สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,การจัดการทรัพยากร,การรักษาพยาบาล,เชียงราย
Author อุไรวรรณ แสงศร
Title ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรและการรักษาความเจ็บป่วยของ "อีก้อ"
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 70 Year 2542
Source มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : ศูนย์ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
Abstract

การศึกษานี้เป็นการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ "อีก้อ" ที่บ้านแสนสุข อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยเน้นการศึกษาไปที่การจัดการทรัพยากร ทั้งเรื่องน้ำ ป่า พื้นที่ทำกิน การทำเกษตรกรรม ผักพื้นบ้านทั้งที่ปลูกและที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ความเชื่อพิธีกรรมที่มีบทบาทในวิถีชีวิตของอีก้ออย่างมาก และภูมิปัญญาพื้นบ้านในการรักษาความเจ็บป่วย ซึ่งมีการรักษาด้วยสมุนไพร หมอผี คนทรง และพิธีกรรม

Focus

ศึกษาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อ พิธีกรรม และภูมิปัญญาพื้นบ้านในการรักษาความเจ็บป่วยของอีก้อบ้านแสนสุข

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

อีก้อ บ้านแสนสุข ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย (หน้า 11) อีก้อ เรียกตัวเองว่า "อาข่า" แต่ถูกเรียกโดยคนไทยและพม่าว่า อีก้อ ก้อ หรือ ข่าก้อ ลาวและชนชาติอินโดจีนตอนเหนือเรียกว่า "โก๊ะ" คนจีนเรียกว่า "โวนี" หรือ "ฮานี" (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาอีก้ออยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต กลุ่มธิเบต-พม่า ในกลุ่มย่อยโล-โล (หน้า 1)

Study Period (Data Collection)

ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2540 - กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541

History of the Group and Community

อีก้อหรืออาข่า เดิมมีอาณาจักรอิสระอยู่บริเวณต้นแม่น้ำ ไท้ฮั้วสุยในแคว้นธิเบต ภายหลังถูกชนชาติอื่นรุกรานจึงถอยร่นลงมาทางใต้เข้าสู่มณฑลยูนานและไกวเจา สอดคล้องกับการศึกษาของนักมานุษยวิทยาที่ระบุว่า ก้อตั้งถิ่นฐานอยู่บนภูเขาสูง บริเวณมณฑลยูนาน มณฑลกวางเจา และแคว้นสิบสองปันนา ของประเทศจีน ต่อมาพื้นที่ถูกครอบครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ จึงได้อพยพมาทางใต้ กระจัดกระจายอยู่ในแคว้นเชียงตุง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศพม่า แคว้นหัวโขงและแคว้นพงสาลีของประเทศลาว บางกลุ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานทางเหนือสุดของประเทศไทย โดยได้ตั้งบ้านเรือนแห่งแรกบริเวณดอยตุง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อประมาณ 50-60 ปี (หน้า 2) ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านแสนสุข อีก้อที่ถูกรุกรานตามแนวชายแดน ได้อพยพเข้าสู่ไทย โดยไปอาศัยกับญาติพี่น้องที่บ้านแสนใจเก่า ทำให้มีประชากรจำนวนมาก คนส่วนหนึ่งจึงได้หาทำเลเพื่อสร้างหมู่บ้านบริเวณที่ราบเชิงเขาลุ่มน้ำหม้อขาง แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่มี "หยื่อมะ" (ผู้ประกอบพิธีกรรม) จนกระทั่งพ่อเฒ่าปาหล่อง ปอแฉ่ ซึ่งเป็นหยื่อมะได้ออกมาบุกเบิกพื้นที่ทำนาในบริเวณดังกล่าว จึงได้เสี่ยงทายตั้งเป็นหมู่บ้านแสนสุขขึ้น (หน้า 13)

Settlement Pattern

ชุมชนอีก้อตั้งหมู่บ้าน (พู) อยู่บนสันดอยลูกกลาง มีป่าชุมชน (ยาคุ้มตึ) อยู่รอบๆ หมู่บ้านซึ่งแบ่งป่าชุมชนเป็น 2 ชนิด คือ ป่าไม้ใช้สอยและป่าศักดิ์สิทธิ์ นอกพื้นที่ป่าชุมชนจะเป็นพื้นที่ทำกิน (ยาข่องย้าล่อ) (หน้า 4)

Demography

อีก้อ ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในประเทศไทยประมาณ 256 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 49,903 คน กระจายตัวอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 219 หมู่บ้าน จำนวน 43,109 คน จังหวัดเชียงใหม่ 23 หมู่บ้าน จำนวน 4,001 คน จังหวัดตาก 2 หมู่บ้าน จำนวน 1,237 คน จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 หมู่บ้าน จำนวน 4 คน จังหวัดพะเยา 1 หมู่บ้าน จำนวน 6 คน จังหวัดแพร่ 2 หมู่บ้าน จำนวน 333 คน และจังหวัดลำปาง 8 หมู่บ้าน จำนวน 1,213 คน (สถาบันวิจัยชาวเขา, 2539) หมู่บ้านแสนสุขมีจำนวนประชากร 110 หลังคาเรือน มีประชากรรวมทั้งสิ้น 515 คน ชาย 255 คน หญิง 260 คน (หน้า 3,12)

Economy

ชุมชนอีก้อบ้านแสนสุข อยู่ใกล้ตลาด และเส้นทางท่องเที่ยว ทำให้ประกอบอาชีพได้หลายอย่าง ได้แก่ การปลูกพืชเพื่อยังชีพ เช่น ข้าว ข้าวโพด การปลูกพืชเพื่อการแลกเปลี่ยน เช่น ถั่วเหลือง มะเขือเทศ มันฝรั่ง การขายของป่า ที่ทำได้เพียงบางฤดู การรับจ้าง จะทำเมื่อว่างจากงานในไร่ มีการค้าขายภายในหมู่บ้าน ให้กับนักท่องเที่ยว และการค้าขายภายนอกหมู่บ้านกับอีกกลุ่มชาติพันธุ์อื่นต่างหมู่บ้านหรือชุมชนในเมือง โดยผู้หญิงเป็นผู้นำไปขาย ส่วนมากเป็นงานหัตถกรรมประจำกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 15-16) การใช้ทรัพยากรธรรมชาติของอีก้อบ้านแสนสุข บ้านแสนสุขมีบ่อน้ำอยู่บริเวณหุบเขาด้านตะวันออกของหมู่บ้าน 2 บ่อ ใช้บริโภค 1 บ่อ ใช้ประกอบพิธีกรรม 1 บ่อ บริเวณรอบบ่อน้ำอนุรักษ์ป่าไม้ไว้เป็นป่าชุมชนซึ่งมีทั้งป่าศักดิ์สิทธิ์และป่าชุมชน นอกจากนี้จะเป็นพื้นที่ทำกินสำหรับทำนาดำ ทำสวน และทำไร่ ในอดีตพื้นที่นี้เป็นของส่วนรวม แต่ปัจจุบันมีพื้นที่จำกัด จึงได้ยึดถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละครอบครัว ด้านเกษตรกรรม อีก้อทำการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ปลูกข้าวไร่เป็นหลัก และปลูกเผือก มัน ข้าวโพด งา แตง ฟักทอง ถั่ว และผักต่าง ๆ เป็นพืชแซม มีการทำนาดำบริเวณที่ราบลุ่มริมน้ำโดยทำตามแบบคนพื้นราบ การทำนาดำจะให้ผลผลิตมากกว่าข้าวไร่ และพืชที่สร้างรายได้กับชาวบ้านในตอนนี้ก็คือ ข้าวโพดอ่อน ซึ่งมีพ่อค้ามารับซื้อถึงในหมู่บ้าน นอกจากนี้อีก้อยังปลูกพืชผักสวนครัวไว้บริโภคภายในบริเวณบ้านด้วย เช่น กู่ละยาเซา (ผักชีฝรั่ง) อี๊ยุ (น้ำเต้า) ฉ่อจึมาซึ (ขมิ้น) และยังเก็บผักที่ขึ้นอยู่ตามป่าธรรมชาติมาบริโภค เช่น ต๊ะแล (ผักกูด) โหย่หย่าแมะตู (หัวปลี) การใช้แรงงาน ทั้งชายและหญิงอีก้อจะทำงานอย่างหนักตลอดช่วงการทำไร่ อาจมีการช่วยเหลือแลกเปลี่ยนแรงงานกันในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ปัจจุบันเมื่อว่างจากงานในไร่ ชาวบ้านในวัยแรงงานและวัยหนุ่มสาวจะออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน (หน้า 21-39)

Social Organization

อีก้อเชื่อว่าพวกตนมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันจากตระกูลซุมมิโอ และเป็นญาติกันทั้งหมด เครือญาติที่อยู่ในช่วง 7 ชั่วคนถือว่าเป็นญาติใกล้ชิดกัน ดังนั้นจึงมีข้อห้ามไม่ให้ญาติที่ใกล้ชิดแต่งงานกันโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดสิ่งชั่วร้ายขึ้นในรุ่นลูกหลาน อีก้อทุกคนสามารถสืบสายสกุลของตนเองได้ เพราะสายสกุลมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่อย่างมาก ทั้งทางพิธีกรรม หรือการกำหนดบุคคลสำคัญของหมู่บ้าน เช่น หัวหน้าพิธีกรรม ต้องมาจากสกุลที่บริสุทธิ์ เมื่ออีก้อต้องเดินทางไปหมู่บ้านอื่นหรืออพยพไปอยู่หมู่บ้านอีก้อแห่งใหม่ หัวหน้าหมู่บ้านนั้น ๆ จะให้ผู้นั้นเรียงลำดับสายสกุลให้ฟัง เพื่อทดสอบว่าเป็นอีก้ออย่างแท้จริง (หน้า 6-7)

Political Organization

อีก้อ บ้านแสนสุข อยู่ภายใต้ขนบธรรมเนียม กฎจารีตของกลุ่ม ที่กำหนดให้ทุกคนในหมู่บ้านยอมรับและถือปฎิบัติอย่างเท่าเทียมกัน กฎประเพณีจึงมีความศักดิ์สิทธิ์และมีผลต่อการปกครองของสังคมระดับหมู่บ้านมาก ผู้นำตามจารีตประกอบด้วย หัวหน้าหมู่บ้าน เป็นผู้นำในการอพยพมาตั้งหมู่บ้าน หัวหน้าพิธีกรรม (หยื่อมะ) เป็นตำแหน่งตามจารีตประเพณีที่สำคัญที่สุดของชุมชนอีก้อ เพราะความอยู่รอดของชุมชนขึ้นอยู่กับพิธีกรรม และผู้ที่ทำพิธีกรรมได้มีหยื่อมะเพียงคนเดียว หมอผี (พิมะ) และ หมอผีเล็ก (ผิยะ) มีหน้าที่ในประกอบพิธีกรรมและรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผี หรือหาสาเหตุไม่ได้ ไม่สามารถรักษาด้วยสมุนไพรได้ ช่างตีเหล็ก (บะจี) เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มผู้นำตามจารีต เนื่องจากมีหน้าที่ในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตรให้แก่ชุมชน คนทรง (ยีผ่า) หมอยา (ยาก๊าชิยะ) มีหน้าที่รักษาพยาบาลความเจ็บป่วย หมอยาทำหน้าที่รักษาด้วยยาสมุนไพรตามอาการของโรค ส่วนยีผ่า เป็นผู้วินิจฉัยโรคที่ไม่รู้สาเหตุ วินิจฉัยโรคโดยการเข้าทรงหรือเสี่ยงทาย กลุ่มผู้อาวุโส (อะบอเซาะหม่อ) เกิดจากการรวมตัวกันของผู้นำของแต่ละตระกูลในหมู่บ้าน เป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์และมีความรู้ทางด้านพิธีกรรมและการปกครองของชุมชน ทำหน้าที่บริหารชุมชนร่วมกับผู้นำตามจารีต ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้นำตามประเพณี ตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทต่าง ๆ ภายในหมู่บ้าน กลุ่มคนหนุ่ม (หนะเหงอะ) บางครั้งตั้งขึ้นเฉพาะกิจ กลุ่มหนึ่งมีประมาณ 3-4 คน โดยมี "หยื่อมะ" เป็นผู้แต่งตั้ง มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และทำงานตามคำสั่งของผู้นำตามจารีต หรือทำงานตามที่ผู้อาวุโสสั่งการ นอกจากนี้ยังมีผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการตามการปกครองท้องถิ่น ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน (หน้า 7-9)

Belief System

ชาวบ้านนับถือ "ผี" ตามจารีตประเพณีเดิมเป็นส่วนมาก มีเพียงไม่มากนักส่วนใหญ่เป็นคนยากจนได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 12) อีก้อนับถือภูตผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 2 ลักษณะ คือ นับถือเทพเจ้า เชื่อว่าเทพเจ้า คือบรรพบุรุษอีก้อที่เป็นเทวดา มีเทพเจ้าอยู่มาก ส่วนเทพเจ้าสูงสุด คือ "อะพือหมิแย" ผู้สร้างสรรพสิ่งบนโลก อีก้อเชื่อว่าเทพเจ้าคอยช่วยเหลือมนุษย์ จึงต้องบวงสรวงทุกปี ผู้ทำพิธีเซ่นไหว้และติดต่อกับเทพเจ้า คือ "หยื่อมะ" การนับถือผี อีก้อ เรียกผี ว่า "แหนะ" มีทั้งผีดีและผีร้าย ผีดี คือ ผีบ้าน ผีเรือน ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ ทุกครอบครัวต้องสร้างหิ้งผีบรรพบุรุษไว้ที่ห้องนอนฝ่ายหญิง มีพิธีกรรมบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล และให้คอยดูแลลูกหลานให้มีความสุข นอกจากนี้ยังมี "ผีใหญ่" หัวหน้าของผีทั้งปวงจะคอยดูแลทุกข์สุข บันดาลสิ่งต่างๆ ให้ตามที่ขอ ผีไม่ดี คือ ผีป่า ผีน้ำ ผีภูเขา และผีลม อาศัยอยู่นอกหมู่บ้าน ถ้าผีเหล่านี้เข้ามาในหมู่บ้าน จะทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วย อีก้อจึงสร้างประตู "ลกข่อ" ทั้งหน้าและหลังหมู่บ้าน เพื่อป้องกันสิ่งไม่ดีเข้ามาในหมู่บ้าน อีก้อจะทำพิธีกรรมเพื่อเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งพิธีกรรมของครอบครัว เช่น พิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษ พิธีเรียกขวัญ และพิธีกรรมของชุมชน เช่น พิธีกาทองผาเออะ (พิธีฉลองปีใหม่) พิธียะอุผิ (พิธีเซ่นบวงสรวงผีใหญ่) (หน้า 41-46) พิธีกรรมในการตั้งหมู่บ้าน เมื่อเลือกพื้นที่ตั้งหมู่บ้านได้แล้ว จึงทำพิธีกรรมเสี่ยงทายเพื่อตรวจสอบดูว่า เจ้าของพื้นที่ (ผี) อนุญาตให้ใช้พื้นที่หรือไม่ หัวหน้าพิธีกรรม (หยื่อมะ) เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมนี้ โดยการโยนไข่สดลงไปบริเวณที่จะตั้งหมู่บ้าน ถ้าไข่แตกแสดงว่าบริเวณนั้นเหมาะจะตั้งหมู่บ้าน แต่ถ้าไข่ไม่แตกจะทำพิธีโยนไปอีก 2 ใบ และหากไข่ทั้ง 3 ใบไม่แตกเลย แสดงว่าผีเจ้าที่ไม่ยอมให้ปลูกสร้างบ้านเรือนในบริเวณนั้น ต้องหาพื้นที่สร้างหมู่บ้านใหม่ (หน้า 3) อีก้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ความเชื่อพิธีกรรมมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก การใช้ทรัพยากรน้ำ ที่ต้องแยกบ่อน้ำบริโภค กับน้ำที่ใช้ในพิธีกรรม มีการแยกป่าใช้สอย และป่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำการก่อตั้งหมู่บ้าน ต้องเป็น "หยื่อมะ" ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาและผู้นำประกอบพิธีกรรม การรักษาความเจ็บป่วยยังใช้สมุนไพรควบคู่ไปกับหมอผี คนทรง และพิธีกรรม ความเชื่อตามจารีตประเพณีของอีก้อบ้านแสนสุขจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับอีก้อ (หน้า 20-23)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

อีก้อเชื่อว่าความเจ็บป่วย (ถ่องผ่องยอเจาะ) เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ เกิดจาก ขวัญ ที่โดนผีจับไว้ไม่สามารถกลับเข้าร่างกายได้ เกิดจากการทำผิดผี ทำให้ผีไม่พอใจ เกิดจากเชื้อโรค เจ็บป่วยเพราะมีเคราะห์หรือดวงไม่ดี เกิดจากกรรมพันธุ์ จนห้ามไม่ให้บุคคลที่มีสายเลือดเดียวกันแต่งงานกัน เกิดจากการกินผิด กินพืช สัตว์หรืออาหารบางชนิดที่ทำให้เกิดอันตราย เจ็บป่วยเพราะถูกคุณไสย และการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากการเจ็บป่วยในอดีต เช่น ปวดตามอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย การรักษาโรคจะรักษาตามอาการที่เห็นภายนอก ถ้ายังไม่ดีขึ้นจะให้ยีผ่า หรือพิมะ ซึ่งเป็นหมอผีหรือคนทรงเป็นผู้วินิจฉัยโรคว่าเป็นการกระทำของผีตนใด แล้วจึงทำการรักษาอาการเจ็บป่วย อีก้อยังคงรักษาอาการเจ็บป่วยด้วยสมุนไพรซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับสืบทอดตามตระกูล ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยพื้นฐาน ส่วนผู้ที่เป็นหมอยาสมุนไพรนั้นต้องเป็นผู้รู้ตัวยาและตำรับยามากกว่าบุคคลทั่วไป การรักษาความเจ็บป่วยมี 4 วิธี ได้แก่ การใช้ยาสมุนไพร การใช้คาถาอาคม ผู้รักษา คือ หมออาคม (สะมะ) รักษาความเจ็บป่วยที่เกี่ยวกับคุณไสย การรักษาด้วยพิธีกรรม ผู้รักษา คือ หมอผี (พิมะและผิยะ) และการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ผู้รักษาคือ หมอพื้นบ้าน เช่น หมอนวดหมอดีด ปัจจุบัน ชาวบ้านใช้บริการด้านสาธารณสุข คือ สถานีอนามัย หรือออกไปรักษาที่โรงพยาบาลมากขึ้น แต่ชาวบ้านยังคงรักษาด้วยยาสมุนไพรและพิธีกรรมเมื่อรักษาด้วยแพทย์สมัยใหม่ไม่หาย (หน้า 46-70)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

อีก้อแบ่งออกเป็น 7 กลุ่มย่อย คือ ปุลี ยึเชอะ นาคี มาเจ ทูล่า อาเข่อ และยึเยาะ ทั้ง 7 กลุ่ม สืบเชื้อสายมาจากพี่น้อง 7 คน ที่ถือกำเนิดมาจากมารดาคนเดียวกัน ภายหลังพี่น้องเหล่านี้ได้แยกย้ายไปสร้างเผ่าพันธุ์อีก้อที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ (หน้า 1)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

การทำนาดำไม่ได้เป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของอีก้อ แต่เมื่อมาพบพื้นที่ราบลุ่มน้ำหม้อขาง ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่นาของคนพื้นราบ จึงได้ทำนาดำตามแบบคนพื้นราบ เพราะนาดำให้ผลผลิตข้าวมากกว่าข้าวไร่ และยังมีการปลูกพืช ที่พ่อค้าคนกลางนำพันธุ์ ปุ๋ย และเงินทุน มาให้ ในด้านการรักษาความเจ็บป่วย อีก้อได้หันไปใช้การแพทย์แผนใหม่มากขึ้น ส่วนการใช้ยาสมุนไพร และการรักษาด้วยพิธีกรรมอาจจะลดน้อยลง แต่ยังคงมีการซึมซับและสืบทอดความรู้กันภายในครอบครัว (หน้า 28, 31, 70)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ขนิษฐา อลังกรณ์ Date of Report 30 มี.ค 2561
TAG อาข่า, การจัดการทรัพยากร, การรักษาพยาบาล, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง