|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า,เมี่ยน,ข้อห้าม,ข้อนิยม,ขนบธรรมเนียมมารยาท,การอบรมเลี้ยงดู,ศาสนา,ความเชื่อ,เชียงใหม่ |
Author |
เพ็ญทิพย์ ทั่วประโคน |
Title |
ข้อห้ามข้อนิยมของชาวเขาเผ่าเย้า |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
84 |
Year |
2529 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย |
Abstract |
ชาวเขาเผ่าเย้ามีวิถีชีวิต วัฒนธรรม ขนบธรรมเนี่ยม ข้อห้ามและข้อนิยม ซึ่งบ่งถึงวิถีที่ควรปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติ สอดคล้องกับความเชื่อเรื่องการนับถือผี ไสยศาสตร์และโชคลางอยู่มาก ธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่ผูกโยงกับสภาพความเป็นอยู่ ทำให้เย้ามีลักษณะเฉพาะทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างจากชนกลุ่มอื่น อาทิ มารยาทในการรับประทานอาหารและการดื่ม มารยาทในการเยี่ยมเยียนบ้านเย้า การเลือกคู่ครอง การตั้งบ้านเรือน การเกิดและการรับบุตรบุญธรรม การตั้งชื่อ การเรียกชื่อ การอบรมเลี้ยงดูบุตร การประกอบอาชีพ การดูแลป้องกันรักษาโรค การปกครอง งานศพ ความเชื่อโชคลางและความฝัน |
|
Focus |
เน้นศึกษาวิจัยถึงข้อห้าม ข้อนิยมที่สะท้อนความเชื่อ อันเป็นเอกลักษณ์ประจำเผ่าซึ่งสอดแทรกอยู่ในวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และวิถีปฏิบัติต่างๆ ของชาวเขาเผ่าเย้า อาทิ มารยาทในการเยี่ยมเยียน การเลือกคู่ครอง การอบรมเลี้ยงดู การตั้งชื่อและ การเรียกชื่อ ฯลฯ |
|
Ethnic Group in the Focus |
เย้าเรียกตัวเองว่า "เมี่ยน" หรือ "อิว เมี่ยน" แปลว่า มนุษย์ เย้าในประเทศไทยมีเพียงกลุ่มเดียวคือ พวกฮุงเย้า (Hung Yao) เป็นพวกที่พันผ้าแดงที่ศรีษะ ในจีนจะเรียก "เย้า" แปลว่า ป่าเถื่อนหรือสุนัข เย้าในจีนแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย เช่น แพนเย้า (Pan Yao) เป็นกลุ่มแกะสลักไม้ ฮุงเย้า และนานติงเย้า (Nan Ting Yao) เป็นกลุ่มที่ใช้เสื้อผ้าสีน้ำเงินล้วน (หน้าบทนำ) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เย้าเป็นกลุ่มที่มีภาษาจัดอยู่ในตระกูลจีน-ธิเบต (Sino-Tibetan) ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ออกเสียงเป็นภาษาเย้าแต่ใช้ตัวอักษรจีน เย้าในไทยบางกลุ่มรู้ภาษาจีนกลางหรือจีนฮ่อ ใช้บันทึกประวัติความเป็นมาของชนเผ่า ตำนาน คาถาบทสวดต่าง ๆ (หน้าบทนำ) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เย้าอพยพมาจากถิ่นฐานเดิม คือทางตะวันออกของมณฑลไกวเจา ยูนาน กวางสีและฮุนหนำในจีน มาทางตอนใต้สู่เวียดนามและลาว บางกลุ่มเชื่อว่าถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาเมื่อต้น ค.ศ.ที่ 13 บางกลุ่มเชื่อว่าอยู่ระหว่าง ค.ศ.ที่ 16 และ 17 บ้างก็เชื่อว่าเข้าสู่จังหวัดทันฮัวเมื่อประมาณ พ.ศ. 2448 สำหรับเย้าในประเทศไทย อพยพมาจากจังหวัดน้ำทา ประเทศลาวเข้าสู่น่านและเชียงราย ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับลาวก่อนกระจายไปยังจังหวัดอื่น เมื่อประมาณ 100 ปีมานี้ (หน้าบทนำ) |
|
Settlement Pattern |
เย้ามักปลูกบ้านเรือนอยู่ตามแนวไหล่เขา โดยหันหน้าออกจากสันเขา ไม่นิยมปลูกบ้านบนสันเขา อีกทั้งไม่นิยมปลูกบ้านซ้อนกัน บ้านเย้ามักปลูกคล่อมดิน หันหน้าออกสู่ที่ลาดต่ำ ปรับระดับพื้นดินให้เสมอกัน โดยใช้ไม้แผ่นใหญ่วางกั้นดินไว้ ยกพื้นใต้ถุนสูงเหมือนคนพื้นราบ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาสูง ฝาบ้านสูงไม่เกิน 2 เมตร บ้านมีประตูข้างเป็นประตูเข้าออก เรียกว่า "ง่อแก้ง" ส่วนประตูที่ใช้เป็นทางเข้าออกสู่บ้านอีกหลังของสมาชิกครอบครัวแบบขยาย เรียกว่า "ประตูต้อยแก้ง" ประตูหน้าตรงกลางบ้านเรียกว่า "ต้มแก้ง" เป็นประตูขนาดเล็กที่ปิดไว้ตลอดเวลา เกี่ยวข้องกับความเชื่อ จะเปิดในกรณีพิเศษ เช่น เมื่อมีคนตาย เมื่อลูกสาวออกไปแต่งงาน เปิดให้ลูกสะใภ้เข้ามาอยู่ในบ้านเมื่อลูกชายแต่งงาน หรือเมื่อทำพิธีเชิญผีดีเข้ามาในบ้าน ไล่ผีร้ายออกไป (หน้า บทนำ, หน้า 1-4) บ้านเรือนของเย้า ก่อนเลือกที่ดินปลูกบ้านเพื่อให้เกิดสิริมงคล เย้าจะขุดหลุมลึกแล้ววางเมล็ดข้าวเปลือกให้หัวชนกันเป็นรูปดอกจัน นำถ้วยหรือภาชนะครอบมาไว้กันมด-แมลง แล้วอธิษฐานเสี่ยงทายว่าที่ดินตรงนี้เหมาะแก่การปลูกเรือนหรือไม่ รอจนครบกำหนด 3 วันแล้วเปิดดู หากเมล็ดข้าวเรียงอยู่แบบเดิม แสดงว่าสร้างบ้านเรือนบริเวณนั้นได้ผีอนุญาต หากเมล็ดข้าวเปลี่ยนแปลงแสดงว่าผีไม่อนุญาตให้อยู่ หากปลูกเรือนจะเดือดร้อน หรือที่ดินที่เตรียมไว้ หากแมวป่ามาถ่ายมูลถือว่าไม่ดี สำหรับวัสดุที่ใช้สร้างบ้าน เย้าจะมุงหลังคาด้วยวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น หญ้าคา ใบหวาย ไม้ไผ่ผ่าหนีบเป็นตับ หรือไม้เนื้อแข็ง ทำเป็นรูปกระเบื้อง โดยเอาไม้ไผ่มาผ่าซีก เวลามุงหลังคาก็วางคว่ำหงายสลับกัน ปัจจุบันนิยมใช้สังกะสี เสาบ้านใช้ไม้แก่นทั้งต้น ไม้ก่อ หรือไม้เนื้อแข็ง ฝาบ้านใช้ไม้ก่อ ไม้ไผ่แผ่เป็นแผ่น ประตูใช้ไม้สานเป็นแผง ไม้ที่นำมาสร้างบ้านนิยมใช้ไม้ที่ขึ้นต้นด้วย ต.เช่น ตะจู้ง ตะนอม เป็นไม้มีชีวิตถือว่าดี ส่วนไม้ที่ห้ามนำมาสร้างบ้าน เช่น ไม้ยอดด้วน ไม้สองนาง ไม้จำปี ไม้มอญ ไม้ที่โดนฟ้าผ่าตาย ไม้ยืนต้นตาย หรือไม้ที่เหลือจากการต่อโลงศพ เย้าไม่นิยมปลูกสร้างบ้านทับที่เก่าที่รื้อไป เพราะถือว่าขวัญของเจ้าของเดิมอาจทำอันตราย หลังบ้านก็ไม่นิยมปลูกต้นไม้ หรือมีสิ่งก่อสร้าง มีแต่เสาค้ำรางน้ำไม้ไผ่นำน้ำเข้าตัวบ้าน บริเวณนอกบ้าน บางแห่งมีการล้อมรั้ว บางแห่งก็ไม่มีทำให้ไม่ทราบอาณาเขตแน่ชัด บริเวณหน้าบ้านมักมีคอกม้า ยุ้งข้าว คอกหมูและสัตว์เลี้ยงอื่น บางบ้านก็ปลูกต้นไม้ไว้ การก่อสร้างบ้านของเย้าในปัจจุบันเป็นแบบคนพื้นราบ บางบ้านจะสร้างคล่อมดิน แยกครัวออกจากตัวบ้าน บางบ้านจะยกพื้นใต้ถุนสูง ยุ้งข้าวห่างจากตัวบ้านเพราะเชื่อว่าผียุ้งข้าวเป็นผีร้าย หากอยู่ใกล้บ้านจะทำให้สมาชิกเจ็บป่วย คอกสัตว์จะอยู่ข้างบ้านหรือหน้าบ้าน การเข้าไปในบ้านเย้าจะมีประตูเฉพาะของผู้ชายและผู้หญิง แยกกันเข้าคนละทาง ในบ้านตรงที่มีหิ้งผีเป็นส่วนที่อยู่ของผู้ชาย ส่วนผู้หญิงจะอยู่ในส่วนใกล้เตาไฟหุงข้าวถือว่าไม่มีผี นอกจากนี้ เย้ายังไม่ชอบให้บุคคลภายนอกเข้าไปถึงห้องนอน (หน้า 2, 4-6, 9) หิ้งผี (เมี้ยนป้าย) ถือเป็นที่สิงสถิตชั่วคราวของวิญญาณบรรพบุรุษ ตั้งไว้ตรงข้ามประตูใหญ่ ห้ามนำของสกปรก เช่น สุนัขหรือขนไก่ไปติด (หน้า 10) |
|
Demography |
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยชาวเขา มีประชากรเย้าทั้งหมดในประเทศไทยประมาณ 35,505 คน ใน 189 หมู่บ้าน 4,515 หลังคาเรือน ประมาณ 6.69% ของประชากรชาวเขาทั้งหมด เย้าในประเทศไทยอยู่กันอย่างหนาแน่นในแถบจังหวัดเชียงราย พะเยา และลำปาง นอกจากนี้ยังกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ กำแพงเพชร สุโขทัย ตาก แพร่ น่าน จากการสำรวจตัวเลขเมื่อปี พ.ศ.2529 พบว่า มีหมู่บ้านเย้าจำนวน 189 หมู่บ้าน คิดเป็น 4,515 หลังคาเรือน (หน้า บทนำ-หน้า 1) |
|
Economy |
การประกอบอาชีพ เย้าประกอบอาชีพการเกษตรแบบไร่เลื่อนลอย มีการโค่นถางเผาป่า เพื่อเพาะปลูกข้าวและฝิ่น พืชที่นิยมปลูกแซมในไร่ข้าวและไร่ข้าวโพดมีงา ถั่วเหลือง พริก ผักสวนครัว นอกจากนี้ยังปลูกมันฝรั่งและมีการเลี้ยงสัตว์ อาทิ ไก่ เป็ด ฬ่อ วัว ควาย หมู ม้า ประกอบกับเย้ามีฝีมือทางการช่างคือ เป็นช่างเหล็กมีฝีมือ ทั้งยังทำกระดาษจากต้นข้าวและทำเครื่องประดับจากเงินได้อย่างงดงาม เช่น สร้อยคอ ต่างหู แหวน สร้อยคอ กำไล และเครื่องประดับรูปแบบอื่น (บทนำ) ข้อห้ามและความเชื่อด้านการเกษตร-เพาะปลูก มีข้อห้ามตัดฟันไร่ที่ติดเครื่องหมายไว้ ทั้งยังห้ามคนมีอายุปลูกกล้วย เพราะถือว่าเป็นการตัดอายุเนื่องจากต้นกล้วยเป็นพืชล้มลุก จึงปลูกสัปปะรดแทน เชื่อว่าเป็นการต่ออายุ สัตว์เลี้ยงสามารถเลี้ยงได้ทุกชนิด ยกเว้น นกห้ามเลี้ยงเพราะเชื่อว่านำเสนียดมาติดบ้าน เสือห้ามเลี้ยงเพราะถือว่าเป็นสัตว์ดุร้าย เป็ดใช้เซ่นผีในพิธีต่ออายุ ห้ามนำไปเลี้ยงแขกเพราะจะทำให้แตกแยกกัน และหมูที่ออกลูกมาเป็นตัวเมียทั้งหมด ต้องฆ่าลูกหมูทิ้ง เชื่อว่าจะนำสิ่งชั่วร้ายมาให้ แต่หากออกลูกมาเป็นตัวผู้ทั้งหมด เชื่อว่านำโชคลาภมาให้ จะเลี้ยงไว้ใช้เซ่นผีใหญ่ (หน้า 40-41) อาหารที่นิยมและที่ห้ามบริโภคของเย้า อาหารเลี้ยงแขกไม่นิยมใช้ไข่เป็ด เนื้อเป็ด และเนื้อไก่มาประกอบอาหาร เพราะถือเป็นสัตว์เท้าห่างอาจทำให้แขกห่างกันไป เย้าเชื่อว่าหากรับประทาน จะทำให้แขกไม่มาเยี่ยมอีกหรือมาเพียงครั้งเดียว อาหารที่นิยมใช้เลี้ยงแขก อาทิ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อควาย เหล้า นำมาผัดหรือต้ม บางท้องที่ที่ติดต่อกับคนไทยก็ทำแกงแบบคนไทย แขกที่ช่วยทำอาหารถือว่ามีน้ำใจ อาหารที่เย้ารับประทานเป็นปกติคือพวกผัดผัก และต้มผักต่าง ๆ ในงานพิธีกรรมเลี้ยงผีหรือแต่งงาน จึงจะฆ่าหมู ไก่มาใช้ประกอบอาหาร ทั้งยังหาวิธีทำที่จะเก็บไว้กินได้นาน ๆ นอกจากนี้ เย้ายังรู้จักทำขนมและน้ำจิ้มแก้เลี่ยนไว้รับประทาน ในเทศกาลต่าง ๆ เช่นปีใหม่ เย้าจะรับประทานหมู ไก่อย่างเดียว ห้ามกินผักสีเขียวทุกชนิด เพราะเชื่อว่า การกินเนื้อช่วงปีใหม่จะทำให้ครอบครัวร่ำรวย หากกินผักจะยากจน นอกจากนี้ยังตำข้าวปุกเป็นขนม และนำไข่มาย้อมสีแดงให้เด็กกินเล่น สำหรับงานบวช ห้ามผู้เข้าพิธีบวชกินเนื้อทุกชนิดหรือกินน้ำมันหมู ตามปกติเย้าจะไม่นิยมเลี้ยงและกินไก่ขาว แต่ในพิธีเลี้ยงป่า เย้าจะใช้ไก่ขาวเป็นเครื่องเซ่นบูชาผีป่า เพราะถือว่าไก่ขาวเป็นไก่ของผีป่าโดยเฉพาะ ห้ามนำไปบูชาผีประเภทอื่น ในพิธีเลี้ยงผี มีแต่หมอผีที่สามารถรับประทานขาไก่และหัวไก่ บุคคลอื่นห้ามทาน หมอผีจะทำนายเหตุการณ์จากขาไก่และหัวไก่ว่ามีลักษณะดีหรือไม่ดีอย่างไร ในวันที่ 14, 15 เดือน 7 ของจีน จะมีการทำขนมข้าวปุก นำไก่และเหล้ามาทำพิธีเลี้ยงผีบ้าน ผีปู่ย่า ตายาย ผีเรือน ผีเจ้าที่ มีการเผากระดาษใช้แทนเงินในเมืองผี (หน้า 23-24) |
|
Social Organization |
การแต่งงานของเย้า เย้าค่อนข้างมีอิสระในการเลือกคู่ครอง กล่าวคือ จะเลือกคู่เพราะความรักและความเหมาะสมเป็นหลัก ชายจะนิยมผู้หญิงที่นิสัยดี ขยันทำงาน มักไม่ให้ความสำคัญกับความสวยงามมากนัก (แต่ชายเย้าปัจจุบันมีค่านิยมเปลี่ยนไป มักนิยมเลือกหญิงที่ความงาม) ส่วนหญิงจะเลือกชายที่ขยันขันแข็ง ไม่สูบฝิ่น ตามปกติเย้าจะไม่นิยมแต่งงานกับคนแซ่เดียวกัน หากเป็นหญิงแซ่เดียวกัน จะต้องเป็นลูกพี่ลูกน้องรุ่นที่สามลงไปที่มีดวงสมพงศ์กัน หากเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ ต้องเป็นรุ่นที่ 2 ลงไป พี่ชายแต่งก่อนน้องชาย หากน้องชายแต่งก่อนต้องเสียเงินให้พี่ ชายที่จะเลือกคู่ต้องขอความเห็นและปฏิบัติตามคำบิดามารดา มีข้อห้ามแต่งงานกับหญิงที่ดวงไม่สมพงศ์กัน (หน้า 25-26) การหย่าร้าง สังคมเย้าไม่นิยมหย่าร้าง มักอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต หากชายมีภรรยาน้อย ผู้ชายจะหนีไปอยู่กับภรรยาน้อยที่อื่น ส่วนภรรยาก็ต้องอยู่คนเดียวห้ามมีสามีใหม่ และห้ามนำน้องภรรยามาเป็นภรรยา สมัยก่อนหากหญิงมีชู้จะถูกชายฆ่าตาย ปัจจุบันก็เพียงเลิกกัน และชายชู้ต้องเสียค่าปรับให้สามีเก่า การมีชู้ในสังคมเย้าถือเป็นเรื่องเสื่อมเสีย หญิงอาจโดนไล่ออกจากบ้านหรือถูกเลิกคบหาสมาคม (หน้า 27-29) ครอบครัวเย้า มีทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย แต่นิยมอยู่เป็นครอบครัวใหญ่หากอยู่ด้วยกันหลายครอบครัวในบ้านเดียว จะแยกเป็นครอบครัวเล็กๆ โดยมีห้องนอนแยกต่างหากเป็นสัดส่วนสำหรับผู้อาวุโส เย้านิยมลูกชายไว้สืบสกุล หญิงเมื่อแต่งงานแล้วต้องใช้สกุลสามีและนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายชาย บุตรชายแต่งภรรยาเข้าบ้าน ถือคติคล้ายครอบครัวจีน "ชายเกิดหันหน้าเข้า หญิงเกิดหันหน้าออก" กล่าวคือ หญิงเมื่อแต่งงานต้องทิ้งบ้านไปอยู่กับสามี ชายแต่งงานแล้วยังอยู่ที่บ้านตน กรณีที่บ้านมีแต่บุตรสาว หากเป็นบุตรสาวคนเดียว ชายต้องอยู่บ้านฝ่ายหญิงตลอดชีวิต ลูกที่เกิดมาจะนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายหญิงและสืบสกุลทางฝ่ายแม่ หรืออีกกรณีคือ แต่งเขยเข้าบ้านมารับใช้พ่อตาแม่ยายตามเวลาที่กำหนดกัน เป็นการแลกเปลี่ยนกับเงินค่าสินสอด หากแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจมีการรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง หรือผู้ชายอาจแต่งงานใหม่ได้เมื่อภรรยาหลวงยินยอม เพื่อมีบุตรไว้สืบสกุล ผู้ชายที่ต้องการแต่งงานใหม่ต้องฐานะดี ต้องเลี้ยงดูบุตรและภรรยาใหม่ให้มีความสุขได้ เย้านิยมให้ภรรยาทุกคนอยู่รวมกันในบ้านเดียวกัน ลูกทุกคนที่เกิดมาจะเรียกภรรยาหลวงว่าแม่ เย้านิยมให้บุตรคนหัวปีเป็นผู้ชายไว้สืบสกุล และนิยมมีบุตร 6 คน หญิง 2 ชาย 4 ธรรมเนียมเย้าถือว่าการมีลูกแฝดเป็นลูกผีให้ หากมีหลายคนจะดีถือว่าเป็นผีดี หากลูกพิการก็จะให้ความรักความสงสารทำพิธีเรียกขวัญให้ จะไม่ทอดทิ้ง (หน้า 27-28, 30, 35) การรับบุตรบุญธรรม เย้าที่ไม่มีบุตรของตนเองเมื่อแต่งงานแล้ว จะนิยมซื้อหรือขอลูกคนอื่นมาเลี้ยง ทั้งยังให้ความรักเอ็นดูเหมือนลูกของตนเอง เด็กที่ไปขอมาหรือที่คนไทยเรียกว่าบุตรบุญธรรม เย้ามีคำเรียกว่า "ลูกเก็บ" อาจเป็นคนในเผ่าหรือต่างเผ่า เด็กหญิงหรือเด็กชายก็ได้ (หน้า 34-35) การตั้งชื่อและการเรียกชื่อของเย้า : การตั้งชื่อบุตรจะถือตามชื่อบิดาเป็นหลัก โดยไม่มีชื่อมารดาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น บิดาชื่อจ้อยเจียม บุตรจะชื่อเหมยเจียม ไหมเจียม ส่วนการตั้งชื่อลูกชายจะมีคำนำหน้าชื่อเรียงตามลำดับที่ และตามเพศ อาทิ ลูกชายคนที่ 5 มีคำนำหน้าชื่อว่า "หลู่" ตามด้วยชื่อบิดา ลูกสาวคนที่ 7 มีคำนำหน้าชื่อว่า "เอี๊ยด" ตามด้วยชื่อบิดา เย้ามีความเชื่อว่า หากมีลูกผู้หญิงติดๆ กัน แล้วอยากมีลูกชายให้ตั้งชื่อลูกหญิงที่เพิ่งคลอดว่า "องตอน" แปลว่า ผู้ชาย หากคลอดลูกผู้ชายแล้วมีสายรกพันคอ ให้ตั้งชื่อว่า "องเส็ง" ลูกคนสุดท้องให้เรียก "ไส้" ผู้ชายเย้ามีชื่อเล่นอย่างน้อย 3 ชื่อ ชื่อจริง 2 ชื่อ กล่าวคือ เป็นชื่อตอนเด็กและตอนโตเมื่อเลี้ยงผี เมื่อผ่านการบวชจึงจะได้ชื่อใหม่ เช่น พะบั๋ว อ่องบั๋ว ซึ่งใช้เรียกเมื่อตายไปแล้ว ส่วนผู้หญิงจะมีชื่อเพียงชื่อเดียว (หน้า 36-37) มารยาทและการเยี่ยมเยียนของเย้า : ตามธรรมเนียมเย้า เมื่อมีแขกมาบ้านจะเชิญนั่งเก้าอี้ หากเป็นผู้อาวุโสหรือผู้ที่นับถือจะจัดที่นั่งให้ แล้วหาน้ำชาร้อน ๆ มาให้ดื่ม จึงไต่ถามธุระ หากเป็นแขกที่ไม่รู้ชื่อและมีอายุแก่กว่าจะใช้คำเรียกแบบนับญาติ เช่น พี่ ป้า น้า อา ถ้ารู้จักกันจะเรียกชื่อ หรือไม่รู้จักจะถามชื่อแซ่ หากเป็นแขกแปลกหน้า เมื่อทราบจุดประสงค์แล้ว ก็จะจัดหาอาหารที่ดีที่สุด และยาสูบมารับรองแขก หากเป็นคนในเผ่าจะหาบ้องยาสูบและไฟมาต้อนรับ กรณีเลี้ยงต้อนรับด้วยสุรา เย้าจะไม่ถือนักหากแขกไม่ดื่ม หากเป็นแขกต่างถิ่นที่รู้จักก็อาจจัดหาที่หลับนอนให้ หากเป็นแขกแปลกหน้าจะไม่ให้พัก เมื่อแขกจะไปจากบ้านจะกล่าวคำขอบคุณ แขกจะขึ้นบ้านได้ทุกวัน ยกเว้นบางวันที่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าบ้านเด็ดขาด เช่น วันกรรมเสือ วันพระ เลี้ยงผี เลี้ยงเจ้าที่ เลี้ยงผีใหญ่ บ้านที่มีพิธีฝุงก๋วย (เลี้ยงผีสะเดาะเคราะห์ ทำทานทำบุญ) ซึ่งจัดขึ้น เมื่อสมาชิกไปพบเห็นงูดำใหญ่ บ้านที่มีหญิงคลอดบุตร ห้ามเข้าบ้านตั้งแต่หญิงนั้นคลอดบุตร จนถึงเวลาหมอผีทำพิธี "ทิมเมี้ยนคู้" เสร็จ เครื่องหมายที่บ่งบอกว่าห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปในบ้านคือ การปักเฉลวไว้หน้าบ้าน โดยใช้ไม้ไผ่สานไขว้ เป็นเครื่องแสดงว่าบ้านนั้นห้ามบุคคลเข้าออก เพราะทำพิธีใด ๆ อยู่ (หน้า 19-21) มารยาทในการรับประทานอาหารและการดื่ม : ตามประเพณีเย้า หากมีแขกไปเยี่ยมเยียนที่บ้านก็จะนำอาหารที่ดีที่สุดมาเลี้ยงรับรอง การรับประทานอาหาร ผู้หญิงจะคอยบริการเติมข้าวใส่ถ้วย ส่วนเจ้าของบ้านจะนำถ้วยไปตักข้าว หากต้องการให้รู้ว่าอิ่มแล้ว ต้องทานให้หมด แล้ววางตะเกียบลงข้างถ้วย ห้ามวางพาดปากถ้วย เคาะตะเกียบ หรือปักไว้เมื่อมีข้าวอยู่ในถ้วย สำหรับเครื่องดื่ม เย้านิยมดื่มน้ำชาร้อนหรือน้ำเย็น ที่นิยมน้ำชาร้อนเพราะดื่มแก้อาหารเย้าที่มันและเลี่ยน เมื่อดื่มน้ำไม่หมดให้เหลือไว้ ห้ามเททิ้ง กรณีที่มีการดื่มเหล้า เจ้าของบ้านจะรินเติมใส่แก้วให้เรื่อย ๆ เมื่อพร่อง หากไม่ต้องการให้รินแล้วก็วางไว้เฉย ๆ ไม่ยกดื่ม หากดื่มเหล้าไม่เป็น ถ้าไม่ดื่มเย้าจะไม่ถือ แค่ยกแก้วขึ้นเมื่อเชิญดื่มตามมารยาท เหล้าที่เย้านิยมดื่มเป็นเหล้าข้าวโพด มักต้มเอง ใช้เลี้ยงผีในพิธีต่าง ๆ เย้าไม่นิยมดื่มสุราพร่ำเพรื่อ จะดื่มเฉพาะในพิธีกรรมและไว้ต้อนรับแขกเท่านั้น (หน้า 22) |
|
Political Organization |
หมู่บ้านเย้าไม่มีหัวหน้าปกครองแบบใช้อำนาจเต็ม แต่มีกลุ่มบุคคล 3 ฝ่ายคอยร่วมกันตัดสินข้อพิพาทในหมู่บ้าน ประกอบด้วย หัวหน้าหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ได้รับเลือกจากคนในหมู่บ้าน อาจเป็นผู้อาวุโส เป็นผู้นำการอพยพ หรืออาจมีแซ่สกุลมาก มีความรู้ เป็นหมอผีใหญ่ มีความยุติธรรมและเมตตา รู้เรื่องประเพณีศาสนา หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลปกครอง ติดต่อบุคคลภายนอก ตัดสินข้อพิพาทภายในและติดต่อกับราชการ อาจให้บุตรชายคนโตสืบทอดตำแหน่ง หากเป็นคนดี เช่น ที่ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ได้มาโดยการสืบทอดจากบรรพบุรุษฝ่ายบิดา ส่วนตำแหน่งในหมู่บ้านเช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางท้องถิ่นได้รับแต่งตั้งจากทางการ หมอผี เป็นผู้ประกอบพิธีประจำหมู่บ้าน มีอิทธิพลและได้รับความเชื่อถือเทียบเท่าหรือรองจากหัวหน้าหมู่บ้าน มีความรู้เกี่ยวกับประเพณี สามารถอ่านเขียนภาษาจีนได้ นอกจากนี้ สังคมเย้ายังให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโสอย่างเคร่งครัด ทั้งยังถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลด้านการปกครอง เลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้านอีกทอดหนึ่ง (หน้า 68-69) หากเกิดคดีความ เย้ามักตัดสินกันเอง ยกเว้นมีคดีฉกรรจ์ จึงค่อยแจ้งอำเภอทราบ เช่น การปล้น ฆ่า แต่มักไม่ค่อยพบเพราะเย้ามีนิสัยรักสงบ และถือคติว่าไม่ฆ่าพวกเดียวกัน หากมีการตายผิดปกติ เช่น ทำผู้อื่นตายโดยประมาท จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วยเงินหรือเงินแท่งให้ญาติผู้ตาย เป็นการชดเชย กรณีลักขโมย ผู้แจ้งความต้องนำไก่ต้ม 1 ตัวไปเซ่นผีเพื่อเรียกมาเป็นพยานตัดสิน และมีเงินค่าป่วยการ หากจำเลยผิดจริงให้คืนสิ่งของที่ขโมยแล้วปรับเป็นเงิน ในสังคมเย้าที่มักเคารพนับถือผู้มีฐานะดี การชดใช้ค่าเสียหายถือเป็นการลงโทษที่หนัก โดยเฉพาะกรณีการฆ่ากันตาย หากจำเลยไม่ค่อยมีเงิน ก็อาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว ทำให้สังคมเย้าไม่เห็นประโยชน์จากการลงโทษด้วยวิธีจำคุกหรือประหารชีวิต (หน้า 69-70) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อเรื่องการนับถือผี เย้านับถือผีและสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยเชื่อว่าผีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เช่น ผีน้ำ ผีป่า ผีบ้าน ผีต้นไม้ แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ ผีดีและผีร้าย นอกจากนี้ ความเชื่อเรื่องผีอย่างเหนียวแน่นในสังคมเย้ายังสะท้อนผ่านตัวบุคคลและพิธีกรรมกล่าวคือ มีหมอผีเป็นผู้รอบรู้ทางไสยศาสตร์และเป็นผู้นำทางศาสนา ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ประจำหมู่บ้าน หมอผีแบ่งได้เป็น 2 ระดับคือ หมอผีใหญ่มีทหารประจำตัวหรือผีต่างๆ คอยคุ้มครองป้องกัน 120 ตนขึ้นไป และหมอผีเล็ก เป็นผู้ช่วยหมอผีใหญ่ มีทหารประจำตัว 60 ตนขึ้นไป (หน้า 68-69, หน้า บทนำ) พิธีที่หมอผีเข้ามามีบทบาท มีดังต่อไปนี้ 1. พิธีเรียกขวัญ หมอผีจะทำพิธีท่องคาถาเผากระดาษเงินอุทิศให้คนตาย แล้วรักษาเด็กที่ป่วยเป็นไข้หรือตกใจ เมื่อเสร็จพิธีจะปั้นกระดาษเป็นก้อนกลมมัดติดเสื้อผ้าหรือหมวก ใช้ห้อยคอหรือผูกข้อมือแทนขวัญของเด็ก หรือหมอผีอาจทำเป็นสร้อยคอ จารึกข้อความภาษาจีนให้เด็กไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องของการใช้เครื่องรางเป็นเครื่องป้องกันตัวเด็ก ด้วยการผูกเขี้ยวเสือไว้กันผีก๊ะ (ผีปอบ) เข้าตัว เชื่อกันว่าหากผีเข้าเด็กจะร้องไห้ไม่หยุด (หน้า 49) 2. พิธีขึ้นบ้านใหม่ จะเชิญหมอผี (ซิบเมี้ยนเมี่ยน) มาทำพิธีในบ้าน โดยฆ่าไก่หรือหมู จุดไฟเป็นสัญลักษณ์ความเจริญรุ่งเรือง แล้วให้หมอผีสวดเชิญผีบรรพบุรุษมาคุ้มครองลูกหลาน พร้อมเรียกผี 2 ตนมาสอบถามผีฟ้าว่าผีตนใดมีดวงชะตาถูกกับเจ้าของบ้าน หมอผีจะทำพิธีตั้งหิ้งบูชาผี (เมี้ยนป้าย) ในการตั้งหิ้ง จะฆ่าไก่ 1 ตัวและจุดธูปให้ผีทุกวันที่ 1 และวันที่ 15 ของเดือน (หน้า 51) 3. พิธีแต่งงาน จุดประสงค์ของพิธีถือเป็นการโอนการดูแลจากวิญญาณผีบรรพบุรุษจากบ้านเจ้าสาวไปสู่อีกบ้านหนึ่ง ผู้หญิงเมื่อเข้าพิธีแต่งงาน ถือว่าขาดจากผีบ้านนั้นไปนับถือผีบรรพบุรุษของสามี หมอผีและหัวหน้าหมู่บ้านจะมาร่วมเป็นพยานทั้งกำหนด ค่าตัวเจ้าสาวในพิธีสู่ขอและการหมั้นก่อนแต่งงาน ในพิธีแต่งงาน มีการรวมผีและแบ่งผีของทั้งสองฝ่าย ด้วยการบรรเลงเพลงและเดินวนเป็นรูปครึ่งวงกลมรอบญาติเจ้าบ่าวเจ้าสาว 5 เที่ยว เจ้าสาวจะเดินเข้าบ้านเจ้าบ่าวทางประตูผีด้านหน้า หมอผีใหญ่และผู้ช่วยจะสวดจะประกอบพิธีต้อนรับเจ้าสาวที่ประตู ญาติเจ้าสาวและหมอผีใหญ่จะถือถาดร่ายรำพร้อมสวดคาถา จากนั้นจะเล่านิทานประวัติเย้าและกำเนิดมนุษย์ ตามปกติ เจ้าสาวจะมาอยู่บ้านเจ้าบ่าว หากผู้ชายจ่ายค่าตัวเจ้าสาวไม่หมดต้องทำงานชดใช้บ้านเจ้าสาว จนกว่าจะครบจำนวนจึงพาภรรยาไปบ้านตนได้ (หน้า 52-55) นอกจากนี้ความเชื่อเกี่ยวกับผียังปรากฏผ่าน การไหว้ผีบรรพบุรุษและการเผากระดาษ จัดขึ้นในวันที่ 14, 15 เดือนเจ็ดของจีน ตรงกับประเพณีวันเข้าพรรษาเย้า โดยเชื่อกันว่าวันที่ 14 เป็นวันของคน วันที่ 15 เป็นวันปล่อยผีให้มารับทาน การเข้าพรรษาจะมีไปจนถึงวันปีใหม่ (หน้า 49) 4. พิธีศพ (โจ่วแช๊ะ) เมื่อมีการตายเกิดขึ้นในหมู่บ้าน จะมีการยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัด เข้าใจว่าเป็นการส่งวิญญาณและแจ้งให้คนในหมู่บ้านทราบ จะมีการนำกระดาษที่ใช้แทนเงิน (บันจั่นไต่หมายเจ๊ามีงอั๊วด่าง) ใส่มือให้กำไว้ เชื่อว่าเพื่อเอาไว้ใช้ผ่านทางโลกหน้า นำเงินแท้หรือแถบ (ปุ้นจอมยุยย่าน) ใส่ปากศพไว้ เพื่อไม่ให้วิญญาณพูดสิ่งที่ไม่ดี ตอนเอาเงินใส่ปากศพก็ห้ามพูดสิ่งที่ไม่ดีเช่นกัน การตั้งศพจะยึดหิ้งผีเป็นหลัก หันไปทางหิ้งผี และหันหน้าไปทางประตูบ้าน "การทำผี" เพื่อให้คนตายรู้ตัวว่าได้ตายไปแล้ว เป็นการส่งศพเพื่อให้มีผู้มารับตัวไป เป็นการส่งเคราะห์ให้ออกไป รวมทั้งไล่ผีที่ไม่ดี ในงานจะต้องเอารูปผีใหญ่ทั้ง 18 มาติด โปรยข้าวสารใส่เพื่อแสดงความเคารพ แล้วจึงทำพีธีเลี้ยงผี ผู้หญิงที่ตายท้องกลม ต้องผ่าเด็กออก เวลาเผาจะเผาเฉพาะแม่ เด็กเอาไปฝังต่างหากไม่ต้องเผา หากคลอดแล้วตายทั้งแม่และลูก ต้องเอาลูกไปฝังก่อนจึงทำพิธีให้แม่ ที่ไม่ทำพิธีให้เด็กเพราะผียังไม่รู้จักเด็ก สำหรับผู้ชายที่ผ่านการบวช ถือว่ามีสถานภาพสูง เมื่อเสียชีวิตลูกหลานและผู้ไปช่วยงาน รวมถึงหมอผีต้องงดอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ 1 มื้อเป็นการถือกรรมอาหาร หากไม่ปฏิบัติตามเชื่อว่าจะทำให้กินข้าวกินน้ำไม่อร่อยตลอดชีวิต หากผู้ตายผ่านพิธีบวชใหญ่แล้ว จะใช้ไม้ผูกผ้าขาวห้อยไว้หน้าประตูบ้าน จะมีการเปิดหลังคาส่งวิญญาณ เพื่อส่งขวัญคนตายไปสวรรค์ คนผ่านการบวชใหญ่จะมีการทำสัญญาไว้ โดยหมอผีเป็นผู้เขียนหนังสือสัญญาให้ แล้วเอาใส่กระด้งเผา ให้ควันไฟลอยออกไปเป็นการส่งขวัญ เย้ามีการเต้นรำในงานศพเรียกว่า "จุ๊ลุ้ยเมี่ยน" เป็นการเต้นเพื่อให้ผีขบขัน เนื่องจากเย้ามีความเชื่อในเรื่องการกลับมาของวิญญาณ จึงมีการทำยันต์ขึ้นเพื่อไม่ให้วิญญาณเข้าไปรบกวนลูกหลาน ยันต์มี 2 ชนิดคือ เจ้ยโป้ว ทำจากกระดาษและเดี๋ยงโป้ว ทำด้วยไม้ เมื่อเผาศพเสร็จ จะติดยันต์ไว้รอบบ้าน และปักยันต์ที่ทำด้วยไม้ที่พื้นหน้าประตู เมื่อเขียนโป้วเสร็จจะให้หมอผีเป่าคาถาแล้วจึงนำไปติดรอบบ้านกันผี (หน้า 71-84) ความเชื่อเรื่องกรรม เย้ามีวันกรรม ซึ่งเริ่มต้นหลังวันขึ้นปีใหม่ของแต่ละปีนับตามปฏิทินจีน เป็นวันที่คนในหมู่บ้านจะไม่ออกไปค้างแรม ออกนอกบ้าน ไปไร่หรือไปป่าล่าสัตว์ ไม่ทำเสียงดังและห้ามคนนอกเข้าหมู่บ้าน วันกรรมที่ยึดถือปฏิบัติเป็นประเพณี มีดังนี้ คือ วันกรรมเสือ วันกรรมมีด-กรรมพร้า วันกรรมลม (กิ่งหยาว) วันกรรมนก -กรรมหนู (กิ่งเหนาะ - กิ่งหนาว) วันกรรมผีฟ้า (กิ่งมั่วเกา) วันเลี้ยงผีป่าช้า (จิบโอ่งกายโจ)วันกรรมเช็งเม้ง วันกรรมฝน วันกรรมงู (กิ่งนัง) วันกรรมผี (กิ่งเมี้ยนฟุยบัวะ) วันกรรมข้าวออกรวง (กิ่งแม่วอึ่มกู๋โต๊งยัด) วันเลี้ยงผีปลูกข้าว (ปัวซุน) วันกินปีใหม่น้อย (เกี๊ยเจียมเผย) เดือนที่ไม่มีวันกรรมคือ เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสิบ เดือนสิบเอ็ดและเดือนสิบสอง (หน้า 57-58) ความเชื่อเรื่องขวัญ ในสังคมเย้า เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 12 ปีขวัญจะเป็น "เบี้ยง" เพราะถือว่า อาจถูกขายไปเป็นบุตรบุญธรรมได้ หากพ้น 12 ปีแล้วขวัญจะถูกยกให้ผีของตระกูล "ผิงเมี้ยน" เป็นผู้ดูแลรักษา เด็กต้องทำพิธี "ขวดเบี้ยงเลี่ยม" จึงถือเป็นหนุ่มสาว ชายต้องผ่านการบวช ส่วนขวัญของผู้ใหญ่เรียกว่า "ว่อน" (หน้า 33) ความเชื่อเรื่องสะพานสะเดาะเคราะห์ สะพานไม้ เป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านเย้า อาจสร้างเป็นสะพานขนาดเล็กวางข้างทางเดิน หรือเป็นสะพานใช้สอยขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ ห้ามถ่ายของเสียใส่ ไม่ใช้มีดฟันเล่นหรือรื้อทำลาย มิฉะนั้นจะทำให้คนในหมู่บ้านตาเจ็บ หากสร้างไว้เพื่อสะเดาะเคราะห์ครบ 7 วัน ห้ามทำต่อในวันที่ 8 เพราะถือว่าจะรับเคราะห์ต่อ ข้อห้ามสำหรับสตรีมีครรภ์ ห้ามเดินผ่านสะพานที่สร้างสะเดาะเคราะห์ ให้เดินเลี่ยงไปเพราะลูกที่เกิดหากโตขึ้นแล้วป่วย ต้องไปทำสะพานให้คนอื่นเดินใช้หนี้จึงหาย (หน้า 17) |
|
Education and Socialization |
การอบรมเลี้ยงดู เด็กผู้หญิงเย้าจะได้รับการอบรมวิธีการทำอาหาร และการเย็บดอก (เย็บปักเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย) ผู้หญิงเย้าทุกคนจะมีอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยติดตัวไปทุกที่ ส่วนด้านความประพฤติ พ่อแม่ค่อนข้างปล่อย และให้อิสระกับเด็กผู้หญิง เพราะไม่มีข้อห้ามการมีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนแต่งงาน ถือว่าเป็นลูกผีให้ แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากคนพื้นราบ บางครอบครัวจะห้ามปรามลูกสาวในเรื่องนี้ หรือเด็กสาวเลือกที่จะใส่ใจกับการเรียนหรือการหางานทำในเมืองแทนการมีลูก สังคมเย้ามีการว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอน หากดื้อรั้นก็จะเฆี่ยนตีเช่นเดียวกับคนพื้นราบ เย้าทั้งหญิงชายจะได้รับการสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี เคารพ เชื่อฟังคำสั่งสอนตักเตือนของผู้อาวุโส นับถือระบบอาวุโสตามรุ่น ไม่เกเร กินเหล้าขาดสติ ทะเลาะวิวาท ไม่เกียจคร้าน มือไว ขี้ขโมย ไม่เที่ยวเตร่ไกล ๆ และห้ามพูดโกหก (หน้า 38-39) |
|
Health and Medicine |
การป้องกันรักษาโรคของเย้า เนื่องจากเย้ามีความเชื่อเรื่องขวัญ (เวิ่น) ซึ่งมีทั้งหมด 11 แห่ง คือ หัว ตา หู จมูก ปาก คอบ่า แขน อก ท้อง และเท้า เมื่อร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย ตกใจ หรือได้รับอันตรายก็เชื่อกันว่า ขวัญได้ออกจากร่างไป เมื่อขวัญออกจากร่าง ผีร้ายทั้งหลายจะเข้าสิงสู่แทนที่ทำให้เกิดเจ็บป่วยต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับคืน หมอผีจะเป็นผู้ประกอบพิธี อัญเชิญผีใหญ่และผีบรรพบุรุษมาไล่ผีออกจากร่างและเรียกขวัญคืน หากขวัญไม่กลับคืนมาแสดงว่าหมดหวัง ในผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ขวัญจะกลายสภาพเป็นวิญญาณซึ่งเย้าเรียกว่า "เมี้ยน" แปลว่า ผี ในการประกอบพิธีเรียกขวัญ หมอผีจะเรียกหัวหน้าผีในบ้านมาถามด้วยการใช้ไม้คู่เสี่ยงทายว่าลูกน้องผีตนใดทำ จะนัดวันจัดเครื่องเซ่นและเผากระดาษไปให้ หากไม่หายก็ไม่ต้องเลี้ยงผี ถือว่าคนนั้นถึงที่ หากหายแสดงว่ายังมีวาสนาอยู่ (หน้า 61) สมัยก่อนยังไม่มีการรักษาโรค จะใช้วิธีเลี้ยงผีอย่างเดียว แต่เมื่อเย้าติดต่อกับคนพื้นราบมากขึ้น ก็รับวิธีการรักษาแผนใหม่ เมื่อเจ็บป่วยก็มักจะซื้อยามารับประทานเอง หรือไปสถานีอนามัย โรงพยาบาล แต่ก็ยังมีการเลี้ยงผีอยู่เพราะถือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน นอกจากนี้ยังมีการรักษาอาการเจ็บป่วยแบบพื้นบ้าน เช่น อาการปวดเอว ปัสสาวะไม่ออก จะนำหญ้าป่าและเปลือกไม้บางชนิดมาต้มดื่ม หรือเซ่นผีโดยฆ่าไก่ แต่ปัจจุบันใช้ยาซัลฟาและออริโอมัยซิน อาการไอ มีน้ำมูก ตัวร้อน รักษาโดยใช้ไข่ไก่และขิงผสมด้วยน้ำนมคนให้ดื่ม อาการปวดศีรษะ รักษาโดยใช้เขาเลียงผาดูดเลือดที่หน้าผาก หรือเอามีดกรีดหน้าผากให้เลือดซึมออกมา ใช้เขาเลียงผาหรือไฟใส่ในขวดดูดเลือดอีกครั้ง อาการปวดหลัง จะใช้ถ้วยจุ่มน้ำมันหมูขูดบริเวณกล้ามเนื้อหลังบริเวณที่ปวด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบางท้องที่ซึ่งรับพิธีของไทยใหญ่มาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยเช่น หมู่บ้านเย้าปางควาย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีพิธีบูชาเทียน ผู้ใหญ่ที่เจ็บไข้ จะผูกด้ายขาวและด้ายแดงจากพิธีทำขวัญไว้ที่ข้อมือ หากป่วยมากในพิธีทำขวัญจะใช้หมู หากป่วยน้อยจะใช้ไก่เลี้ยงผี (หน้า 62-63, 66) เย้าจะมีเครื่องรางเป็นเครื่องป้องกัน เช่น ใช้เขี้ยวเสือร้อยเชือกแขวนคอเด็กไว้ ป้องกันเด็กร้องไห้ไม่หยุดเนื่องจากเชื่อว่าผีก๊ะเข้าตัวเด็ก นอกจากนี้ยังมีเมล็ดผลไม้เย็บใส่ห่อผ้าเล็กๆ ติดหมวกเด็กหรือมัดติดไว้ที่เสื้อ เรียกว่า ละเหา ยังมีสร้อยคอเป็นแผ่นโลหะจารึกข้อความภาษาจีนให้เด็กไม่เจ็บป่วย และมีร่างกายแข็งแรง ส่วนเครื่องรางแบบแขวนคอ จะทำเพียงครั้งเดียวใช้สำหรับเด็กที่เกิดมาแล้วมักไม่ค่อยสบาย หากเด็กป่วยอีกก็จะใช้เครื่องรางแบบติดเสื้อด้านซ้าย แบบที่ใช้กับเด็กร้องไห้บ่อย ๆ เวลาทำจะใช้ไก่และเผากระดาษเลี้ยงผี หากผู้ใหญ่ต้องพาเด็กไปอยู่หมู่บ้านอื่นนานหลายวัน ก็อาจใช้ใบตะไคร้ติดหมวกแทน (หน้า 63, 65, 66) ข้อนิยมและข้อห้ามเกี่ยวกับการเกิด หญิงเย้าเมื่อตั้งครรภ์ จะห้ามกินเนื้อหมูที่ถูกเสือกัด เชื่อว่าจะทำให้ลูกไม่สบาย ห้ามกินเนื้องู เนื้อเหยี่ยว เนื้อเสือ เนื้อแมวป่า และห้ามทำงานหนัก หญิงมีครรภ์ซึ่งมีกำหนดคลอดภายใน 2 - 3 เดือน และหลังคลอดบุตรในเดือนแรก ห้ามยุ่งเกี่ยวกับสามี เพราะเชื่อกันว่ามดลูกจะไม่ดี สำหรับอาหารที่สร้างน้ำนม หญิงมีครรภ์ควรบริโภคเนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่และเหล้าหวาน ธรรมเนียมเย้าเมื่อตั้งครรภ์ครบ 7 เดือน 9 เดือนต้องทำพิธีเลี้ยงผี เชื่อว่าผีจะช่วยคุ้มครองดูแล ไม่ให้แท้ง และไม่ให้คลอดลูกแฝด เมื่อคลอดแล้วจะมีพิธีเลี้ยงผีอีกครั้ง ข้อห้ามตอนตั้งครรภ์คือ ห้ามเอามีดฟันประตู เอาตอกมาขัดบ้าน จะทำให้เด็กขาเป๋หรือพิการ ห้ามปักผ้าหรือเอาเครื่องมือปักผ้าไว้ในห้อง เพราะเชื่อว่าจะทำให้คลอดยาก เด็กอาจติดอยู่ในท้อง ห้ามเอาน้ำราดเตาไฟ และห้ามรื้อบ้าน ปลูกบ้านใหม่ เชื่อว่าจะทำให้แท้ง ในการคลอดบุตรห้ามคนภายนอกเข้าบ้าน มารดาของหญิงตั้งครรภ์หรือคนแก่ที่มีประสบการณ์จะเป็นผู้ทำคลอด บางทีก็ให้สามีเป็นคนทำคลอดให้ การคลอดบุตรหากเด็กไม่ยอมออก หมอผีจะช่วยทำพีธี หญิงที่แต่งงานแล้ว คลอดบุตรในบ้านได้ หญิงที่ยังไม่แต่งงานหากท้องต้องคลอดบุตรนอกบ้าน จะนำลูกเข้าบ้านได้เมื่อครบเดือนแล้ว อาจคลอดในบ้านได้ แต่ต้องทำพิธีเลี้ยงผีตอนออกไปแต่งงาน ใช้ผ้าแดงติดทุกประตูในบ้าน เชื่อกันว่าหากไม่เลี้ยงผี พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะไม่เจริญ พี่ชายน้องชายจะยากจน หากเด็กคลอดที่โรงพยาบาล จะนำเข้าบ้านทางหน้าต่างหรือส่งเข้าทางหลังบ้าน หากเด็กตายแสดงว่าเป็นกาลกิณีต่อพ่อแม่ หลังคลอดหากไม่มีพิธีเลี้ยงผี จะปักเฉลวไว้หน้าบ้านห้ามคนอื่นเข้าบ้าน ยกเว้นหมอผี คนทำคลอด คนให้นมเด็ก สิ่งปฏิกูลเช่น รก เลือดให้แขวนไว้ในที่สูง ห้ามวางหรือฝัง หรือนำข้ามแม่น้ำลำห้วย เพราะเชื่อว่าจะเด็กจะเสียชีวิต การอยู่ไฟ ห้ามกินของดิบ ห้ามเข้าใกล้เตาไฟ ห้ามเข้าบ้านคนอื่น ห้ามทำงานทุกชนิด ให้กินแต่ของร้อนทั้งข้าวและน้ำ ให้กินยาขับเลือด น้ำคาวปลา และกินแต่เนื้อหมู ไก่และไข่ จนกว่าจะพ้นเดือน เด็กจะหย่านมแม่หลังหนึ่งปีแล้ว จะให้กินข้าว เนื้อไก่และเนื้อหมู ส่วนเด็กที่ซื้อมาหรือขอมาเลี้ยงจะให้กินนมกระป๋องแทนนมแม่ (หน้า 30-34) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
"เมี้ยนเตี้ยจง" เป็นตู้ที่มีลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยม ประตูเปิดปิดได้ ภายในมีอุปกรณ์ทำพิธี เขียนข้อความศักดิ์สิทธิ์ทำด้วยกระดาษฟางหนากว่า 2 นิ้ว มีกล่องสานไม้ไผ่ใส่ม้วนผ้าเขียนเป็นรูปผีใหญ่ (จุ๊ซังเมี้ยน) เขียนด้วยสีน้ำมัน ถือเป็นผีหลวงที่ปกปักรักษาเย้า มีอำนาจลดหลั่นกัน หิ้งบูชาผีใหญ่นั้น จะมีเป็นบางบ้านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สืบสกุล รูปวาดเทพเจ้าหรือผีใหญ่ 18 ตน ซึ่งมีอำนาจลดหลั่นกัน มีบทบาทเป็นสถาบันการปกครองผีที่มีอำนาจสูงสุดเหมือนกษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีหยุดฮูงและสิงเจี้ยวเปรียบได้กับนายกรัฐมนตรี รองลงมาคือ เจี้ยนถีน และเหลยถีน เปรียบเป็นแม่ทัพ มีกองทัพสี่เหล่า และผีใหญ่ซึ่งเปรียบได้กับกระทรวงต่างๆ อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหรือ "เจียบตีนฮูง" เป็นผู้คุมนรกสวรรค์ เป็นผู้พิจารณาคล้ายมัจจุราช ตามปกติ รูปวาดผีใหญ่จะม้วนเก็บไว้ในห่อผ้าหรือกรุ เรียก "เมี้ยนคับ" นำออกมาใช้ในพิธีบวช พิธีศพ พิธีทำบุญยี่เป็ง ในบรรดา 18 ตน มีอยู่ 3 ตนหรือที่เย้าเรียกว่าผีสามดาว (ฟามชิ้ง) คือ โตต๊ะ เล่งสี่ และเล่งปุถือกันว่ามีอำนาจสูงสุด ผีสามดาวนี้ถือเป็นดาวสามดวงซึ่งเคยเป็นมนุษย์ เมื่อมีบุญบารมีจึงลอยสู่สวรรค์ มีชีวิตอมตะ (10-11,13,16) |
|
Folklore |
โชครางและความฝัน เย้ามีความเชื่อด้านโชคราง ความฝัน และสิ่งอัปมงคลสืบต่อกันมา อาทิ ถ้าจะเดินทางไปไหน หากหุงข้าวไม่สุก หมี เก้งวิ่งตัดหน้า (หรือหนู งู) ต้นไม้ล้ม หรือเหยี่ยวร้อง เมื่อกำลังเดินทางไกลถือว่าไม่ดี จะมีอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย หากไก่ไข่ออกมาเป็นไข่ลมหรือไข่อ่อน หรือมีงู นกเข้าบ้านเป็นลางไม่ดี ต้องสะเดาะเคราะห์ หากไปขอหมั้นผู้หญิง พบคนตัดไม้กลางทาง ถือว่าเป็นการทำโลงศพเตรียมไว้ ไม่ดี จะรีบเดินทางกลับทันที หากฝันเห็นสีแดง หรือเห็นจัดงานเลี้ยงจะเจ็บป่วย ผู้หญิงหรือผู้ชายฝันว่าตัวไม่สวมเสื้อผ้า ผู้ชายฝันว่าตัวเองแต่งตัวดีๆ จะป่วยหรือตาย ฝันเห็นคนแบกฟืน หากไปป่าล่าสัตว์จะได้สัตว์ ฝันเห็นเลือดจะโชคดี ฝันว่าฟันหลุดพ่อแม่ ญาติจะเสียชีวิต ส่วนสิ่งอัปมงคล อาทิ หากพบคนทำรางใส่อาหารสัตว์ เมื่อจะไปขอผู้หญิงจะยกเลิกไม่ไปขอ หากนำมาเป็นสะใภ้ คนในครอบครัวจะเสียชีวิตง่าย หากใส่รองเท้าไปนอนบนเตียงเหมือนคนตายเตรียมนำไปเผา ถือว่าอัปมงคล ห้ามไปนอนบ้านคนอื่นในวันเริ่มต้นปีใหม่ เพราะโชคลาภของตนจะไปตกอยู่ในบ้านคนอื่น ตัวเองจะไม่มีโชค (หน้า 59-60) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพหมู่บ้านเย้า (หน้า 1) ภาพบ้านเย้า (หน้า 3) ภาพบริเวณครัว (หน้า 6) ภาพยุ้งข้าว - ภาพคอกสัตว์ (หน้า 7) ภาพหิ้งผี (หน้า 10) ภาพผีใหญ่ (หน้า 11-16) ภาพสะพาน (หน้า 18) ภาพเฉลว (หน้า 20) ภาพโต๊ะอาหารเย้า (หน้า 23) ภาพการทำไร่ของเย้า (หน้า 40-41) ภาพงานบวช (หน้า 45-46) ภาพผู้เข้าพิธีบวชจะใส่หน้ากากรูปผีใหญ่ (หน้า 46) ภาพปีใหม่ (หน้า 48) ภาพพิธีเรียกขวัญ (หน้า 50) ภาพงานแต่งงานเล็ก (หน้า 53) ภาพการรำถาด (ทำมวน)/ภาพงานแต่งงานใหญ่ (หน้า 56) ภาพเครื่องราง (หน้า 64-67) ภาพการเต้นรำหน้าภาพผีใหญ่ (หน้า 75) ภาพการเผาศพ (หน้า 77) ภาพโป้วทำด้วยกระดาษ (หน้า 78) ภาพโป้วทำด้วยไม้ (หน้า 79) ภาพเพิงสร้างคลุมที่เผาศพ/ภาพไหใส่กระดูก(หน้า 80) แผนผังบ้าน (หน้า 8) แผนผังบ้านเย้าแบบสมัยใหม่ (หน้า 9 ) แผนผังการฝังกระดูก (หน้า 82) แผนผังการฝังศพ (หน้า 83) |
|
|