สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,ลาหู่,ภูมิปัญญา,การแพทย์พื้นบ้าน,สมุนไพร,การสืบทอด,ความเชื่อ,ล้านนา เชียงราย
Author ยิ่งยง เทาประเสริฐ, ธารา อ่อนชมจันทร์ (บรรณาธิการ)
Title ชาติพันธุ์กับความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 71 Year 2536
Source โครงการทางเลือกการดูแลรักษาสุขภาพ สถาบันราชภัฎเชียงรายและโรงพยาบาลพญาเม็งราย (ได้รับทุนสนับสนุนจากคณะอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมภาคเหนือ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) และพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง
Abstract

ความสามารถในการดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้านของแต่ละชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นหมอเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยล้านนา หรือหมอพื้นบ้านเผ่าอาข่าหรือลาหู่ ต่างก็มีระบบการแพทย์ภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพชน มีการเรียนรู้หรือได้รับการถ่ายทอดอิทธิพลจากภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนโบราณ หรือแม้แต่ผสมผสานทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพจากระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน การดูแลรักษาสุขภาพและรักษาอาการเจ็บป่วย ต่างก็มีเอกลักษณ์ทางความเชื่อ วิธีการวินิจฉัยโรค กระบวนการในการรักษา และเครื่องมือเฉพาะกลุ่มแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดี อาจจำแนกการเจ็บป่วยได้เป็น 2 ลักษณะคือ ความเจ็บป่วยทางจิตใจ ซึ่งไม่สามารถระบุได้แน่ชัด มักได้รับการวินิจฉัยสาเหตุอันสืบเนื่องมาจากความเชื่อเรื่องของชนเผ่าเรื่องผีและเรื่องขวัญ เช่น การผิดผี หรือขวัญตก รักษาโดยการประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผี ไล่ผีส่งเคราะห์ เรียกขวัญ โดยมีหมอผีหรือหมอขวัญทำพิธี นอกจากนี้ยังมีความเจ็บปวดด้านร่างกาย เช่น โรคต่าง ๆ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ได้รับพิษ อัมพาต โรคข้อ กระดูกหัก เลือดลมและประจำเดือนผิดปกติ เหล่านี้ ชนเผ่าอาข่าและลาหู่มักมีหมอพื้นบ้านทำหน้าที่ดูแลรักษาโดยวิธีผสมผสานหลาย ๆ วิธีทั้งความเชื่อพื้นบ้าน เช่น การใช้ยาสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นในรูปของยาต้ม ยาฝน ยาบด ยาอบ การพึ่งพาหมอเป่าคาถาอาคมให้กระดูกติดกัน หรือท่องคาถาดับพิษ การพึ่งพาหมอผีประกอบพิธีกรรมแทงผีของอาข่า หรือหมอพระที่รักษาไข้โดยการลนเทียนหน้าแท่นบูชาในวิหาร เป็นต้น นอกจากนี้หมอเมืองหรือหมอพื้นบ้านเองก็ยังเรียนรู้พึ่งพาระบบแพทย์แผนใหม่ ในรูปยาฉีดและยาที่ใช้รับประทานจากพ่อค้าเร่ ชาวจีนฮ่อ ร้านขายยาหรือจากการเป็นอาสาสมัครที่ได้รับการอบรมด้านสาธารณสุข ในขณะที่ชาวบ้านมักดูแลรักษาสุขภาพตนเองในระดับหนึ่ง โดยการรักษากันเอง หรือพึ่งพาหมอพื้นบ้านที่ได้รับการยอมรับในชุมชน สลับกับการพึ่งพาสถานีอนามัย โรงพยาบาลหรือสถานบริการด้านสาธารณสุขของรัฐที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ปรับเปลี่ยนไปตามความเจริญทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

Focus

เน้นศึกษาองค์ความรู้ดั้งเดิมในการดูแลรักษาสุขภาพตนเองแบบพื้นบ้านของคนเมือง อาข่า (อีก้อ) และลาหู่ (มูเซอ) ซึ่งสืบทอดกันมาช้านาน มีการปรับประยุกต์ผสมผสานให้เข้ากับการแพทย์แผนใหม่

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ศึกษาบทบาทของหมอเมือง ซึ่งมีเชื้อสาย "ไทยยวน" หรืออาจจะมีเชื้อสาย "ไทยลื้อ" บ้าง หรือไทยอีสานบ้าง รวมถึงแพทย์พื้นบ้านของอาข่าและลาหู่ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ลาหู่ญิ (มูเซอแดง) และลาหู่นะ (มูเซอดำหรือมูเซอคริสต์) (หน้า 12, 18, 40)

Language and Linguistic Affiliations

ไทยภูเขาเผ่าลาหู่พูดภาษาจีนฮ่อ คนไทยเรียกลาหู่ว่า "มูเซอ" ซึ่งเป็นภาษาพม่าแปลว่า พรานหรือนักล่า (หน้า 40, 68) อาข่าและลาหู่ต่างก็ใช้ภาษาจีนฮ่อเป็นภาษากลางติดต่อสื่อสารระหว่างชนเผ่าที่เป็นชาวเขา ลาหู่บางกลุ่มยังใช้ภาษาจีนฮ่อในการรักษาสุขภาพ เช่น คาถาสำคัญ 4 บทของนายทองแก้ว (ลาหู่นะ) เช่น คาถาเสกลูกปืน คาถาไล่ผี คาถาห้ามเลือด คาถารักษากระดูกหักที่เรียนมาจากหมอพื้นบ้าน (หน้า 47) อาข่าบางกลุ่มใช้ภาษาไทยใหญ่ในพิธีกรรม เช่น พิธีแทงผี (หน้า 55) แต่เดิมทั้งอาข่าและลาหู่ไม่มีภาษาเขียนของตนเอง มีแต่ภาษาพูด เมื่อกลุ่มมิชชันนารีเข้ามามีบทบาทต่ออาข่าและลาหู่ ได้สอนเขียนพยัญชนะตัวอักษรโรมัน กลายเป็นภาษาเขียนของแต่ละเผ่า (หน้า 35) อย่างไรก็ดี พบคำเรียกชื่อโรคและชื่อสมุนไพรเป็นภาษาลาหู่โดยเฉพาะ เช่น กรณีตัวอย่างแม่เฒ่านาเย่ (หน้า 44) และสำหรับไทยล้านนานั้นมีภาษาพื้นเมืองล้านนาปรากฏใช้ในพิธีกรรม เช่น พิธีเรียกขวัญ (หน้า 15)

Study Period (Data Collection)

โครงการศึกษาหมอเมืองในอำเภอพญาเม็งราย ตุลาคม 2535 - กรกฎาคม 2536 ส่วนทีมงานวิจัยที่เข้ามาปฏิบัติงานที่ดอยตุงช่วงแรก มาในฐานะเจ้าพนักงานสาธารณสุขตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 (หน้า 10, 35)

History of the Group and Community

พงศาวดารโยนกเล่าถึงประวัติอำเภอพญาเม็งรายไว้ว่า พ่อขุนเม็งรายได้ยกทัพไปตีเมืองผาแดงหรือเชียงของในปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 1812 ระหว่างทางทรงพักทัพใกล้บ้านสันป่าสัก อำเภอพญาเม็งราย จ.เชียงราย สถานที่นี้จึงถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์และได้ชื่อเรียกขานสืบมาว่า "คุ้มพญาเม็งราย" ได้ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ 13 สิงหาคม 2530 สำหรับชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า (อีก้อ) และล่าหู่ (มูเซอ) ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ดอยตุง มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่แคว้นยูนนานของจีน อพยพลงสู่ภาคตะวันออกของพม่าและตอนเหนือของลาวแล้วจึงเข้าสู่ภาคเหนือของไทย บางส่วนมาอยู่ที่ดอยตุง บางส่วนตั้งรกรากที่บ้านแม่หม้อและบ้านพญาไพร หมู่บ้านหนึ่งในกิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย จากหลักฐานพบว่าทั้งอีก้อและมูเซอมาตั้งถิ่นฐานไม่ต่ำกว่า 70 ปี (หน้า 9, 34)

Settlement Pattern

ที่อยู่อาศัยของอาข่า อาข่าจะเลือกที่ตั้งหมู่บ้านด้วยการประกอบพิธีกรรมหยอดไข่ เพื่อดูว่าบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และภูตผีจะอนุญาตให้ตั้งหมู่บ้านในบริเวณนั้นหรือไม่ ทำโดยเตรียมพื้นที่ประมาณ 1 ตารางเมตรทำหลุมตื้นมีสี่เหลี่ยมตรงกลาง กระทุ้งดินให้แน่น ผู้ทำพิธีหยิบไข่ชูขึ้นแล้วปล่อยให้ตกในหลุม หากไข่แตกแสดงว่าเจ้าที่เจ้าทางอนุญาต หากไข่ไม่แตกก็จะสร้างไม่ได้ หมู่บ้านอาข่าจะมีประตูหน้าหมู่บ้านเรียก "ประตูผี" ตั้งเสาชิงช้าสูง หลังคาบ้านจะใหญ่กว่าของลาหู่และปกคลุมลงมาเกือบถึงพื้นดินเพื่อป้องกันพายุฝน บ้านอาข่าไม่มีหน้าต่าง ด้านบนสุดของหลังคาด้านหน้าและด้านหลังมีไม้สองอันไขว้กันคล้ายกาแล (หน้า 36-37) ที่อยู่อาศัยของลาหู่ หมู่บ้านลาหู่ญิมีวิหารเรียก "ฮ่อเย่" เป็นที่บูชาเทพกุยซา ลาหู่คริสต์มีโบสถ์เรียก " บนเว่ " ใช้เป็นที่สวดวันอาทิตย์ ลาหู่จะสร้างบ้านเป็นสองห้องคือ ห้องโถงใหญ่ และห้องนอนของครอบครัว มีระเบียง และบันไดขึ้นบ้าน (หน้า 40)

Demography

ประชากรในอำเภอพญาเม็งรายส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทยยวนและไทยลื้อ อพยพมาจากน่าน แพร่ มีชนกลุ่มน้อยเป็นชาวเขาเผ่าม้ง เย้า และมูเซอ บางส่วนก็อพยพมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 9) จำนวนประชากรบริเวณพื้นที่ดอยตุงมากกว่า 10,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า คนไทยพื้นราบเรียก "อีก้อ" ลาหู่ (มูเซอ) ไทยใหญ่ ลัวะ และจีนฮ่ออพยพ อาข่าและลาหู่ส่วนใหญ่มีเครือญาติอาศัยอยู่ในจีนและพม่า มีการติดต่อไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 34) การอพยพย้ายถิ่น ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาอัตชีวประวัติของหมอเมืองพบว่า รูปแบบการตั้งถิ่นฐานของหมอเมืองส่วนใหญ่มักมีพื้นเพเป็นคนถิ่นอื่น ก่อนอพยพมาตั้งถิ่นฐาน เช่น หมอสมพื้นเพเป็นคนจังหวัดน่าน ย้ายมาอยู่อำเภอเทิงก่อนอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านทุ่งเจ้าอำเภอพญาเม็งราย หมอหมื่นบิดาเป็นคนน่าน มารดามาจากสิบสองปันนา ย้ายถิ่นฐานมาอยู่บ้านป่าเป้า อำเภอเทิง จ.เชียงราย หมอแว้นเดิมอยู่ตำบลงิ้ว ต่อมาย้ายมาอยู่ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งรายพ่อจันทร์ พื้นเพเป็นคนอำเภอเมือง จ.ลำปาง ต่อมาไปขอสืบวิชาที่อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปางจากพ่อหนานต๊ะ ก่อนจะย้ายมาตั้งหลักแหล่งยึดอาชีพหมอที่บ้างทุ่งยั้ง อำเภอเวียงชัยในจังหวัดเชียงราย เดินทางรักษาคนไข้บ้านป่าม่วง ตำบลแม่ต๋ำ อำเภอพญาเม็งราย จนในที่สุดมาปักหลักตั้งถิ่นฐานที่บ้านสันเชียงใหม่ ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย หมอรอดพื้นเพเดิมอยู่ทางภาคอีสาน แต่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านหนองบัวคำตำบลเม็งราย (หน้า 10, 12, 14, 17) ข้อมูลจากการศึกษาอัตชีวประวัติของหมอพื้นบ้านอาข่าและลาหู่ พบว่า ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของหมอพื้นบ้านชาวไทยภูเขาส่วนใหญ่ มักอพยพมาจากถิ่นอื่นก่อนมาตั้งถิ่นฐานที่กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย มีเพียงบางรายที่เป็นคนเชียงรายโดยกำเนิด อาทิ จะหวะติแส เป็นลาหู่ (มูเซอลาบา) อาศัยอยู่ที่บ้านลาบา ตำบลเทิดไทย กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย แม่เฒ่านาเย่เผ่าลาหู่ เกิดที่ประเทศจีนอพยพตามครอบครัวมาอยู่พม่า ก่อนเข้ามาตั้งถิ่นฐานติดชายแดนไทย-พม่าที่บ้านแม่หม้อ ดอยตุง ปัจจุบันตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านมูเซอป่ากล้วย กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายทองแก้ว หริชัยกุลเป็นลาหู่นะ เกิดที่มณฑลหยุนหนาน ประเทศจีน เคยอพยพไปอยู่พม่าและลาว ก่อนย้ายมาอยู่ในไทย ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านขาแหย่ง และปฏิบัติงานที่สถานบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านพญาไพร กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายลอเซอ โหว่ยยือกู่เป็นอาข่า เกิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในพม่าติดชายแดนจีน ย้ายเข้ามาอยู่ในไทยที่หมู่บ้านปางหนุนใกล้บ้านพญาไพร ดอยตุง ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านสวนป่า กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย นายอาเสาะ ยาแปงกู่ เป็นอาช่า (โลวมิ)เกิดที่บ้านพญาไพร ติดชายแดนไทย-พม่า ครอบครัวเดิมอยู่มณฑล หยูนหนาน ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านอีก้อป่ากล้วย ตำบลเทิดไทย (หน้า 43, 46- 47, 49,51, 54)

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ประชากรส่วนใหญ่ในอำเภอพญาเม็งรายนับถือศาสนาพุทธ บ้างนับถือคริสต์ อิสลามและผีบรรพบุรุษ การวินิจฉัยสาเหตุของโรคของแพทย์พื้นบ้านและหมอเมืองจะให้เห็นสะท้อนความเชื่อเรื่องผี มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ผีเข้า โดนคุณไสย บ้า ประสาท โป่ง ผีทำ คนที่ถูกผีเข้าซึ่งมีทั้งผีพราย ผีป่า ผีเรือน ผีกะ หมอจะใช้น้ำมนต์ ใบหนาดและใบส้มป่อยรักษา หรืออาจใช้ผ้ายันต์มัดคอ อย่างไรก็ดี คณะผู้วิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่า ผีน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้อย่างหนึ่ง เมื่อคนกลัวเพราะไม่รู้ก็ จะโทษว่าเป็นเพราะผี การทำพิธีเซ่นไหว้ ขับไล่ปัดเป่า ก็เพื่อบรรเทาความกลัวให้ลดลง (หน้า 9, 11,16, 26-27) ไทยล้านนาเชื่อว่า ขวัญเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คล้ายเป็นวิญญาณประจำอยู่ที่อวัยวะต่าง ๆ หรือหมายถึง กำลังใจที่เป็นนามรูปอยู่ตามสรีระร่างกายของคนเรา เชื่อกันว่าคนเรามี 32 ขวัญ (ผู้วิจัยนับได้ 33) เช่น ขวัญแก้ม ขวัญคิ้ว ขวัญเกศา ขวัญท้อง ขวัญหน้า พิธีเรียกขวัญ คนที่ "ขวัญตก" คือมีอาการสะดุ้งตกใจ หวาดผวาจนไม่สามารถบังคับจิตใจได้ หรือเสียขวัญต้องทำพิธี "เฮียก ขวัญ" หรือ "ฮ้องขวัญ" เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งหนึ่ง ทำโดยใช้เมล็ดข้าวเปลือกมาวางเป็น 3 กอง ท่องคาถา นับจำนวนหากได้เลขคู่แสดงว่าขวัญกลับมาแล้ว แต่ถ้าเป็นเลขคี่แสดงว่าขวัญตกต้องทำใหม่จนกว่าจะนับได้เลขคู่ หากยังไม่หายต้องทำพิธี "เฮียกขวัญหลับฝัน" โดยตั้งขันเชิญเทวดาประจำบ้านหรือ "ผีย่าหม้อนึ่ง" มาช่วยตามหาขวัญ คำเรียกขวัญมีการใช้ภาษาพื้นเมืองล้านนา พิธีสู่ขวัญ ทำเพื่อปลอบใจหรือ ให้กำลังใจคนไข้ มีผลด้านจิตใจ หมอหมื่นเป็นผู้ทำพิธีโดยให้คนดิบหรือคนที่ยังไม่ได้บวชนำ "สะตวง" กาบกล้วยมัดเป็นพานใส่ของมาเซ่นไหว้ผี หากยังไม่หาย แสดงว่ามีโรคทางกายเบียดเบียน หมอหมื่นจะจัดยารักษาให้ตามโรค หมอหมื่นจะถือศีลแปดช่วงเข้าพรรษาและวันพระ ไม่กินข้าวบ้านศพเพราะเชื่อว่าจะทำให้ไล่ผีไม่ออก พิธีส่งสะเอบ สะเอบคือ เคราะห์ หรือ เสนียดจัญไร เช่น ตกบ้าน ตกต้นไม้ ตายโหง ตายคลอด รถล้มประสบอุบัติเหตุ ไทยล้านนามีความเชื่อว่า การตัดสะเอบหรือส่งสะเอบ มักส่งเคราะห์คนที่ประสบอุบัติเหตุ หรือรถล้มบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก ทำโดยใช้ด้ายสายสิญจน์คล้องผ่านคนไข้และสิ่งของที่ติดสะเอบ โยงไปหาสะตวง เมื่อทำพิธีเสร็จจะนำสะตวงไปทิ้งในบริเวณที่ไม่มีใครผ่าน แล้วต้องไม่หันกลับมาดู (หน้า12-15, 22, 27) การเสกเป่าคาถา หมอไทยล้านนาอาจเป่าหรือเสกให้กระดูกที่หักต่อกันติด หรือว่าคาถาในพิธี "เช็ด" หรือ "แหก" เพื่อไล่พิษ ดับพิษ โดยใช้เขี้ยวหรือเขาสัตว์มาลูบในบริเวณที่ปวดบวม พร้อมว่า "คาถาสิบพระคุณ" (หน้า 22-23) ข้อปฏิบัติของหมอไทยล้านนาเกี่ยวกับความเชื่อ โดยส่วนใหญ่มักไม่กินข้าวบ้านศพ เนื่องจากเชื่อว่า ถ้ากินขี้ซากผีแล้ว ผีจะไม่กลัวเพราะถือเป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้ยังไม่กินเนื้อ 10 ชนิด ได้แก่ งู จระเข้ หมา แมว มนุษย์ หมี เสือ ม้า ช้าง ลิง ทั้งยังห้ามลอดราวตากผ้า เครือกล้วย หรือใต้ถุนบ้าน เพราะเชื่อว่าอาจทำให้คาถาเสื่อม (หน้า 17, 20) ความเชื่อของอาข่า อาข่ามีความเชื่อเกี่ยวกับ " อะเพอมิเย่ " หรือ บุรุษผู้ทรงอำนาจ ว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าอาข่า เช่น ช่วยบันดาลให้ข้าวในนาได้ผลดีและเป็นผู้ประทานบัญญัติหนังควายที่กำหนดวิธีเพาะปลูก ล่าสัตว์ วินิจฉัยรักษาโรค หากผู้ใดไม่เชื่อถือปฏิบัติตาม ไปรับนับถือศาสนาคริสต์ก็ต้องย้ายจากหมู่บ้านไป นอกจากนี้ อาข่ายังนับถือบรรพบุรุษและมีพิธีกรรมเกี่ยวกับงานไหว้เจ้าถึง 12 ครั้ง อาทิ เทศกาลปีใหม่เรียกว่า "กาถ่องผ่ะ" เทศกาลไข่แดง เทศกาลโล้ชิงช้า เทศกาลไหว้เจ้าช่วงเริ่มปลูกและเก็บเกี่ยวข้าว (กินข้าวใหม่) อาข่ามีความเชื่อเกี่ยวกับผีคือ เชื่อว่าผีมีอยู่แทบทุกแห่ง เมื่อมีการเจ็บป่วยจากการกระทำของผีหรือผิดผี วิธีแก้การผิดผีโดยการเลี้ยงผี หากผิดผีนอกประตูผีของหมู่บ้าน ก็จะไปทำพิธีที่จุดนั้นโดยมีหมอผี (ทูม่อ, โบ้วม่อ) เป็นผู้ประกอบพิธี หากมีโรคระบาดก็จะย้ายที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ นอกจากความเชื่อเรื่องผีแล้ว อาข่ายังมีความเชื่อเรื่องขวัญ มีการเข้าทรงโดย "ยี่ผ่า" มาตามหาขวัญหรือวิญญาณ การรักษามีทั้งพิธี "เรียกขวัญ" "เลี้ยงผี" นอกจากนี้ อาข่ายังมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายว่า เมื่อมนุษย์ตายลงก็จะไปอยู่อีกภพหนึ่ง หากทั้งสองภพขาดสมดุลจะเกิดเหตุอาเพศให้มนุษย์ตายอย่างผิดปกติ หมู่บ้านอาจต้องย้ายไปตั้งยังชัยภูมิใหม่ สองภพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน มีการปักปันเขตแดนไว้บริเวณทางเข้าหมู่บ้านยกเว้นลูกหลานจะอัญเชิญวิญญาณบรรพชนกลับมาปกปักรักษา หรือหากมีการผิดผี ผิดบัญญัติ ผีจะตามมาลงทัณฑ์ ผีที่สิงร่างมนุษย์แบ่งเป็นผีเสือดำ (ลาแผ่นะ) และผีเสื้อเหลือง (ลาแผ่ซือ) ผีเสือดำจะดุร้ายกว่าและไล่ยาก เชื่อกันว่าก่อนถูกผีเข้ามักมีคนที่เลี้ยงผี (สืบทอดกันในตระกูลคล้ายปอบ) เดินผ่านมาใกล้บ้านหรือมาเยี่ยม พอตกค่ำคนในบ้านจะมีอาการถูกผีเข้า พิธีเกี่ยวกับไสยศาสตร์ อาข่าเชื่อว่าการคลอดบุตรตายเป็นการตายโหง ต้องทำพิธีส่งวิญญาณไม่ให้กลับมารบกวน จึงมีพิธีทางไสยศาสตร์ที่ช่วยให้คลอดง่าย เพื่อป้องกันการเสียชีวิตของแม่และเด็ก ส่วนเด็กแฝดที่เกิดมาไม่สมประกอบ อาข่าถือว่าเป็นเสนียด เกิดมาเพราะภูตผีต้องการลงโทษบิดามารดาที่ได้ทำผิดบัญญัติไว้ มักกำจัดทารกแล้วนำไปฝังในป่าไกลจากหมู่บ้าน พ่อแม่ของทารกและชาวบ้านจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้ขอขมา นอกจากนี้ยังมีพิธีป้องกันหมู่บ้านจากเภทภัยและสิ่งอัปมงคล เช่น หากลูกบ้านไปติดคุกกลับเข้าหมู่บ้านมา ก่อนเข้าประตูจะต้องลุยไฟ โดยใช้มีดถางป่าขีดเส้นสามเส้นบนพื้นถนนข้างหลังแล้วไม่หันไปมอง เพื่อเป็นการตัดขาดจากสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ไม่ให้แผ้วพาลหมู่บ้าน (หน้า 36-39, 55-56) ความเชื่อของลาหู่ ลาหู่บนดอยตุงประมาณร้อยละ 90 นับถือคริสต์ศาสนา แต่ยังคงความเชื่อพื้นฐานดังต่อไปนี้ 1. ผี (เน) มีทั้งผีดีและผีร้าย เช่น ผีบ้าน (เย่เน) ทำหน้าที่คุ้มครองคนในบ้าน 2. พระผู้เป็นเจ้า (เทพเจ้ากุยซา) ลาหู่เชื่อว่ากุยซาเป้นผู้สร้างมนุษย์ หมู่บ้านลาหู่ญิจะมีวิหารบูชาเทพเจ้าเรียกว่า "ฮ่อเย่" จัดขึ้นเดือนละ 2 ครั้ง 3. วิญญาณหรือขวัญ (อ่อฮา) หากออกจากร่างเจ้าของร่างจะป่วย (หน้า 40) ลาหู่ญิจะเชื่อผู้นำทางวิญญาณ อาทิ " โตบน" พระประจำหมู่บ้าน "สล่า" ผู้นำทางพิธีกรรมและรักษาไข้ "ลาซอร์" ผู้ทำพิธีขับผีร้ายและโรคภัยจากหมู่บ้าน "อะคาน" ผู้เซ่นสรวงขอพรให้ชาวบ้าน "เซผา" ผู้ทำพิธีแก้ทางคุณไสย เช่น หากมีกรณีเสกหนังควายเข้าท้อง ก็จะดูดด้วยหลอดไม้รวกแล้วเป่าคาถา นอกจากนี้ยังมีการทรงเจ้าเพื่อระบุสาเหตุของโรคและเรียกขวัญรักษาไข้ ผู้ทำพิธีคือ "หมอยา" ใช้สามง่ามที่เรียกว่า "เม่ทอเล" เป็นเครื่องมือขับผี ลาหู่จะภาวนาในวิหารโดยเน้นการขอพรด้านสุขภาพพลานามัย (หน้า 41)

Education and Socialization

การเรียนรู้ ถ่ายทอดวิชาการรักษาโรคและดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านนั้น จากกรณีศึกษาประวัติหมอเมืองไทยล้านนาและหมอพื้นบ้านอาข่าและลาหู่พบว่า มีทั้งการเรียนรู้หรือได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากบรรพชนหรือคนในครอบครัว รุ่นพ่อและรุ่นปู่เป็นอย่างน้อย เช่นกรณีของหมอสมสนใจจะเป็นหมออย่างบิดา จึงเรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้ทั้งภาษาไทยและภาษาเมือง และได้เป็นลูกมือช่วยบิดารักษาคนไข้มาตั้งแต่อายุ 25 ปี (หน้า 10) หรือแม่เฒ่านาเย่ (เผ่าลาหู่) ได้สืบทอดภูมิปัญญาเชี่ยวชาญในการใช้สมุนไพรรักษาโรคจากพ่อตั้งแต่ยังเล็ก (ซึ่งพ่อเรียนสืบทอดจากปู่อีกทอดหนึ่ง) แต่ก็ได้สั่งสมประสบการณ์ตรงด้วยตนเองมาหลายสิบปี มีภูมิปัญญาด้านโรคที่เกี่ยวกับสตรีและการบำรุงร่างกาย (หน้า 43, 46) การถ่ายทอดอาจผ่านการเรียนรู้จากตำราของพระ หมอเมืองหรือหมอพื้นบ้านท่านอื่น ตำรามีทั้งที่ใช้ใบลานและกระดาษสา บ้างก็เรียก "ปั๊บสา" "ปั๊บลาน" ตัวอย่างหมอไทยล้านนาที่ได้รับการถ่ายทอดจากหมอพื้นบ้านท่านอื่น เช่น หมอหมื่น (ไทยล้านนา) เรียนจากตำราของพ่อหนานเสนา พ่อน้อยแหย่งคนใกล้บ้าน นายลอเซอ (เผ่าอาข่า) เรียนวิชาจากชาวจีนและคนไทยใหญ่ หรือกรณีของจะหวะ (นายพิพัฒน์ เผ่าลาหู่) ได้เรียนคาถารักษาโรคจากพ่อตา โดยการท่องจำให้ขึ้นใจเพราะอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ (หน้า 12, 14, 49, 51) นอกจากนี้ การเรียนรู้หรือได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านการรักษาโรคก็เป็นแบบผสมผสานคือ มีทั้งได้รับการถ่ายทอดจากคนในครอบครัว เรียนรู้จากผู้อื่นและเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง เช่น กรณีนายอาเสาะได้รับการสืบทอดจากน้า เรียนรู้การรักษาโรคหลายอย่างจากภูมิปัญญาของจีนฮ่อและไทยใหญ่ เรียนรู้ด้านการใช้สมุนไพรด้วยตนเอง รวมถึงเรียนรู้ด้านการใช้ยาแผนปัจจุบันจากหมอสอนศาสนา พ่อค้ายาพื้นราบและจีนฮ่อ และเจ้าหน้าที่ทางการ (หน้า 54) พ่อจันทร์ (หมอเมืองลำปาง) ไปขอสืบทอดวิชาจากพ่อหนานต๊ะ นายทองแก้ว (เผ่าลาหู่) เรียนคาถารักษากระดูกหักแบบพื้นบ้านจากจีนฮ่อ เรียนการใช้ยาแผนปัจจุบันจากหมอสอนศาสนาคริสต์ และยังได้รับการอบรมด้านการวางแผนครอบครัวจากทางราชการ ทั้งยังมีความสามารถพิเศษคือพูดได้ไม่น้อยกว่า 5 ภาษา (หน้า 46-47, 68) ข้อน่าสังเกตประการหนึ่งที่พบคือ การแพทย์พื้นบ้านมักจะไม่ได้รับการพัฒนา หรืออาจถูกเบี่ยงเบนรูปแบบและเนื้อหาจากภูมิปัญญาดั้งเดิม โดยมีการใช้ยาแผนปัจจุบันผสม หรือสูญหายไปกับตัวหมอพื้นบ้านเอง เนื่องจากขาดคนและกระบวนการสืบทอดดังเช่นในอดีต (หน้า 67) เช่น กรณีของแม่เฒ่านาเย่ (เผ่าลาหู่) ต้องการถ่ายทอดความรู้ด้านสมุนไพรให้ลูกชายและสามีสืบทอดไว้ช่วยเหลือตัวเองยามจำเป็น แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะไม่มีคนยอมเรียน อ้างว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่สะดวกเท่ารักษาแผนปัจจุบันที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย สมุนไพรก็หาได้ยาก (หน้า 45) หรือสาเหตุอีกประการหนึ่งอาจเป็นเพราะหมอไม่คิดจะถ่ายทอดวิชา หรือหวงตำรา เช่น กรณีหมอหมื่นค่อนข้างหวงตำรา และหาคนสืบทอดไม่ได้ แม้จะสอนหลานชายก็ไม่เป็นผล เพราะขาดพื้นฐานด้านภาษาไทยล้านนา (หน้า 14) กรณีหมอรอด (หมอเมือง) ให้เหตุผลว่ากลัวถ่ายทอดแล้วเอาไปหลอกลวงชาวบ้าน เรียกร้องเอาเงินทั้ง ๆ ที่รักษาไม่หาย เป็นต้น (หน้า 20) อย่างไรก็ดี มีหมอเมืองที่พยายามถ่ายทอดภูมิปัญญาให้ลูกหลานสืบทอดต่อจากตนและได้รับความสนใจ เช่น กรณีของหมอสมที่ถ่ายทอดวิชาให้ลูกชายคนโต และลูกชายคนที่สามก็สนใจจะช่วยบิดาคัดลอกตำราจากภาษาตัวเมืองเป็นภาษาไทย โดยคัดจาก ใบลานที่ชำรุดลงกระดาษสา (หน้า 12)

Health and Medicine

การรักษาของหมอเมืองกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ก็ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตแทบทุกด้าน รวมถึงด้านสาธารณสุข การกระจายตัวที่เพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลและสถานีอนามัย รวมถึงค่านิยมยาแผนปัจจุบันของคนไข้ที่เข้ารับการรักษา ทำให้หมอเมืองต้องปรับเปลี่ยนบทบาท มีการใช้ยาแผนปัจจุบันร่วมด้วย เนื่องจากสมุนไพรท้องถิ่นเริ่มหายาก บางครั้งตัวยาบางชนิดก็ต้องปรับเปลี่ยนตามไป นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็ยังส่งผลให้ค่ายกครูหรือค่าตอบแทนสูงขึ้น เมื่อค่าใช้จ่ายต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับอาข่าและลาหู่ ซึ่งแต่เดิมนิยมติดต่อกับจีนฮ่อ หรือชาวฮั่นจากมณฑลหยูนหนานได้รับอิทธิพล รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลรักษาสุขภาพตนเอง และการใช้สมุนไพรมาจากพวกจีนฮ่อ แม้จะมีรูปแบบวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป จากการประกอบอาชีพทำนาทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ก็เปลี่ยนมาประกอบอาชีพรับจ้าง มีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับพื้นที่ทำกินซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกป่าของโครงการพัฒนาดอยตุง แต่การพึ่งพาบริการด้านสาธารณสุข ก็ยังพึ่งพาระบบดูแลรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน ผสมผสานกับบริการแผนใหม่ของรัฐ โดยที่สัดส่วนการใช้บริการสองระบบจะเท่าเทียมกัน นอกจากนี้การเลือกพึ่งพาบริการแผนใหม่ของรัฐหรือของหมอพื้นบ้าน ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทางสังคมแลเศรษฐกิจส่วนบุคคล (หน้า 29, 34-35, 67 ) การใช้ประโยชน์จากสมุนไพร สมุนไพรถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งยังเป็นภูมิปัญญาทางเลือกหนึ่งที่ใช้ดูแลรักษาสุขภาพตนเอง และใช้รักษาโรค สมุนไพรที่นำมาใช้ มีทั้งที่เพาะปลูกเอง หาได้จากในป่า สมุนไพรบางชนิดก็หาซื้อได้ตามท้องตลาดในอำเภอแม่สาย หรือบางส่วนนำเข้าจากพม่า (หน้า 54-55) สมุนไพรต่าง ๆ มีดังนี้ - กล้วยไม้ (แหยะฉ่องขื่อ) ห่อข้าวสีดา (ฉ่า แม เม ห่อ) แมลงลมหมุน (จา แล แล เยอะ อะ มอ) ม้านั่ง,ม้าหมุน (เศษไม้ที่ใช้ทำของเล่น) ไม้สั่งมะโง่ะลี่, คว่า, ยะมามิชี่ เป็นสมุนไพร 7 ชนิดที่ใช้ต้มรับประทานเมื่อมีไข้ - สมุนไพรที่ใช้ประคบรักษาอาการกระดูกหัก ประกอบด้วย ใบอ่อนของอะละท่องไฮ่ ยะกะติมา (เป็นไม้เถา) หยี่จึหลั่ง เบซังจ๊ะ ยางังหน่อ จะปะ บีเยะแคะอิ ดอเฉะนิแคะอิ ฉ่าเย่นูอิ นอกจากนี้ยังใช้เปลือกไม้ "จะเสาะ" เจาะรูขนาดเท่านิ้วก้อย จะเสาะเป็นไม้ขนาดใหญ่ มีหนาม มีผลเป็นฝักยาว ดอกสีแดงและสีขาว - สมุนไพรที่ใช้รักษาอาการขาลีบหรือโรคปวดข้อของอาข่า คือ ยามิยะกะเว่อ เป็นสมุนไพรคล้ายว่าน มีเหง้าลำต้นเป็นเถา คล้ายซ้งฉีสมุนไพรจีน สมุนไพรที่รักษาอาการบวมคือ เมล็ดไม้มะค่า อาข่าเรียกว่าอาเบอเบี๊ยะ ล้านนาเรียกเถาสะเต๊าฝนผสมกับมาลูขะ ใช้ทาบริเวณที่เป็นฝีหรือบวม (หน้า 56-58) ความเชื่อแบบพื้นบ้านที่เชื่อมโยงกับการสันนิษฐานอาการของหมอเมืองล้านนา ความเชื่อพื้นบ้านเรื่องผี คือ เชื่อว่าคนไข้ผีเข้า ถูกคุณไสย บ้า ประสาท โป่ง หรือเมื่อเด็กร้องไห้ไม่หยุดเพราะถูกผีทำ ความเชื่อเรื่องขวัญ เมื่อคนไข้มีอาการ "กินข้าวบ่ลำ กินน้ำบ่ลง" เนื่องมาจากขวัญตก ต้องทำพิธีเรียกขวัญ ความเชื่อเกี่ยวกับธาตุทั้งสี่ซึ่งสันนิษฐานว่ามีพื้นฐานมาจากการแพทย์ของอินเดียคือ แยกแยะร่างกายมนุษย์ออกเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อาการอัมพาต เกิดจากเลือดเดินไม่ดี อาการลมผิดเดือน เกิดจากธาตุลมน้อยกว่าปกติ เมื่อธาตุไฟมากหรือน้อยกว่าปกติ อาจทำให้เกิดโรคดีซ่านหรือโรคนิ่วได้ (หน้า 26) สำหรับหมอเมืองมีบทบาทในการแก้ปัญหาสุขภาพด้านต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีทั้งหมอเมื่อ (หมอถ้วยแก้ว ผีหม้อนึ่ง) ผู้ทำนายทายทักโชคชะตาและหาสาเหตุการเจ็บป่วย หมอผีและม้าขี่ หมอผีเป็นหมอที่ใช้เวทย์มนต์คาถาไล่ผี ส่วนม้าขี่คือหมอทรง ทำหน้าที่เข้าทรงติดต่อวิญญาณเพื่อบอกยาหรือวิธีรักษา หมอสู่ขวัญ ประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อพื้นบ้านที่ส่งผลด้านจิตเวช เช่น การเรียกขวัญ สู่ขวัญ สืบชะตา ตัดสะเอบ ส่งเคราะห์ หมอขวากซุยหรือหมอเป่า รักษาโรคด้วยคาถาอาคม เช่น ใช้คาถาเป่าให้กระดูกติดกัน หรือดับพิษ หมอยา มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรทั้งรูปแบบต้มรับประทานและใช้ภายนอก คนไข้ที่ไปรักษาต้องขึ้นครูเพื่อให้ผลหรือยามีฤทธิ์ในการรักษา หมอตำแยทำคลอด ปัจจุบันลดบทบาทไป (หน้า 22) วิธีการแก้ปัญหาด้านสุขภาพแบบพื้นบ้านของหมอเมือง หมอเมืองมักใช้วิธีอย่างเป็นองค์รวม มีความหลากหลายครอบคลุมทั้งทางร่างกาย จิตใจและสังคมโดยไม่อาจแยกได้เด็ดขาด สามารถจำแนกได้ตามกรรมวิธีที่ใช้ อาทิ การแก้ปัญหาโดยประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อไสยศาสตร์ เช่น ถูกผีเข้า การส่งเคราะห์ รดน้ำมนต์ ขับไล่เสนียดจัญไร เช่น ตัดสะเอบ การสู่ขวัญ ให้กำลังใจคนไข้ เป่าคาถาดับพิษ เสกกระดูกให้ติดกัน เช่น คาถาสิบพระคุณ การเช็ด แหก คือใช้เขี้ยวสัตว์ เช่น เขี้ยวเสือ เขี้ยวควาย เขี้ยวหมูมาลูบเพื่อไล่พิษ ใช้ร่วมกับการว่าคาถาและพอกยา(ยาก้อบ) ใช้ยาสมุนไพรที่ฝนใส่ขวดไว้ มาสักลงบนผิวหนังให้เลือดออก เพื่อไล่พิษ เรียก "ยาสับ" นอกจากนี้ยังมีกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น ฝนยา ม้วนยา ฮมยา (ใช้ยาต้มให้มีไอน้ำอบตัวในกระโจม) จู้ยา (ก้อบยาหรือประคบยาเพื่อถอนพิษ) ย่ำขาง (เหยียบแผ่นเหล็กร้อนบนเตา แล้วนำมาเหยียบอวัยวะที่บวม พร้อมว่าคาถา) จั บเส้น ดึง เข้าเฝือก หรือใช้น้ำมันมนต์ กรรมวิธีต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ส่งผลในด้านร่างกาย เช่น การฝนยา ยาสับ อบยาสมุนไพร ยาต้มสมุนไพร จู้ยา ก้อบยา ดึง กรรมวิธีที่ส่งผลด้านจิตใจ เช่น เป่าคาถา แก้คุณไสย ส่งเคราะห์ สู่ขวัญ รดน้ำมนต์ เป็นต้น (หน้า 22-23, 27-28) การดูแลรักษาสุขภาพตนเองของอาข่า อาข่าเชื่อว่าผู้ที่ปฏิบัติตามบัญญัติอาข่าจะปลอดโรค มีสุขภาพสมบูรณ์ ในหมู่อาข่าไม่พบภาวะพิการหรือโรคเรื้อนเลย หนุ่มสาวที่มีประวัติเป็นโรคติดต่อบางอย่าง เช่น วัณโรค ลมบ้าหมู และโรคจิต จะหาคู่ยาก อาข่าจะมีคนทรงเรียกว่า "ยี่ผ่า" ทำหน้าที่วินิจฉัยโรค และตามหาขวัญหรือวิญญาณ ผู้ป่วยผูกด้ายที่ข้อมือจากพิธีเรียกขวัญ คนทรงจะบอกวิธีรักษาให้เช่น ทำพิธีเลี้ยงผี เรียกขวัญ หรือใช้คาถา สมุนไพร ผู้ป่วยบางรายรักษาแผนใหม่ที่สถานีอนามัย หรือโรงพยาบาล หากไม่หายจะกลับไปรักษาแบบพื้นบ้าน (หน้า 38-39) การดูแลรักษาสุขภาพตนเองของลาหู่ แต่ละหมู่บ้านของลาหู่จะมีอาหารการกินสมบูรณ์ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ วัฒนธรรมลาหู่เน้นเรื่องสุขภาพอนามัย แม้แต่ในการภาวนาขอพร ลาหู่วินิจฉัยสาเหตุของโรคโดยไม่คิดว่าการเจ็บป่วยเกิดจากผีทำหรือผีขบเพียงเท่านั้น เดิมลาหู่ไม่ได้ใช้บริการจากสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล แต่ดูแลสุขภาพตนเองตามภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา ทั้งการใช้สมุนไพรและพิธีกรรมตามความเชื่อของลาหู่ แต่เมื่อการคมนาคมสะดวกขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น มีสถานีอนามัยใกล้บ้าน การดูแลรักษาสุขภาพก็ปรับเปลี่ยนไป เนื่องจากลาหู่มักซื้อยาจากร้านในเมือง หรือจากคนเร่ขายยา ทั้งยังเรียนรู้การฉีดยา ให้น้ำเกลือทำให้พบเห็นลาหู่ใช้ยามากเกินจำเป็น นอกจากนี้พบว่าผู้ป่วยมักแพ้ยา ลาหู่มักป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงกว่าอาข่า เกิดจากค่านิยมในการบริโภคของมันและความเชื่อที่ว่าคนอ้วนแข็งแรงกว่าคนผอมของลาหู่ (หน้า 42) จากประสบการณ์ผ่านการสังเกตของทีมงานวิจัย ผู้ป่วยบางรายดูแลสุขภาพด้วยตนเองในระดับหนึ่งก่อนมารักษากับสถานีอนามัย บางรายเมื่อมารับบริการแล้วก็อาจไปโรงพยาบาล หรือพึ่งพาหมอพื้นบ้านในหมู่บ้าน จากหมู่บ้านใกล้เคียงแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านอาข่าและลาหู่ มีทางเลือกในการดูแลรักษาสุขภาพตนเองหลากหลายขึ้น นอกจากนี้การแพทย์แผนปัจจุบันหรือบริการของรัฐ ก็ยังเข้ามามีบทบาทต่อแพทย์พื้นบ้าน ทำให้เกิดการรักษาแบบผสมผสานหรือพหุลักษณ์ เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพตนเองของชาวเขา อย่างไรก็ดี ทีมงานวิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐยังสนใจภูมิปัญญาทางเลือกพื้นบ้านค่อนข้างน้อย ทั้งยังมองข้ามศักยภาพในการพัฒนาสุขภาพของท้องถิ่นคือ ยังเป็นการกำหนดและหยิบยื่นจากฝั่งรัฐส่งให้กับท้องถิ่น ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการ ไม่สอดรับกับบริบทแวดล้อมของท้องถิ่น (หน้า 32, 42)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของอาข่า เครื่องแต่งกายมีเอกลักษณ์เฉพาะที่สามารถแยกแยะอาข่ากับเผ่าอื่น ผู้ชายอาข่าสวมเสื้อแขนยาวผ่าหน้า ประดับประดาลวดลายและสีสัน กางเกงขาก๊วย สวมหมวกรัดศีรษะ หญิงอาข่าสวมเสื้อตัวสั้น กระโปรงสั้น ผ้าแถบ ผ้าคาดเอว ผ้ารัดน่อง และสวมหมวก หญิงอาช่ามีการแต่งกาย 3 แบบคือ "อูปโลอาข่า" จะสวมหมวกแหลม เป็นพวกที่อยู่ในประเทศไทยแต่เดิม แบบที่สอง " โลมีอาข่า" หรือ "อูปย่า" สวมหมวกแบน แบบที่สาม "ผาหมีอาข่า" ตั้งตามชื่อหมู่บ้านบนเขา (ด้านหลังตัวอำเภอแม่สาย ติดศูนย์บำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาของโครงการ) เด็กหญิงจะไม่มีผ้าแถบและผ้าคาดเอว หมวกที่สวมเป็นแบบเรียบรัดศีรษะแน่น เครื่องประดับตกแต่งเพิ่มตามอายุ ส่วนใหญ่เป็นเงินเหรียญประเทศต่าง ๆ (หน้า 37) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของลาหู่ ลาหู่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามความแตกต่างของเครื่องแต่งกาย คือ ลาหู่ญิ หรือ มูเซอแดง และลาหู่นะ มูเซอดำ หรือ มูเซอคริสต์ - เครื่องแต่งกายของลาหู่ญินิยมใช้สีแดง ฟ้า ขาว หรือผ้าลาย -เครื่องแต่งกายของลาหู่นะนิยมใช้ผ้าฝ้ายย้อมคราม ปัจจุบันชุดประจำเผ่าจะใช้เฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ (หน้า 40)

Folklore

สำหรับชาวเขาเผ่าอาข่า มีตำนานประวัติความเป็นมาของเผ่าถึงต้นกำเนิดมนุษย์ อาข่าเชื่อว่าชีวิต อาหาร สุขภาพพลานามัยและความมั่นคง เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษดลบันดาล ทั้งยังเป็นภารกิจที่พวกเขาสืบทอดสู่ลูกหลานในอนาคต อาข่ามองตนเองเป็นห่วงหนึ่งของลูกโซ่ซึ่งสืบทอดกันมายาวนาน มีบัญญัติของชนเผ่าแทนศาสนา บัญญัติอาช่าจะกำหนดวิธีการวินิจฉัยและรักษาโรค วิธีปฏิบัติต่ออาข่าด้วยกันเองและคนนอกเผ่า รวมถึงการเพาะปลูก ล่าสัตว์เป็นวิถีชีวิต หากผู้ใดไม่นับถือหันไปนับถือศาสนาคริสต์ก็จำเป็นต้องออกจากหมู่บ้าน บัญญัติของอาข่ามีอยู่ทั้งในตำนาน สุภาษิตและประเพณีอาข่า แม้จะมีวิธีปฏิบัติแตกต่างกันไปในแต่ละหมู่บ้าน หรือแต่ละตระกูล แต่สาระสำคัญนั้นไม่ต่างกัน นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับบุรุษซึ่งเป็นบรรพบุรุษคนแรกของมนุษย์ซึ่งทรงอำนาจเรียกว่า "อะเพอมิเย่" อะเพอมิเย่เรียกผู้แทนของชนเผ่ามาชุมนุมเพื่อประทานบัญญัติให้เผ่าละเล่ม เล่มที่ประทานให้ผู้แทนอาข่าทำด้วยหนังควาย ระหว่างทางกลับสู่หมู่บ้าน ผู้แทนอาข่าพบเหตุพิสดารต่าง ๆ เข้าใจว่าเป็นเพราะบัญญัติเล่มที่ได้รับ จึงนำมาย่างไฟรับประทาน นับแต่นั้นอาข่าก็สูญเสียอักขระบันทึกไป แต่ก็มี "ธรรมะของอะเพอมิเย่" สิงอยู่ในร่าง และดำรงสืบเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน อาข่าเชื่อว่าอะเพอมิเย่เป็นผู้บันดาลให้นาได้ผล มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ จึงคอยระวังไม่ทำอะไรที่ผิดใจท่าน (หน้า 35-36)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เป็นที่น่าสังเกตว่า เอกลักษณ์ด้านชาติพันธุ์ซึ่งเกี่ยวโยงกับการดูแลรักษาสุขภาพของอาข่าแตกต่างไปจากชาวเขาเผ่าอื่นคือ การธำรงรักษาบัญญัติที่กำหนดวิถีชีวิต เป็นข้อปฏิบัติที่สืบทอดชัดเจนกว่าเผ่าอื่นอยู่ในตัวอาข่าทุกคนที่เรียกว่า "ธรรมะของอะเพอมิเย่" โดยเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการละเมิดข้อบัญญัติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักรักษา สำหรับอาข่าแล้ว สุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์จึงเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต (หน้า 35-36, 67-68) ในขณะที่หมอเมืองจะมีพิธีกรรมสู่ขวัญ เรียกขวัญ สืบชะตา ส่งสะเอบเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ด้านความเชื่อในการรักษาโรค ทั้งยังมีภาษาเขียนคือ ภาษาพื้นเมืองล้านนาเป็นอัตลักษณ์ด้านชาติพันธุ์ ซึ่งยังคงใช้ในพิธีกรรมรักษาโรค ดังปรากฏในคำบรรยายพิธีเรียกขวัญด้วยภาษาพื้นเมืองของหมอแว้น (หมอเมือง) (หน้า 15) นอกจากนี้ อัตลักษณ์ด้านภาษายังปรากฏผ่านชื่อสมุนไพรในการรักษาโรคของลาหู่ เช่น กรณีแม่เฒ่านาเย่ ลอปูผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สมุนไพร (ลี้เกอนาซื) อาทิ การรักษาคลื่นไส้อาเจียน ภาษาลาหู่เรียก พะเว การรักษาหญิงที่มีลูกยากให้มีลูก ภาษาลาหู่เรียก ยามาจ่อบือ รักษาโดยการต้มสมุนไพร "นาซืแผะ" ให้ดื่ม การทำแท้ง ภาษาลาหู่เรียก ยายือบาเว เป็นต้น (หน้า 44)

Social Cultural and Identity Change

ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ๆ อาทิ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พัฒนาการด้านสาธารณสุข และความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้หมอเมืองและหมอพื้นบ้านปรับเปลี่ยนเอกลักษณ์ในการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน โดยเฉพาะหมอพื้นบ้านอาข่าและลาหู่ได้รับเอาวิธีการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาผสมผสาน อาจเนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ อาทิ ความนิยมเข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของรัฐที่เพิ่มขึ้น การคมนาคมขนส่งที่สะดวกขึ้นเมื่อความเจริญมาถึง สมุนไพรบางอย่างอันเป็นทรัพยากรธรรมชาติและตัวยาสำคัญในการดูแลรักษาโรคหายากขึ้น ข้อจำกัดในการถ่ายทอดและสืบทอดภูมิปัญญาดั้งเดิมของหมอพื้นบ้านและหมอเมือง อันเนื่องมาจากภาษา การขาดผู้สนใจจะสืบทอด และการหวงวิชาความรู้ การปรับตัวด้านความเชื่อในการดูแลรักษาสุขภาพ ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เหล่านี้อาจส่งผลต่อ การสืบทอดภูมิปัญญา องค์ความรู้ดั้งเดิมของแต่ละชนเผ่าในการรักษาโรคทั้งในระดับแนวคิดและกลวิธีที่ถูกปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีตามกาลยุคสมัย แต่ยังคงเป้าหมายสากลคือการมีสุขภาวะหรือมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ การสืบสานจากประสบการณ์ การสั่งสม ถ่ายทอด ประยุกต์ ปรับปรุง คิดค้นทดลอง อาทิภูมิปัญญาและความเชี่ยวชาญในการใช้สมุนไพรของพ่อเฒ่าอาเสาะเผ่าอาข่า ส่วนใหญ่ปรุงแต่งขึ้นใหม่โดยได้รับอิทธิพลเรื่องยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรจากจีนฮ่อ หรือนายทองแก้วเผ่าลาหู่ซึ่งเรียนรู้การใช้ยาแผนปัจจุบันจากหมอสอนศาสนา เรียนคาถารักษากระดูกหักจากจีนฮ่อ ทั้งยังได้เข้ารับการอบรมจากภาครัฐหลายครั้ง ตัวอย่างเหล่านี้นับเป็นการเชื่อมโยงภูมิปัญญาชนเผ่าพัฒนาให้ร่วมสมัยหรือใช้ควบคู่ไปกับการแพทย์แผนใหม่ (หน้า 68-69)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภูมิแสดงกรอบแนวคิดในการศึกษา (หน้า 4) ตารางจำแนกอาการ/โรคพื้นบ้าน และทฤษฎีความเชื่อพื้นบ้าน (หน้า 26)

Text Analyst ศมน ศรีทับทิม Date of Report 26 ม.ค. 2564
TAG อาข่า, ลาหู่, ภูมิปัญญา, การแพทย์พื้นบ้าน, สมุนไพร, การสืบทอด, ความเชื่อ, ล้านนา เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง