สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,ความเชื่อ,การดูแลสุขภาพ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author สาลี เฉลิมวรรณพงศ์
Title การศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาลในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 112 Year 2530
Source หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาพยาบาลศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาล 4 แห่งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คน โดยสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่การรับรู้การเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย, การรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย, การรับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข การรับรู้อุปสรรคด้านกายภาพ จิตใจ, การเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข, แรงจูงใจด้านสาธารณสุขทั่วไป และปัจจัยร่วม ผลการวิจัยคือ คนไทยมุสลิมมีความเชื่อด้านสุขภาพในระดับสูง รับรู้อุปสรรคด้านกายภาพและด้านจิตใจในระดับปานกลาง, ผู้หญิงมีความเชื่อด้านสุขภาพและรู้ถึงอุปสรรคในการใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ชาย, ผู้ป่วยนอกมีความเชื่อด้านสุขภาพรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมีแรงจูงใจด้านสุขภาพ สูงกว่าผู้ป่วยใน รับรู้อุปสรรคการไปใช้บริการสาธารณสุข ต่ำกว่าผู้ป่วยใน, ผู้ที่มีอายุ 20 -30 ปี รับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข มีแรงจูงใจด้านสุขภาพสูงกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ, ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษามีความเชื่อเกี่ยวกับการเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจด้านสุขภาพ ต่ำกว่าผู้มีการศึกษา ส่วนผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและการศึกษานอกระบบมีความเชื่อและแรงจูงใจต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาตามลำดับ, ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท รับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงกว่าผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท และ 1,000 บาท ตามลำดับ และผู้ที่มีรายได้มากว่า 2,500 บาทรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณะสุขต่ำกว่า ผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท 1,000 บาทตามลำดับ

Focus

ความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการโรงพยาบาล ในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิม ในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2530

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไทยมุสลิมที่ใช้บริการสาธารณสุขในโรงพยาบาลสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คนจากโรงพยาบาลที่ได้รับการสุ่ม 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลนราธิวาส โรงพยาบาลสตูล โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สายบุรี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ยะหา มีผู้ป่วยนอก 382 คนต่อเดือน ผู้ป่วยใน 131 คนต่อเดือน (หน้า27)

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

โดยโครงสร้างสำคัญของศาสนาอิสลามมี 2 ประการ ได้แก่ 1. หลักศรัทธา (รฺก่นอีหม่าม) มี 6 ประการ ได้แก่ ความศรัทธาในอัลลอฮฺ ศรัทธาในมลาอิกะฮฺ หรือเทวฑูต ศรัทธาในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ศรัทธาในศาสนฑูตของอัลลอฮฺ มุสลิมถือว่ามี 28 ท่าน ศรัทธาในอวสานและปรโลก ศรัทธาในการกำหนดสภาวะต่างๆของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์โดยอัลลอฮฺ มี 3 ประการ สภาวะที่ตายตัวแน่นอน เช่นการเกิด การตาย สภาวะที่เกี่ยวกับมนุษย์ เช่น ถิ่นกำเนิด สภาวะที่สามารถแก้ไขได้ เช่นความหิว ความกระหาย 2. หลักปฏิบัติ (รฺก่นอิสลาม) มี 5 ประการ ได้แก่ การปฏิญาณตน การละหมาด ต้อทำวันละ 5 เวลา ได้แก่ เช้าตรู่ บ่าย เย็น พลบค่ำ กลางคืน การถือศีลอด ปีละ 1 เดือนในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม การบำเพ็ญทาน ซึ่งเรียกว่า ซะกาด การเดินทางไปสักการบูชาเทวสถานศักดิ์สิทธ์ที่เมกกะ หรือการฮัจญ์ ซึ่งทำกันปีละครั้งในเดือน 12 ของศาสนาอิสลาม ความศรัทธาและการปฏิบัติส่งผลต่อพฤติกรรมอนามัยของมุสลิม เช่น ผลักดันให้มีอัตราการเกิดสูง เนื่องจากการคุมกำเนิดเป็นข้อห้าม แต่ก็มีหลักการบางอย่างที่สนับสนุนการวางแผนครอบครัว เช่น ไม่ควรมีการตั้งครรภ์ในระยะที่สตรีกำลังเลี้ยงบุตร ประมาณ 24 เดือน คือต้องการให้มีการการตั้งครรภ์แต่ละครรภ์ห่างกันอย่างน้อย 33 เดือน หรือ 3 ปี และอนุญาตให้คุมกำเนิดมาดาที่ตั้งครรภ์แล้มีอันตรายถึงชีวิต และถ้าแพทย์พบว่าการตั้งครรภ์ต่อไปเป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อความตาย ก็อาจจะทำหมันได้ นอกจากนี้ยังมีคำสอนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขภาพ เช่น ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือดสัตว์ทุกชนิด ห้ามรับประทานเนื้อสุกร เพราะมีการดำรงชีวิตที่สกปรก หลีกเลี่ยงสุนัขเนื่องจากเป็นพาหะของโรคกลัวน้ำ ห้ามเสพและซื้อขายสิ่งที่มึนเมาทุกชนิด เพราะจะทำให้ควบคุมสติไม่ได้จนเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น และทำให้เกิดโรคต่างๆ ด้วย ก่อนการละหมาดต้องมีการชำระล้างร่างกายให้สะอาดวันละ 5 ครั้ง เด็กผู้ชายต้องเข้าพิธีสุนัดเพื่อการรักษาความสะอาด นอกจากนี้พบว่าในบทบัญญัติของศาสนาระบุไว้ว่าเมื่อเจ็บป่วยต้องรักษา และรักษาด้วยความอดทน (หน้า 21-24)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาล 4 แห่งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คน โดยสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่การรับรู้การเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย, การรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย, การรับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข การรับรู้อุปสรรคด้านกายภาพ จิตใจ, การเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข, แรงจูงใจด้านสาธารณสุขทั่วไป และปัจจัยร่วม ผลการวิจัยคือ คนไทยมุสลิมมีความเชื่อด้านสุขภาพในระดับสูง รับรู้อุปสรรคด้านกายภาพและด้านจิตใจในระดับปานกลาง, ผู้หญิงมีความเชื่อด้านสุขภาพและรู้ถึงอุปสรรคในการใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ชาย, ผู้ป่วยนอกมีความเชื่อด้านสุขภาพรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมีแรงจูงใจด้านสุขภาพ สูงกว่าผู้ป่วยใน รับรู้อุปสรรคการไปใช้บริการสาธารณสุข ต่ำกว่าผู้ป่วยใน, ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข มีแรงจูงใจด้านสุขภาพสูงกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ, ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษามีความเชื่อเกี่ยวกับการเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจด้านสุขภาพ ต่ำกว่าผู้มีการศึกษา ส่วนผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและการศึกษานอกระบบมีความเชื่อและแรงจูงใจต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาตามลำดับ, ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท รับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงกว่าผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท และ1,000 บาท ตามลำดับ และผู้ที่มีรายได้มากว่า 2,500 บาทรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณะสุขต่ำกว่า ผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท 1,000 บาทตามลำดับ ความเชื่อทางด้านสาธารณสุขพบว่าความศรัทธาและการปฏิบัติส่งผลต่อพฤติกรรมอนามัยของมุสลิม เช่น ผลักดันให้มีอัตราการเกิดสูง เนื่องจากการคุมกำเนิดเป็นข้อห้าม แต่ก็พบว่ามีหลักการบางอย่างสนับสนุนการวางแผนครอบครัว เช่น ไม่ควรตั้งครรภ์ในระยะที่สตรีกำลังเลี้ยงบุตร ประมาณ 24 เดือน คือการตั้งครรภ์แต่ละครรภ์ควรห่างกันอย่างน้อย 33 เดือนหรือ 3 ปี และอนุญาตให้คุมกำเนิดมารดาที่ตั้งครรภ์แล้วมีอันตรายถึงชีวิตและถ้าแพทย์พบว่าการตั้งครรภ์ต่อไปเป็นอันตรายก็อาจจะทำหมันได้นอกจากนี้ยังมีคำสอนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขภาพ เช่น ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือดสัตว์ เนื้อสุกร เพราะมีการดำรงชีวิตที่สกปรก หลีกเลี่ยงสุนัขเพราะเป็นพาหะของโรคกลัวน้ำ ห้ามเสพและซื้อขายสิ่งมึนเมาเพราะจะทำให้ควบคุมสติไม่ได้จนเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น และทำให้เกิดโรคต่างๆ ก่อนการละหมาดต้องมีการชำระล้างร่างกายให้สะอาด เด็กผู้ชายต้องเข้าพิธีสุนัดเพื่อการรักษาความสะอาด และในบทบัญญัติของศาสนาระบุว่าเมื่อเจ็บป่วยต้องรักษา และรักษาด้วยความอดทน(หน้า23-24)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง - จำนวนผู้ป่วยไทยมุสลิมที่มารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ จำแนกตามประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (หน้า27) - จำนวนและร้อยละไทยมุสลิมที่มารับใช้บริการของโรงพยาบาลทั้งหมด และเมื่อจำแนกตามประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (หน้า38) - จำนวนและร้อยละไทยมุสลิมเกี่ยวกับการใช้บริการของโรงพยาบาลจำแนกตามประเภทผู้ป่วย (หน้า40) - คะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมและรายด้าน (หน้า43) - คะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามประเภทผู้ป่วย (หน้า44) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (หน้า45) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างเมื่อจำแนกตามเพศ (หน้า46) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างเมื่อจำแนกตามอายุ (หน้า47) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพในด้านการรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย ระหว่างผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี 31- 45 ปี และ 46-60 ปี เป็นรายคู่ (หน้า48) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า49) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านกายภาพในการไปใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า50) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้อุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า50) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงิน ในการไปใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า51) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า52) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้าน ของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับการศึกษา (หน้า53) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า54) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงประโยชน์ของ การใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า55) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านกายภาพในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า56) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า56) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า57) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า58) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามรายได้ครอบครัวต่อเดือน (หน้า59) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ระหว่างกลุ่มรายได้ต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า60) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มรายได้ครอบครัวต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า61) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มรายได้ต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า61) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ระหว่างกลุ่มรายได้ต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า62) แผนภูมิ - ความสัมพันธ์ของตัวแปรในแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในระยะแรก (หน้า11) - แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ที่ใช้ทำนายพฤติกรรมความร่วมมือของผู้ป่วย (หน้า13)

Text Analyst กรสิริ คริศณุ Date of Report 01 พ.ค. 2556
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, ไทยมุสลิม, ความเชื่อ, การดูแลสุขภาพ, สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง