|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,ผ้าทอ,เพชรบุรี |
Author |
นิยม ออไอศูรย์ |
Title |
การศึกษาการสืบทอดงานศิลปะผ้าทอของกลุ่มไทยทรงดำในจังหวัดเพชรบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดกลางสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
184 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาศิลปศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
จากการศึกษาพบว่ากลุ่มไทยทรงดำในพื้นที่ศึกษายังคงสืบทอดวัฒนธรรมการทอผ้าไว้ได้ เนื่องจากปัจจัย 3 ประการ ประการแรก คือ ความเชื่อเรื่องผี แถน (ผีฟ้า) โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ไทยทรงดำจึงต้องใช้ผ้าและเครื่องแต่งกายพื้นเมืองในการประกอบกิจในพิธีกรรม ประการที่สอง สตรีไทยทรงดำบางส่วนยังคงตระหนักและเห็นคุณค่าในการอนุรักษ์วัฒนธรรมการทอผ้าของกลุ่ม ประการที่สาม เป็นผลจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรีที่จัดให้มีการชุมนุมกลุ่มไทยทรงดำ จึงเป็นการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในกิจกรรมการทอผ้าพื้นเมือง (หน้า 124) |
|
Focus |
ศึกษาการสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมการทอผ้า ตลอดจนประวัติความเป็นมา ความเชื่อ เทคนิคและกรรมวิธีในการสร้างสรรค์ รวมถึงคุณค่าทางศิลปะและประโยชน์ใช้สอย ของผ้าทอไทยทรงดำในเขตจังหวัดเพชรบุรี (หน้า 7) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มไทยทรงดำจำนวน 50 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาย้อย อำเภอหนองหญ้าปล้อง และอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี (หน้า 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทยทรงดำเป็นกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไทย-ลาว ซึ่งมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำดำ และลุ่มแม่น้ำแดงทางตอนเหนือของเวียดนาม (หน้า 13) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ.2537 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2539 โดยเป็นการสำรวจข้อมูลภาคสนาม 12 เดือน (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
ไทยทรงดำในเขตจังหวัดเพชรบุรีมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม และแถบเมืองทันต์ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ถูกกวาดต้อนเข้ามาด้วยเหตุผลทางการเมืองหลายครั้ง เช่น ในสมัยกรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ได้กวาดต้อนครอบครัวไทดำจากเมืองแถง (เมืองเดียนเบียนฟู) มาถวาย ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอุปราชราชวงศ์ยกทัพไปปราบเมืองคอยที่หลวงพระบาง และกวาดต้อนไทดำลงมาอยู่ที่เพชรบุรี และในคราวยกกองทัพไปตีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปีพ.ศ.2381 เป็นต้น (หน้า 31-32, 114-115) |
|
Settlement Pattern |
ไทยทรงดำในเขตจังหวัดเพชรบุรีตั้งถิ่นฐานกระจายตัวตามอำเภอต่างๆ เช่น อำเภอเมือง อำเภอบ้านแหลม อำเภอหนองหญ้าปล้อง อำเภอบ้านลาด อำเภอเขาย้อย และอำเภอท่ายาง เป็นต้น (หน้า 31, 115) |
|
Social Organization |
สังคมของไทยทรงดำมีการแบ่งชนชั้นตามเชื้อสายวงศ์ตระกูลออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นผู้ท้าวและชนชั้นผู้น้อย มีบุตรชายเป็นผู้สืบสกุล ในกรณีที่มีบุตรชายหลายคน คนเล็กจะได้เป็นเจ้าของเรือนและเลี้ยงผีบรรพบุรุษ (หน้า 125) |
|
Belief System |
ในท้องถิ่นเดิมไทดำมีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษร่วมสายตระกูล และใช้วงศ์ตระกูลเป็นเกณฑ์ในการแบ่งชนชั้น แบ่งได้เป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นผู้ท้าว และชนชั้นผู้น้อย มีการสืบทอดผีประจำตระกูลและเลี้ยงผีบรรพบุรุษ และจะทำพิธีเซ่นไหว้ทุกสัปดาห์ (พิธีปาดตง) หรือเซ่นไหว้ตามประเพณีทุกปี หรือ 2-3 ปี/ครั้ง (พิธีเสนเฮือน) โดยจะมีหมอ (priest) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าเมืองให้เป็นประธานในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ รวมถึงให้คำปรึกษาทางด้านพิธีกรรม มีองจางและองแงเป็นผู้ช่วย ส่วนมด (sorcerer) จะทำพิธีรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยการเสี่ยงทาย และรักษาโดยการเสนหรือเสียเคราะห์ เพื่ออ้อนวอนให้ผีนั้นๆ ส่งขวัญกลับคืนสู่ผู้ป่วย หรือในบางรายอาจต้องใช้วิธีรักษาโดยการใช้เวทย์มนต์ ของขลังบังคับให้ผีนั้นๆ ปล่อยขวัญกลับคืนสู่ผู้ป่วย (หน้า 17-20) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีต่างๆ เช่น เชื่อว่าแถนหรือผีฟ้าสามารถดลบันดาลความเป็นไปแก่มวลมนุษย์/ มีความเชื่อเรื่องผีเมืองหรือผีบ้าน โดยมีศาลปู่เจ้าประจำหมู่บ้าน จะมีพิธีเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปี/เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาจะมีขวัญติดตัวมาด้วย การเจ็บป่วยต่างๆ เกิดจากความเป็นไปในทางที่ไม่ดีของขวัญหรือขวัญตกหล่นจากร่างกาย เมื่อตายขวัญจึงจะออกจากร่างกาย และกลับไปยังเมืองฟ้าหรือสถานที่ที่เหมาะสมกับสถานภาพของผู้ตาย และเชื่อว่าทุกหนทุกแห่งมีผีเจ้าป่าเจ้าเขาสิงสถิตอยู่ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทอผ้าของไทยทรงดำ เช่น ในพิธีศพจะทอผ้าเพื่อนำมาทำ แฮว (พาหนะที่จะพาวิญญาณของผู้ตายไปเฝ้าแถน) และจะเว้นการทอผ้า 3 วัน ในช่วงวันตรุษ และ 5 วัน ในช่วงวันสงกรานต์ เป็นต้น (หน้า 15-17, 116-117) ในงานนี้ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าลาวโซ่งในจังหวัดเพชรบุรียังรักษาระบบความเชื่อและพิธีกรรมดั้งเดิมไว้มากน้อยเพียงใด |
|
Education and Socialization |
ไทยทรงดำถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมของสตรี ดังนั้น ถ้าครอบครัวใดไม่มีผ้าทอไว้ใช้ในพิธีกรรม สตรีไทยทรงดำบ้านนั้นก็จะถูกเพื่อนบ้านตำหนิว่าเป็นผู้เกียจคร้าน บกพร่องในหน้าที่ของกุลสตรีที่ดี เด็กผู้หญิงจึงต้องเรียนรู้เรื่องการทอผ้าเมื่ออายุราว 13-18 ปี โดยจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์และความชำนาญด้านการทอผ้าโดยตรงจากแม่ และย่าหรือยาย ด้วยวิธีการทำให้ดู หรือให้หัดทำตามขั้นตอนที่บอก บางครั้งอาจให้ลองฝึกหัดลอกเลียนแบบจากตัวอย่าง รวมถึงมีการซักถามและแลกเปลี่ยนการสร้างสรรค์ลวดลายกับเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันเด็กคนที่สามารถทอผ้าได้สวยงามก็จะได้รับการชมเชยจากเพื่อนบ้าน ส่วนเด็กคนที่ได้รับการฝึกหัดแล้วแต่ยังทอผ้าไม่ได้ ถือว่าขาดความสนใจและไม่ใส่ใจในงานที่เป็นกิจกรรมของสตรี จะได้รับการลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือน หรือทุบตีบ้างเล็กน้อย (หน้า 112-113) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะเด่นของผ้าทอไทยทรงดำ คือ การนำลวดลายแบบเรขาคณิตมาสร้างสรรค์ลายอย่างมีความสมดุล ให้ความรู้สึกเรียบง่าย มีสัดส่วนที่พอเหมาะกับประโยชน์ใช้สอย โดยลวดลายของผ้าไทยทรงดำแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ลวดลายที่เกิดจากการทอ ลวดลายการปะผ้า ซึ่งเกิดจากการนำผ้าไหมย้อมสีต่างๆ มาตัดเป็นชิ้นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยม แล้วนำมาตรึงเย็บต่อกันให้เกิดลวดลาย เช่น ลายขอกูด ลายดาวลอย ลายหมาย่ำ ลายหลืมหลาม ลายหงอนนาค ลายดอกเต้า ลายเอื้อขอดขอ ลายเอื้อดอกจันทร์ ลายดอกผักแว่น ลายดอกแก้ว ลายเอื้อแก่นแตง ลายตานาแก้ว เป็นต้น และลวดลายการปักผ้า (ลายแส้ว) ด้วยเส้นไหมย้อมสี เทคนิคการปัก 2 วิธี คือ วิธีปักทึบและปักไขว้ โดยนิยมปักจากด้านหลัง เช่น ลายดอกจันทร์ ลายขาบัว ลายดอกพรม ลายดอกแปดกลีบ ลายบานจ้าย ลายดอกเข็ม เป็นต้น ส่วนลวดลายที่มีจังหวะการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ เช่น ลวดลายของซิ่นลายแตงโม นอกจากนี้ ลวดลายและสีของผ้ายังสอดประสานกลมกลืนกันอย่างมีเอกภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมสีดำและสีครามเข้มเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็มีความขัดแย้งของคู่สีตรงกันข้าม เช่น แดง-เขียว แดง-ขาว แดง-ดำ แดง-ส้ม แดง-เหลือง เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับงานผ้าทอ การแต่งกายของไทยทรงดำในชีวิตประจำวันและในพิธีกรรมคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกันก็เพียงเสื้อผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมนั้นจะเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวันของชายประกอบด้วย กางเกงขาสั้น (ส้วง ก้อม หรือส้วงขาเต้น) เสื้อไท และย่าม ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่นลายแตงโม เสื้อก้อม ผ้าเปียว (ผ้าโพกศีรษะ) ส่วนเสื้อผ้าในพิธีกรรมสำคัญอย่างเช่นงานศพ ผู้เป็นบุตรชายของผู้ตายจะต้องใช้ผ้าสี่เหลี่ยมคาดศีรษะและสวมเสื้อต๊กซึ่งทำจากฝ้ายทอเนื้อหยาบ และจะมีพิธีส่งวิญญาณผู้ตายไปเฝ้าแถนในเมืองฟ้า โดยจะมีผ้าแฮวซึ่งประกอบด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหมย้อมสีสวยงามเป็นพาหนะในการส่งวิญญาณ (หน้า 85, 120-123, 129-131, 143-144) |
|
Folklore |
มีเรื่องเล่าถึงประวัติความเป็นมาของไทยทรงดำว่า ถือกำเนิดจากเทวดาและเทพธิดาที่ลงมาจุติบนภูเขาของทุ่งนาเตา ห่างจากเมืองแถง (เมืองเดียนเบียนฟู) ไปทางทิศตะวันออก จากนั้นจึงตั้งบ้านเรือนบริเวณเมืองแถง มีผู้ปกครองคนแรกคือ ขุนลอคำ มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมทางเหนือตั้งแต่เมืองไฮ เมืองชอ เมืองลา จดเมืองฮ่อ (จีนยูนนาน) และมีการสืบสันติวงศ์ต่อกันมาจนถึงสมัยของดึกเทื้อง จึงมีการขุดคูสร้างกำแพงเมืองและปลูกต้นไผ่ล้อมรอบเมืองเชียงแล เมื่อดึกเทื้องถึงแก่กรรมจึงมีพิธีศพและเซ่นไหว้ด้วยกระบือ หมู เป็ด ไก่ จนเป็นประเพณีเซ่นไหว้ดึกเทื้องต่อมา (หน้า 12-13) นอกจากนี้ ไทยทรงดำยังได้ถ่ายทอดมโนภาพเกี่ยวกับจักรวาล อาณาบริเวณสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ผ่านเอกสารความโตเมืองหรือหนังสือเล่าเรื่องเมือง มีใจความว่าเดิมแผ่นดินของเมืองมนุษย์กับเมืองสวรรค์อยู่ติดกัน และมีรูปร่างคล้ายดอกเห็ด สัตว์สามารถพูดภาษาคนได้ แถนบันดาลให้เกิดความแห้งแล้ง ปู่เจ้าเป็นผู้ทำพิธีขอฝน จนเกิดภาวะน้ำท่วมโลก แต่สรรพสัตว์ก็สามารถพ้นจากภัยพิบัติมาได้ด้วยการเข้าไปหลบภัยอยู่ในน้ำเต้าปุงขนาดยักษ์ของแถน หลังจากนั้น จึงอพยพแยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ไทยทรงดำจึงใช้เอกสารความโตเมืองสำหรับอ่านเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายให้เดินทางไปพบบรรพบุรุษและเข้าสู่เมืองฟ้า (หน้า 20) นิทานเกี่ยวกับที่มาของลายผักกูดหรือลายขอกูดบนผ้าของไทยทรงดำเล่าว่า ครอบครัวหนึ่งมีสะใภ้ผู้มีความกตัญญูทำอาหารให้คนในครอบครัวทานทุกวัน วันหนึ่งนางออกไปเก็บผักกูดเพื่อมาทำอาหารเหมือนเช่นเคย แต่ปรากฏว่าไม่มีผักกูดหลงเหลืออยู่สักต้น นางเสียใจและร้องไห้ น้ำตาของนางตกถึงพื้น อานิสงค์จากความกตัญญูของนาง ทันใดนั้นผักกูดก็แข่งยอดแย่งกันขึ้นมามากมาย นางรำลึกถึงบุญคุณของผักกูดจึงนำรูปผักกูดมาเป็นลวดลายบนผ้า (หน้า 166) มีนิทานเกี่ยวกับที่มาของลายฮอยหมาย่ำหรือรอยหมาย่ำเล่าว่า สมัยโบราณคนยังไม่มีพันธุ์ข้าวปลูก หมาซึ่งเป็นเพื่อนกับคนจึงเดินทางไปยังเมืองฟ้าเพื่อถามแถนถึงเหตุผลว่าเหตุใดคนจึงไม่มีข้าวปลูก แถนเห็นใจหมาจึงให้พันธุ์ข้าวหมา หมาจึงนำพันธุ์ข้าวมาให้คนปลูก คนสำนึกในบุญคุณจึงนำรอยเท้าของหมามาเป็นลายปักบนผ้า (หน้า 167) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชนไทยทรงดำคือชนชาติไทยกลุ่มหนึ่งที่นิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ จึงถูกเรียกว่าไทดำ มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของสาธารณรัฐเวียดนาม และในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อนจะอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดอื่น ๆ (หน้า 32) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีตการทอผ้าถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่สตรีไทยทรงดำจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติได้ ต่อมาเมื่อกระแสความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและค่านิยมสมัยใหม่ได้แทรกซึมเข้าสู่สังคมไทยทรงดำ ทำให้ค่านิยมในการทอผ้าของเด็กผู้หญิงเปลี่ยนไป โดยมีความเห็นว่า การเรียนหนังสือที่โรงเรียนสำคัญกว่าการทอผ้าอยู่กับบ้าน มีเพียงบางครอบครัวที่ยังเห็นความสำคัญของการทอผ้าและถ่ายทอดความรู้ให้กับบุตรหลานในยามว่าง ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับความสมัครใจของบุตรหลานเป็นสำคัญ (หน้า 113) ซึ่งสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 7 พ.ศ. 2535-2539 ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านทรัพยากรและระบบเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมและพาณิชย์กรรม (หน้า 115-116) คนรุ่นใหม่จึงหันมาแต่งกายตามสมัยนิยมและทอผ้าแบบกี่กระตุกกันมากขึ้น คงมีเฉพาะหญิงวัย 50-60 ปี ที่ยังคงแต่งกายและทอผ้าแบบโบราณอยู่ ประกอบกับมีสิ่งของอำนวยความสะดวกเพิ่มมากขึ้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาข้าวของเครื่องใช้แบบพื้นเมือง (หน้า 124) |
|
Other Issues |
วัสดุ-อุปกรณ์ในการทอผ้าของสตรีไทยทรงดำ ได้แก่ ฝ้าย ไหม ใยสังเคราะห์ กี่ ฟืม เขาหูก ไม้ม้วนผ้าและหลักม้วนผ้า คานแขวน กระสวย หลอดด้ายพุ่ง เป็นต้น ซึ่งจะผลิตขึ้นจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น ส่วนกรรมวิธีในการย้อมเย็นจะใช้สีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ครั่ง/ ต้นแกแล/ เมล็ดคำแสด/ ไม้ฝาง/ ผลมะเกลือ/ ต้นคราม และเปลือกต้นประดู่ เป็นต้น (หน้า 74, 118-119, 126-127) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้ตารางและรูปภาพประกอบการนำเสนอข้อมูล เช่น ตารางแสดงภูมิหลังของสตรีไทยทรงดำที่ทอผ้าตามสถานภาพ (หน้า 50) ตารางแสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของสตรีไทยทรงดำที่ทอผ้า เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกลุ่ม เทคนิค-กรรมวิธี วัสดุ-อุปกรณ์ ลวดลาย สี และคติความเชื่อประเพณีท้องถิ่น (หน้า 52, 58, 63, 66, 69, 71, 77, 90, 97) ภ าพลวดลายบนผ้าของไทยทรงดำ ผ้าซิ่นลายแตงโม และเครื่องแต่งกาย (หน้า 170-172) |
|
|