|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อูรักลาโว้ย,ชาวเล,การอบรมเลี้ยงดู,การถ่ายทอดวัฒนธรรม,กระบวนการขัดเกลาทางสังคม,บ้านสังกาอู้,กระบี่ |
Author |
สุรัสวดี กองสุวรรณ์ |
Title |
การอบรมเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองชาวเลในหมู่บ้านสังกาอู้ จังหวัดกระบี่ : การศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุดกลาง สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
206 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประถมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูเด็กชาวเลในหมู่บ้านสังกาอู้ คือ แม่ รองลงมาคือ ยาย โดยการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายด้วยการให้เด็กๆ ชาวเลได้รับประทานอาหารอย่างพอเพียง ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลตามความเชื่อของแม่ ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ผ่านการกอด อุ้ม และสัมผัสเด็กอย่างสม่ำเสมอ และมีการใช้สื่อพื้นบ้านเพื่อช่วยกล่อมเกลาทางด้านจิตใจและอารมณ์ รวมถึงได้รับการการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคม ด้วยการฝึกให้เด็กรู้จักแบ่งปันและมีความสามัคคี มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ด้วยการสอนความรู้ด้านภาษา ฝึกให้เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งฝึกใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ภายใต้บริบทของชาวเล ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองชาวเลตามทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ได้แก่ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ปัจจัยทางระบบครอบครัวและเครือญาติ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางการศึกษา ปัจจัยทางความเชื่อ และปัจจัยทางวัฒนธรรมประเพณี (หน้า ง, 151) |
|
Focus |
ศึกษาถึงวิธีการและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองชาวเล ทั้งในด้านการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา (หน้า 6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษากลุ่มผู้ปกครองชาวเลที่เลี้ยงดูเด็กชาวเลอายุระหว่าง 3-6 ปี หมู่บ้านสังกาอู้ (ม.7) ตำบลเกาะลันตา อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ตระกูลภาษาของชาวเลมีสำเนียงคล้ายคลึงกับภาษามลายูและอินโดนีเซีย จัดอยู่ในตระกูลมาลาโย-โพลินิเซียน หรือ มลาโย-อินโดนีเซีย แบ่งป็นภาษาถิ่นย่อย เช่น ภาษาอูรักลาโว้ย ภาษากลุ่มมาซิงหรือกลุ่มสิงห์หรือมอแก็น ภาษากลุ่มสิงห์บกหรือมอเกล็น ที่สำคัญคือ เป็นภาษาที่ไม่มีระบบวรรณยุกต์เสียง (หน้า 49-50) ส่วนชาวเลที่บ้านสังกาอู้ไม่มีภาษาเขียน มีเพียงภาษาอูรักลาโว้ยเป็นภาษาพูด มีลักษณะคล้ายภาษามลายู แต่จะต่างกันบ้างในเรื่องของการออกเสียง บางคำเป็นการนำภาษาไทยมาใช้ เช่น คำว่าครู โรงเรียน วัด นอกจากนี้ยังสามารถพูดและฟังภาษาไทยทางภาคใต้ได้อย่างคล่องแคล่ว (หน้า 96) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาในการวิจัย 2 ปี 10 เดือน โดยเป็นการสำรวจข้อมูลพื้นฐานระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ.2536 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2537 และระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2538 (หน้า 6-7) |
|
History of the Group and Community |
มีผู้สันนิษฐานว่าชาวเลก็คือชนเผ่าอินโดนีเซียพวกหนึ่งที่อพยพลงสู่เกาะบอร์เนียว และใช้ชีวิตร่อนเร่อยู่ในท้องทะเล จนกระทั่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆ อย่างเป็นหลักแหล่ง เช่น กลุ่มอูรักลาโว้ย บนเกาะลังกาวี เกาะอาดัง จังหวัดสตูล เกาะลิบง จังหวัดตรัง เกาะลันตา และเกาะพีพีดอน จังหวัดกระบี่ บางท่านเชื่อว่าชาวเลเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมของมลายู ก่อนที่มลายูจะเข้ามาอยู่อาศัย บางท่านจัดให้ชาวเลอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกเมลานีเชี่ยน ต่อมาได้โยกย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ตามหมู่เกาะในทะเลใต้ (หน้า 36-37) |
|
Settlement Pattern |
ชาวเลตั้งถิ่นฐานไม่เป็นหลักแหล่งและจะอพยพโยกย้ายตามฤดูกาล ในอดีตจะอาศัยอยู่ในเรือและขึ้นมาพักแรมบนชายหาดในยามที่เกิดพายุ ต่อมามีการตั้งหมู่บ้านรวมกันเป็นกลุ่มตามชายทะเลและเกาะต่างๆ หรือตามปากน้ำที่ไหลออกสู่ทะเล โดยหันหน้าบ้านเข้าหาฝั่ง และหันหลังบ้านลงทะเลเพื่อความสะดวกหากต้องการต่อเติมบ้านในภายหลัง บ้านเรือนจึงมี 2 ประเภท คือ บ้านลอยน้ำหรือเรือชาวเล และบ้านบนบก บ้านลอยน้ำยังใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไกลออกทะเล จึงมีลักษณะเป็นเรือสำปั้น หลังคาโค้ง และมีการแบ่งพื้นที่ภายในเรือสำหรับทำกิจวัตรประจำวัน เช่น รับประทานอาหาร ประกอบอาหาร ทำงานจักสาน เลี้ยงเด็ก รวมถึงใช้เป็นห้องนอน โดยมีสมาชิกในครัวเรือนประมาณ 7-12 คน ส่วนบ้านบนบกมีลักษณะเป็นกระท่อมไม้ยกพื้น ต่อมาได้มีการพัฒนาโดยสร้างจากวัสดุที่แข็งแรงทนทานด้วยการก่ออิฐถือปูน และมีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเป็นสัดส่วน เช่น ใช้ระเบียงส่วนหน้าบ้านเป็นสถานที่พักผ่อน ใช้ส่วนหลังบ้านเป็นครัว ใช้พื้นที่บริเวณใต้ถุนสำหรับนั่งเล่น เก็บของ และปอกหอย กุ้ง ปู แต่จะไม่มีส้วมอยู่ในบ้าน (หน้า 43-45, 89-90) |
|
Demography |
ผู้วิจัยได้สำรวจข้อมูลด้านประชากรภายในหมู่บ้านกรณีศึกษา เช่น บ้านเลขที่ จำนวนสมาชิกภายในครัวเรือน ชื่อ เพศและอายุของสมาชิกภายในครัวเรือน (ตารางที่ 3 สรุปลักษณะทั่วไปของครอบครัวกรณีศึกษา หน้า 107) |
|
Economy |
อาชีพหลักของชาวเล ได้แก่ การทำประมงขนาดเล็ก เช่น การทำอวนกุ้ง ชาวเลจะไปวางอวนบริเวณรอบ ๆ เกาะลันตา ในแต่ละครั้งจะวางอวน 2-3 ผืนใหญ่ โดยจะออกอวนในตอนเช้าและกลับมาในตอนสาย เนื่องจากเป็นเวลาที่หากุ้งได้มาก กุ้งที่มีราคาดีและเป็นที่ต้องการมากที่สุด คือ กุ้งแชบ๊วย การวางไซปลา ชาวเลจะวางไซดักปลาขนาดใหญ่ในน้ำลึก เช่น บริเวณหลังเกาะลันตา หน้าเกาะไห ทิ้งไว้ในทะเลประมาณ 3-4 วันจึงกู้กลับมา ปลาที่จับได้เป็นปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาเก๋า ปลากะพง ปลามอง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกุ้งลาย ปลาหมึก กั้ง ปู ติดมากับอวนด้วย ซึ่งตามปกติแล้วชาวเลจะนำสัตว์ทะเลที่จับได้ไปขายให้กับเถ้าแก่ หรือนายทุนที่ให้กู้ยืมเงินในการจัดซื้อเรือ เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นการผ่อนชำระค่างวด อีกทั้งยังถือเป็นการตอบแทนบุญคุณเถ้าแก่ ส่วนอาชีพเสริม ได้แก่ การสานเสื่อจากใบเตยทะเล การทำแหวนจากกระดองกระ การขายเปลือกหอย และการขายมุก เป็นต้น (หน้า 92-94) อาหารหลักที่ชาวเลนิยมบริโภคได้แก่อาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารทะเล เช่น หอยตาวัว หอยเข็ม หอยขี้ หอยติเตบ หอยลิ่น ปลาหมึก ปู กุ้ง ปลากระบอก เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อเป็ด เนื้อไก่ และไข่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการนำพืชผักมาประกอบอาหาร เช่น ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ลูกเนียง ผักกาดขาว มะเขือเปราะ เป็นต้น (หน้า 94-96) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของชาวเลเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว โดยยึดถือญาติฝ่ายมารดาหรือภรรยาเป็นหลัก ต่อมาเมื่อทางราชการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาพ.ศ.2484 บังคับให้เด็กชาวเลเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนที่ตั้งขึ้นตามหมู่บ้าน จึงได้มีการกำหนดนามสกุลที่มีความสอดคล้องกับความชำนาญและความสามารถของชาวเลแต่ละหมู่บ้าน และมีการถือฝ่ายบิดาหรือสามีเป็นหลักมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงชาวเลบางคนไปแต่งงานกับคนพื้นเมืองและใช้นามสกุลตามสามี (หน้า 45-46) การศึกษาจากโรงเรียนทำให้ชาวเลมีการใส่ใจในคุณภาพชีวิตและมีการปรับตัวตามความเหมาะสมกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น รู้จักสิทธิหน้าที่ของตนเองด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รู้จักการออม รู้จักการเข้าสังคม และดัดแปลงประเพณีของตนให้กลมกลืนกับคนพื้นเมือง รู้จักการรวมกลุ่มเพื่อขายสินค้าของตนออกสู่ตลาด รู้จักการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ เป็นต้น (หน้า 47-48) ลักษณะครอบครัวของชาวเลบ้านสังกาอู้มีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก และจะมีครอบครัวของลูกหลานอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวของลูกคนสุดท้องซึ่งจะต้องรับภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ ผู้ชายจะแต่งงานเมื่ออายุประมาณ 20-23 ปี ส่วนผู้หญิงจะแต่งงานเมื่ออายุ 16-17 ปี (หน้า 90-91) สังคมชาวเลมีการแบ่งงานกันระหว่างชายหญิงในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน โดยสามีจะมีหน้าที่เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัว และแบ่งเบาภาระครอบครัวของฝ่ายภรรยาด้วยการทำประมง ออกหาปลาในทะเล ส่วนภรรยามีหน้าที่รับผิดชอบงานภายในบ้านด้วยการหุงหาอาหาร ซักผ้าและประกอบกิจวัตรประจำวัน เมื่อสามีไปหาปลากลับมาในตอนสาย คนในครอบครัวจะมาช่วยกันปลดหอย กุ้ง ปลา ฯลฯ ออกจากอวนเพื่อนำไปจำหน่าย ในยามบ่ายจะเป็นเวลาพักผ่อนของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะนำอุปกรณ์ประมงมาซ่อมแซม (หน้า 91-92) |
|
Belief System |
ความเชื่อ ชาวเลยังคงมีความเชื่อทางพุทธศาสนาหยั่งรากลึกลงภายในจิตใจ จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนไทยมีหน้าที่สร้างวัด ทำบุญ คนจีนมีการสร้างศาลเจ้าและบูชาผีบรรพบุรุษ ส่วนชาวเลมีการสร้างศาลาและไปรับส่วนบุญที่วัด" ผู้ชายยังคงปฏิบัติตามประเพณีด้วยการบวชในพุทธศาสนา แต่ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับผีและวิญญาณร่วมด้วย ดังมีการสร้างศาลตามชุมชนต่างๆ เช่น ศาลโต๊ะปากพร ที่แหลมหลา จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น รวมถึงมีความเชื่อในเรื่องต่างๆ เช่น ความเชื่อในตัวโต๊ะหมอว่าสามารถรักษาโรคด้วยการนั่งทางในได้ ความเชื่อเกี่ยวกับคาถาอาคมว่าเป็นส่วนที่ทำให้พิธีต่างๆ ขลัง ความเชื่อว่ามีผีสิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ และคอยคุ้มครองป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย และเชื่อว่ายาเสน่ห์ที่ทำด้วยน้ำตาปลาดุหยง (ปลาพะยูน) มีความขลังมาก (หน้า 51-52) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาอาการต่าง ๆ เช่น อาการสะอึก เชื่อว่าหากใช้นิ้วมือซึ่งแตะน้ำลายมาแตะหน้าผาก หรือนำผ้าชุบน้ำลายมาวางบนหน้าผากจะหายจากอาการสะอึก หากก้างปลาติดคอให้นำเบ็ดตกปลาไปเผาไฟแช่น้ำแล้วนำมาดื่มจึงจะหาย เป็นต้น (หน้า 98) ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ - ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด ในอดีตการทำคลอดถือเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ละหมู่บ้านจะมีหมอตำแยเพียงคนเดียว หญิงที่ตั้งครรภ์ครบ 5 เดือนจึงต้องไปทำพิธีฝากครรภ์กับหมอตำแย เมื่อครบกำหนดคลอด 9 เดือน จะต้องเตรียมข้าวสาร ด้ายดิบ เทียน หมากพลู เงิน มอบให้หมอตำแยเพื่อขอพรให้ทั้งแม่และลูกปลอดภัยและอยู่เย็นเป็นสุข เด็กที่เกิดใหม่จะได้รับน้ำที่หมอตำแยปลุกเสกให้ตบกระหม่อมทุกวันจนครบ 44 วัน และรับประทานน้ำผึ้งรวงเพื่อถ่ายของเสีย ส่วนมารดาจะต้องอยู่ไฟ 7-9 วัน และห้ามรับประทานอาหารจำพวกปลาไม่มีเกล็ดและแตงโม เป็นต้น (หน้า 53-54) - ประเพณีเกี่ยวกับการแต่งงาน ชาวเลนิยมแต่งงานในหมู่กันเอง โดยฝ่ายชายจะส่งตัวแทนไปสู่ขอฝ่ายหญิงกับพ่อแม่ เมื่อฝ่ายหญิงตกลงแล้วจึงจะทำพิธีหมั้น หลังจากนั้นจึงจะมีงานเลี้ยงด้วยหมากพลูและเหล้า ส่วนในพิธีแต่งงานฝ่ายชายจะจัดขันหมาก 3 ขัน ได้แก่ ขันหมากหัว (ขันหมากเอก) ซึ่งประกอบด้วยผ้านุ่ง 2 ผืน ผ้าตัดเสื้อ 2 ชิ้น และสินสอด ขันที่ 2 และ 3 ซึ่งประกอบด้วยหมากพลูไปบ้านเจ้าสาว หลังจากแต่งงานเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะไปเที่ยวทะเลหรือเกาะต่าง ๆ จากนั้นฝ่ายชายจะต้องมาอยู่ครอบครัวฝ่ายหญิง 2-3 สัปดาห์จึงจะแยกออกไปตั้งครอบครัวใหม่ ปัจจุบันการแต่งงานของชาวเลเปลี่ยนไปเป็นแบบชาวเมืองมากขึ้น โดยเจ้าบ่าวจะใส่สูท ส่วนเจ้าสาวสวมชุดราตรียาว และมีการจัดงานเลี้ยงรื่นเริงอย่างสนุกสนาน (หน้า 55-56) - ประเพณีเกี่ยวกับการตาย ชาวเลจะจัดพิธีศพด้วยการฝัง ซึ่งจะกระทำในวันตายทันที แต่ถ้าไม่ทันก็จะฝังในวันรุ่งขึ้น โดยจะมีพิธีอาบน้ำศพ ซึ่งผู้ที่จะอาบน้ำให้ศพจะต้องเป็นเพศเดียวกับศพ และแต่งตัวให้ศพด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ บางคนอาจนำข้าวสารและข้าวของเครื่องใช้ใส่ในโลงไปกับศพ จากนั้นจึงให้ญาติของผู้ตายลอดใต้โลงศพ 3 ครั้ง แล้วจึงไปทำพิธีกรรมที่หลุมฝังศพ โดยเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณผู้ตายลืมเหตุการณ์ในภพปัจจุบัน และไม่มาหลอกหลอนลูกหลาน เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วจะปลูกมะพร้าว 1 ต้น เพื่อให้ลูกหลานมีความร่มเย็นเป็นสุข หลังจากนั้น 3-7 วัน จึงจะมีพิธีทำบุญให้ผู้ตาย (หน้า 56-58) - ประเพณีลอยเรือ เป็นประเพณีสำคัญซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการดำรงชีวิต พิธีจะจัดขึ้นประมาณกลางเดือนพฤษภาคม และเดือนตุลาคม เพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลออกจากหมู่เกาะ และขออำนาจเจ้าเกาะคุ้มครองให้มีความสุขความเจริญ ในพิธีจะมีการนำไม้เนื้ออ่อนมาช่วยกันประกอบเรือปาจั๊ก ฝีพายประจำเรือ รวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และแต่ละครอบครัวจะประดิษฐ์ตุ๊กตาไม้เท่ากับจำนวนสมาชิกในครอบครัว พร้อมกับตัดเล็บมือเล็บเท้า เศษผม ใส่กระทงไปในเรือด้วย นอกจากนี้ยังนิยมนำขนมและอาหารใส่ในเรือเพื่อฝากไปให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับ รุ่งสางของวันรุ่งขึ้นจึงนำเรือไปปล่อยกลางทะเล หลังจากนั้นจึงนำไม้กางเขนมาปักตลอดแนวชายฝั่งทะเลเพื่อป้องกันไม่ให้ผีร้ายและโรคภัยไข้เจ็บกลับเข้ามาคุกคามคนในชุมชนได้ - นอกจากนี้ยังมีประเพณีบูชาดาโต๊ะวาราเม้น ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ (เดือนมกราคม) เพื่อเซ่นไหว้ผีเจ้าที่เจ้าทางบริเวณหน้าผาริมทะเล รวมถึงประเพณีแต่งเปลว ซึ่งจัดขึ้นในเดือนเมษายน เพื่อบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น (หน้า 58-59, 97-98) |
|
Education and Socialization |
ในอดีตกระบวนการเรียนรู้ของสังคมชาวเลเป็นการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ โดยมีพ่อแม่เป็นผู้อบรมสั่งสอนในเรื่องการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ด้วยวิธีการบอกเล่าและการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น เมื่อเด็กชายอายุ 10 ปีขึ้นไป จะได้รับการถ่ายทอดความรู้ในการออกหาปลา ฝึกให้เรียนรู้ธรรมชาติและการดำรงชีวิตในทะเล หัดว่ายน้ำ ดำน้ำ พายเรือ ส่วนเด็กผู้หญิงจะได้รับการฝึกหัดให้ทำงานบ้าน ปัจจุบันเด็กชาวเลได้รับการศึกษาจากโรงเรียนเพิ่มขึ้น (หน้า 47) โดยมีโรงเรียนประจำหมู่บ้านได้แก่ โรงเรียนสังกาอู้ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อย่างไรก็ดีชาวบ้านสังกาอู้นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นจึงให้ออกมาช่วยงานที่บ้าน และไม่นิยมให้บุตรหลานได้รับการศึกษาต่อแม้ว่ากรมการศึกษานอกโรงเรียนจะเข้ามาให้บริการการศึกษาสำหรับผู้ใหญ่ก็ตาม (หน้า 92) จากการศึกษาพบว่าแม่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดต่อการอบรมเลี้ยงดูเด็กชาวเล ทั้งในด้านการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์ จิตใจ และสติปัญญา รองลงมาคือ ยาย โดยผ่านการปฏิสัมพันธ์ด้วยการสัมผัส พูดคุย ปฏิบัติให้ดู ชมเชย ว่ากล่าวตักเตือน ลงโทษ รวมถึงการใช้สื่อต่างๆ เช่น เพลงสตริง ภาพยนตร์จีน ภาพยนตร์อินเดีย เพลงร็องแง็ง การรำวงหรือรำร็องแง็ง การส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม ด้วยการฝึกอบรมเรื่องกิริยามารยาทในชีวิตประจำวัน เช่น มารยาทในการรับประทานอาหาร มารยาทต่อผู้อาวุโส มารยาทในการพูด สอนให้รู้จักช่วยเหลือและแบ่งปันสิ่งของให้กับผู้อื่น มีความสามัคคีและความซื่อสัตย์ ด้วยการปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง การอบรมสั่งสอนและฝึกให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมของครอบครัวและชุมชน การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาด้วยการถ่ายทอดความรู้ด้านภาษา ได้แก่ ภาษาอูรักลาโว้ย ภาษาถิ่นไทยใต้ และภาษาไทยภาคกลาง ผ่านการสนทนากับสมาชิกในครอบครัว คนในหมู่บ้านและพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาทำการค้า จากสื่อวิทยุ โทรทัศน์รายการต่าง ๆ รวมถึงได้รับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กผู้ชาย เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพประมง และการใช้ชีวิตในทะเล บางครั้งเด็กชาวเลยังได้แลกเปลี่ยนความคิดและจินตนาการด้วยการเล่นกับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน นอกจากนี้แม่ยังถ่ายทอดความเชื่อประสบการณ์เกี่ยวกับผี และประเพณีต่าง ๆ ด้วยการพาเด็กไปร่วมงาน เช่น ประเพณีแต่งแปลง พิธีแก้บน ประเพณีลอยเรือ เป็นต้น (หน้า 120-132) |
|
Health and Medicine |
สุขภาพอนามัยด้านอาหารและโภชนาการ เด็ก ๆ ชาวเลได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมข้นหวานและรับประทานอาหารที่หาได้ในท้องถิ่นเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ และได้รับอิสระในการเลือกซื้อขนมรับประทานตามความพอใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมปัง หมากฝรั่ง ลูกอม หวานเย็น น้ำอัดลม กระทิงแดง เครื่องดื่มบำรุงกำลัง (หน้า 110) การดูแลสุขภาพอนามัยและการรักษาพยาบาล ชาวเลดั้งเดิมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสุขลักษณะและสุขภาพอนามัยเท่าที่ควร โดยยังคงรับประทานอาหารด้วยมือ ขับถ่ายในป่าหรือริมทะเล และทิ้งสิ่งปฏิกูลบริเวณรอบๆ บ้านเด็กๆ ชาวเลจะได้รับการอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้า เย็น) โดยเด็กผู้หญิงจะได้รับการสระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนเด็กผู้ชายแม่จะสระผมให้ทุกวัน สบู่และแชมพูที่ใช้เป็นชนิดเดียวกับที่แม่ใช้ และดูแลให้เด็กแปลงฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งในตอนเช้า นอกจากนี้ยังได้รับการดูแลรักษาความสะอาดด้วยการตัดเล็บ ตัดผม และทำความสะอาดหูตามความเหมาะสม (หน้า 110-111) แต่ละหมู่บ้านจะมีอาสาสมัครประจำหมู่บ้านทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารจากโรงพยาบาลให้กับชาวบ้าน ทางโรงพยาบาลจะจัดแพทย์และพยาบาลมาฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก ๆ ถึงหมู่บ้าน อาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยในเด็กชาวเล เช่น โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ปวดท้อง โรคพยาธิ โรคติดต่อต่างๆ ได้แก่ ไข้อีสุกอีใส ไข้เลือดออก โรคผิวหนัง ได้แก่ ผด ผื่น แผลพุพอง และบาดแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุต่างๆ ได้แก่ มีดบาด หกล้ม เปลือกหอยบาด การรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ แม่จะทำการปฐมพยาบาลและรักษาตามอาการของโรค โดยการซื้อยามาให้รับประทานหรือใช้วิธีรักษาที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษหรือผู้ที่เคยปฏิบัติกันแล้วหาย แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นจึงจะพาไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือให้โต๊ะหมอทำพิธีทำยาและปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวเด็ก (หน้า 48-49, 113, 115) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้ชายชาวเลนิยมนุ่งผ้าเตี่ยว ไม่สวมเสื้อ ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนิยมนุ่งกระโจมอกด้วยผ้าโสร่งมีลาย ไม่สวมเสื้อ แต่เมื่อออกไปในตลาดหรือที่ชุมชนผู้ชายจะนุ่งกางเกงจีนผ้า 2 ด้าน ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อ และเครื่องประดับที่ทำด้วยทอง ไม่สวมรองเท้า เด็ก ๆ และหนุ่มสาวแต่งตัวตามสมัยนิยม (หน้า 42, 97) ศิลปะพื้นบ้านและการละเล่นของชาวเล ได้แก่ โนรากาบง รำรองแง็ง และบทเพลงต่าง ๆ สันนิษฐานว่าการละเล่นโนรากาบงได้รับอิทธิพลมาจากคนพื้นเมืองในอินโดนีเซีย การแสดงจะใช้คนรำซึ่งเป็นผู้หญิง 2 คน รำอยู่กับที่และส่ายหน้าไปทางซ้าย ขวา พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตา ยักย้ายส่วยสะโพกตามจังหวะดนตรีพื้นเมือง (หน้า 60) การแสดงรองแง็งหรือหล้อแง็ง จะใช้ผู้หญิงร่ายรำตามจังหวะดนตรี ซึ่งประกอบด้วยไวโอลิน ฆ้อง ฉิ่ง กรับ กลองรำมะนา (หน้า 60) บทเพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลงติมังลมายา ซึ่งเป็นเพลงกล่อมเด็กเนื้อหาเป็นการรำพันของลูกที่มีชีวิตผูกพันอยู่กับพ่อแม่ และบทเพลงที่ใช้ประกอบในพิธีลอยเรือ เพลงซัมปันกาโยฮ์ (หน้า 61-62) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวเลมองว่าอาจแบ่งชาวเลได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มมอแก็นซึ่งใช้ภาษามอเก็นเป็นภาษาพูด และชาวเลกลุ่มอูรักลาโว้ยซึ่งใช้ภาษาอูรักลาโว้ยเป็นภาษาพูด (หน้า 38-39) ผู้ชายชาวเลมีรูปร่างกำยำ ผมหยิก ผิวแดงคล้ำ ส่วนผู้หญิงผิวดำ รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมคาย ผมหยิกหยักศก (หน้า 42) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สื่อมวลชนและพ่อค้าที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับชุมชนได้ก่อให้เกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมจากภายนอกที่เข้ามาสู่ชุมชน พร้อมกับระบบบริโภคนิยม โดยที่คนในชุมชนมิได้เตรียมตัวหรือเลือกรับวัฒนธรรมที่มีความเหมาะสมกับวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมของชุมชน ทำให้เด็ก ๆ หันมากินนมข้นหวานชง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมหวานสำเร็จรูป ผงชูรส และของเล่นสำเร็จรูปกันมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างสุขนิสัยในการบริโภคที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของชาวเล อีกทั้งยังเป็นการบั่นทอนสุขภาพอนามัยของเด็กๆ ชาวเล (หน้า 141) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้ตารางประกอบการบรรยาย เปรียบเทียบ และสรุปข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างในกรณีศึกษา ได้แก่ ตารางอาหารสำหรับเด็ก 3-6 ปี (ต่อวัน) (หน้า 16) ตารางการเปรียบเทียบคำพูดของชาวเลกลุ่มต่างๆ กับภาษาไทยและภาษามลายู (หน้า 50) ตารางสรุปลักษณะทั่วไปของครอบครัวศึกษา (หน้า 107) และตารางประเภทของอาหารที่นำมาประกอบอาหารในการเลี้ยงดูเด็ก (หน้า 108) |
|
|