|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง,การผลิต,การบริโภค,การอนุรักษ์,ทรัพยากรธรรมชาติ,เชียงใหม่ |
Author |
สัญชัย เจริญหลาย |
Title |
ระบบการผลิตของครัวเรือนในชุมชนกะเหรี่ยงที่สัมพันธ์กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
140 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผลการวิจัยพบว่ากะเหรี่ยงแต่ละครัวเรือนมีระบบการผลิตแบบผสมผสานที่พึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการดำรงชีพ รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย เป็นหลัก ส่งผลให้ไม่เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรเชิงธุรกิจ กระบวนการผลิตจึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนสามารถรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของตนต่อไปได้ยาวนาน ทั้งนี้ เนื่องมาจากคนในชุมชนต่างมีแนวความเชื่อที่ว่าสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ล้วนเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกัน ดังมีคำพังเพยว่า "ป่าอยู่ คนอยู่ ป่าไม่มี คนอยู่ไม่ได้" ประกอบกับแบบแผนการดำเนินชีวิตที่รักสันโดษ พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ตามหลักปรัชญาที่ว่า "บริโภคแต่พออิ่ม นุ่งห่มแต่พออุ่น" นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีและข้อห้ามต่างๆ ที่เป็นกฎเกณฑ์ของชุมชน ทำให้คนเคารพธรรมชาติและแสดงออกผ่านทางพิธีกรรม อันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคม (หน้า ง-จ, 93-94, 124) |
|
Focus |
ศึกษาระบบการผลิต การบริโภค ระบบความคิด ความเชื่อ พิธีกรรม และการปฏิบัติของครัวเรือนที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่แพม (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
ระบบการผลิตและการบริโภคของท้องถิ่นในชุมชนแม่แพมมีความสัมพันธ์กับระบบความคิด ความเชื่อ ข้อห้าม พิธีกรรม และการปฏิบัติต่อทรัพยากรธรรมชาติแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยมีกระบวนการขัดเกลาทางสังคมทำหน้าที่กล่อมเกลาอย่างมีแบบแผน ปัจจุบันเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้มีการนำเทคโนโลยี และสารเคมีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมา ประกอบกับมีการตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้าน จึงเกิดการถ่ายเทและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้านกับสังคมภายนอก ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวจึงเป็นแบบเหินห่าง เนื่องจากผู้อาวุโสมีบทบาทในการถ่ายทอดความรู้น้อยลง วิถีชีวิตของชุมชนเป็นแบบบริโภคนิยม ด้วยเหตุนี้ชุมชนจึงควรปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี ชุมชนที่จะสามารถปรับตัวให้อยู่รอดท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงในระบบทุนนิยมดังกล่าวได้จะต้องมีศักยภาพ 3 ด้าน คือ ภูมิปัญญาที่ประยุกต์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง องค์กรและผู้นำชุมชนที่มีคุณธรรมและภูมิปัญญา เวทีการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนดำเนินแนวทางแก้ปัญหาด้วยการ 1) ปรับเปลี่ยนจารีตประเพณีและบทลงโทษที่มีความยืดหยุ่น 2) รวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวคัดค้านสิ่งที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม 3) สร้างเครือข่ายองค์กรชาวบ้านในท้องถิ่นและลุ่มน้ำเดียวกัน 4) สร้างความชอบธรรมและอำนาจในการต่อรองกับผู้มีอิทธิพล 5) ปรับประเพณีและการปฏิบัติที่ไม่เป็นทางการให้เป็นทางการ 6) ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกชุมชนเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับรัฐ (หน้า 130-134) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนกะเหรี่ยงหมู่ที่ 8 บ้านแม่แพม ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนเมษายน 2540 (หน้า 34) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของหมู่บ้านแม่แพมปรากฏขึ้นประมาณ 130 ปีที่ผ่านมา เมื่อบรรพบุรุษของกะเหรี่ยงบ้านแม่แพม 4 คนพี่น้องเดินทางจากอำเภอเชียงดาวเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณต้นน้ำของลำห้วยแม่แพมซึ่งเป็นพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ โดยในระยะแรกเป็นการย้ายชุมชนไปมาระหว่างลำน้ำแม่แพม ต่อมาจึงได้มีการสร้างบ้านเรือนถาวรขึ้นและอาศัยอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนชื่อของหมู่บ้านไม่ปรากฏประวัติชัดเจน แต่มีเรื่องเล่ากันว่าบ้านแม่แพมเพี้ยนมาจากคำว่าบ้านแม่แพ ซึ่งหมายถึงบ้านที่มีหญิงสาวนั่งถักสร้อยคอที่เรียกว่าแพ (หน้า 43-44) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงบ้านแม่แพมตั้งถิ่นฐานบริเวณป่าเขาห่างไกลจากชุมชนพื้นราบ และอยู่ใกล้กับลำห้วยที่มีลำน้ำไหลผ่านตลอดปี ที่ตั้งของชุมชนไม่อยู่ในทิศทางของลมพายุช่วงฤดูฝน โดยมีรูปแบบการตั้งถิ่นฐานตามเส้นทางคมนาคม มีถนนเชื่อมต่อระหว่างโรงเรียนกับหมู่บ้าน และถนนซอยเชื่อมระหว่างบ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านเดียวกัน ลักษณะของบ้านเรือนปลูกสร้างด้วยไม้ ในจำนวนนี้มีบ้านที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องลอน 54 หลัง และบ้านไม้แบบดั้งเดิมที่มุงหลังคาด้วยไม้ไผ่จำนวน 18 หลัง ส่วนใหญ่ไม่นิยมสร้างรั้วกั้น ยกเว้นบ้านที่อยู่ริมถนนใหญ่ บริเวณใต้ถุนบ้านใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ เป็ด และหมู แต่ละบ้านจะมียุ้งข้าวไว้ข้างบ้าน บางบ้านอาจมีคอกวัว ควายอยู่ด้วย (หน้า 45, 78) |
|
Demography |
บ้านแม่แพมมีประชากรทั้งหมด 312 คน เป็นชาย 174 คน หญิง 138 คน ในจำนวนนี้เป็นประชากรวัยแรงงาน (15-60 ปี) มากที่สุด รองลงมาคือประชากรวัยเด็ก (0-14 ปี) ทุกคนยอมรับการวางแผนครอบครัว ซึ่งวิธีที่นิยมคือ การผ่าตัดทำหมัน รองลงมาคือการฉีดยาคุมกำเนิด (หน้า 51) |
|
Economy |
ชุมชนบ้านแม่แพมส่วนใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจน ดำรงชีวิตตามระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับระบบการผลิต ได้แก่ ที่ดินอยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยมีการจัดสรรที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย 16 ไร่ 33 ตร.วา แต่ละครัวเรือนจะมียุ้งข้าวสำหรับเก็บผลผลิตที่เป็นอาหาร และส่วนของที่ดินทำกิน 428 ไร่ 200 ตร.วา ชุมชนจะเป็นผู้จัดสรรว่าใครจะปลูกตรงไหน ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ขนาดที่ดินถือครองของแต่ละครอบครัวขึ้นอยู่กับความสามารถในการบุกเบิกของบรรพบุรุษ อย่างไรก็ดี การจัดสรรที่ดินก็มีความยืดหยุ่น เช่น ในกรณีที่ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งมีที่ดินไม่เพียงพอกับจำนวนสมาชิก ซึ่งมีวิธีแก้ปัญหาโดยฝ่ายชายจะไปแต่งงานกับฝ่ายหญิงในตระกูลที่มีที่ดินมาก ผู้ที่เป็นเขยก็สามารถเข้ามากินในที่ดินของพ่อแม่ฝ่ายหญิงได้ หรืออาจแก้ปัญหาโดยการเช่าที่ดินจากครอบครัวอื่น อย่างไรก็ดี พบว่าครอบครัวที่ถือครองที่ดิน 20 ไร่ขึ้นไป มีจำนวน 2 ครัวเรือน ครอบครัวที่ถือครองที่ดิน 6-10 ไร่ มีจำนวน 19 ครัวเรือน และครอบครัวที่ถือครองที่ดินน้อยกว่า 6 ไร่ มีจำนวน 20 ครัวเรือน จำนวน 3 ครัวเรือนมีร้านขายของชำในหมู่บ้าน และจำนวน 2 ครัวเรือนมีโรงสีขนาดเล็ก (หน้า 69-74) โครงสร้างทางการผลิตของครัวเรือนประกอบด้วย ที่ดิน น้ำ ป่า แรงงาน และเทคโนโลยี ในส่วนของที่ดินสำหรับทำการเกษตรแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ที่นา (ชิปุ) สำหรับระยะเวลาในการทำนาจะเริ่มประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม และเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม หลังจากนั้นจึงปล่อยให้วัว ควายแทะเล็มฟางข้าว 2) ที่ไร่ (คี) อยู่บริเวณเชิงเขาใกล้ป่า เป็นพื้นที่ปลูกข้าวไร่เสริมจากการทำนาปี รวมถึงปลูกพืชผักไว้บริโภค 3) ที่สวน (ตะสุส่อ) อยู่บริเวณถัดจากที่นาก่อนถึงป่า เป็นพื้นที่ปลูกกล้วย ระยะหลังเริ่มมีการนำมะม่วง ลิ้นจี่ เข้ามาทดลองปลูกบ้างแล้ว (หน้า 53) น้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญที่สุดคือ น้ำฝน รองลงมาคือลำห้วย ซึ่งได้แก่ ลำห้วยแม่แพม และลำห้วยหวาย โดยใช้ระบบเหมืองฝายในการกักเก็บน้ำ จากนั้นจึงเฉลี่ยไปตามพื้นที่เพาะปลูก อย่างไรก็ดีในปี พ.ศ.2532 มีการจัดโครงการประปาหมู่บ้านขึ้น ทำให้ทุกครัวเรือนมีน้ำสำหรับอุปโภค บริโภคอย่างทั่วถึง ป่า จำแนกเป็น ป่าแพะ ป่ารอบหมู่บ้าน ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ และป่าน้ำตก ซึ่งป่าที่สามารถใช้ประโยชน์เพื่อการดำรงชีพได้แก่ ป่าแพะ ป่ารอบหมู่บ้าน และป่าเบญจพรรณ ส่วนป่าดงดิบและป่าน้ำตก ถือเป็นป่าอนุรักษ์ในเขตต้นน้ำ แรงงาน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการผลิตเทียบเท่ากับที่ดิน สามารถจำแนกแรงงานภาคการเกษตรได้เป็น 3 ประเภท คือ 1) แรงงานครอบครัว โดยทุกคนในครัวเรือนจะต้องช่วยกันทำงาน ซึ่งจะมีค่าจ้างตอบแทนเป็นอาหารที่กินอยู่ร่วมกัน 2) แรงงานแลกเปลี่ยน จะปรากฏในขั้นตอนการปลูกข้าวและการเก็บเกี่ยว โดยจะมีการระดมแรงงานจากญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงมาช่วยกันทำงาน 3) แรงงานรับจ้าง เป็นแรงงานเสริมที่ช่วยทำงานนอกเหนือไปจากแรงงานครอบครัวและแรงงานแลกเปลี่ยน เช่น แรงงานก่อสร้าง แรงงานช่างไม้ ช่างปูน ถากถางวัชพืช และรับจ้างปลูกกระเทียม เป็นต้น ซึ่งจะมีค่าจ้างตอบแทนวันละ 60-140 บาท (หน้า 53-54) เทคโนโลยี ภายใต้กระแสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย ได้นำพาเทคโนโลยีเข้าสู่กระบวนการผลิต ทำให้ชุมชนแม่แพมต้องปรับตัวเพื่อรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการถนอมอาหารจำพวกหน่อไม้ดอง ปลาแห้ง อย่างไรก็ดีประสบการณ์และความรู้เดิมที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะประสบการณ์ด้านการตลาด ชุมชนจึงต้องประสบกับปัญหาการขาดทุน (หน้า 75-78) กระบวนการผลิตภาคครัวเรือนของชุมชนทั้งในเรื่องของการปลูกข้าว ทำไร่ และทำสวน ล้วนอาศัยแรงงานจากภาคครอบครัว และมีการแลกเปลี่ยนแรงงานกันระหว่างเครือญาติ เช่นในขั้นตอนการปักดำนาและการเกี่ยวข้าว และจะต้องไปทำงานชดใช้คืนให้แก่ครัวเรือนที่มาช่วย หรือบางครัวเรือนอาจใช้วิธีสลับแรงงาน เช่น วันแรกทุกคนในครัวเรือนและเครือญาติจะมาช่วยกันทำนาอย่างเต็มที่ วันต่อมา พ่อ ลูกชาย ลูกเขยจะไปทำงานตอบแทนครอบครัวที่มาช่วย 1 วัน เป็นต้น (หน้า 82) ขั้นตอนการปลูกข้าว โดยก่อนการเพาะปลูกในฤดูฝนทุกครัวเรือนจะต้องเตรียมการซ่อมแซมและล้อมรั้วนา ซ่อมสร้างเหมืองฝาย ทำแปลงปลูกกล้า ตลอดจนเพาะกล้าและเตรียมดิน เมื่อถึงฤดูการเพาะปลูก ประมาณเดือนมิ.ย.-ก.ค.หรือส.ค. แต่ละครัวเรือนจะช่วยกันปักดำนา ดูแลเรื่องการระบายน้ำในนาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจนกว่าต้นข้าวจะเจริญงอกงามเต็มที่ จนกระทั่งในช่วงเดือนก.ย.-พ.ย.จึงจะช่วยกันเกี่ยวข้าว ตีข้าว และเก็บข้าวเข้ายุ้งฉาง ขั้นตอนการปลูกพืชไร่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเลือกพื้นที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ คือ ชนิดของป่าและดิน ระยะทางจากชุมชน อายุของป่า ความลาดชันของพื้นที่ สัตว์ที่เป็นศัตรูพืช และก่อนที่จะมีการลงมือถากถางพื้นที่เพื่อทำไร่ จะต้องมีการขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีตัดไม้เสี่ยงทาย หลังจากนั้นจึงสร้างกระท่อมไว้ในไร่นาเพื่อเป็นที่เก็บเครื่องมือทางการเกษตร จากนั้นจึงปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง งา เผือก ฟัก โดยจะปลูกข้าวและผักสวนครัวแซมในไร่ ในระยะนี้จำเป็นต้องดูแลเรื่องการกำจัดวัชพืช เมื่อพืชโตเต็มที่แล้วจึงเก็บเกี่ยวและนำผลผลิตเข้ายุ้งฉาง (หน้า 79-95) นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์ การเก็บใบชา การหาของป่า ล่าสัตว์ การทอผ้า การทำเครื่องจักสาน การรับจ้าง ค้าขายของชำ และโรงสีข้าว โดยการทอผ้าและทำเครื่องจักสาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อใช้ในครอบครัว การบริโภคของครัวเรือนเป็นแบบพอกิน พอใช้ โดยบริโภคข้าวเจ้าเป็นหลัก ส่วนอาหารประจำวันขึ้นอยู่กับฤดูกาล เช่น อาหารในฤดูฝนเป็นแกงหน่อไม้ กับปลาหรือกบเขียด ฤดูหนาวเป็นแกงผักกูดใส่ปลาน้อย ฤดูแล้งจะนำอาหารที่ถนอมไว้ออกมาปรุง เป็นต้น (หน้า 100-102) |
|
Social Organization |
สังคมของชุมชนบ้านแม่แพมส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน สามารถจำแนกกลุ่มทางสังคมได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มเครือญาติ นับกลุ่มเครือญาติตามสายฝ่ายมารดา เมื่อแต่งงานฝ่ายชายต้องเข้ามาอยู่ในตระกูลฝ่ายหญิง และนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง ซึ่งในอดีตนิยมเลือกคู่ครองกันในหมู่เครือญาติ แต่ปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้เลือกคู่ครองกันภายในเผ่าเดียวกัน จึงมีการแต่งงานกับกะเหรี่ยงนอกชุมชนมากขึ้น และมีหลายคู่ที่นำคู่ครองเข้ามาอยู่ในชุมชน ชุมชนบ้านแม่แพมมีกลุ่มเครือญาติทั้งหมด 10 สายตระกูล โดยเป็นกลุ่มสายตระกูลที่แต่งงานเข้ามาในชุมชน 4 กลุ่ม สายตระกูลซีโข่ 3 ตระกูล คือ ตระกูลกะพอ ตระกูลจะแคะโพ ตระกูลปุมะ และกลุ่มสายตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ร่วมก่อตั้งชุมชน 2) กลุ่มเหมืองฝาย เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกผู้ใช้น้ำในฝายเดียวกัน 3) กลุ่มผู้อาวุโส ซึ่งมีอายุ 45 ปีขึ้นไป ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้านในเรื่องจารีตประเพณี แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน และตัดสินคดีความเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหมู่บ้าน 4) กลุ่มแม่บ้านหรือสตรีที่แต่งงานแล้ว จะคอยให้ความร่วมมือในการจัดเตรียมกิจกรรมสำหรับประกอบพิธีกรรมบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ เนื่องจากผู้หญิงในแต่ละครัวเรือนจะทำหน้าที่ติดต่อกับวิญญาณบรรพบุรุษ (หน้า 56, 63-64, 67-69) |
|
Political Organization |
บ้านแม่แพม มีผู้ใหญ่บ้าน กำนันทำหน้าที่เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการในการปกครองหมู่บ้าน และมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 4 คน ช่วยสอดส่องดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านและติดต่อกับทางราชการ นอกจากนี้ยังมีผู้นำตามประเพณีของชุมชนที่เรียกว่า ซี-โข่ สืบทอดตำแหน่งทางฝ่ายชาย เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผีเจ้าที่หรือซี-กจ่า เพื่อให้คุ้มครองคนในหมู่บ้าน และยายทวดซึ่งเป็นผู้นำสายตระกูลฝ่ายหญิง ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผีบรรพบุรุษสายมาตุพงษ์ เรียกว่า การทำบุญมา-แฆ เพื่อขอให้วิญญาณบรรพบุรุษคุ้มครองสมาชิกในครอบครัว (หน้า 60-62) |
|
Belief System |
ชุมชนบ้านแม่แพมนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับความเชื่อเรื่องผี ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนา เช่น หลักพรหมวิหารธรรม และความเชื่อที่ว่าสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งคุ้มครองธรรมชาติ และมนุษย์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน โดยมนุษย์เป็นเพียงผู้เข้ามาใช้ประโยชน์จากธรรมชาติเพื่อการยังชีพ ทุกหนทุกแห่งจึงมีเทวดาคุ้มครองดูแล องค์ที่สำคัญคือ เจ้าผู้ดูแลดิน น้ำ และป่า ทุกครั้งที่มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจึงต้องมีพิธีกรรมและอธิษฐานขอต่อผู้ดูแลรักษา (หน้า 108, 110) เช่น พิธีกรรมในการปลูกข้าวและหาอาหาร โดยในฤดูกาลปลูกข้าวผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะทำพิธีอัญเชิญเทพธิดาข้าวหรือเหยี่ยวให้ลงมาปกปักรักษานาข้าวของหมู่บ้าน ภายหลังฤดูเก็บเกี่ยวจึงจะมีพิธีปล่อยเหยี่ยวขึ้นข้าว (หน้า 112) พิธีเลี้ยงผีขุนน้ำ จะมีหัวหน้าผู้ประกอบพิธีนำเครื่องเซ่นไหว้ไปถวายที่ศาลเพียงตาบริเวณขุนน้ำ เพื่อขอให้เทวดาคุ้มครองขุนน้ำดลบันดาลให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์ เพียงพอต่อการเกษตรและการใช้สอยในชีวิตประจำวัน (หน้า 113) พิธีเลี้ยงผีฝาย โดยก่อนที่จะนำน้ำจากฝายเข้าที่นาในฤดูกาลเพาะปลูก ครัวเรือนที่ใช้น้ำจากฝายจะต้องไปสักการบูชาผีฝายบริเวณฝายของตน และหัวหน้าครัวเรือนจะนำไก่ 1 คู่ เหล้า 1 ขวด พร้อมด้วยข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องเซ่นไหว้ (หน้า 113) พิธีปลูกข้าว 7 กอ เพื่อบอกกล่าวขอให้เทพธิดาผู้คุ้มครองที่นาคุ้มครองต้นข้าวให้เจริญงอกงามสมบูรณ์ พิธีทำขวัญควาย เพื่อเป็นการขอขมาและขอบคุณควายหลังจากใช้งานทำนา ก่อนจะปล่อยควายให้ออกไปหากินในป่า และพิธีมัดมือก่อนตีข้าว เพื่อขอให้ได้ข้าวจำนวนมาก ๆ เต็มยุ้งฉาง (หน้า 114-116) พิธีกรรมในการดำเนินชีวิต เช่น พิธีเลี้ยงผีเจ้าเมืองหรือพิธีกินหัวข้าวเลี้ยงศาลเจ้าเมือง ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในเดือนมิถุนายน แต่ละครอบครัวจะนำข้าวสาร (ข้าวเหนียว) บ้านละ 1 กระป๋องไปรวมไว้ที่บ้านพ่อจอคาซึ่งเป็นซีโข่ เพื่อนำไปต้มเป็นเหล้าใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมบริเวณศาลเจ้าเมืองร่วมกับไก่ ข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน และพิธีมัดมือปีใหม่ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ โดยทุกคนในหมู่บ้านจะไปรวมกันที่บ้านพ่อจอคาและบ้านผู้อาวุโสที่เคารพนับถือ เพื่อทำพิธีสักการะเจ้าที่เจ้าทางและจะมีพิธีเรียกขวัญของทุกคนกลับมาแล้วจึงมัดข้อมือพร้อมกับให้ศีลให้พร (หน้า 117-119) นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรดิน น้ำ ป่า เช่น ห้ามแตะต้องดินที่เป็นหลุมใหญ่ ดินร่องน้ำ ดินบริเวณร่องน้ำพบกัน ดินจอมปลวก ดินปากน้ำ ดินยอดดอยเหนือภูเขา และดินริมฝั่งแม่น้ำ และเชื่อว่ามีผีคุ้มครองอยู่ตามแหล่งน้ำซับ น้ำรู น้ำห้วย น้ำโป่ง น้ำอ่างแก้ว น้ำตก เวลาจะใช้น้ำจึงต้องมีพิธีกรรมขอโทษผีน้ำ รวมถึงข้อห้ามไม่ให้มีการล่าสัตว์บางชนิด เช่น นกปากเหลือง ชะนีตัวขาวมือดำ นกแซงแซว นกขุนทอง นกกา สำหรับสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า กวางใหญ่ ล่าได้คนละ 1 ตัว/ปี ประกอบกับชุมชนมีแนวคิดว่า "ได้กินจากป่าต้องรักษาป่า" จึงทำให้ชุมชนบ้านแม่แพมยังคงมีเขตป่าอนุรักษ์อยู่มากมายที่เป็นป่าพิธีกรรม เช่น ป่าช้าสำหรับเผาศพ ป่าบริเวณศาลเจ้าเมือง ป่าในบริเวณวัด และป่าที่มีต้นไม้ผูกสายสะดือเด็ก เป็นต้น และป่าอนุรักษ์ เช่น เขตน้ำซึมน้ำซับ ป่าที่มีน้ำตก ป่าขุนน้ำ ป่าหัวไร่หัวนา เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากต้นไม้ที่เป็นที่แขวนสายสะดือเด็กทารกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ที่มีลูก เช่น ไม้ก่อ ไม้มะกอก ส่วนต้นไม้สำคัญที่ใช้ในพิธีกรรม เช่น ต้นโพธิ์ ต้นมะม่วงป่า ต้นไทร ก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์หลายชนิด (หน้า 120-123) |
|
Education and Socialization |
เดิมชุมชนบ้านแม่แพมมีระบบการศึกษาแบบนอกระบบ โดยกระบวนการขัดเกลาจากผู้อาวุโสในหมู่บ้าน และเมื่อมีการจัดตั้งวัดขึ้น ชาวบ้านจึงส่งบุตรหลานเข้าบวชเรียนกับพระภิกษุ ต่อมาในปี พ.ศ.2524 จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น โดยพระประพันธ์ โสภโณ (ณ เชียงใหม่) ในปีถัดมาได้รับการอนุมัติจากสำนักงานการประถมศึกษาจัดตั้งเป็นโรงเรียนสาขา เปิดสอนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 และปี พ.ศ.2526 จึงย้ายโรงเรียนมาบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน จนกระทั่งได้รับอนุมัติจัดตั้งเป็นโรงเรียนเอกเทศภายใต้ชื่อ "โรงเรียนแม่แพม" ในปี พ.ศ.2534 ปัจจุบัน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อย่างไรก็ดีชาวบ้านแม่แพม ส่วนใหญ่ยังคงได้รับการศึกษาในระดับต่ำ มีเพียงส่วนน้อยที่มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนในตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม (หน้า 57-60) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
หญิงสาวกะเหรี่ยงที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดสีขาว ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะนุ่งผ้าสีแสด สวมเสื้อสีสด (หน้า 110) |
|
Folklore |
ตำนานเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าเหยี่ยวคือเทพธิดาผู้ดูแลข้าวหรือแม่โพสพ เล่าว่าหนุ่มคนหนึ่งเดินทางเข้าป่าไปพบกับหญิงชราในร่างของเหยี่ยวซึ่งติดอยู่ในดงหวาย และได้ช่วยชีวิตไว้ หญิงชราจึงขอบคุณและขอให้ชายหนุ่มปลูกข้าวในบริเวณนั้น ทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมากไว้กินตลอดปี ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตของทุกปีจึงมีพิธีเรียกเหยี่ยวลงจากท้องฟ้าเพื่อมาดูแลต้นข้าว (หน้า 112) ตำนานผูกเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติกล่าวถึงเทพเจ้าผู้ดูแลดินว่า ในสมัยพุทธกาลขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะขี่ม้าหนีออกจากวังเพื่อไปผนวช ได้มีมเหสีและข้าราชบริพารขี่ม้าตามไปขัดขวาง ครั้งนั้นผู้คุ้มครองแผ่นดินได้บันดาลให้แผ่นดินที่ราบเรียบหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะขี่ม้าผ่านไปทรุดลงเป็นหลุมบ้าง โป่งขึ้นเป็นเนินสูงบ้าง จนกระทั่งไม่มีใครติดตามพระองค์ทัน และในที่สุดก็ทรงผนวชได้สำเร็จ จึงถือว่าเทพเจ้าแห่งดินมีพระคุณต่อพุทธศาสนา และสันนิษฐานว่าแผ่นดินที่ยุบลงก็คือหุบเหวและหุบเขา ส่วนแผ่นดินที่โป่งขึ้นก็คือภูเขา (หน้า 108) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวบ้านทุกครัวเรือนมีส่วนในการจัดสรรน้ำจากลำห้วยแม่แพมและลำห้วยหวายตามระบบเหมืองฝายรวมทั้งสิ้น 11 ฝาย ด้วยการร่วมมือกันร่างข้อตกลงเหมืองฝายเพื่อร่วมกันหาวัสดุมาทำฝาย ตีฝาย ขุดลอกลำเหมือง ดูแลรักษา แบ่งน้ำเข้านา รวมถึงลงโทษผู้ฝ่าฝืน โดยแต่ละฝายมีสมาชิกร่วมใช้น้ำเฉลี่ยฝายละ 7 เจ้า สมาชิกผู้ใช้น้ำแต่ละฝายจะผลัดกันเป็นแก่ฝาย ทำหน้าที่จัดสรรการใช้น้ำอย่างยุติธรรม (หน้า 80) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เดิมชาวบ้านจะปลูกข้าวและปั่นฝ้ายสำหรับทอเครื่องนุ่งห่มไว้ใช้เอง เมื่อมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเส้นด้าย บางครอบครัวจึงหันไปใช้ด้ายย้อมสีสำเร็จรูป เนื่องจากมีความสะดวกมากกว่า และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ทอขึ้นก็จะเก็บไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ และในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองได้มีการตั้งร้านค้าของชำขึ้นในชุมชน ทำให้ชาวบ้านหันมานิยมอาหารสำเร็จรูปและอาหารแห้งกันเป็นจำนวนมาก (หน้า 100) ตลอดจนเกิดความนิยมซื้อหาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดำรงชีวิตประจำวันหลายอย่าง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ตู้เย็น ครัวเรือนที่ค่อนข้างจะมีฐานะดีก็จะซื้อหา รถกระบะมาไว้ใช้ เช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ซึ่งได้กลายมาเป็นพาหนะที่ทุกคนต้องการ ชาวบ้านจึงมีวิธีแสวงหาเงินด้วยการเลี้ยงวัวขาย บางครอบครัวได้ส่งลูกไปขายแรงงานในเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่ามีครอบครัวกะเหรี่ยง 2 ครัวเรือนที่มีเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก ซึ่งทำให้ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องใช้ครกตำข้าวทุกครั้งเวลาจะกินข้าว แต่จะไปจ้างโรงสีข้าวในหมู่บ้านแทน (หน้า 106) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนภาพ แผนภูมิ และตารางประกอบการบรรยายสรุปผลการศึกษา เช่น แผนภาพแสดงที่ตั้งของพื้นที่ศึกษาที่ให้รายละเอียดของถนน แม่น้ำ ลำห้วย เขตการปกครอง และสภาพที่ตั้งของชุมชนบ้านแม่แพม (หน้า 47-49) แผนภูมิวงจรการผลิตของบ้านแม่แพม (หน้า 55) แผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ทางเครือญาติ (หน้า 65-66) ตารางรายชื่อผู้ให้ข้อมูล จำนวนประชากร ระดับการศึกษา และการถือครองที่ดิน (หน้า 40, 52, 58, 71) |
|
|