|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,ความเชื่อ,การดูแลสุขภาพ,สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
สาลี เฉลิมวรรณพงศ์ |
Title |
การศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาลในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
112 |
Year |
2530 |
Source |
หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาพยาบาลศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาล 4 แห่งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คน โดยสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่การรับรู้การเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย, การรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย, การรับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข การรับรู้อุปสรรคด้านกายภาพ จิตใจ, การเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข, แรงจูงใจด้านสาธารณสุขทั่วไป และปัจจัยร่วม ผลการวิจัยคือ คนไทยมุสลิมมีความเชื่อด้านสุขภาพในระดับสูง รับรู้อุปสรรคด้านกายภาพและด้านจิตใจในระดับปานกลาง, ผู้หญิงมีความเชื่อด้านสุขภาพและรู้ถึงอุปสรรคในการใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ชาย, ผู้ป่วยนอกมีความเชื่อด้านสุขภาพรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมีแรงจูงใจด้านสุขภาพ สูงกว่าผู้ป่วยใน รับรู้อุปสรรคการไปใช้บริการสาธารณสุข ต่ำกว่าผู้ป่วยใน, ผู้ที่มีอายุ 20 -30 ปี รับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข มีแรงจูงใจด้านสุขภาพสูงกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ, ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษามีความเชื่อเกี่ยวกับการเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจด้านสุขภาพ ต่ำกว่าผู้มีการศึกษา ส่วนผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและการศึกษานอกระบบมีความเชื่อและแรงจูงใจต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาตามลำดับ, ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท รับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงกว่าผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท และ 1,000 บาท ตามลำดับ และผู้ที่มีรายได้มากว่า 2,500 บาทรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณะสุขต่ำกว่า ผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท 1,000 บาทตามลำดับ |
|
Focus |
ความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการโรงพยาบาล ในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิม ในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
ไทยมุสลิมที่ใช้บริการสาธารณสุขในโรงพยาบาลสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คนจากโรงพยาบาลที่ได้รับการสุ่ม 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลนราธิวาส โรงพยาบาลสตูล โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สายบุรี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ยะหา มีผู้ป่วยนอก 382 คนต่อเดือน ผู้ป่วยใน 131 คนต่อเดือน (หน้า27) |
|
Belief System |
โดยโครงสร้างสำคัญของศาสนาอิสลามมี 2 ประการ ได้แก่ 1. หลักศรัทธา (รฺก่นอีหม่าม) มี 6 ประการ ได้แก่ ความศรัทธาในอัลลอฮฺ ศรัทธาในมลาอิกะฮฺ หรือเทวฑูต ศรัทธาในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ศรัทธาในศาสนฑูตของอัลลอฮฺ มุสลิมถือว่ามี 28 ท่าน ศรัทธาในอวสานและปรโลก ศรัทธาในการกำหนดสภาวะต่างๆของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์โดยอัลลอฮฺ มี 3 ประการ สภาวะที่ตายตัวแน่นอน เช่นการเกิด การตาย สภาวะที่เกี่ยวกับมนุษย์ เช่น ถิ่นกำเนิด สภาวะที่สามารถแก้ไขได้ เช่นความหิว ความกระหาย 2. หลักปฏิบัติ (รฺก่นอิสลาม) มี 5 ประการ ได้แก่ การปฏิญาณตน การละหมาด ต้อทำวันละ 5 เวลา ได้แก่ เช้าตรู่ บ่าย เย็น พลบค่ำ กลางคืน การถือศีลอด ปีละ 1 เดือนในเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของศาสนาอิสลาม การบำเพ็ญทาน ซึ่งเรียกว่า ซะกาด การเดินทางไปสักการบูชาเทวสถานศักดิ์สิทธ์ที่เมกกะ หรือการฮัจญ์ ซึ่งทำกันปีละครั้งในเดือน 12 ของศาสนาอิสลาม ความศรัทธาและการปฏิบัติส่งผลต่อพฤติกรรมอนามัยของมุสลิม เช่น ผลักดันให้มีอัตราการเกิดสูง เนื่องจากการคุมกำเนิดเป็นข้อห้าม แต่ก็มีหลักการบางอย่างที่สนับสนุนการวางแผนครอบครัว เช่น ไม่ควรมีการตั้งครรภ์ในระยะที่สตรีกำลังเลี้ยงบุตร ประมาณ 24 เดือน คือต้องการให้มีการการตั้งครรภ์แต่ละครรภ์ห่างกันอย่างน้อย 33 เดือน หรือ 3 ปี และอนุญาตให้คุมกำเนิดมาดาที่ตั้งครรภ์แล้มีอันตรายถึงชีวิต และถ้าแพทย์พบว่าการตั้งครรภ์ต่อไปเป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อความตาย ก็อาจจะทำหมันได้ นอกจากนี้ยังมีคำสอนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขภาพ เช่น ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือดสัตว์ทุกชนิด ห้ามรับประทานเนื้อสุกร เพราะมีการดำรงชีวิตที่สกปรก หลีกเลี่ยงสุนัขเนื่องจากเป็นพาหะของโรคกลัวน้ำ ห้ามเสพและซื้อขายสิ่งที่มึนเมาทุกชนิด เพราะจะทำให้ควบคุมสติไม่ได้จนเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น และทำให้เกิดโรคต่างๆ ด้วย ก่อนการละหมาดต้องมีการชำระล้างร่างกายให้สะอาดวันละ 5 ครั้ง เด็กผู้ชายต้องเข้าพิธีสุนัดเพื่อการรักษาความสะอาด นอกจากนี้พบว่าในบทบัญญัติของศาสนาระบุไว้ว่าเมื่อเจ็บป่วยต้องรักษา และรักษาด้วยความอดทน (หน้า 21-24) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
ศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อด้านสุขภาพของไทยมุสลิมที่ใช้บริการสุขภาพในโรงพยาบาล 4 แห่งในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 290 คน โดยสัมภาษณ์ความเชื่อด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่การรับรู้การเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย, การรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย, การรับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข การรับรู้อุปสรรคด้านกายภาพ จิตใจ, การเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข, แรงจูงใจด้านสาธารณสุขทั่วไป และปัจจัยร่วม ผลการวิจัยคือ คนไทยมุสลิมมีความเชื่อด้านสุขภาพในระดับสูง รับรู้อุปสรรคด้านกายภาพและด้านจิตใจในระดับปานกลาง, ผู้หญิงมีความเชื่อด้านสุขภาพและรู้ถึงอุปสรรคในการใช้บริการสาธารณสุขสูงกว่าผู้ชาย, ผู้ป่วยนอกมีความเชื่อด้านสุขภาพรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมีแรงจูงใจด้านสุขภาพ สูงกว่าผู้ป่วยใน รับรู้อุปสรรคการไปใช้บริการสาธารณสุข ต่ำกว่าผู้ป่วยใน, ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รับรู้ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข มีแรงจูงใจด้านสุขภาพสูงกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ ผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี รู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณสุขต่ำกว่าผู้มีอายุ 31-45 ปี และ 46-60 ปี ตามลำดับ, ผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษามีความเชื่อเกี่ยวกับการเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุข และแรงจูงใจด้านสุขภาพ ต่ำกว่าผู้มีการศึกษา ส่วนผู้ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและการศึกษานอกระบบมีความเชื่อและแรงจูงใจต่ำกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาตามลำดับ, ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 2,500 บาท รับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูงกว่าผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท และ1,000 บาท ตามลำดับ และผู้ที่มีรายได้มากว่า 2,500 บาทรับรู้ถึงอุปสรรคในการไปใช้บริการสาธารณะสุขต่ำกว่า ผู้มีรายได้ 1,001-2,500 บาท 1,000 บาทตามลำดับ ความเชื่อทางด้านสาธารณสุขพบว่าความศรัทธาและการปฏิบัติส่งผลต่อพฤติกรรมอนามัยของมุสลิม เช่น ผลักดันให้มีอัตราการเกิดสูง เนื่องจากการคุมกำเนิดเป็นข้อห้าม แต่ก็พบว่ามีหลักการบางอย่างสนับสนุนการวางแผนครอบครัว เช่น ไม่ควรตั้งครรภ์ในระยะที่สตรีกำลังเลี้ยงบุตร ประมาณ 24 เดือน คือการตั้งครรภ์แต่ละครรภ์ควรห่างกันอย่างน้อย 33 เดือนหรือ 3 ปี และอนุญาตให้คุมกำเนิดมารดาที่ตั้งครรภ์แล้วมีอันตรายถึงชีวิตและถ้าแพทย์พบว่าการตั้งครรภ์ต่อไปเป็นอันตรายก็อาจจะทำหมันได้นอกจากนี้ยังมีคำสอนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขภาพ เช่น ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์ที่ตายเอง เลือดสัตว์ เนื้อสุกร เพราะมีการดำรงชีวิตที่สกปรก หลีกเลี่ยงสุนัขเพราะเป็นพาหะของโรคกลัวน้ำ ห้ามเสพและซื้อขายสิ่งมึนเมาเพราะจะทำให้ควบคุมสติไม่ได้จนเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น และทำให้เกิดโรคต่างๆ ก่อนการละหมาดต้องมีการชำระล้างร่างกายให้สะอาด เด็กผู้ชายต้องเข้าพิธีสุนัดเพื่อการรักษาความสะอาด และในบทบัญญัติของศาสนาระบุว่าเมื่อเจ็บป่วยต้องรักษา และรักษาด้วยความอดทน(หน้า23-24) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ตาราง - จำนวนผู้ป่วยไทยมุสลิมที่มารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ จำแนกตามประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (หน้า27) - จำนวนและร้อยละไทยมุสลิมที่มารับใช้บริการของโรงพยาบาลทั้งหมด และเมื่อจำแนกตามประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (หน้า38) - จำนวนและร้อยละไทยมุสลิมเกี่ยวกับการใช้บริการของโรงพยาบาลจำแนกตามประเภทผู้ป่วย (หน้า40) - คะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างโดยรวมและรายด้าน (หน้า43) - คะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามประเภทผู้ป่วย (หน้า44) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน (หน้า45) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างเมื่อจำแนกตามเพศ (หน้า46) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างเมื่อจำแนกตามอายุ (หน้า47) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพในด้านการรับรู้ความรุนแรงของการเจ็บป่วย ระหว่างผู้ที่มีอายุ 20-30 ปี 31- 45 ปี และ 46-60 ปี เป็นรายคู่ (หน้า48) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า49) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านกายภาพในการไปใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า50) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้อุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า50) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงิน ในการไปใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า51) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ระหว่างกลุ่มอายุต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า52) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้าน ของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามระดับการศึกษา (หน้า53) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า54) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงประโยชน์ของ การใช้บริการสาธารณสุขระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า55) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านกายภาพในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า56) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า56) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า57) - ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ระหว่างกลุ่มการศึกษาระดับต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า58) - เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมและรายด้านของกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามรายได้ครอบครัวต่อเดือน (หน้า59) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงโอกาสเสี่ยงต่อความเจ็บป่วย ระหว่างกลุ่มรายได้ต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า60) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านจิตใจในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มรายได้ครอบครัวต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า61) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับรู้ถึงอุปสรรคด้านการเงินในการไปใช้บริการสาธารณสุข ระหว่างกลุ่มรายได้ต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า61) - ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับแรงจูงใจด้านสุขภาพทั่วไป ระหว่างกลุ่มรายได้ต่างๆ เป็นรายคู่ (หน้า62) แผนภูมิ - ความสัมพันธ์ของตัวแปรในแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในระยะแรก (หน้า11) - แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ที่ใช้ทำนายพฤติกรรมความร่วมมือของผู้ป่วย (หน้า13) |
|
|