สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เมี่ยน,ประวัติศาสตร์,วัฒนธรรม,การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน,พะเยา
Author สมเกียรติ จำลอง
Title พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาในการรักษาพยาบาลของชาวเมี่ยน
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 68 Year 2540
Source มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : ศูนย์ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
Abstract

การศึกษานี้ได้ศึกษาลักษณะทางชาติพันธุ์ของเมี่ยน ทั้งประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน ระบบครอบครัวเครือญาติ การปกครอง ความเชื่อเรื่องผี เทศกาลและประเพณีสำคัญ และเลือกศึกษากลุ่มคนเมี่ยน หมู่บ้านปางพริก ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ในประเด็นเรื่องระบบการจัดการทรัพยากร สาเหตุความเจ็บป่วย และระบบการรักษาพยาบาลพื้นบ้านของเมี่ยน ที่ใช้ทั้งหมอยาสมุนไพร และหมอผี รวมทั้งการรักษาพยาบาลพื้นบ้านที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

Focus

ศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร และการรักษาพยาบาลพื้นบ้านของเมี่ยนที่หมู่บ้านปางพริก ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เมี่ยน ที่หมู่บ้านปางพริก ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา (หน้า 16)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์เมี่ยน จำแนกตามภาษาพูดได้ 4 กลุ่มภาษาหลัก คือ กลุ่มภาษาเมี่ยน สาขาแม้ว-เมี่ยน ตระกูลภาษาจีนธิเบต กลุ่มภาษาแม้ว พูดภาษาแม้วท้องถิ่น กลุ่มภาษาจ้วง/ต้ง ตระกูลภาษาไท/กะได กลุ่มภาษาจีนกลาง ที่ผสมสำเนียงภาษาทางใต้ กลุ่มภาษาหลักเมี่ยน ยังแบ่งเป็น 4 กลุ่มภาษา คือ ภาษาเมี่ยน ภาษามุน ภาษาบัวมิน ภาษายัวมิน สำหรับเมี่ยนในประเทศไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาถิ่น "เมี่ยน" หรือ "อิวเมี่ยน" และเป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "เมี่ยน" หรือ "อิวเมี่ยน" เช่นกัน (หน้า 3)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

เมี่ยนมีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณหุบเขาลุ่มแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ) ทางตอนเหนือของประเทศจีน แต่เนื่องจากถูกรุกรานอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดการอพยพไปอยู่ตามมณฑลต่าง ๆ ของจีน จนในสมัยชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตศักราช) ชนเผ่าจิงหนานหรือเมี่ยนในปัจจุบันได้อพยพมาอยู่มนฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง เมี่ยนอาศัยอยู่บริเวณภูเขาจิงชาง จนสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่นได้อพยพต่อลงมาทางใต้ หลังจากการกบฎครั้งใหญ่ในสมัยราชวงศ์เหนือและใต้ ส่งผลให้เมี่ยนอพยพครั้งใหญ่ เกิดการกระจายตัว ไปอาศัยปนอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นหลายเผ่าพันธุ์ ทำให้ถูกเรียกว่า โมเมี่ยน จนถึงสมัยราชวงศ์สุยและถัง จึงถูกเรียกว่า ชนชาติเมี่ยน ในที่สุด จนกระทั่งในราชวงศ์หมิง ชนชาติเมี่ยนถูกกดดันและถูกรุกรานอย่างหนัก ชนชาติเมี่ยนส่วนหนึ่ง จึงอพยพไปยังมณฑลกุ้ยโจว มณฑลยูนนาน ส่วนหนึ่งอพยพเข้าไปในประเทศเวียดนาม ลาว และต่อมายังประเทศไทย หลังสิ้นสุดสงครามปลดแอกในประเทศลาวปี พ.ศ.2518 ชนชาติเมี่ยนนับหมื่นคน ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส และบางประเทศในทวีปยุโรป (หน้า 2) ชุมชนเมี่ยน บ้านปางพริก ได้อพยพมาจากบ้านห้วยตอง ต.ผาช้างน้อย อ.ปง จ.พะเยา เมื่อปี พ.ศ.2514 เพื่อหลีกเลี่ยงคอมมิวนิสต์ มาตั้งชุมชนใหม่ที่ไร่พริกของพวกเขาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากถนนไปอำเภอท่าวังผา และมีชุมชนเมี่ยนอื่น ๆ อยู่ใกล้เคียงอีกหลายชุมชน (หน้า 19-20)

Settlement Pattern

ชุมชนเมี่ยนประกอบด้วยหลายกลุ่มแซ่สกุลตั้งบ้านเรือนอยู่ร่วมกัน ตั้งชุมชนอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000-1,300 เมตร การเลือกพื้นที่ตั้งหมู่บ้านต้องมี น้ำ พื้นที่ปลูกบ้าน และภูเขา คนเมี่ยนเชื่อว่า ภูมิสถานที่ดีจะมีพลังเกื้อหนุนให้ผู้อยู่อาศัยประกอบอาชีพทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองมั่นคงในทุกๆ ด้าน (หน้า 10) การจัดวางหมู่บ้านของเมี่ยน แบ่งพื้นที่การใช้ประโยชน์ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ พื้นที่บ้าน (โจ๋วหลาง) พื้นที่ส่วนในสุดเป็นศูนย์กลางหมู่บ้าน ปลูกบ้านรวมกันเป็นกลุ่มในที่โล่งแจ้ง พื้นที่รอบหมู่บ้าน (เปี๊ยวเฮนเก้ม) ถัดมาจากหมู่บ้าน ประมาณ 1.5 - 2 กิโลเมตร เป็นป่าดงดิบตามธรรมชาติ เป็นแหล่งไม้ใช้สอยและแหล่งสมุนไพร พื้นที่ไร่ (เลี่ยงเด่) เป็นพื้นที่ชั้นนอกสุดของหมู่บ้าน เป็นระยะที่สัตว์เลี้ยงไปรบกวนพืชไร่ไม่ได้ ปัจจุบันสถานการณ์ที่ดินเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จึงไม่สามารถกำหนดขอบเขตการใช้ที่ดินตามจารีตประเพณีได้เหมือนเช่นในอดีต (หน้า 31-32) ถนนสาย 1188 แบ่งพื้นที่หมู่บ้านเป็นสองฝั่ง บ้านเรือนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 ตั้งอยู่เหลื่อมกันเรียงยาวไปตามถนนด้านซ้ายมือ ส่วนด้านขวามือมีกลุ่มบ้านอยู่ 2 หย่อม (หน้า 16) บ้านที่เมี่ยนเรียก "เปี๊ยว" ต้องเป็นรูปทรงตามวัฒนธรรมเมี่ยน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลูกคร่อมลงบนพื้นดิน ใช้พื้นดินเป็นพื้นบ้าน มีประตูเข้าออก 3 ประตู บ้านจะต้องกว้างขวาง เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวและผีบรรพบุรุษ "องถายเมี้ยน" อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบายไม่แออัด บ้านแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้าเป็นพื้นที่รับแขก ที่พักผ่อน ส่วนหลังเป็นพื้นที่สำหรับนอน ด้านหลังบ้านต้องไม่มีสิ่งใดมาปิดกั้นหรือขวาง การหันทิศทางหน้าบ้านต้องสัมพันธ์กับธาตุประจำชะตาเกิดของหัวหน้าครอบครัว (หน้า 32-33)

Demography

จากข้อมูลของสถาบันวิจัยชาวเขาระบุว่า ปัจจุบันมีหมู่บ้านเมี่ยนในประเทศไทยทั้งหมด 184 หมู่บ้าน ประชากรรวม 41,697 คน กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ 9 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน พะเยา กำแพงเพชร ลำปาง ตาก สุโขทัย เชียงใหม่ และเพชรบูรณ์ (หน้า 9) หมู่บ้านปางพริก มีประชากร 50 หลังคาเรือน ประชากรชาย 143 คน หญิง 147 คน รวม 290 คน ประกอบด้วย 5 กลุ่มแซ่สกุล คือ แซ่จ๋าว 29 หลังคาเรือน แซ่ฟ่ง 9 หลังคาเรือน แซ่พ่าน 6 หลังคาเรือน แซ่เติ๋น 4 หลังคาเรือน และแซ่ย่าง 2 หลังคาเรือน (หน้า 17)

Economy

เมี่ยนบ้านปางพริกทั้งหมดประกอบอาชีพเกษตรเป็นหลัก เน้นการบริโภคเพื่อยังชีพควบคู่ไปกับการผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้ประจำปี ปลูกข้าวไร่ โดยปลูกข้าวเจ้าเป็นหลัก ปลูกข้าวเหนียวเล็กน้อย เพื่อทำขนมและเหล้าในพิธีกรรม ปลูกข้าวโพด เพื่อการเลี้ยงหมู ผักพื้นบ้าน เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เพื่อยังชีพ ส่วนพืชรายได้ ชาวบ้านปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฝ้าย พริก และหาของป่า การใช้ประโยชน์จากที่ดินของเมี่ยนบ้านปางพริก เป็นระบบไร่หมุนเวียนโดยใช้พื้นที่เพาะปลูกข้าวและข้าวโพดเพียงฤดูกาลเดียว แล้วปล่อยให้พักตัว 3-5 ปีขึ้นไปจึงกลับไปใช้ประโยชน์อีก แต่ปัจจุบันได้ปลูกพืชซ้ำพื้นที่เดิมทุกปี เพราะไม่มีพื้นที่หมุนเวียน เนื่องจากพื้นที่ทำกินส่วนหนึ่งถูกันออกเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (หน้า 21-22) น้ำ (อวม) มีความสำคัญเฉพาะการอุปโภคบริโภค ส่วนการเพาะปลูกตามจารีตประเพณีอาศัยเพียงน้ำฝน เมี่ยนให้ความเคารพต่อน้ำมาก มีข้อห้ามชัดเจนโดยห้ามทำน้ำสกปรก เนื่องจากมีผีน้ำดูแลรักษาอยู่ การทำน้ำสกปรกอาจถูกผีน้ำทำให้เจ็บป่วยได้ นอกจากใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคแล้ว ยังใช้น้ำทำพิธีกรรมบางอย่างอีก เช่น ทำน้ำมนตร์ "ฝาดอวม" ไล่ผีบางชนิด (หน้า 46-47) ป่า หรือ เก้ม มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตคนเมี่ยนมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ฟันไร่ปลูกพืชอาหารทุกชนิด เลี้ยงสัตว์ หาพืชผักป่า เนื้อสัตว์ป่า เป็นแหล่งเชื้อเพลิงหุงต้มอาหาร แหล่งผลิตสีย้อมผ้า ทำเครื่องนุ่งห่ม แหล่งผลิตยาสมุนไพรรักษาโรค แหล่งวัสดุปลูกสร้างที่อยู่อาศัย เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมบางอย่างตามคติความเชื่อ และเป็นสถานที่หลบภัย (หน้า 26)

Social Organization

ครอบครัวเมี่ยนเป็นครอบครัวแบบขยาย มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 4 รุ่นอายุคน โดยบุตรชายทุกคน เมื่อแต่งงานแล้วต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกับบิดามารดา จนเมื่อบิดามารดาเสียชีวิตหมดแล้ว ลูกชายจึงแยกบ้านไปอยู่ตามลำพังได้ กลุ่มเครือญาติมีความสำคัญกับสังคมเมี่ยนมาก ที่ต้องพึ่งพากันตั้งแต่เกิดจนตาย โดยจะให้ความสำคัญกับญาติใกล้ก่อน การแต่งงาน เมื่อหญิงแต่งงานแล้วจะถูกตัดขาดจากตระกูลเดิม ไปสู่ความคุ้มครองของผีบรรพบุรุษตระกูลฝ่ายชาย พิธีแต่งงานเมี่ยนมี 3 แบบ คือ แต่งใหญ่ ใช้เวลา 3 วัน 3 คืน แต่งเล็กใช้เวลา 1 วัน 1 คืน และแบบรับประทานข้าวมื้อเดียว การแต่งทั้ง 3 แบบต้องมีหมอผีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม (หน้า 10-12)

Political Organization

การปกครองชุมชนเมี่ยน ประกอบด้วย หัวหน้าหมู่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของชุมชน และเป็นตัวแทนติดต่อกับสังคมนอกชุมชน หมอผี เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อและประเพณี คณะผู้อาวุโส เป็นผู้ให้คำปรึกษาในกิจกรรมต่าง ๆ (หน้า 14) ในชุมชนยังมีหน่วยงานของรัฐ 2 หน่วยงาน คือ โรงเรียนของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และที่ทำการของเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยผาช้าง นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานของราชการอีกหลายหน่วยงานที่ได้แต่งตั้งคนในหมู่บ้านให้เป็นตัวแทนทำกิจกรรมของหน่วยงานในหมู่บ้าน เช่น งานส่งเสริมการเกษตร สำนักงานสาธารณสุขอำเภอปง เป็นต้น (หน้า 23-24)

Belief System

การเกิด (เถาะแซง) เมี่ยนเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อใช้เวรหนี้กรรม การไม่กลับมาเกิดถือเป็นสิ่งดีที่สุด ดังนั้นจึงต้องทำบุญ "กงด๊ะ" ให้มากเพื่อให้หมดสิ้นเวรกรรมไม่กลับมาเกิดอีก พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แรกทุกคน ต้องทำพิธี "เจ้ยเส็ด" เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ที่เป็นอันตรายเกี่ยวกับการมีลูก เช่น แพ้เลือด เลี้ยงลูกยาก หลังจากคลอดลูกแล้วต้องให้หมอผีทำพิธีล้างเสนียด เพราะสิ่งที่ออกมากับการคลอดลูกเป็นสิ่งสกปรก หลังจากเด็กเกิดมาได้ 3 วันต้องอุ้มเด็กออกมาให้เห็นดวงตะวันและทำพิธีบอกผีบรรพบุรุษ เพื่อให้คุ้มครองสมาชิกใหม่ของครอบครัว เมื่อเด็กอายุครบ 1 เดือน ต้องทำพิธีสู่ขวัญ พิธีบวช (กว่าตัง) ผู้ชายเมี่ยนทุกคนต้องผ่านพิธีนี้ เพื่อความเป็นเมี่ยนโดยสมบูรณ์ ทำให้มีชื่อผีปรากฏในบัญชียมโลก เมื่อตายแล้วลูกหลานสามารถทำบุญส่งไปได้ไม่อดอยาก ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถบวช "กว่าตัง" ได้ ส่วนภรรยาได้ชื่อผีตามสามี ผู้ชายนิยมบวชกันตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไปจนถึงก่อนตาย (หน้า 15) การตาย เมี่ยนเชื่อว่า การตาย คือ การหมดสิ้นอายุที่กำหนดมาให้เกิดซึ่งมีการกำหนดเวลาไว้ล่วงหน้าแล้ว สำหรับศพผู้ใหญ่ใช้วิธีเผาแล้วเก็บกระดูกไปฝังและมีพิธีทำศพ ส่วนศพเด็กใช้วิธีฝัง โดยไม่มีพิธีทำศพ ในแต่ละขั้นตอนของพิธีศพ จะต้องยิงปืน 3 นัด เพื่อบอกผีและเทพยดา ใช้เวลาทำพิธีอย่างน้อย 2 วัน 2 คืน (หน้า 6-9) ความเชื่อเรื่องผี เมี่ยนนับถือผี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผีเทพยดา หรือผีใหญ่ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ปกครองโลกและจักรวาล และ กลุ่มเทพยดา หรือเซียนผู้วิเศษ เป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นเทพ 2) ผีเรือน ได้แก่ ผีบรรพบุรุษ และผีที่อยู่ประจำรักษาพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของบ้าน 3 )ผีนอก คือ ผีอื่น ๆ เช่น ผีดิน ผีต้นไม้ ฯลฯ เมี่ยนเชื่อว่า ผีทั้ง 3 กลุ่มทำอันตรายให้เจ็บป่วยได้ถ้าทำผิดต่อผีเหล่านี้ (หน้า 13) ศาสนา นับถือศาสนาเดิมของบรรพบุรุษ (นับถือผี) 44 หลังคาเรือน นับถือศาสนาคริสต์ 6 หลังคาเรือน มีเมี่ยนบางส่วนเริ่มสนใจศาสนาพุทธตามแนวทางเจ้าแม่กวนอิมด้วย (หน้า 17)

Education and Socialization

ในชุมชนบ้านปางพริก มีโรงเรียนของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เปิดสอนตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 ปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงชั้นประถมปีที่ 6 มีครูซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน และพี่เลี้ยงเด็กซึ่งเป็นคนเมี่ยนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนยังได้ประสานงานกับกลุ่มโรงเรียนการศึกษาพิเศษ จัดหาสถานที่เรียนให้แก่เยาวชนของหมู่บ้านให้ได้เรียนต่อระดับชั้นมัธยมต่อไป (หน้า 23-24)

Health and Medicine

คนเมี่ยนเชื่อว่าความเจ็บป่วยของมนุษย์ เกิดจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่ สภาพแวดล้อมด้านบรรยากาศ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดู เกิดจากผีทำ ผี (เมี้ยน) สามารถให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ได้ เกิดจากขวัญ(เวิ่น) ไม่อยู่ประจำติดร่างกาย ต้องทำพิธีสู่ขวัญ เกิดจากการทำผิดต่อผีประจำตัว ผู้ใหญ่จะมีผี "ฝีงเมี้ยน" ส่วนเด็กมีผี "เปี้ยงเมี้ยน" อยู่ประจำตัวทุกคน เมื่อเจ็บป่วยต้องทำพิธี "จ๋าว ฝีง" ความเจ็บป่วยเกิดจากถูกคุณไสย ต้องให้หมอผีรักษาโดยใช้คาถา เกิดจากชะตาตก "เวิ่นเฉียไอ๊" จะต้องทำพิธี "ชางเวิ่น" หรือ "โจ้วเวิ่น" เกิดจากเคราะห์ร้าย "เห้นโต่" จะต้องทำพิธีส่งเคราะห์ หรือผูกข้อมือเรียกขวัญ และความเจ็บป่วยที่เกิดเองตามธรรมชาติ เช่น กินของเป็นพิษ เจ็บป่วยจากอวัยวะของร่างกายทำงานไม่สมบูรณ์ เมื่อเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ จะต้องหาสาเหตุ โดยให้หมอผี ทำพิธีที่เรียกว่า "โบ๊วกว่า" การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน จะใช้สมุนไพรเป็นหลัก ในวัฒนธรรมเมี่ยน เรื่องยาสมุนไพร หรือยาหญ้า เป็นเรื่องของผู้หญิง ความรู้เรื่องยาสมุนไพร ไม่มีการจดบันทึก แต่อาศัยการจดจำ และถ่ายทอดแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้รู้กับผู้เรียน และมักจะถ่ายทอดให้กับคนในสายตระกูล (หน้า 48-61)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ตำนานกำเนิดเผ่าพันธุ์เมี่ยน ตามบันทึกเอกสารโบราณ ชื่อ "เกียเซนป้อง" หรือ "เจียเซนป้อง" (แปลว่า ข้ามภูเขา) ออกให้โดยพระเจ้าจักรพรรดิ์จีน กล่าวไว้ว่า ในสมัยพระเจ้าผิงหวาง มีสุนัขมังกรตัวหนึ่งชื่อ "พ่านหู" ซึ่งอาศัยอยู่ในพระราชวังนั้น ได้อาสาไปฆ่าพระเจ้าเกาหวาง ศัตรูของพระเจ้าผิงหวางได้สำเร็จ จึงได้รับรางวัลให้แต่งงานกับพระราชธิดา (นางใน) ของพระเจ้าผิง หวาง และให้ไปอาศัยอยู่ในป่าบนภูเขา ต่อมาได้คลอดบุตร 12 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 6 คน พระเจ้าผิงหวางดีพระทัยมากจึงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้ "พ่านหู" เป็นบรรพบุรุษคนแรกและแต่งตั้งบุตรทั้ง 12 คน ให้เป็นลูกหลานอ๋องเมี่ยน และอนุญาตให้เรียกชื่อตัวเองว่า "คนเมี่ยน" ให้บุตรคนโตสืบทอดแซ่ "พ่าน" นอกนั้น ให้มีแซ่ว่า เสิน หวาง หลี เติ้ง โจว เจ้า หู ถัง เผิง เหลย และเจียง ให้มีลูกหลานสืบทอดแซ่กันสืบต่อมา (หน้า 3) การกำเนิดโลกตามความเชื่อของเมี่ยน การกำเนิดโลกเริ่มต้นจาก "เปี้ยนโก๊วสิงฮุ่ง" เทพยดาผู้อิ่มทิพย์เกิดมาท่ามกลางความมืดมิด จึงได้สร้างพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว น้ำ ต้นไม้ ภูเขาและสรรพสิ่งบนโลกขึ้นมา แต่บางคนบอกว่า เมื่อ "เปี้ยนโก๊วสิ่งฮุ่ง" ตาย ร่างกายได้กลายเป็นแผ่นดิน ดวงตากลายเป็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ เลือดกลายเป็นน้ำ ฟันกลายเป็นดวงดาว เส้นผมกลายเป็นต้นไม้และเครือเถา ตับไตไส้พุงกลายเป็นภูเขาและหินผา แข้งขากลายเป็นทิศต่าง ๆ เป็นต้น (หน้า 4) กำเนิดมนุษย์ ตามตำนานเมี่ยนเล่าว่าในสมัยก่อนนั้น มีพี่น้อง 5 คน พี่ชายคนโตชื่อ "ช่างจ่อกอล๊อก" (บางคนว่าไม่ได้เป็นพี่น้องกัน) ส่วนน้องชายอีก 4 คน เมื่อโตขึ้นก็แยกย้ายไปเรียนวิชาต่าง ๆ คนหนึ่งเรียนวิชาทำฝน ลม ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า คนหนึ่งเรียนวิชาแปลงตัวเป็นหมี คนหนึ่งไปเรียนวิชาแปลงตัวเป็นเสือ คนหนึ่งเรียนวิชาทำน้ำท่วม (เป็นสายรุ้ง) เมื่อจบก็กลับมาแสดงวิชาว่าของใครน่ากลัวที่สุด แต่ในที่สุด ช่างจ่อกอล๊อก ก็จุดไฟเผาป่าหญ้าคาฆ่าน้องทั้งสี่ บั้วอง น้องชายคนหนึ่งโกรธจึงทำฟ้าผ่าจะฆ่าช่างจ่อกอล๊อก แต่พลาด ฟ้าผ่าไปถูกเลือดสุนัขที่ทาไว้รอบบ้านทำให้หมดฤทธิ์ ถูกช่างจ่อกอล๊อกจับขังไว้ในโอ่งน้ำ ช่างจ่อกอล๊อกตั้งใจจะดองบั๊วองกินเป็นอาหารจึงเดินทางไปซื้อเกลือจึงสั่งให้ลูกชาย ลูกสาว สองคนพี่น้องเฝ้าบั๊วองไว้ บั๊วองใช้อุบายหลอกพี่น้องสองคน จนนำน้ำต้มผักหมูมาล้างคราบเลือดสุนัขออกจนหมด ก่อนเหาะขึ้นท้องฟ้าได้ถอนฟันซี่หนึ่งให้เด็กสองคน รอจนมีเสียงนกมาบอกให้นำฟันบั๊วองไปปลูก เกิดเป็นต้นน้ำเต้ามีผลขนาดใหญ่ จนน้ำเต้าสุกแก่ นกร้องบอกให้เด็กสองคนเจาะรูเข้าไปอยู่ บั๊วองทำให้ฝนตกหนัก เพื่อให้น้ำท่วม หวังจะฆ่า ช่างจ่อกอล๊อก แต่ช่างจ่อกอล๊อกนั่งอยู่บนร่มที่หงาย จึงลอยน้ำไปจนคันร่มชนเพดานท้องฟ้า แล้วขู่ว่าจะฆ่าบั๊วอง บั๊วองจึงบอกน้องชายที่เป็นสายรุ้งหรือพญานาคให้เอาหางที่อุดรูขังน้ำออกทำให้น้ำลดแห้งอย่างรวดเร็ว ช่างจ่อกอล๊อกจึงตกไปถูกต้นไม้เสียบตาย (เลือดจึงกลายเป็นยางไม้) เมื่อน้ำแห้งพี่น้องสองคน ออกมาจากน้ำเต้า มาพบกับเต่า ถามหาผู้มีชีวิตรอด เต่าตอบว่า ไม่เห็นสักคนเดียว สองพี่น้องคิดว่า เต่าโกหกก็โกรธเอาไม้เท้าเหล็กทุบเต่าจนแตกละเอียดเป็นสิบสองเสี่ยง (กระดองเต่าจึงมีรอยแตก) เมื่อเดินทางไปไม่พบเจอคนอื่น จึงกลับมาขอโทษเต่าและประกอบร่างให้มีชีวิตดังเดิม เมื่อไม่มีผู้คนอื่น สองพี่น้องจึงต้องแต่งงานกันเพื่อสืบเผ่าพันธ์มนุษย์ น้องสาวตั้งท้องและคลอดลูกออกมาเป็นผลฟักเขียว แล้วสับเนื้อฟักเป็นชิ้นเล็ก ๆ สั่งให้สามีนำเมล็ดฟักไปหว่านลงพื้นราบ เนื้อฟักหว่านขึ้นบนภูเขา ขณะเดินออกไป สามีสะดุดก้อนหินหกล้ม จำคำสั่งผิดไปในทางตรงกันข้าม ภรรยาจึงว่าถ้าอย่างนั้น ขอให้คนบนดอยเป็นผู้มีชีวิตราคาแพง เดือดร้อนน้อย คนพื้นราบ มีชีวิตราคาถูก เดือนร้อนมาก ตายง่าย ต่อมาเมล็ดฟักเขียวที่หว่านขึ้นบนดอยกลายเป็นคนบนดอย เนื้อฟักที่หว่านลงบนพื้นราบกลายเป็นคนพื้นราบ มีจำนวนมากกว่าคนบนดอย (หน้า 4-6)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความเชื่อในเรื่องตำนานของเมี่ยนที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำให้เกิดสำนึกร่วมกันของความเป็นเมี่ยน ขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อต่าง ๆ ทั้งทำเลในการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน การกำหนดขอบเขตการใช้ที่ดิน การรักษาความเจ็บป่วยด้วยหมอผีและยาสมุนไพร ยังคงเป็นสิ่งที่ปรากฎให้เห็นและได้รับการสืบทอดต่อมาอันเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติพันธุ์ของเมี่ยนได้เป็นอย่างดี

Social Cultural and Identity Change

จากอดีตการเป็นหมอยาสมุนไพรของเมี่ยนก็เพื่อรักษาตัวเอง ไม่ใช่เพื่ออาชีพหรือเชิงธุรกิจ แต่ปัจจุบันหมอยาสมุนไพรทำการรักษาและคิดค่าบริการ มีการนำยาสมุนไพรมาห่อเป็นชุดเพื่อขาย และการสืบทอดความรู้เรื่องยาสมุนไพรกำลังจะหายไปเนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่สนใจ เพราะต้องเรียนหนังสือและประกอบอาชีพอย่างอื่น บางคนต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน (หน้า 67-68) การใช้ประโยชน์ที่ดินของเมี่ยน เปลี่ยนแปลงไปจากที่ต้องตัดฟันโค่นเผาพื้นที่เพื่อทำไร่หมุนเวียน ไปเป็นปลูกพืชซ้ำพื้นที่เดิมทุกปี เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถกำหนดขอบเขตการใช้ที่ดินตามจารีตประเพณีได้เหมือนเช่นในอดีต (หน้า 31, 35)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ขนิษฐา อลังกรณ์ Date of Report 18 ส.ค. 2557
TAG เมี่ยน, ประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน, พะเยา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง