตูผี มีห้องเก็บพืชไร่ (ซ้าเป๊าะกื่อ) มีชั้นวางของ (เซ้ง) ห้องนอน และครกกระเดื่อง (จ่อ) (ผังภาพประกอบ 7 หน้า 26) บริเวณที่ติดกับตัวบ้านอาจจะมีโรงม้า เล้าไก่ คอกหมู แต่ละบ้านจะจัดแบ่งส่วนในบ้านเหมือนๆ กัน แต่อาจมีส่วนผิดเพี้ยนไปบ้างขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในครัวเรือนนั้นๆ (หน้า 25-27) |
|
Demography |
บ้านบวกจั๋น มีประชากรประมาณ 62 หลังคาเรือน จำนวน 208 คน เป็นชาย 99 คน หญิง 109 คน เด็ก 54 คน
บ้านบวกเต๋ย มีประชากรทั้งหมด 49 หลังคาเรือน มีจำนวนประชากร 176 คน เป็นชาย 91 คน หญิง 85 คน เด็ก 10 คน (หน้า 18)
ปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากรม้ง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ม้งมีการอพยพเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ ในนิทานพื้นบ้านม้งเรื่อง "น้ำท่วมโลก" ได้กล่าวถึงการเกิดคนและประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าหลังน้ำท่วมโลกมีมนุษย์เหลืออยู่ 2 คน ทั้งคู่แต่งงานกัน และให้กำเนิดลูกหลานออกมามากมาย เมื่อมนุษย์มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แออัด ซึ่งมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ร่วมกันจนทำให้เกิดความไม่สงบ จึงมีผีหรือพญานาคมาทำให้คนตายลงมากมาย ดังนิทานเรื่อง "ผู้พิชิตนาค" กล่าวถึง มนุษย์สมัยก่อนแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว มีการข่มแหงรังแกกัน พระเจ้าจึงให้พญานาคทำน้ำท่วมโลก ต่อมาไม่นานมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นอีก พญานาคจึงมาจับมนุษย์ไปกิน ทำให้มนุษย์เดือดร้อน พระเจ้าจึงสั่งให้เทพเจ้า 2 องค์ลงมาช่วย ด้วยการจับพญานาคล่ามโซ่ไว้ไม่ให้ขึ้นไปจับมนุษย์อีก (หน้า 121-122) |
|
Economy |
ม้งมีรายได้สูงรองจากเย้าและจีนฮ่อ มีรายได้โดยเฉลี่ยประมาณปีละ 3,000-5,000 บาทต่อครอบครัว ม้งทำไร่แบบเลื่อนลอยตัดต้นไม้แล้วเผา จะลงมือถางไร่ประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน จากนั้นจะทิ้งไว้ให้แห้งแล้วเผา เมื่อถึงต้นฤดูฝนจะลงมือปลูกพืชหลัก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าว ยาสูบ หัวผักกาด แครอท ท้อ และฝิ่น ไร่ของม้งจะใช้เพาะปลูกอย่างมาก 3-5 ปี เมื่อดินเสื่อมคุณภาพก็ย้ายไปแหล่งอื่นๆ ต่อไป จึงทำให้ประเทศประสบปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า
ดังนั้น ทางราชการจึงได้พยายามเข้าไปให้คำแนะนำม้งให้รู้จักการเพาะปลูกพืชทดแทนชนิดอื่นอย่างถูกหลักและรู้จักการใช้ปุ๋ย จึงทำให้การเคลื่อนย้ายที่ทำกินของม้งลดน้อยลง และลดปัญหาการทำลายป่าได้บ้าง นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ม้งยังเป็นนักเลี้ยงสัตว์ที่ดี มีสัตว์เลี้ยงหลายชนิด เช่น หมู ไก่ ม้า โค ฯลฯ หมูและไก่เลี้ยงไว้สำหรับเป็นอาหารและประกอบพิธีทางศาสนา ม้าและโคเลี้ยงไว้สำหรับบรรทุกของไปขาย และม้งยังรู้จักผสมพันธุ์สัตว์จนได้สัตว์พันธุ์ดี คือ ล่อ
รายได้อีกชนิดหนึ่งของม้ง คือ การเก็บของป่าขาย การทำเครื่องเงิน การตีเหล็ก รวมทั้งการเย็บปักถักร้อย ซึ่งม้งมีฝีมือดี ประณีตและงดงาม ปัจจุบันจึงมีการส่งเสริมโดยการหาตลาดให้ (หน้า 28-29)
บ้านบวกจั๋น อาชีพของประชากรในหมู่บ้านส่วนใหญ่คือ เกษตรกรรม พืชที่ปลูกคือ ข้าว แครอท มันฝรั่ง และท้อ (หน้า 18)
บ้านบวกเต๋ย ประชากรมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ พืชที่ปลูกคือ ข้าว แครอท มันฝรั่ง และท้อ เมล็ดพันธุ์พืชได้มาจากหน่วยราชการ แต่ประชากรมักมีปัญหาเรื่องที่ดินที่จะใช้ในการเพาะปลูกทำกิน เนื่องจากราชการไม่อนุญาตให้แผ้วถางทำไร่ในบริเวณป่าสงวนอย่างเสรีเหมือนเมื่อก่อน (หน้า 19)
วิธีการทางเศรษฐกิจของม้งในนิทานพื้นบ้านม้ง เศรษฐกิจม้งเกิดขึ้นกับทุกคน เพราะทุกครอบครัวมีการผลิตทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิต วิธีการทางเศรษฐกิจของม้งแบ่งออกเป็น
1. การแบ่งงานกันทำ จากเรื่อง "ผีกะยักษ์" กล่าวถึงสามีภรรยาที่ออกไปทำไร่ด้วยกัน (หน้า 107) แต่เรื่องการดูแลครอบครัวและลูกเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ผีดิบ" (หน้า 108)
2. อาชีพ อาชีพของม้งมีอยู่ 5 อาชีพ ดังนี้
2.1 ค้าขาย ม้งนิยมขายของป่า เย็บเสื้อผ้าขาย โดยนำไปขายในหมู่บ้านอื่น ดังปรากฏในเรื่อง "พ่อค้าวัวต่างเสียท่า" กล่าวว่า เมื่อก่อนการเดินทางไม่สะดวก พวกพ่อค้าค้าขายโดยใช้วัวเป็นพาหนะ บรรทุกสินค้าตระเวนขายตามหมู่บ้านต่าง ๆ พ่อค้าส่วนมากจะเป็นไทยใหญ่ที่เรียกว่า "เงี้ยว" (หน้า 109-110)
2.2 ทำไร่และทำนา เป็นอาชีพหลักของม้ง พืชที่ปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด ดังปรากฏในเรื่อง "ผีกะยักษ์" และเรื่อง "ขี้ลืม" (หน้า 111)
2.3 อาชีพตีเหล็ก เป็นอาชีพหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการของประชากร ม้งมีการทำอาวุธเพื่อใช้เอง เช่น มีด พร้า ปืน หน้าไม้ ธนู เป็นต้น ดังนั้นอาชีพตีเหล็กก็เป็นอาชีพหนึ่งที่จะหารายได้ของม้ง ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ทำไมแม้วจึงชอบลูกชาย" กล่าวถึง สามีผู้มีอาชีพตีเหล็กโกรธเมื่อรู้ว่าภรรยามาแอบดูเขาตีเหล็ก ฝ่ายภรรยาจึงหนีออกจากบ้านเพราะกลัวถูกสามีลงโทษ โดยมีลูกชายช่วยพาหนี เมื่อหนีไปได้นางจึงสอนวิธีตีเหล็กตามที่ได้แอบดูมาแก่ลูกชาย เพื่อให้ลูกชายสามารถตีเหล็กเป็นอาชีพหารายได้ต่อไปได้ แสดงว่าอาชีพตีเหล็กเป็นอาชีพที่ไม่ได้ทำกันอย่างแพร่หลาย จะทำได้ก็แต่เฉพาะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะเท่านั้น (หน้า 112-113)
2.4 อาชีพล่าสัตว์ ถือเป็นอาชีพของม้ง เพราะเป็นทั้งการล่าสัตว์เพื่อยังชีพ และเพื่อค้าขาย โดยนำสัตว์หรือผลิตผลจากสัตว์มาขายทั้งในและต่างหมู่บ้าน หรืออาจเป็นพักผ่อนก็ได้ ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "เข้าใจผิด" และเรื่อง "มูยา" (หน้า 113) |
|
Social Organization |
ในประเทศไทยโครงสร้างทางสังคมที่ใหญ่ที่สุดของม้งเป็นเพียงระดับโครงสร้างหมู่บ้านเท่านั้น แต่ละหมู่บ้านจะคงความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม คนภายในหมู่บ้านมักจะเป็นพี่น้องใช้สกุลเดียวกัน เพราะการอยู่ใกล้ชิดเครือญาติเมื่อมีเรื่องเดือดร้อนจะสามารถขอความช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที (หน้า 27)
การตั้งชื่อ ชายม้งมักมีคำนำหน้าว่า "เลา" ส่วนหญิงม้งจะมีคำนำหน้าว่า "อี" สำหรับนามสกุลจะใช้ "แซ่" เช่นเดียวกับคนจีน (หน้า 21) ชายม้งมักจะมี 3 ชื่อ คือ ชื่อที่พ่อตั้งให้ ชื่อที่เรียงลำดับการเกิดและชื่อที่พ่อตาตั้งให้ ในการณีนี้ พ่อตาจะตั้งชื่อให้ก็ต่อเมื่อชายม้งนั้นสามารถมีบุตรอย่างน้อย 1 คนแล้ว (หน้า 34)
ประเพณีการแต่งงาน มีขั้นตอนดังนี้
1. การเกี้ยวพาราสี ม้งห้ามเกี้ยวพาราสีกันในบ้านเพราะถือว่า "ผิดผี" หนุ่มม้งจะเตรียมผ้าห่มไปคนละผืนและใช้ "จาง" (เครื่องดนตรีใช้เป่า) เป่าเรียกสาว หรือใช้วิธีกระซิบเรียกโดยไม่ให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงรู้ ถ้ารู้จะถูกปรับเป็นเงิน 4 แถบ จากนั้น หนุ่มสาวจะพากันไปพลอดรัก หากต่างพอใจก็จะร่วมรักกันในคืนนั้นเลย อย่างน้อยไม่ควรเกิน 3 คืนที่คู่เกี้ยวกันควรจะได้เสียกัน ถ้าเกิน 3 คืนแล้วไม่มีอะไรกันก็จะถือว่าฝ่ายหญิงไม่ดี ฝ่ายชายจะหันไปหาคนใหม่ หนุ่มม้งจะไม่เกี้ยวคนแซ่เดียวกัน นอกจากนั้น หนุ่มสาวจะมีโอกาสพบและเกี้ยวกันอีกในงานวันปีใหม่ (หน้า 31)
2. การหมั้น ปัจจุบันม้งไม่นิยมทำกัน ม้งจะมีการหมั้นตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป โดยฝ่ายชายจะนำเอาเหล้า 1 ขวด ผ้าโพกศีรษะหญิงชาย อย่างละผืน กระโปรงและผ้าปิดหน้ากระโปรงพร้อมเงิน 4 แถบ มามอบให้พ่อฝ่ายหญิง แต่ถ้าต่อมาฝ่ายใดผิดสัญญา ก็จะถูกปรับเป็นเงิน 40 แถบ ม้งจะถืออาวุโสโดยให้ลูกของพี่ชายได้เลือกหมั้นก่อนลูกของน้องชาย (หน้า 31)
3. การสู่ขอ ม้งเมื่อมีลูกชายอายุประมาณ 14 - 16 ปีจะเริ่มหาภรรยาให้ เมื่อรู้ว่าลูกชายชอบใครก็จะทำพิธีเซ่นผีเสี่ยงทายโดยจุดธูป 7 ดอก และฆ่าไก่เพื่อสอบถามดูว่าหญิงนั้นเหมาะสมหรือไม่ ด้วยการดูลักษณะของลิ้นไก่ และกระดูกขาไก่ที่ต้มบวงสรวง (รายละเอียดดู Belief System) หากได้ลักษณะที่ไม่เป็นมงคลกันก็จำต้องเลิกติดต่อกัน แต่ถ้าเมื่อฝ่ายชายดูคำทำนายจากลิ้นไก่และกระดูกขาไก่แล้วว่าการไปสู่ขอจะดี ก็จะจัดเฒ่าแก่ 2 คนไว้สู่ขอ ฝ่ายหญิงจะนำเหล้ามาเลี้ยง ถ้าตกลงกันได้ก็จะย้ายเข้าไปกินเหล้าในบ้าน แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะต้องไปกินนอกบ้าน การสู่ขอนี้จะปฏิบัติกันไม่เกิน 3 ครั้ง หากถูกฝ่ายหญิงปฏิเสธเกิน 3 ครั้งก็จะเลิกราไป (หน้า 32-33)
4. การฉุด ปัจจุบันม้งนิยมการฉุดมากกว่า เมื่อหนุ่มม้งชอบสาวคนใด จะบอกให้พ่อหาคน 3-4 คนไปฉุด ในขณะที่หญิงสาวอยู่นอกบ้าน เพราะฉุดในบ้านจะถือว่า "ผิดผีบ้าน" ต้องเสียค่าปรับเงิน 12 แถบ เมื่อฉุดไปแล้วก็ให้นอนกับหนุ่มที่ต้องการ รุ่งเช้าจึงส่งผู้แทน 2 คนไปบอกพ่อของหญิงสาวว่า ถ้ามีเวลาอันสมควรจะจัดการแต่งงาน แต่ถ้ารุ่งเช้าไม่มีคนไปพูดก็จะถูกหาว่าผิดผี ต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 12 แถบ (หน้า 33)
5. การหนีตามกัน เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงรักกัน ชายหนุ่มจึงพาหญิงสาวไปอยู่กันตามลำพังที่บ้านของตน รุ่งเช้าจึงส่งคนไปบอกพ่อแม่ ม้งส่วนใหญ่จะนิยมการแต่งงานด้วยวิธีนี้มากที่สุด เพราะเสียค่าใช้จ่ายไม่มากนัก การหนีตามกันฝ่ายหญิงต้องไปอยู่กับฝ่ายชาย พอมีเงินแล้ว จึงจัดพิธีแต่งงานกันทีหลัง ม้งที่แต่งงาน 2 ครั้ง มักจะได้ภรรยาคนที่สองด้วยวิธีหนีตามกันเป็นส่วนมาก (หน้า 34)
6. การแต่งงาน พิธีแต่งงานจะเริ่มในตอนเช้า ฝ่ายชายจะฆ่าสัตว์เลี้ยงแขกที่บ้านฝ่ายชาย เฒ่าแก่จะต้องเซ่นผี และให้เจ้าบ้านกราบไหว้เฒ่าแก่พร้อมกับญาติที่ช่วยจัดการเรื่องแต่งงาน แล้วกราบผีบ้าน จากนั้นจึงเดินทางออกจากบ้าน เมื่อถึงบ้านเจ้าสาว ฝ่ายชายจะฆ่าไก่เซ่นผีที่บ้านฝ่ายหญิง 2 ตัว จากนั้น เจ้าบ่าวจะกราบไหว้ญาติเจ้าสาว และผีบ้านเจ้าสาว แล้วเฒ่าแก่ทั้งสองฝ่ายก็จะนั่งสลับกันกินเหล้า นับเป็นเสร็จพิธี (หน้า 34)
ลักษณะครอบครัวม้งที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้าน : ครอบครัวม้งมีลักษณะทั้งครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) และครอบครัวขยาย (Extended Family) ครอบครัวเดี่ยวประกอบด้วย สามี ภรรยา และลูก โดยมีจำนวนคู่สมรสสามีหนึ่งภรรยาหนึ่ง ดังปรากฏในนิทาน 5 เรื่อง คือ เรื่อง "คนเก็บลูกผีมาเลี้ยง" เรื่อง "ขี้ลืม" เรื่อง "ผิดตัว" เรื่อง "เสือตัวแรก" และเรื่อง "วิธีกำจัดผี" (หน้า 96) ส่วนครอบครัวขยายจะมีทั้งพ่อ แม่ ลูก พร้อมญาติพี่น้องอยู่ด้วย ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "จอมกะล่อน" ที่กล่าวถึงนายลายอยู่ใกล้ชิดตายาย จึงมีการหยอกเย้ากลั่นแกล้งกันบ้าง โดยนายลายแอบโกหกให้ตายายต้องตกใจด้วยคิดว่าเป็นเรื่องจริง (หน้า 97) นอกจากนี้ยังมีครอบครัวแบบครอบครัวสามีเดียวภรรยาสองคนอยู่ในบ้านเดียวกัน (Polygamous Family) ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ทำไมถึงชอบลูกชาย" กล่าวถึงช่างตีเหล็กผู้หนึ่งภรรยาสองคนอยู่ในบ้านเดียวกัน (หน้า 88) และเรื่อง "หลุมสมบัติ" กล่าวถึงชายคนหนึ่งชื่อ "นูยู" แต่งงานกับซอร์ด้วยความรัก แต่ในขณะเดียวกันก็มีพันธะต้องแต่งงานกับหญิงอีกคนหนึ่งด้วย ซอร์ก็ยอมให้นูยูสามีแต่งงานกับหญิงคนนั้นด้วยหากหญิงนั้นรักนูยู ดังนั้น นูยูจึงมีภรรยาสองคนและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข (หน้า 43, 98-99)
ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ครอบครัวม้งมีความสัมพันธ์กันเป็นครอบครัวใหญ่ ภายในครอบครัวมีความเชื่อถือระบบอาวุโส เช่น พี่เป็นผู้ปกครองดูแลน้อง น้องต้องเชื่อฟังพี่ ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ดาวคู่" เรื่อง "ดาวเซี่ยสี่หมี" เรื่อง "หลุมสมบัติ" (หน้า 90) ฝ่ายหญิงมีหน้าที่ดูแลสมาชิกในครอบครัว มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก หาอาหารสำหรับครอบครัว ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ทำไมแม้วจึงชอบลูกชาย" เรื่อง "นางผีดิบ" ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ ลูกมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือดูแลตอบแทนพระคุณพ่อแม่ และมีความกตัญญูกตเวทิตาต่อผู้มีพระคุณ ดังปรากฏในนิทาน "ลึเหน่ง" ลึเหน่งเกิดมาไม่เหมือนคนทั่วไป มีความสามารถเก่งกาจมาก เมื่อรู้ว่าพ่อไปรบกับข้าศึก ลึเหน่งออกศึกช่วยพ่อรบจนชนะ จากนั้นก็คอยช่วยเหลือพ่อแม่และคนอื่นๆ จากภัยอันตรายต่างๆ จนราบคาบ (หน้า 92) ส่วนครอบครัวที่ไม่มีทายาทสืบสกุล โลกทัศน์ของม้งที่ปรากฏในนิทานกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ม้งไม่นิยมนำลูกผู้อื่นมาเลี้ยง เพราะเกรงว่าอาจนำความเดือดร้อนมาสู่ได้ ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "คนเก็บลูกผีมาเลี้ยง" ซึ่งกล่าวถึงม้งครอบครัวหนึ่งไม่มีลูก วันหนึ่งขณะออกไปทำไร่พบเด็กกลางทาง จึงนำกลับมาเลี้ยงไว้ด้วยความรัก สุดท้ายพบว่าลูกที่เก็บมาเลี้ยงเป็นผีปลอมตัวมา และทำความเดือดร้อนให้อย่างมาก จึงหาทางฆ่าเสียในที่สุด (หน้า 138) เรื่อง "ผีกะยักษ์" ก็กล่าวถึงการไปนำเด็กที่ไม่รู้จักมาเลี้ยง ในที่สุดก็จะให้โทษมากกว่าให้คุณ จนต้องหาวิธีกำจัดเสีย (หน้า 138-139)
การเลือกคู่ การเลือกคู่ของม้งตามที่กำหนดในนิทานพื้นบ้านมี 2 ลักษณะ คือ หนุ่มสาวเลือกคู่ด้วยตนเอง และหากหนุ่มสาวม้งไม่สามารถเลือกคู่ด้วยตนเอง จะมีผู้มีอำนาจช่วยเหลือหรือคือมีผู้กำหนดให้ดังที่ปรากฏในเรื่อง "น้ำท่วมโลก" เรื่อง "ดาวเซี่ยสี่หมี" เรื่อง "ดาวคู่" เรื่อง "หลุมสมบัติ" เรื่อง "ผู้หญิงเบื่อสามี" เรื่อง "คนยะกั๋นได้หยังได" และเรื่อง "นายเลื่อนนายลอย" (หน้า 88)
การเลือกคู่ม้งไม่ยอมรับการนำพี่น้องและพ่อแม่มาเป็นคู่ครอง เพราะเชื่อว่าอาจจะทำให้เกิดเหตุเสียหายภายหลัง ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "น้ำท่วมโลก" กล่าวว่า เมื่อมนุษย์ถูกน้ำท่วมล้มตายหมดเหลือเพียงพี่น้องชายหญิงสองคน ทั้งสองคนจึงอยู่กินกันตามบัญชาของพระเจ้าเพราะต้องการขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์จนทำให้เกิดเหตุเสียหาย คือลูกออกมาผิดปกติ เป็นก้อนเนื้อไม่มีแขนขา จนพระเจ้าต้องมาช่วยแก้ไข แสดงให้เห็นว่าม้งไม่นิยมการแต่งงานระหว่างพี่น้อง เพราะเกรงว่าอาจเกิดปัญหาตามมาภายหลัง จึงมีนิทานเป็นอุทาหรณ์ไว้ (หน้า 94) กรณีของแม่กับลูกชายปรากฏในนิทานเรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" (หน้า 95 - ผู้เขียนเขียนตกคำว่า "ไม่" ในชื่อเรื่อง - Text Analyst) กล่าวถึงชายคนนึ่งกลับจากการลอกคราบเพื่อฟื้นคืนชีวิตใหม่ กลับบ้านพบว่าภรรยาของตนและลูกชายมีความสัมพันธ์กัน ชายคนนี้เสียใจมากจึงไปขอพระเจ้าให้ตนตายไปจริง ๆ ไม่ต้องฟื้นและมีชีวิตกลายเป็นหนุ่มอีก พระเจ้าจึงทำให้ชายคนนั้นตายตามที่ขอ จึงเป็นเหตุให้นับแต่นั้นมาม้งจึงต้องตาย ไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตได้อีก (หน้า 95,140-141) กรณีชายหญิงที่มีความแตกต่างกันมาก ม้งเห็นว่าหากแต่งงานกันมีแต่จะเกิดปัญหา ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ผู้หญิงเบื่อสามี" กล่าวถึง หญิงคนหนึ่งแต่งงานกับชายที่มีอายุอ่อนกว่ามาก จึงมีปัญหาหนีออกจากบ้าน และประสบภัยพบเสือกลางทาง แต่ได้ฆ่าเสือตายจึงรอดมาได้ (หน้า 95-96,132) หรือในกรณีที่มีฐานะแตกต่างกันมากอย่างในเรื่อง "ดาวเซี่ยสี่หมี" กล่าวถึงเทพธิดาองค์สุดท้องในหมู่ดาวเซี่ยสี่หมี 7 ดวง มาหลงรักและอยู่กับมนุษย์ สุดท้ายก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ เนื่องเทพธิดาจำเป็นต้องกลับไปอยู่บนท้องฟ้า (หน้า 133)
การต้อนรับแขกที่มาเยือน ม้งมีวิธีการต้อนรับแขกที่มาเยือนไม่แตกต่างจากคนพื้นราบมากนัก ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ผิดตัว" กล่าวถึงม้ง 2 คนเป็นเพื่อนรักที่จากกันไปนาน วันหนึ่งคนหนึ่งได้มาเยี่ยมเพื่อนอีกคนถึงบ้าน เพื่อนจึงเชิญเข้าบ้านเพื่อรับประทานอาหาร โดยให้ภรรยาจัดหาอาหารให้เพื่อน ทั้งที่ตัวเองกำลังขาดแคลนจนแทบไม่มีอะไรจะกิน (หน้า 118) |
|
Political Organization |
บทบัญญัติว่าด้วยการผิดผี ม้งยังมีความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ภูตผี ปีศาจ เป็นต้น เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อความเป็นอยู่ และมีอำนาจบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ จากความเชื่อเหล่านี้ทำให้ม้งคิดกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาเป็นเครื่องมือบังคับใช้ในชุมชนของตน เพื่อความเป็นระเบียบและความสะดวกในการปกครอง หากผู้ใดกระทำผิดต่อบทบัญญัติถือว่า "ผิดผี" ผู้กระทำผิดจะได้รับอันตรายหรือมีอันเป็นไปด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของการลงโทษ เช่น จะถูกปรับไหม หรือถูกโบย ฯลฯ
หัวหน้าหมู่บ้าน ม้งไม่มีหัวหน้าสูงสุด จะเคารพนับถือผู้อาวุโสของหมู่บ้านของตนมาก รวมถึงหมอผีด้วย ดังนั้นในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ จึงใช้เสียงข้างมากเป็นหลัก โดยที่ผู้ชายเท่านั้นที่จะมีสิทธิออกเสียง แต่ตำแหน่ง "หัวหน้าหมู่บ้าน" ก็จะได้จากการเลือกตั้ง และมีหน้าที่คอยติดต่อกับคนภายนอก ตัดสินคดีในครอบครัว อย่างไรก็ตามหัวหน้าหมู่บ้านจะถูกควบคุมโดยผู้อาวุโสของหมู่บ้านอีกชั้นหนึ่ง (หน้า 27)
หัวหน้าหมู่บ้านของม้งจะเลือกมาจากบุคคลในตระกูลใหญ่ มีความรู้หลากภาษาเพื่อติดต่อกับบุคคลภายนอก และต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องผีบ้าง เพราะจะสามารถใช้อำนาจผีเพื่อขอความร่วมมือในเรื่องการตัดสินคดีที่เป็นเรื่องเล็กน้อยได้ เช่น ความผิดในครอบครัว เรื่องหนุ่มสาว เรื่องหนี้สิน เป็นต้น
หัวหน้าหมู่บ้านและคนเฒ่าคนแก่จะช่วยกันตัดสินพิจารณาคดี เพื่อให้เป็นไปตามประเพณีนิยม แต่ถ้าเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน และความผิดอันเกิดจากผู้กระทำต่างเผ่ากัน หัวหน้าก็จะมอบให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่ในสมัยก่อนการคมนาคมไม่สะดวก หัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นผู้ตัดสินเอง เช่น กรณีคนตายจะถูกปรับ 6,000-8,000 บาท เงินค่าปรับนี้จะมอบให้กับผู้เสียหาย แต่ถ้าไม่มีการรับสารภาพก็จะใช้วิธีตัดสิน 3 วิธี ดังนี้ วิธีที่ 1 นำเข็มมา 7 เล่ม ผสมกับข้าวให้คู่กรณีกิน ถ้าเข็มตำปากใครแสดงว่าคนนั้นพูดเท็จ วิธีที่ 2 เอาน้ำมันหมูมาต้มให้เดือด แล้วเอาเงินแถบโยนใส่ในกะทะน้ำ มันเดือด ให้คู่กรณีใช้มือควานหาเงินแถบนั้น ถ้าน้ำมันลวกมือใครแสดงว่าคนนั้นไม่ซื่อสัตย์ และเป็นคนพูดเท็จ วิธีที่ 3 ใช้น้ำนมของแม่ลูกอ่อน ทำพิธีบนบานต่อผี แล้วนำมาให้คู่กรณีดื่ม ถ้าคนใดไม่ซื่อสัตย์ก็จะมีอันเป็นไปตามคำบนบานนั้น (ในเนื้อหาผู้เขียนใช้คำว่า "...ใช้น้ำมันของแม่ลูกอ่อน..." เข้าใจว่าคงพิมพ์ผิด จึงแก้เป็น "น้ำนมของแม่ลูกอ่อน" - Text Analyst) (หน้า 29-30)
จากนิทานพื้นบ้านม้ง พบว่าการปกครองของม้งไม่มีกฏเกณฑ์ที่แน่นอน จะยึดในสิ่งเหนือธรรมชาติเช่นผีและพระเจ้าว่าเป็นสิ่งคอยกำหนดพฤติกรรมของม้ง หากใครทำไม่ถูกไม่ควรก็เกรงพระเจ้าจะลงโทษ ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" กล่าวถึง "โหย่วโซ้ว" ผู้สร้างโลกและกำหนดว่า มนุษย์ในโลกไม่มีการตาย หรือกำหนดให้ตายแล้วไม่ฟื้นอีกก็ได้ (หน้า 99) นอกจากนี้ ยังมีนิทานอีกหลายเรื่องที่แสดงกฎเกณฑ์ในการปกครองของม้ง (หน้า 100)
ผู้นำหมู่บ้าน แม้ม้งจะเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นผู้กำหนดพฤติกรรมของม้ง แต่ม้งก็มีการเลือกผู้นำหมู่บ้าน ดังในนิทานเรื่อง "การเลือกหัวหน้าหมู่บ้าน" กล่าวไว้ว่าม้งมีการเลือกหัวหน้าหมู่บ้านโดยการหาคนที่มีความสามารถนับ 1 ถึง 100 ได้โดยไม่ผิดเลย ว่ามีความสามารถสมควรที่จะเป็นผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 100) ดังนั้นในการเลือกหัวหน้าหมู่บ้านของม้งจึงมีการนับเลขแข่งขันกันเป็นเกณฑ์การเลือกหัวหน้าด้วย (หน้า 101) |
|
Belief System |
ตามคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูลในหมู่บ้าน ม้งนับถือผีและวิญญาณ โดยเชื่อว่า "ผี" คือบรรพบุรุษ และผีซึ่งเกิดจากธรรมชาติจะอาศัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ม้งเชื่อว่าผีมีหลายระดับ ผีบางพวกเทียบได้กับเทพเจ้า ดังนั้น ม้งจึงมุ่งมั่นต่อผลบุญกุศลจากการประกอบพิธีกรรมในการเซ่นสรวงต่อผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การปฏิบัติพิธีกรรมต่างๆ ก็เพื่อให้ได้รับโชคดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ผีที่ม้งนับถือ
1. ผีประจำหมู่บ้าน ม้งเชื่อว่าผีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น การกระทำต่าง ๆ ของม้งจึงเสี่ยงกับการถูกผีโกรธ ม้งจึงพากันสร้างศาลให้ผีอาศัยอยู่และต้องเซ่นสรวงเป็นประจำทุกปี ฉะนั้น ในแต่ละหมู่บ้านจะมีศาลผีประจำหมู่บ้านไว้ทุกหมู่บ้าน
2. ผีหมอยา (กลั้งช่อ) เป็นผีที่อาศัยอยู่บนหิ้งผีที่ม้งสร้างไว้ในบ้าน ซึ่งม้งจะเซ่นสรวงทุกปีเพื่อเป็นการเอาใจและแสดงความเคารพ
3. ผีอุบัติเหตุ ม้งเชื่อว่าเป็นผีที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งนับว่าเป็นผีร้ายพวกหนึ่ง
4. ผีบ้าน ผีบ้านที่ม้งนับถือมีอยู่หลายตน ได้แก่ ผีสือกั้ง ผีประตู ผีเตาไฟ เป็นต้น ผีเหล่านี้จะคอยช่วยเหลือดูแลสมาชิกในครัวเรือนให้ปลอดภัยจากสิ่งต่าง ๆ และจากผีร้าย
5. ผีกลอง เป็นผีประจำกลองที่ม้งใช้ตีในพิธีศพ ซึ่งในหมู่บ้านม้งแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีคนที่มีกลองอยู่หนึ่งคน เพื่อให้คนในหมู่บ้านได้ยืมไปใช้ในพิธีศพ และคนที่ยืมกลองนั้นไปจะต้องสับซี่โครงหมูแลกให้เจ้าของกลองตัวละ 3 ซี่ เพื่อให้เจ้าของกลองได้นำไปเซ่นสรวงผีกลอง คนที่จะมีกลองได้จะต้องเป็นลูกชายคนหัวปีหรือคนสุดท้องเท่านั้น
6. ผีบรรพบุรุษ คือ ผีปู่ ย่า ตา ยาย ที่สิ้นชีวิตไปแล้ว และการเซ่นสรวงผีบรรพบุรุษจะมีขึ้นทุกปีในวันปีใหม่ เพื่อให้ผีบรรพบุรุษ ช่วยคุ้มครองลูกหลานและทรัพย์สิน โดยเซ่นไหว้ด้วยพืชผลผลิต (หน้า 30)
จากนิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับการนับถือผีของม้ง ม้งมีนิทานที่สอนให้เป็นคนดี ทำความดี และมีบทลงโทษสำหรับคนทำไม่ดี เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำผิด เช่นนิทานเรื่อง "เหตุใดแม้วจึงปลูกข้าวและข้าวโพด" กล่าวถึงผู้ที่ลบหลู่ดูหมิ่นธรรมชาติ จึงถูกลงโทษให้ได้รับความลำบาก เรื่อง "ผู้ไม่ถือคำพูด" กล่าวถึงเศรษฐีที่ไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเจ้าป่าว่าจะฆ่าสัตว์เพียงสองตัว แต่กลับฆ่าสัตว์มากกว่าที่ขอ จึงถูกลงโทษถึงตายในที่สุด หรือเรื่อง "ผีประจำต้นไม้" กล่าวถึงชายผู้หนึ่งเข้าป่าล่าสัตว์ จนกระทั่งมาถึงต้นไทรใหญ่ไม่ได้เซ่นไหว้ผี ในที่สุด ต้องตายเพราะไม่เคารพผีประจำต้นไม้ ม้งเชื่อว่า ผีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และมีอิทธิพลในการที่จะทำให้เกิดสิ่งใดก็ได้ ดังนั้นต้องระวังการกระทำของตนไม่ให้ผีไม่พอใจ มิฉะนั้น จะเดือดร้อน (หน้า 101-103) (อย่างไรก็ตามบ้านบวกจั๋นและบ้านบวกเต๋ยคงมีม้งที่นับถือศาสนาพุทธและคริสต์อยู่ด้วย เนื่องจาก บ้านบวกจั๋นมีโบสถ์และวัด ส่วนบ้านบวกจั๋นมีสำนักสงฆ์สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา - หน้า 18-19 - Text Analyst)
ผู้ประกอบพิธีทางศาสนา จะเป็นผู้มีความรู้พิเศษในเรื่องพิธีกรรม ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท คือ หมอคาถา (กลั้งเกลอ) หมอยา (กลั้งช่อ) และหมอผี (เน้ง) สองประเภทแรกไม่สามารถเข้าทรงได้ แต่ประเภทสุดท้าย คือ "เน้ง" สามารถเข้าทรงผีและพูดผ่านหมอผีได้ ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะมีหมอผี (เน้ง) เพียง 1 คนเท่านั้น (หน้า 30-31)
จากนิทานเรื่อง "ผู้ตั้งกฎเกณฑ์ของโลก" ได้กล่าวถึงหมอผีคนแรกของม้งซึ่งถือว่าเป็นบิดาของหมอผีมีชื่อว่า "ฉียี" เมื่อเทพเจ้าทั้งสี่ได้วางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ และนำลงไปใช้บนโลกมนุษย์ ด้วยการสอนให้มนุษย์รู้และปฏิบัติตามกฎนั้น ๆ และจะมีการสอนต่อกันไปเป็นทอดๆ โดยมีฉียีเป็นผู้สอนให้มนุษย์เชื่อถือในกฎเกณฑ์เหล่านั้นสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 184-185)
พิธีกรรม :
1. พิธีกรรมในการสู่ขอผู้หญิง ก่อนจะไปสู่ขอผู้หญิงจะทำพิธีเซ่นผีด้วยธูป 7 ดอก และฆ่าไก่เพื่อสอบถามดูว่าหญิงนั้นเหมาะสมหรือไม่ โดยดูจากลักษณะลิ้นไก่ และกระดูกไก่ที่ต้มบวงสรวง หากได้ลักษณะที่ไม่เป็นมงคลกันก็จำต้องให้เลิกติดต่อกัน
1.1 ลักษณะการทำนายด้วยการดูลิ้นไก่ เมื่อดึงลิ้นไก่ออกมาจะมีลักษณะเขาควาย เมื่อเห็นลักษณะของลิ้นไก่แล้วจะทำนายได้ดังนี้ (1) ลักษณะลิ้นไก่ที่ดี กระดูกอ่อนจะต้องโค้งขึ้นในลักษณะที่สวยงาม ลิ้นไก่จะไม่มีตำหนิ (ภาพประกอบ 8 หน้า 32) (2) ลักษณะลิ้นไก่ที่ไม่ดี กระดูกอ่อนจะเหยียดตรงหรือบิดเก สีของลิ้นไก่มีจุดดำหรือมีตำหนิ (ภาพประกอบ 9 หน้า 32) จะต้องงดทำกิจกรรมต่างๆ
1.2 ลักษณะการทำนายด้วยกระดูกไก่ การทำนายด้วยกระดูกไก่จะใช้กระดูกขาไก่ท่อนที่ 3 โดยนับจากกระดูกแข้งมาจำนวน 1 คู่ กระดูกท่อนนี้จะโค้งและตรงส่วนโค้งจะมีรู 1-4 รู (ภาพประกอบ 10 หน้า 33) เมื่อทำนายจะทำนายจากรูที่ปรากฏบนกระดูกคู่นี้ เช่น ถ้ามีรูทั้ง 2 ข้างรวมกัน 4 รู การไปสู่ขอก็จะดีและสมประสงค์ เมื่อฝ่ายชายได้ดูคำทำนายจากลิ้นไก่และกระดูกไก่แล้ว ก็จะจัดเฒ่าแก่ 2 คนไปสู่ขอ และระหว่างเดินทางไป ถ้ามีสัตว์ป่าหรือมีคนตายระหว่างทางก็จะเลิกล้มการเดินทางไป เพราะถือว่ามีลางร้าย (หน้า 32-33)
2. การเกิด ม้งเชื่อว่าการตั้งครรภ์เกิดจากผีพ่อ ผีแม่ ในประเพณีการเกิดแบ่งเป็นลำดับได้ดังนี้
2.1 การคลอดลูก หญิงม้งเมื่อใกล้คลอดจะไม่เดินทางไปไหน หรือออกจากบ้าน และขณะคลอดจะนั่งบนม้าเล็ก ๆ หน้าห้องนอนและเอนหลังพิงสามี ประตูบ้านจะปิด เมื่อคลอดแล้วถ้าเป็นทารกเพศชายฝ่ายชายจะนำรกไปฝังไว้ที่เสากลางบ้าน แต่ถ้าเป็นทารกเพศหญิงจะนำรกฝังไว้ใต้แคร่ที่นอนของแม่
2.2 การตั้งชื่อ เด็กที่เกิดยังไม่ครบ 3 วัน ม้งจะถือว่ายังไม่เป็นมนุษย์ และถ้าตายจะไม่มีการทำบุญศพให้ เมื่อเด็กอายุได้ 3 วัน พ่อจึงจะทำพิธีตั้งชื่อให้ และทำพิธีขอบคุณผีพ่อผีแม่ด้วย (หน้า 34)
สภาพความเป็นจริงเรื่องเกี่ยวกับการเกิดของทั้งบ้านบวกจั๋นและบ้านบวกเต๋ยดังกล่าวได้สอดแทรกอยู่ในนิทานเรื่อง "ลึเหน่ง" ซึ่งกล่าวถึงการเกิดว่า เมื่อลึเหน่งเกิดมาได้ 3 วันมีการทำพิธีตั้งชื่อ เรียกขวัญ เลี้ยงผีพ่อเกิดแม่เกิด แล้วตั้งชื่อ โดยใช้ไก่ 1 คู่ในการทำพิธี (หน้า 118-119)
3. การตาย เมื่อมีการตาย ม้งจะล้างหน้า ทาแป้ง และแต่งตัวให้คนตายด้วยเสื้อผ้าใหม่ เพราะเชื่อว่าคนตายจะเป็นที่ยอมรับของคนในอีกโลกหนึ่ง และผู้ที่ทำความสะอาดศพจะได้บุญ จากนั้น จะวางศพให้ขนานกับผนัง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูหันศีรษะไปทางเตาไฟ ศพม้งจะเก็บไว้นานเพราะต้องรอญาติ เพื่อรอวันฝัง และถ้าฝังดีก็จะได้ไปเกิดดี เมื่อบ้านใดมีคนตายจะมีการเป่าแคนและตีกลองตลอดเวลาเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนตาย ดังนั้น ม้งจึงห้ามตีกลองเล่นเด็ดขาด การทำบุญศพนั้นถ้าเป็นศพคนเฒ่าคนแก่ลูกชายทุกคนจะต้องฆ่าวัวในงานศพคนละตัว
3.1 พิธีฝังศพ ม้งนิยมฝังศพในเวลาเย็น เพราะถ้าฝังช้าผีจะกลับมารบกวนได้ ศพคนแก่มักเลือกไหล่เขาที่มีสันเขาขนาบอยู่ 2 ข้าง เพราะจะทำให้ลูกหลานคนตายมีลูกชายมากกว่าลูกสาว และจะไม่ฝังศพตรงกับวันที่เคยฝังศพพ่อแม่ของผู้ตาย เมื่อมีศพฝังอยู่ที่ใดแล้วจะไม่นำศพอื่นไปฝังอีก ขณะที่ยกแคร่ศพไปจะมีคนเป่าแคนนำหน้า และเมื่อผ่านไปหนึ่งกิโลเมตรคนเป่าแคนจะหยุดเป่าแล้วเดินลอดใต้ศพหนีกลับบ้าน ญาติผู้หญิงของผู้ตายที่ถือโคมไฟก็จะทิ้งโคมไฟแล้วเดินกลับบ้านทันทีที่เสียงแคนหยุดลง ทั้งนี้เพื่อทำให้ผีหลงทาง พอตกเย็นญาติของผู้ตายจะไปจุดไฟ ณ ที่ที่ทิ้งโคมไฟไว้ เพราะจะทำให้ผีหลงนั่งผิงไฟอยู่ หลังจากฝังศพได้ 3 วันญาติจะนำก้อนหินไปเรียงไว้ที่หลุมฝังศพ เท่ากับเป็นการสร้างบ้านให้ผู้ตาย หลังจากนั้นจะมีการไว้ทุกข์ให้ผู้ตายเป็นเวลา 13 วัน หลังจาก 13 วัน จะมีการเชิญผีมาเยี่ยมบ้าน และจะมีการทำพิธีปล่อยผีให้ไปเกิดภายใน 1 ปี
3.2 การไว้ทุกข์ ม้งจะมีการไว้ทุกข์ 13 วัน ในระหว่างที่มีการไว้ทุกข์จะแต่งกายธรรมดา โดยมีข้อห้ามดังนี้ (1) ห้ามเย็บเสื้อผ้า เพราะจะทำให้ผู้ตายไปเกิดไม่ได้ เนื่องจากถูกหนามตำ (2) ห้ามต่อด้าย เพราะจะทำให้ผู้ตายไปเกิดไม่ได้ เนื่องจากถูกด้ายพันแข้งพันขา (3) ห้ามซักผ้า หวีผม เพราะจะทำให้ผู้ตายกินอาหารไม่ได้ เนื่องจากสิ่งสกปรกจะเข้าไปในอาหาร (4) ห้ามแต่งงานใหม่ ทั้งชายและหญิง จนกว่าจะพ้น 13 วัน เพราะจะทำให้ผู้ตายไปเกิดยาก เนื่องจากกังวลในคู่ของตนเอง (หน้า 34-35)
ความเชื่อเรื่องความตายจากนิทานพื้นบ้าน เรื่อง "ทำไมคนตายจึงต้องตีกลอง" เป็นเรื่องที่อธิบายถึงเหตุที่ต้องตีกลองเมื่อมีคนตาย ว่าเป็นเพราะต้องการให้ดังไปถึงเทพเจ้า (น)ยุว้าเต่ง (พญามัจจุราช) เพื่อให้เทพเจ้า (น)ยุว้าเต่งรู้ว่ามีคนตาย จะได้อนุญาตให้ลงมาเกิดใหม่ เพื่อไม่ต้องกลายเป็นผีหรือเสือไปทำให้มนุษย์เดือดร้อน หากไม่มีเสียงกลองเสียงแคน เทพเจ้า (น)ยุว้าเต่งก็จะไม่รู้และไม่สามารถออกหนังสือให้ไปเกิดใหม่ ซึ่งจะทำให้คนตายที่ไม่ได้กลับมาเกิดใหม่เป็นผีตลอดไป เทพเจ้าจึงมาสอนให้ม้งทำกลองและแคน เพื่อใช้ในงานศพ ฉะนั้น หากคนตายไม่มีพิธีศพตามพิธีของม้ง คือเมื่อมีคนตายให้เป่าแคนและตีกลอง ก็จะกลับมาเกิดใหม่ไม่ได้ กลายเป็นผีท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ คอยรบกวนมนุษย์ ซึ่งม้งถือว่าเป็นคนตกค้าง (หน้า 58-59,120)
4. พิธีปีใหม่ เริ่มตั้งแต่แรม 15 ค่ำของเดือนธันวาคมของทุกปี ในวันปีใหม่หนุ่มสาวม้งจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สวยงาม เพื่อดึงดูดใจเพศตรงข้าม และหนุ่มม้งอาจจะมาจากหมู่บ้านอื่นก็ได้ ในวันปีใหม่จะมีการเล่น "โยนลูกช่วง" (ลูกบอลทำด้วยผ้า) หรือ ภาษาม้งเรียกว่า "(น)จุป๊อ" หรือ "ป๋อป๊อ" โดยฝ่ายหญิงจะนำลูกบอลของตนไปให้ชายที่ตนหมายตา เมื่อมีการเล่นเริ่มขึ้น ฝ่ายหญิงและชายยืนห่างกัน 8-10 เมตร และโยนลูกช่วงรับกันไปมา ในระหว่างนี้เอง หนุ่มสาวม้งจะมีการพูดคุยกัน และอาจมีการท้าพนันกัน โดยพนันด้วยเข็มขัด กำไล แหวน หรือผ้าแถบ งานนี้ทำให้หนุ่มสาวม้งได้รู้จักกันมากขึ้น (หน้า 31)
โลกทัศน์ขอม้งที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านม้ง ม้งมีความเชื่อทั้งเรื่องเทพเจ้า ภูตผี หรือจิตวิญญาณ การดำเนินชีวิตของม้งขึ้นอยู่กับความเชื่อสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น นิทานเรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" เชื่อว่าเทพเจ้าโหย่วโซ้วเป็นพระผู้สร้างทำให้คนเกิด เรื่อง "หลุมสมบัติ" เชื่อว่าการเลือกคู่ต้องมีการเสี่ยงทายด้วยกระดูกไก่ว่าเมื่อแต่งแล้วจะดีหรือไม่ เรื่อง "ถ้ำสมบัติ" เมื่อเกิดฝันเชื่อว่าเป็นเพราะผีต้องการบอกอะไรบางอย่าง เรื่อง "ผีกะยักษ์" เชื่อว่าผีเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิฤทธิ์มากและมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง สามารถแปลงตนเป็นอะไรก็ได้ เรื่อง "ผีเน้ง" เชื่อว่าทุกหนทุกแห่งมีผีประจำอยู่ ฉะนั้นการกระทำต่าง ๆ ต้องระวัง เรื่อง "ผีประจำต้นไม้" บอกถึงความเชื่อที่ว่าผีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง อาจทำอันตรายให้ถึงตายได้หากไม่ไหว้หรือให้อาหารแก่ผีบ้าง (หน้า 168-170)
ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติตามที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านสามารถแยกได้หลายระดับ ดังนี้
1. ความเชื่อในเทพเจ้า หรือเทวดา หรือพระเจ้า เป็นความเชื่อในระดับที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ควรเคารพ ม้งเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง สามารถบันดาลให้เกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งปรากฏในนิทานมากมาย เช่นเรื่อง "ทำไมจึงมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างละดวง" เรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" เรื่อง "คนยะกั๋นได้หยังได" เรื่อง "ทำไมคนจึงไม่สามารถมองเห็นผี" เรื่อง "สาเหตุที่แม้วไม่มีตัวหนังสือใช้" เป็นต้น
ม้งเชื่อว่า "เทพโหย่วโซ้ว" เป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ ดูแลโลกมนุษย์ "ยุว้าเต่ง" เป็นผู้ตัดสินวิญญาณผู้ตาย และเป็นผู้อนุญาตการมาเกิดใหม่ โดยมีเทพเจ้าทั้ง 4 เป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของโลก สิ่งเหนือธรรมชาติระดับเทพเจ้ามีอิทธิพลมากต่อสังคมม้ง แต่ม้งจะติดต่อกับเทพเจ้าเป็นครั้งคราวในโอกาสที่เทพเจ้ามีความเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น (หน้า 167-171) (ในนิทานเรื่อง "ผู้ตั้งกฎเกณฑ์ของจะติดต่อกับเทพเจ้าเป็นครั้งคราวในโอกาสที่เทพเจ้ามีความเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น (หน้า 167-171) (ในนิทานเรื่อง "ผู้ตั้งกฎเกณฑ์ของโลก" กล่าวไว้ว่า เจ๊งซื้อ (น)ยุว้าเต่ง ถือตี่ ฮั้วไต่ เทพเจ้าทั้งสี่ได้สร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมา โดยที่ (น)ยุว้าเต่งและเจ๊งสือสั่งให้ฮั้วไต่และถือตี่เป็นผู้นำกฎต่างๆ ที่ตั้งขึ้นไปใช้บนโลก - หน้า 157)
2. ความเชื่อเรื่องผีเน้ง ผีเน้งเป็นผีที่ให้คุณประโยชน์ เพราะช่วยในการรักษาผู้เจ็บป่วยโดยการเข้าทรงผีเน้ง และม้งอาศัยผีเน้งช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากผีที่ให้โทษต่างๆ ฉะนั้นการกระทำต่าง ๆ ในวิถีชีวิตม้งจะต้องมีผีเน้งเข้าไปร่วมด้วย ม้งกับผีเน้งจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก
3. ความเชื่อเรื่องผีทั่วไป มีทั้งผีเรือน ผีป่า ผีน้ำ ผีจอมปลวก ผีภูเขา ผีถ้ำ เป็นอาทิ ม้งเชื่อว่ามีผีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้น ต้องระมัดระวังการกระทำ อย่าทำให้ผีโกรธ มิเช่นนั้นจะได้รับความเดือดร้อน
4. ความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ ม้งเชื่อว่าภายใต้ร่างกายของคนจะมีขวัญหรือจิตวิญญาณ ดังนั้นเวลามีเด็กเกิดใหม่เมื่อครบ 3 วัน จะมีการเรียกขวัญพร้อมกับการตั้งชื่อ ดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ลึเหน่ง" เป็นต้น (หน้า 171) |
|
Education and Socialization |
บ้านบวกจั๋น มีโรงเรียนสำหรับคนไทยภูเขา และหน่วยการศึกษานอกโรงเรียนจัดให้มีหน่วย ส.ส.ช. ออกไปให้การศึกษาแก่ม้งเป็นระยะๆ ไป เพื่อเป็นการช่วยให้ความรู้แก่ชาวเขาในหมู่บ้านอีกแรงหนึ่ง ซึ่งนับว่าได้ผลดี (หน้า 18)
บ้านบวกเต๋ย ไม่มีโรงเรียนสำหรับเด็กไทยภูเขา และไม่มีหน่วยการศึกษานอกโรงเรียนจัดหน่วย ส.ส.ช. เข้าไปให้การศึกษาในหมู่บ้าน เพราะบ้านบวกเต๋ยอยู่ค่อนข้างใกล้กับหมู่บ้านคนไทยพื้นราบ เด็กในหมู่บ้านสามารถเดินลงไปเรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้านใกล้เคียงได้อย่างสะดวก (หน้า 19)
เรื่องการศึกษาที่สะท้อนออกมาจากนิทานพื้นบ้าน เพราะม้งไม่มีภาษาเขียนมีแต่ภาษาพูด ม้งจึงไม่มีการศึกษาในแบบระบบโรงเรียน เมื่อมีระบบโรงเรียนเข้าไปก็เป็นของราชการที่เข้าไปจัดระบบการศึกษาให้แก่ม้ง อย่างไรก็ตาม ม้งอาศัยการสืบทอดทางพฤติกรรมและการบอกเล่า ไม่ได้เห็นความสำคัญของการศึกษาในระบบดังปรากฏในนิทานเรื่อง "ทำไมแม้วจึงไม่มีตัวหนังสือใช้" ซึ่งกล่าวว่า เดิมมนุษย์ทุกคนในโลกไม่มีตัวหนังสือใช้ จึงไปขอตัวหนังสือจากพระเจ้า เมื่อม้งได้ตำรามาจากพระเจ้า กลับเอาเก็บไว้ก่อน คิดว่าเมื่อมีเวลาว่างจากการทำงานจึงค่อยนำมาดู จนลืม และมีหนูมาแทะตำราไปหมด ม้งจึงไปขอจากพระเจ้าใหม่ แต่พระเจ้าไม่ให้อีก ทำให้ม้งไม่มีตัวหนังสือใช้ (หน้า 104)
การศึกษาของม้งไม่ได้มาจากการศึกษาในระบบโรงเรียนแต่ม้งใช้วิธีการถ่ายทอดให้การเรียนรู้จากบุคคลผ่านทางพฤติกรรมและคำบอกเล่าสืบต่อกันมา ดังในนิทานเรื่อง "นิทานเกี่ยวกับการรักษาโรค" กล่าวถึง หมอผีฉียีผู้พบวิธีรักษาคนเจ็บให้หายคนตายให้ฟื้นได้จากพญานาค ต่อมาฉียีถูกภรรยาของผีกินคน 7 ตนกลั่นแกล้ง โดยลักลูกของฉียีไปและหลอกให้ฉียีกินเนื้อลูกตัวเอง ทำให้ฉียีไม่สามารถพ่นยาให้ลูกฟื้นขึ้นมาได้อีก ฉียีเสียใจมากคิดละจากการเป็นหมอผี โดยจะถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่ต้องการจะเป็นหมอผีอัวเน้ง ในขณะเดียวกัน หนุ่มม้งผู้หนึ่งได้ข่าวอยากจะเรียน จึงเดินทางไกลไปหา ในที่สุดชายผู้เสาะหาอาจารย์ก็ได้รับการสืบทอดจากฉียี โดยทำตามวิธีการสืบทอดที่ฉียีได้สั่งเสียไว้ก่อนตาย และได้เป็นหมอผีผู้รักษาโรคสืบต่อมา (หน้า 105-106) |
|
Health and Medicine |
ไม่ระบุชัดเจนอย่างไรก็ตามจากที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้าน ม้งใช้หมอผีรักษาคนเจ็บป่วยด้วยการเข้าทรงผีเน้ง(เน้งคือหมอผีที่เข้าทรงได้ - หน้า 31) และใช้ยาสมุนไพรด้วย ดังในนิทานเรื่อง "ผีอัวเน้ง" กล่าวถึง "ฉียี" รักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยการทำผีอัวเน้ง เมื่อฉียีช่วยลูกชายที่ถูก (น)หย่งจับตัวไปคืนมาไม่สำเร็จ จึงเอาเครื่องมือทำผีไปแขวนไว้ที่หน้าผา แล้วตนเองก็หายไป หลังจากนั้น พวกม้งก็ล้มเจ็บและตายเป็นจำนวนมาก เพราะไม่มีฉียีคอยช่วย ม้งจึงพากันคิดว่าเมื่อฉียีจากไปแล้ว ก็ควรทำผีอัวเน้งเองบ้าง เพื่อเป็นการช่วยเหลือมนุษย์ให้สุขสบาย จากนั้นมา ม้งก็มีการทำ "ผีอัวเน้ง" กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 193) หรือเรื่อง "นิทานเกี่ยวกับการรักษาโรค" ฉียีเป็นหมอผีนำหญ้าชนิดหนึ่งที่พบว่าใช้รักษาคนได้มาปลูกโดยเลี้ยงหญ้านั้นคู่ไปกับผี (เน้ง) เมื่อมีใครล้มเจ็บหรือตายฉียีก็จะเคี้ยวยาที่เป็นหญ้านี้พ่นใส่ คนที่ป่วยก็จะหายคนที่ตายก็จะฟื้น (หน้า 73) - Text Analyst. |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกาย :
ชายม้ง ใส่เสื้อที่ตัดเย็บรัดตัวแขนถึงข้อมือ บางคนติดผ้าแถบสีขนาด 2 - 3 นิ้วที่ปลายแขน เสื้อจะมีสีดำยาวลงมาถึงร่องกลางหน้าอก เปิดให้เห็นท้องเพื่อแสดงถึงความสมบูรณ์ของร่างกาย เสื้อชายม้งจะไม่ผ่ากลาง แต่จะผ่าข้างจากต้นคอลงมาทางเอวด้านซ้าย กางเกงจะเหมือนกางเกงจีน เป้าหลวม คาดเอวด้วยผ้าผืนใหญ่สีแดง หรืออาจใช้ผ้าดอก ปล่อยชายผ้า 2 ข้างตะหวัดมาปกข้างหน้าประมาณ 1 ฟุต
ปัจจุบันนิยมใช้เข็มขัดเงินคาดทับผ้าตรงเอว นิยมสวมหมวกสีดำรูปร่างคล้ายกะลามะพร้าว มีพู่แดงบนยอดหมวก สวมกำไลและห่วงคล้องคอทำด้วยเงิน มีอาวุธประจำกายคือมีดสั้น ใส่อยู่ในฝักเหน็บไว้ตรงเอวด้านหน้าหรือชายพก มีมีดพร้าใส่ฝักหวายเหน็บไว้ข้างหลังเวลาไปไร่ ดาบยาวใช้สำหรับเดินทาง ปืนแก็บทำใช้เองรวมทั้งหน้าไม้มีไว้สำหรับล่าสัตว์ (หน้า 21-22)
หญิงม้ง สวมผ้าถุงทรงกระบอกสีดำ หรือผ้าดอก เสื้อสีดำแขนยาวถึงข้อมือ ข้างหลังมีปักผ้าลายเหลี่ยมปิดประมาณ 1 คืบ ตัวเสื้อยาวปิดเอวแต่ไม่ปิดหน้าท้อง ผ่าอกกลางตัดขอบด้วยผ้าสีขาวขนาด 2-3 นิ้ว หญิงม้งจะนุ่งกางเกงขายาวสีดำเวลาอยู่บ้านหรือไปทำงาน ส่วนกระโปรงจีบรอบเอวสั้นแค่เข่ามักจะใช้นุ่งไปงานหรือไปในเมือง ไม่ใช้พร่ำเพรื่อเพราะจะทำให้สกปรกและเปื้อนง่าย ส่วนมากจะใช้ผ้าพันหน้าแข้งสีขาวหรือสีดำ ไม่นิยมสวมรองเท้า จะมีกำไลซ้อน ๆ กันหลายอัน ปัจจุบัน ม้งไม่นิยมทอผ้าใช้เอง แต่จะซื้อผ้าสำเร็จรูปมาดัดแปลง หรือบางครั้งก็ซื้อมาตัดเย็บใส่เอง (หน้า 24)
แคน จากนิทานพื้นบ้านเรื่อง "ทำไมแม้วไม่มีตัวหนังสือใช้" มีส่วนหนึ่งที่กล่าวถึงที่มาของ "แคน" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งของม้ง ว่า "แคน" เกิดจากการที่ม้งเสียใจที่เก็บตำราตัวหนังสือที่พระเจ้าให้มาไว้จนถูกหนูแทะเสียหายหมด และไปขอกับพระเจ้าไม่ได้อีก ทำให้ม้งไม่มีตัวหนังสือใช้ จึงประดิษฐ์เครื่องดนตรีขึ้นชิ้นหนึ่งคือ "แคน" ไว้เป็นที่ระลึก เมื่อเป่าจะมีเสียง "แจมอแจ้ๆ " ซึ่งแปลว่า "หนูกินหนังสือ" เพื่อกระตุ้นเตือนให้ม้งรู้ตัวอยู่เสมอว่าทำอะไรให้รอบคอบ มิฉะนั้น จะเสียใจและเสียโอกาสอันงามไป (หน้า 60) |
|
Folklore |
นิทานพื้นบ้านม้งที่ผู้เขียนรวบรวมได้มีจำนวน 49 เรื่อง จำแนกออกได้ทั้งหมด 6 ประเภท (ผู้เขียนกล่าวไว้ใน หน้า 39 ว่าจำแนกได้ 7 ประเภท แต่ในรายละเอียดที่ผู้เขียนพรรณนาไว้มีเพียง 6 ประเภทเท่านั้น ในที่นี้จึงแก้เป็น 6 ประเภทตามเนื้อหาที่ปรากฏ - Text Analyst) คือ
1. นิทานชีวิต (Romantic Tale) มีจำนวน 8 เรื่อง แยกย่อยเป็น
1.1 นิทานคติสอนใจ ได้แก่
1.1.1 เรื่องหลุมสมบัติ กล่าวถึง ชายผู้มีความประพฤติดีเชื่อฟังผู้อาวุโสก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ (หน้า 42)
1.1.2 เรื่องถ้ำสมบัติ กล่าวถึง ชายคนหนึ่งมีความดีที่ปกป้องสมบัติไว้ให้ผี ผีจึงมอบสมบัติส่วนหนึ่งให้ เป็นการบอกว่าผู้ทำดีจะได้รับผลตอบแทน (หน้า 43)
1.1.3 เรื่องผู้หญิงเบื่อสามี กล่าวถึง สาวม้งที่แต่งงานกับสามีที่มีอายุน้อยกว่า ในที่สุดเกิดปัญหาอยู่กันไม่ได้ภรรยาก็หนีไป แสดงให้เห็นว่าการแต่งงานที่ผิดไปจากปกติย่อมมีปัญหาเกิดขึ้น (หน้า 44)
1.1.4 เรื่องคนเก็บลูกผีมาเลี้ยง กล่าวถึง การนำลูกผู้อื่นมาเลี้ยงทำให้เกิดผลร้าย (หน้า 44-45)
1.1.5 เรื่องผู้ไม่ถือคำพูด กล่าวถึง เศรษฐีไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับเจ้าป่าจนในที่สุดต้องทำให้ตายลง (หน้า 45)
1.2 นิทานเกี่ยวกับความกล้าหาญ ได้แก่
1.2.1 เรื่องนายเลื่อมนายลาย กล่าวถึงนายเลื่อมนายลายที่มีความเก่งกล้าสามารถปราบเสือได้หลายตัว (หน้า 46)
1.2.2 เรื่องผีเสือสาว กล่าวถึงชายคนหนึ่งที่สามารถปราบผีเสือสาวได้ 2 ตน (หน้า 46)
1.2.3 เรื่องคนยะกั๋นได้หยังได กล่าวถึงพี่น้องสองคนมีความเก่งกล้า สามารถรอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก และจำเป็นต้องแต่งงานกันเพื่อสืบลูกหลานมนุษย์ต่อไป (หน้า47)
2. เรื่องตำนาน (Myth) มี 4 เรื่อง ได้แก่เรื่อง
2.1 เรื่องตำนานฝิ่น กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดต้นฝิ่น สาวยิ้งผิดหวังจากความรัก จึงอธิษฐานให้เกิดใหม่มีคนหลงใหลนางจนถอนตัวไม่ขึ้น (หน้า 48)
2.2 เรื่องกัญชา กล่าวว่านอกจากนางยิ้งเกิดเป็นต้นฝิ่นแล้ว ยังเกิดเป็นต้นกัญชาด้วย (หน้า 49)
2.3 เรื่องนางยิ้ง เป็นเรื่องที่กล่าวถึงการเกิดฝิ่นและกัญชาว่าเกิดจากการอธิษฐานของนางยิ้งว่าถ้าเกิดใหม่ขอให้มีผู้หลงใหล จึงเกิดเป็นต้นฝิ่นและกัญชา (หน้า 49-50)
2.4 เรื่องผีเน้ง กล่าวถึงที่มาของผีเน้งว่าเป็นเพราะชายคนหนึ่งผีต้องการที่จะเอามาเป็นผู้ทรงผีเน้ง แต่ไม่ยอมจึงป่วยบ่อย ๆ ในที่สุดก็ต้องยอมเป็นผีเน้ง (หน้า 50)
3.นิทานอธิบายเหตุและพฤติกรรม (Explanator Tale) มี 16 เรื่อง แยกย่อยเป็นดังนี้
3.1 นิทานเกี่ยวกับการกำเนิดโลก ได้แก่เรื่อง
3.1.1 เรื่องโลก กล่าวว่าโลกไม่ได้มีลักษณะกลมตามที่เข้าใจ ที่แท้จริงโลกแบน เคยมีคนตกโลกลงไป และภายใต้โลกมีคนรูปร่างเล็กอาศัยอยู่ (หน้า 52)
3.1.2 เรื่องผู้ตั้งกฎเกณฑ์ของโลก กล่าวถึงเทพเจ้า 4 องค์คือ เจ๊งซื้อ (น)ยุว้าเต่ง ถือตี่ ฮั้วไต่ ได้ตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อใช้บนโลกมนุษย์ ด้วยการสอนให้มนุษย์รู้และปฏิบัติตามกฎนั้นๆ โดย ฉียี (หมอผีคนแรกของม้ง ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของหมอผี) จะเป็นผู้สอนให้มนุษย์ให้เชื่อถือกฎเกณฑ์ต่างๆ ต่อมาเรื่อยๆ สืบทอดมาจนปัจจุบัน (หน้า 52-53)
3.1.3 เรื่องน้ำท่วมโลก แสดงให้เห็นว่าผู้ให้กำเนิดมนุษย์คือพี่น้องสองคนชื่อ กุ และ อิเซา ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก ให้กำเนิดลูกออกมามีลักษณะกลมเหมือนแตงไม่มีหัว ปาก ตา แขน ขา และผิวหนังต้องไปขอให้พระเจ้าช่วยจึงกลายเป็นมนุษย์ชายหญิงหลายชาติหลายภาษา เป็นต้นกำเนิดของชนชาติต่างๆ (หน้า 53-54)
3.1.4 เรื่องผู้พิชิตนาค กล่าวถึงมนุษย์ข่มแหงรังแกกัน พระเจ้าจึงสั่งสอนโดยทำลายผู้ที่เลวร้ายให้หมดไปโดยให้พญานาคมาปราบ ต่อมาเมื่อมนุษย์มีเพิ่มมากขึ้นพญานาคก็ขึ้นมาจับมนุษย์กิน ทำให้มนุษย์เดือดร้อน พระเจ้าจึงสั่งให้เทพเจ้าสององค์ คือ เซ้งฮ่อ และจู้ปอจ่า ลงมาช่วยที่เมืองมนุษย์ ในที่สุดก็จับพญานาคมัดไว้ด้วยโซ่เหล็ก พอพญานาคดิ้นรนก็ทำให้เกิดเป็นเสียงฟ้าร้อง (หน้า 54-55)
3.2 เรื่องนิทานที่เกี่ยวกับดวงดาว มี 2 เรื่องคือ
3.2.1 เรื่องดาวเซี่ยสี่หมี ดาวเซี่ยสี่หมีคือดาวลูกไก่มี 7 ดวง ดวงสุดท้ายเป็นน้องสุดท้องไม่สว่างเท่าไรนัก เนื่องจากเสียความบริสุทธิ์เพราะไปอยู่กินกับมนุษย์ สุดท้าย ก็อยู่กับมนุษย์ต่อไปไม่ได้เพราะถูกพี่สาวทั้ง 6 ตามให้กลับไปอยู่บนท้องฟ้าตามเดิม ภายหลังรู้สึกผิดต่อสามี นางจึงปล่อยผีลงมาบนโลกมนุษย์ 4 ตน เพื่อเป็นสื่อติดต่อกับคนบนโลก โดยใช้ถามสาเหตุของโรค ถามหาขโมย ถามหาเนื้อคู่ และถามเรื่องราวต่างๆ ปัจจุบัน การเชิญผีทั้ง 4 ตนนี้ จะต้องเชิญดวงดาวเซี่ยสี่หมีหรือดาวลูกไก่ด้วยทุกครั้ง เพราะม้งเชื่อว่า ผีทั้ง 4 ตนนี้เป็นบริวารของดาวลูกไก่ (หน้า 55-56)
3.2.2 เรื่องดาวคู่ กล่าวถึงเทพธิดาเลือกคู่ และมาชอบชายเลี้ยงวัว แต่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเกิดปัญหา ในที่สุดก็ถูกพระเจ้าสาปให้เป็นดาวคู่บนท้องฟ้า และจะโคจรมาพบกันเพียงปีละ 1 ครั้ง ในคืนเดือน 7 ขึ้น 7 ค่ำ (หน้า 56)
3.3 เรื่องนิยายที่อธิบายการเกิดพฤติกรรมของม้ง มี 5 เรื่องคือ
3.3.1 เรื่องทำไมแม้วยิงปืนเวลาฝนตก เพราะเชื่อกันว่าการยิงปืนจะทำให้คางคกไม่พ่นลูกเห็บออกมาทำให้พืชเสียหาย (หน้า 56-57) 3.3.2 เรื่องวิธีกำจัดผี เป็นการอธิบายวิธีที่จะสามารถปราบผีโดยใช้ก้านเหล็กแหลมเผาไฟแล้วนำมาแทงผี ผีจึงจะตาย (หน้า 57)
3.3.3 เรื่องทำไมคนตายจึงต้องตีกลอง เหตุที่ต้องตีกลองเมื่อมีคนตาย เพราะต้องการให้ดังไปถึงเทพเจ้ายุว้าเต่ง (พญามัจจุราช) เพื่อจะได้รู้ว่ามีคนตาย และจะได้ออกใบอนุญาตให้ลงมาเกิดได้ ผู้ตายจะได้ไม่กลายป็นผีมารบกวนมนุษย์ตลอดไป (หน้า 58)
3.3.4 เรื่องทำไมแม้วชอบลูกชาย เป็นเรื่องที่อธิบายว่าการที่ม้งชอบลูกชายก็เพราะถือว่าลูกชายสามารถช่วยให้แม่พ้นอันตราย ม้งครอบครัวหนึ่งมีภรรยาสองคน ภรรยาคนหนึ่งไปแอบดูสามีตีเหล็ก สามีทราบเรื่องจะลงโทษด้วยการฆ่าเสีย ภรรยาจึงขอให้ลูกสาวพาหนี แต่ลูกสาวไม่กล้า ลูกชายจึงเป็นผู้พาหนีมาจนพ้น แต่ลูกไม่มีอาชีพแม่จึงสอนลูกชายให้มีวิชาตีเหล็กตามที่ตนได้แอบดูสามีทำ (หน้า 59)
3.3.5 เรื่องทำไมแม้วไม่มีตัวหนังสือใช้ กล่าวถึงสาเหตุที่ม้งไม่มีตัวหนังสือใช้ว่าเกิดจาก เมื่อพระเจ้าให้ตำรามาแล้ว ม้งนำไปซ่อนไว้ เพราะยังไม่มีเวลาว่างจะอ่านและนำไปเผยแพร่ จนหนูแทะหมด พระเจ้าจึงทำโทษไม่ให้ม้งมีหนังสือใช้อีก (หน้า 59-60)
3.4 นิทานอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ มีอยู่ 5 เรื่อง ดังนี้
3.4.1 เรื่องทำไมคนไม่สามารถมองเห็นผี กล่าวถึงการที่คนไม่สามารถมองเห็นผีได้ เพราะถูกผีขว้างขี้เถ้าใส่ตาจึงมองไม่เห็น แต่พวกผีสามารถมองเห็นม้งได้ (หน้า 60-61)
3.4.2 เรื่องทำไมจึงมีดวงจันทร์และดวงอาทิตย์อย่างละดวง สมัยก่อนโลกมีดวงอาทิตย์ 9 ดวง มีดวงจันทร์ 8 ดวง ทำให้กลางวันทั้งสว่างทั้งร้อนเพราะดวงอาทิตย์ กลางคืนก็ร้อนและสว่างเพราะดวงจันทร์ 8 ดวง จนมนุษย์ไม่มีเวลาพักผ่อน จึงไปขอเทพเจ้าให้โลกมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างละดวง (หน้า 61)
3.4.3 เรื่องทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น (หัวเรื่องที่ปรากฏในหน้า 62 ชื่อเรื่องว่า "ทำไมคนจึงไม่ตาย" แต่เนื้อหาสรุปและรายละเอียดเนื้อเรื่องเป็นเรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" ในที่นี้จึงแก้ชื่อเรื่องของหัวข้อ 3.4.3 เป็นเรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" - Text Analyst) กล่าวถึงเทพโหย่วโซ้วผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา โดยมนุษย์จะไม่ตาย พอครบ 1 ปีก็จะไปลอกคราบในป่าครั้งหนึ่ง กลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง ชายคนหนึ่งไปลอกคราบในป่า เมื่อกลับบ้านพบว่าภรรยาเป็นชู้กับลูกชาย เสียใจมากจึงไปขอพระเจ้าให้เขาได้ตายไปจริง ๆ นับแต่นั้นมาม้งจึงไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตได้อีก (หน้า 62)
3.4.4 เรื่องเสือตัวแรก กล่าวถึงการเกิดเสือตัวแรกว่าเป็นเพราะมีผู้แก่วิชาคิดแก้แค้นที่ถูกกลั่นแกล้งจึงไปเรียนจนแปลงร่างเป็นเสือได้ แต่เกิดผิดพลาดกลับมาเป็นคนไม่ได้ จึงเกิดเป็นเสือตัวแรก และเพราะเดิมเคยถูกม้งรังแกมาก่อน เสือจึงมีความพยาบาทตามล้างแค้นพวกม้ง เป็นเหตุให้เสือกับม้งต้องตามล่ากันเสมอ (หน้า 62-63)
3.4.5 เรื่องเหตุที่แม้วปลูกข้าวและข้าวโพด เดิมข้าวและข้าวโพดเป็นพืชต้นเดียวกัน พอสุกเต็มที่จะเดินเข้ายุ้งฉางเอง แต่เป็นเพราะม้งขี้เกียจคนหนึ่งไปด่าว่าข้าวและข้าวโพดที่เดินมาขึ้นยุ้งฉางด้วยวาจาหยาบคาย ข้าวและข้าวโพดจึงลงโทษด้วยการแยกออกเป็นพืชสองต้น ใครต้องการก็ต้องเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเอง (หน้า 63-64)
3.5 นิทานที่แสดงความกตัญญู มี 1 เรื่องคือ เรื่องทำไมแม้วชอบลูกชาย เป็นเรื่องที่อธิบายว่าการที่ม้งชอบลูกชายก็เพราะถือว่าลูกชายสามารถช่วยให้แม่พ้นอันตราย (หน้า 64)
4. นิทานประจำถิ่น (Local Legend) กล่าวถึงการตั้งชื่อบ้านบวกจั๋นและบ้านบวกเต๋ย มี 2 เรื่องคือ
4.1 เรื่องบ้านบวกจั๋น กล่าวถึงการตั้งชื่อหมู่บ้านบวกจั๋น ตั้งตามสถานที่ตั้งหมู่บ้านที่ตั้งใกล้หนองน้ำ ซึ่งคนเหนือเรียกว่า "บวก" และมีต้นจันทน์จำนวนมากมาย จึงเรียกชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านบวกจั๋น" (หน้า 65)
4.2 บ้านบวกเต๋ย ม้งบ้านบวกเต๋ยมาทีหลังกลุ่มอื่นตั้งหมู่บ้านอยู่ปลายภูเขา และอยู่ใกล้หนองน้ำ จึงตั้งชื่อหมู่บ้านตามสภาพท้องที่เหมือนกลุ่มที่มาอยู่ก่อน จึงชื่อว่า "บ้านบวกเต๋ย" เต๋ยหมายถึงล่าสุดหรือหลังสุด (หน้า 65,227)
5. นิทานวีรบุรุษ (Hero Tale) นิทานพื้นบ้านม้งมีนิทานประเภทนี้มากที่สุด ส่วนใหญ่กล่าวถึงความสามารถ ความเก่งกาจ ความฉลาด ความกล้าหาญของม้ง มี 11 เรื่อง ดังนี้
5.1 นิทานที่แสดงความกล้าหาญ มี 8 เรื่อง ได้แก่
5.1.1 เรื่องผีกะยักษ์ เป็นนิทานที่แสดงถึงความเก่งกล้าของผัวเมียสองคนที่สามารถปราบผีกะยักษ์ที่ปลอมตัวเป็นเด็กซึ่งสองผัวเมียเก็บมาเลี้ยงเป็นลูกลงได้ (หน้า 66-67)
5.1.2 เรื่องลึเหน่ง ลึเหน่งเกิดมาเป็นเด็กพิเศษกว่าปกติมีความสามารถมาก ช่วยพ่อรบชนะ สามารถปราบพญานาคและภัยต่างๆ ที่มาทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์ได้ (หน้า 67-68)
5.1.3 เรื่องวิธีกำจัดผี กล่าวถึงความสามารถของชายผู้หนึ่งที่สามารถกำจัดผีได้ด้วยการใช้เหล็กแหลมเผาไฟแทงผี (หน้า 68-69)
5.1.4 เรื่องผู้พิชิตนาค เมื่อมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วมีการข่มแหงรังแกกัน พระเจ้าคิดจะสั่งสอนโดยทำลายผู้ที่เลวร้ายให้หมดไป จึงสั่งพญานาคให้ขึ้นมาจากมหาสมุทร แล้วทำให้ฝนตกตลอดคืนทำให้น้ำท่วมโลก แล้วให้พญานาคกลับไปบาดาลตามเดิม ต่อมาไม่นานมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นอีก พญานาคก็ขึ้นมาจับมนุษย์กินทำให้มนุษย์เดือดร้อน พระเจ้าจึงสั่งให้เทพเจ้า 2 องค์ลงมาปราบ และใช้โซ่เหล็กมัดพญานาคไว้เพื่อไม่ให้ขึ้นมากินคนอีก และเวลาพญานาคดิ้นรนก็จะทำให้เกิดเสียงดังครืน ๆ เป็นเสียงฟ้าร้อง (หน้า 69-70)
5.1.5 เรื่องผีดิบ หมู่บ้านหนึ่งในป่าลึก มีผีออกอาละวาดเอาชีวิตคนที่มาทักทุกค่ำ มีชายสามคนได้ข่าวอาสามาช่วยปราบ สามารถฆ่าผีและลูกผีจนหมดสิ้น (หน้า 70-71)
5.1.6 เรื่องคนปราบเสือ มีพี่น้องสองคนเดินทางไปทำไร่ พักค้างคืนในกระท่อมร้างหลังหนึ่ง พี่ออกไปหาอาหารถูกเสือกัดตาย น้องมาพบภายหลังว่าห้องข้างๆ เป็นที่อยู่ของเสือและลูก จึงเอาหน้าไม้ยิงเสือตายและเอาตัวรอดกลับหมู่บ้านไปได้ (หน้า 71-72)
5.1.7 เรื่องเด็กจับเสือ เด็กชายม้งคนหนึ่งเฉลียวฉลาด ออกไปเที่ยวเล่นไกลจากหมู่บ้าน ไปพบเสือในป่า ใช้กลอุบายจนเสือตกลงไปในบ่อน้ำ แล้วเรียกคนในหมู่บ้านมาฆ่าเสือได้ (หน้า 72)
5.1.8 เรื่องนิทานเกี่ยวกับการรักษาโรค เรื่องกล่าวถึงฉียีที่สามารถต่อสู้กับผีอย่างกล้าหาญ หมอผีฉียีสามารถรักษาคนป่วยให้หายคนตายให้ฟื้นได้ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ผีกินคนจึงส่งผีกินคน 7 ตนมาแกล้งทำให้คนตายลงมากมายจนฉียีไม่สามารถรักษาได้ทัน เมื่อฉียีรู้ว่าเป็นการกระทำของผีกินคน 7 ตน จึงหลอกให้ผีทั้ง 7 ตนไปที่เชิงผาแล้วพ่นยาใส่ผีจึงกระเด็นไปติดอยู่กับหน้าผา (หน้า 73-74)
5.2 นิทานที่แสดงไหวพริบความสามารถ มี 3 เรื่อง ดังนี้
5.2.1 เรื่องเด็กฉลาดกว่าผี เป็นเรื่องที่แสดงความสามารถโดยใช้ไหวพริบของลูก ๆ นางซัวและนายเล่งช่วยกันปราบผีได้สำเร็จ (หน้า 74)
5.2.2 เรื่องเจ้ายอด กล่าวถึงความเฉลียวฉลาดของเจ้ายอดที่สามารถใช้ไหวพริบของตนให้รอดพ้นจากปัญหาและความตายได้ในที่สุด (หน้า 75)
5.2.3 เรื่องการเลือกหัวหน้าหมู่บ้าน ม้งจะพยายามคัดเลือกคนที่มีความสามารถและความเฉลียวฉลาดเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำม้งได้ พยายามจะหาเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้นำ สุดท้ายมีม้งคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า คนพื้นราบมีความสามารถเก่งมากสามารถนับเลขได้มากมาย ดังนั้นม้งคนใดสามารถนับเลข 1-100 ได้อย่างถูกต้องโดยไม่ผิดเลย ถือว่ามีความสามารถเป็นหัวหน้าหมู่บ้านได้ (หน้า 76)
5.3 นิทานเกี่ยวกับเรื่องผี มี 3 เรื่อง ดังนี้
5.3.1 เรื่องผีประจำต้นไม้ แสดงให้เห็นว่าต้นไม้มีผีประจำอยู่ หากไม่สัการะบูชาผีก็จะทำอันตรายถึงตายได้ (หน้า 77-78)
5.3.2 เรื่องผีอัวเน้ง กล่าวถึง (น)หย่งลูกชายพญามัจจุราช (น)ยุว้าเต่ง เป็นผู้คอยเก็บภาษีมนุษย์ ซึ่งจะเรียกเก็บโดยการแจกไข้ แจกป่วย ทำให้มนุษย์ตายลงมากขึ้นเรื่อยๆ (น)ยุว้าเต่งเห็นว่าลูกชายตนเองเก็บภาษีหนักเกินไป จีงให้ฉียีมาควบคุม ทำให้มนุษย์เป็นสุขอยู่ระยะหนึ่ง (น)หย่งโกรธที่ไม่สามารถเอาชนะฉียีได้ จึงแก้แค้นด้วยการเอาเมียของฉียีมาเป็นเมียของตน และนำลูกชายฉียีไปด้วย ฉียีจึงทำผีอัวเน้งเพื่อจะเอาลูกชายของตนคืนมา แต่ไม่สำเร็จ จึงไปหา(น)ยุว้าเต่ง เอาเครื่องมือทำผีไปแขวนไว้ที่หน้าผา แล้วตนเองก็หายไป หลังจากนั้นพวกม้งก็ล้มเจ็บและตายไปเป็นจำนวนมาก เพราะไม่มีฉียีคอยช่วยเหลือ ม้งจึงคิดว่าควรทำผีอัวเน้งเองบ้าง เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้สุขสบาย จากนั้นมาม้งก็มีการทำผีอัวเน้งกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า78)
5.3.3 ทำไมคนจึงตาย (หัวข้อ 5.3.3 หน้า 79 ระบุชื่อเรื่องว่า เป็นเรื่อง "ทำไมคนจึงตาย" แต่เนื้อหาสรุปข้างท้ายหัวเรื่องเป็นของเรื่อง "ทำไมคนตายแล้วไม่ฟื้น" (หน้า 224) แต่รายละเอียดเนื้อเรื่องเป็นของเรื่อง "ทำไมคนจึงตาย" ในที่นี้จึงสรุปตามเนื้อหาของเรื่อง "ทำไมคนจึงตาย" - Text Analyst) เรื่องทำไมคนจึงตาย กล่าวว่าแต่เดิมคนไม่รู้จักตาย มีพี่น้องสามคนในหมู่บ้านหนึ่งไม่เคยรู้ว่าแผ่นโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด พี่ทั้งสองจึงให้กาเก้อน้องสุดท้องไปสำรวจดู แต่กาเก้อไม่สามารถออกไปไหนได้ เนื่องจากพื้นโลกเป็นโคลน หล่มเพราะน้ำท่วมโลก จึงกลับไปบอกพี่ทั้ง 2 ว่าโลกเรานี้แคบนักหากคนเกิดมามากๆ ก็คงไม่มีที่ให้อาศัย ภายหลังพี่ทั้งสองทราบความจริงจึงโกรธกาเก้อที่โกหกและทุบตีกาเก้อจนบาดเจ็บสาหัส กาเก้อแม้บาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่ตาย จึงแช่งขอให้ตนเองตายและขอให้สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ตายหมด (หน้า 78-79)
6. นิทานมุขตลก (Jest) มี 7 เรื่องดังนี้
6.1 นิทานที่แสดงไหวพริบความฉลาด มี 3 เรื่องดังนี้
6.1.1 เรื่องจอมกะล่อน กล่าวถึงนายลายที่สามารถใช้ความฉลาดแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้รอดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้งจนเกิดเป็นเรื่องตลก (หน้า 80)
6.1.2 เรื่องมูยา เป็นเรื่องที่แสดงไหวพริบของปู่สางที่สามารถปราบเสือโดยใช้กล้อง "มูยา" เพียงอย่างเดียวจนเป็นที่น่าขบขัน (หน้า 81)
6.1.3 เรื่องปะติมง เป็นเรื่องที่แสดงความฉลาดของแม่ม่ายที่ใช้ไหวพริบหลอกลูกชายให้หยุดร้องไห้ ว่าจะหา "ปะติมง" มาให้เล่น จนเกิดเป็นเรื่องเข้าใจผิดชวนหัว (หน้า 81)
6.2 นิทานที่แสดงกลโกงของเด็กที่หลอกผู้ใหญ่ มี 2 เรื่องดังนี้
6.2.1 เรื่องจอมกะล่อน กล่าวถึงความเฉลียวฉลาดของนายลายที่สามารถใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ให้รอดพ้นจากอันตรายได้ทุกครั้ง จนกลายเป็นเรื่องตลกไป (หน้า 82-83)
6.2.2 เรื่องพ่อค้าวัวต่างเสียท่า กล่าวถึงเด็กเลี้ยงควายที่สามารถหลอกพ่อค้าโดยเอานกเอี้ยงไปเปลี่ยนในกรงนกขุนทอง แล้วนำนกขุนทองไป ตื่นขึ้นมาเมื่อนกเอี้ยงส่งเสียงร้อง "วอกเงี้ยว ๆ ๆ" พ่อค้าเงี้ยวฟังแล้วโมโหว่าถูกนกขุนทองด่า (หน้า 83-84)
6.3 นิทานที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเพื่อน เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูงมิตรสหาย แต่ออกมาในรูปตลกขบขัน มี 2 เรื่อง ดังนี้
6.3.1 เรื่องผิดตัว เป็นของเพื่อนรักที่จากกันไปนาน เมื่อมาพบกันอีกก็ต้อนรับอย่างเต็มที่ (หน้า 84)
6.3.2 เรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องของม้งสองคนที่พูดภาษาต่างกันเล็กน้อย คือ เผ่าม้ง(น)จั๊ว และเผ่าม้งเด๊อ เข้าป่าล่าสัตว์ด้วยกัน ระหว่างทางสื่อสารกันเข้าใจผิดจนเกิดเรื่องตลกขบขัน (หน้า 84-85)
6.4 นิทานที่เกี่ยวกับสามีภรรยา มี 1 เรื่องคือ
6.4.1 เรื่องขี้ลืม กล่าวถึงสองตายายที่แต่งงานอยู่กินกันมานานจนแก่เฒ่า จึงมีอาการขี้ลืมจนเป็นเรื่องตลกเกิดขึ้น (หน้า 85) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไม่ระบุชัดเจน กล่าวถึงแต่ ลักษณะทางกายภาพม้ง ว่ามีรูปร่างลักษณะ ผิวพรรณ ท่าทาง และการพูดจาคล้ายกับคนจีน แต่มีผิวคล้ำกว่าคนจีนเล็กน้อย ผู้ชายค่อนข้างสูง ผู้หญิงรูปร่างได้สัดส่วน ลักษณะที่พบเห็นโดยทั่วไป ม้งค่อนข้างไวต่อความรู้สึก อยากรู้อยากเห็น และค่อนข้างขี้อาย (หน้า 21) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบ
1. การแต่งกายของชายม้ง (หน้า 22)
2. อาวุธประจำตัวของชายม้ง (มีดสั้น) (หน้า 22)
3. อาวุธประจำตัวของม้ง (พร้า) (หน้า 23)
4. ดาบยาว (หน้า 23)
5. การแต่งกายของหญิงม้ง (หน้า 24)
6. สภาพบ้านเรือนที่อาศัยของม้ง (หน้า 25)
7. แผนผังลักษณะบ้านของม้ง (หน้า 26)
8. ลักษณะลิ้นไก่ที่ดี (หน้า 32)
9. ลักษณะลิ้นไก่ที่ไม่ดี (หน้า 32)
10. ลักษณะกระดูกไก่ที่ดี หน้า (33)
แผนที่ 1. แสดงสถานที่ตั้งอำเภอแม่ริม (หน้า 16) |
|
|