|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
บ้านครัว,ประวัติศาสตร์,ทางด่วน,ปัญหา,ข้อพิพาท,กรุงเทพ |
Author |
เรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศ |
Title |
งานวิจัยประวัติศาสตร์บ้านครัวและการต่อต้านทางด่วนซีดีโรดของชาวชุมชน |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
262 |
Year |
2545 |
Source |
[กรุงเทพฯ] : มูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
งานวิจัย "ประวัติศาสตร์บ้านครัวและการต่อต้านทางด่วนซีดีโรดของชาวชุมชน" ประวัติศาสตร์สำคัญต่อไปนี้ประวัติการณ์ที่ 1 การขุดคลองแสนแสบใต้ผ่านบ้านครัว สมัยรัชกาลที่ 1 บรรพชนเป็นผู้ที่ขุดคลองหลบหลีก หมู่บ้านกองอาสาจาม (ชุมชนบ้านครัว) สุเหร่ากองอาสาจาม (มัสยิดยามีอุลค็ยรียะห์) และสุสานทหารนิรนาม (กุบุรฺ) อนุชนบ้านครัวจะเห็นแนวคลองคดโค้งมาจนทุกวันนี้ประวัติการณ์ที่ 2 การตัดถนนบรรทัดทอง ผ่านบ้านครัวสมัยรัชกาลที่ 7 มีโครงการตัดถนนจากสามแยกเจริญผลไปบรรจบถนนเพชรบุรีที่สามแยกอุรุพงษ์ มีแนวถนนพาดผ่านหมู่บ้านมัสยิดยามีอุลค็ยรียะห์และสุสาน มีโครงการในปี พ.ศ. 2473 แต่ถูกระงับไปเป็นเวลานานประมาณ 30 ปี ต่อมาในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้รื้อฟื้นโครงการขึ้นใหม่ มาสร้างในช่วงปี พ.ศ. 2501-2506 มีถนน ผ่านกลางหมู่บ้านบางส่วน แต่พ้นจากพื้นที่มัสยิดและสุสาน ตามที่เห็นปัจจุบันประวัติการณ์ที่ 3 โครงการสร้างทางด่วนซีดีโรดผ่านบ้านครัว โครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531-ปัจจุบัน (มิถุนายน 2545) แนวทางด่วนซีดีโรดเดิมพาดผ่านชุมชนเป็นส่วนใหญ่ผ่านมัสยิดซูลูกุลมุตตากีน ข้ามคร่อมสุสาน ต่อมาโยกย้ายแนวไปคร่อมคลองมหานาค (แสนแสบใต้) ในช่วงที่พาดผ่านชุมชนบ้านครัว เมื่อพ้นทางด่วนซีดีโรดจะตวัดกลับเข้าแนวเดิมที่สะพานหัวช้าง ไปสิ้นสุดในเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่ถนนราชดำริ โครงการนี้ยังมิได้ยุติและจะยุติลงอย่างไรกล่าวไว้ในบทที่ 7 (หน้า 149) |
|
Focus |
นำเสนอประวัติศาสตร์และการต่อสู้ของชุมชนบ้านครัวในการปกป้องสิทธิชุมชน |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ตุลาคม 2540 - ธันวาคม 2544 |
|
History of the Group and Community |
จากตำนานที่เล่าต่อกันมา บรรพชนของมุสลิมบ้านครัวกลุ่มหนึ่งมีเทือกเถาเหล่ากออยู่ในเขมร มีอาชีพทำประมง บางครั้งต้องต่อสู้รบราฆ่าฟันกับคนต่างเผ่าพันธุ์ที่บุกรุกแย่งที่ดินทำมาหากิน บางครั้งชนะบางครั้งแพ้ จึงถอยร่นเรื่อยๆ เมื่อแพ้จึงถูกกวาดต้อนครอบครัวมาเป็นบ่าวไพร่ให้เจ้านายในกรุงเทพฯ ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นชาวมลายูปัตตานีที่ครอบครัวถูกกวาดต้อนมาเป็นจำนวนมาก อันเนื่องจากการที่กองทัพสยามทำศึกสงครามกับเมืองเขมรและเมืองมลายูปัตตานี และได้ชัยชนะ ครอบครัวของเขมรและมลายูจึงถูกกวาดต้องครอบครัวมาเป็นเชลยศึก ยามศึกสงครามต้องถูกเกณฑ์ไปสงครามร่วมรบกับเจ้านายต่อสู้กับพม่านับครั้งไม่ถ้วน มีชาวมลายูปัตตานีบางส่วน ถูกนำมาพำนักในบ้านครัวรวมอยู่กับกองอาสาจามและเขมร และแต่งงานกันใช้ชีวิตอยู่กินในบ้านครัวสืบลูกหลาน ต่อมาชาวมลายูปัตตานีส่วนใหญ่ถูกนำไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองมีน หนองจอก ตลอดแนวฝั่งคลองแสนแสบ และยังติดต่อไปมาหาสู่กันเสมอมาทุกปี ในสงครามเก้าทัพสมัยรัชกาลที่ 1 (ช่วงปี พ.ศ.2328 - 2329) บรรพชนได้เข้าร่วมรบด้วย โดยเข้าสมทบกับกองอาสาจาม สงครามครั้งนี้พม่าพ่ายแพ้แตกทัพ แต่กองอาสาจามและชาวเขมรล้มตายบาดเจ็บพิการมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินผืนหนึ่งให้ตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัยรวมกันเป็นหมวดหมู่ นอกอาณาเขตพระนคร โดยมีต้นไม้สูงใหญ่เป็นแนวเขตเป็นระยะๆ ในผืนดินที่ได้รับพระราชทาน มีร่องน้ำลำกระโดงไหลผ่านจึงถูกเกณฑ์ให้ขุดเบิกร่องน้ำให้กว้างเป็นคลอง และชาวบ้านส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม ร่วมแรงกันจัดสร้างสุเหร่า เพื่อใช้ปฏิบัติศาสนากิจตามหลักการศาสนา โดยมีผู้นำดำรงตำแหน่งเป็น "พระยาราชบังสัน" อยู่ในบ้านครัวด้วย หมู่บ้านแต่เดิมนั้นเรียกขานกันว่า "บ้านแขกครัว" (หน้า 1-2) |
|
Settlement Pattern |
รูปแบบการตั้งถิ่นฐานเป็นไปตามแนวคลอง (หน้า 1) |
|
Economy |
บ้านครัวเป็นชุมชนเมือง มีปัญหาเศรษฐกิจในแต่ละครอบครัวส่วนใหญ่เหมือนกัน คือเป็นผู้ขายแรงงานไม่มีเงินออมเป็นทุนสำรองที่จะดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม (หน้า 78) |
|
Political Organization |
บ้านครัวเป็นชุมชนเมือง มีกรรมการชุมชนบ้านครัวเหนือบ้านครัวตะวันตก และบ้านครัวใต้บริหารชุมชนเริ่มแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 - ปัจจุบัน มีกรรมการมัสยิดยามีอุลค็อยรียะห์ มัสยิดดารุ้ลฟ่าละฮ์ และมัสยิดซูลูกุลมุตตากีน โดยสภาพเป็นชุมชนใหญ่ แต่การจะเป็นชุมชนการเมืองที่แข็งแกร่ง กรรมการมัสยิดและกรรมการชุมชนต้องร่วมกิจกรรมกันมากกว่าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เช่น จะมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในระดับชาติและระดับท้องถิ่น กรรมการมัสยิดและกรรมการชุมชนต้องประชุมปรึกษากันจะเลือกผู้สมัครคนใด/พรรคใด ทำให้ชุมชนได้รับผลประโยชน์มากที่สุด เมื่อมติที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ ให้นำมติไปประกาศให้ชาวชุมชนทราบทั่วกัน ถึงวันเลือกตั้งชาวชุมชนต้องไปลงคะแนนให้ผู้สมัครตามมติ แม้ว่าผลการเลือกตั้งผู้สมัครตามมติไม่ได้รับเลือก ผู้สมัครรายอื่นได้รับเลือกจะไม่ให้ความสนใจชุมชนด้วยมิได้ลงคะแนนให้ก็ไม่มีปัญหา ด้วยบ้านครัวเป็นชุมชนใหญ่ ยืนหยัดด้วยตัวเองมาแต่เดิมแล้วในการคัดเลือกบุคคลให้เป็นผู้แทนชุมชน สมควรมีเอกลักษณ์ดังต่อไปนี้ ข้อ 1. ต้องเป็นบุคคลที่มีศาสนายึดมั่นประจำใจจะเป็นศาสนิกชนใดๆ ก็ได้ ข้อ 2. ต้องเป็นบุคคลที่มีความสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย ข้อ 3. ต้องเป็นบุคคลที่ไม่เสพติดสารพิษ บุหรี่ สุรายาเมาและการพนันทุกชนิดข้อ 4. ต้องเป็นบุคคลที่ประกอบสัมมาอาชีพ มีหน้าที่การงานมั่นคง ข้อ 5. ต้องเป็นบุคคลที่ครอบครัว มีความพร้อมให้มาทำหน้าที่ปกป้องสิทธิประโยชน์ชุมชนบุคลากรมีคุณลักษณะที่กล่าว เชื่อว่าเป็นผู้ยืนหยัดในสิทธิประโยชน์ชุมชนได้อย่างแท้จริง (หน้า 81-82) |
|
Belief System |
ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ที่มีคำสอนเป็นประมวลกฎหมายเรียก "คัมภีร์อัลกุรฺอาน" วิถีชีวิตถูกกำหนดให้ยอมจำนนต่อบทบัญญัติคัมภีร์อัลกุรฺอาน เรียกว่า "มุสลิม" ส่วนวิถีชีวิตที่ไม่ยอมจำนนต่อบทบัญญัติคัมภีร์อัลกุรฺอาน เรียกว่า กาฬิรฺ (หน้า 72) |
|
Education and Socialization |
บรรพชนจัดสร้างโรงเรียนบ้านแขกครัวขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่ออบรมลูกหลานให้เรียนรู้ศาสนาและวิทยาการต่างๆ ซึ่งหลั่งไหลเข้ามามากจากต่างประเทศ มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศและสอนศาสนาขึ้นทั่วไป ต่อมาโรงเรียนบ้านแขกครัวหยุดสอนตั้งเป็นโรงเรียนประชาบาลตำบลถนนเพ็ชร์บุรี 1 (สุเหร่าเก่า) หรือ โรงเรียนสุเหร่าเก่า หรือโรงเรียนประชาบาลสุเหร่าเก่า ต่อมาโรงเรียนประชาบาลตำบลถนนเพ็ชร์บุรี 1 (สุเหร่าเก่า) หยุดสอน มัสยิดจึงจัดตั้งโรงเรียนชื่อ โรงเรียนดารุ้ลเอี๊ยะหฺซาน (บ้านแห่งคุณธรรม) สอนศาสนาอิสลามได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุดสอนอีก เพราะใช้อาคารเรียนเป็นมัสยิดครั้งที่สร้างมัสยิดใหม่ ต่อมามัสยิดให้เอกชนเช่าโรงเรียนดารุ้ลเอี๊ยะหฺซาน เปิดเป็นโรงเรียนสามัญและสอนศาสนาชื่อโรงเรียนอุปถัมภ์ศึกษา ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498-2504 จึงเลิกกิจการทางมัสยิดจึงดำเนินการต่อมาเปิดเป็นโรงเรียนบ้านครัววิทยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 จนปัจจุบัน โดยทางมัสยิดเป็นเจ้าของโรงเรียน เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมปีที่ 6 (หน้า 49-50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
มัสยิด 3 หลังเป็นเสาหลักของบ้าน มัสยิดเป็นศาสนสถานที่บรรพชนสร้างไว้สามแห่งในแนวขนานตามคลองแสนแสบใต้ - มัสยิดยามีอุลค็อยรียะห์ : สุเหร่ากองอาสาจาม มัสยิดแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ อาคารเดิม และอาคารโดมอาคารเดิม สร้างขึ้นต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผนังอาคารก่ออิฐก้อนใหญ่ใช้รับน้ำหนักหลังคาแทนเสา ผนังส่วนบนเอนสอบเข้าหากันเหมือนผนังโบสถ์วิหารสมัยอยุธยา และต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องแผ่นเล็กที่ใช้กับศาสนสถาน อาคารเดิมถูกรื้นถอนลงช่วงปี พ.ศ. 2497-2498 อาคารโดม สร้างต่อเติมสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคายอดโดมแปดเหลี่ยม เหมือนหลังคากรมโยธาธิการที่ถนนหลานหลวง ตัดกับถนนราชดำเนิน อาคารอาบน้ำนมาชมน บริเวณพื้นที่มัสยิด เดิมมี บ่อน้ำบางครั้งก็เรียกว่า สระน้ำ โดยก่ออิฐเป็นชั้นบันไดขึ้นลงรอบบ่อ น้ำในบ่อขึ้นลงตามน้ำในคูน้ำซึ่งอยู่ด้านหน้ามัสยิด เข้าใจว่าคงมีตาน้ำไหลจากบ่อถึงคูน้ำ บ่อน้ำมีปรากฏในแผนที่บริเวณกรุงเทพฯ ร.ศ. 126 ระบุเป็นบ่อลึก 3 เมตร บ่อน้ำถูกกลบถมลงครั้งสร้างมัสยิดใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 ทางมัสยิดได้รื้อถอนอาคารนี้และจัดสร้างเป็นอาคารใหม่ - มัสยิดดารุ้ลฟ่าละฮ์ (หลังที่สอง) เดิมสุเหร่าแห่งนี้เป็นอาคารไม้สักชั้นเดียวใต้ถุนสูง ก่อตั้งขึ้นทางทิศตะวันออกของบ้านครัว เรียกว่า "สุเหร่าโต๊ะลี" หรือสุเหร่าใหม่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ประมาณปี พ.ศ. 2437 - มัสยิดซูลูกุลมุตตากีน (หลังที่สาม) เดิมก่อตั้งที่บ้านครัวใต้เป็นอาคารไม้เล็กๆ เรียกว่า "สุเหร่ายีปา" สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ประมาณปี พ.ศ. 2460 ต่อมารื้อถอนโยกย้ายข้ามคลองมาสร้างใหม่ที่บ้านครัวตะวันตก สร้างใหม่ครั้งที่สองเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ต่อมาอาคารไม้ทรุดโทรมจึงรื้อถอนสร้างใหม่ครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2533 เป็นอาคารคอนกรีตสองชั้นบุหินอ่อนตามที่เห็นปัจจุบัน (หน้า 45-59) |
|
Folklore |
ทางเดินผ่านข้างสุสานมัสยิดดารุ้ลฟ่าละฮ์ ยามดึกดื่นค่อนคืนจะเปลี่ยวมาก มีตำนานเล่าขานว่ามีคนถูกผีปีศาจหลอกหลอนมาแล้ว ชาวบ้านบางครั้งก็ต้องเลือกทางเดินเข้าออกทางนี้ ทางเดินอื่นจะมีสุนัขเป็นฝูงรุมเห่าหอนไล่กัด การเดินเข้าออกหลังบ้านยามดึกดื่น จึงต้องเลือกว่าจะใช้ทางเดินผี (หลอก) หรือทางเดินหมา (กัด) ชาวบ้านจึงต้องใช้วิธีไปมาหลายๆ คนและเป็นเรื่องสนุกสนานกันไป (หน้า 57) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในการต่อสู้กับรัฐบาลในเรื่องทางด่วนซีดีโรดที่จะทำให้ต้องรื้อถอนมัสยิดและสุสาน ชุมชนบ้านครัวไม่ได้อ้างเรื่องชาติพันธุ์ แต่ได้อ้างถึงเอกลักษณ์ทางศาสนา วัฒนธรรม และสิทธิชุมชนท้องถิ่น เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เขามองว่าเป็น "อธรรม" (หน้า 94) และในการต่อสู้ ได้มีชมรมมุสลิมต่าง ๆ สนับสนุน (หน้า 107) |
|
Social Cultural and Identity Change |
บ้านครัวเป็นสังคมเปิด เพราะมีถนนบรรทัดทองผ่านหมู่บ้าน ถนนพระรามที่ 6 (ตัดใหม่) มีแนวถนนหักโค้งช่วงขึ้นสะพานเจริญผล ปลายถนนบรรจบกับถนนเพชรบุรี ไม่บรรจบที่แยกอุรุพงษ์ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ถนนเจริญผล (ตัดใหม่) ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น ถนนบรรทัดทอง ให้เป็นถนนสายเดียวกันที่แยกเจริญผลจนถึงทุกวันนี้ ทางราชการจึงได้ตัดถนนอีกสายที่แยกอุรุพงษ์ข้ามคลองแสนแสบไปบรรจบกับถนนพระรามที่ 1 บริเวณใต้ทางด่วนขั้นที่ 2 ชื่อว่า ถนนพระรามที่ 6 ให้เป็นถนนสายเดียวกันที่แยกอุรุพงษ์ตามที่เห็นปัจจุบัน (หน้า 64) อบายมุขหลั่งไหลเข้าบ้านครัว และอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะมีถนนบรรทัดทองตัดผ่าน บ้านเรือนเกือบร้อยหลังคาเรือนถูกเวนคืน สังคมพี่น้องต้องแยกย้ายกระจัดกระจายไปก่อตั้งใหม่ตามท้องถิ่นอื่น จะมีโอกาสรวมญาติมิตรเฉพาะในวันตรุษสำคัญทางศาสนาเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้มีมาถึงทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่ ยุคจอมพลสฤษดิ์ฯ และรัฐบาลต่อมามีการสร้างสิ่งสาธารณูปโภค ทำให้ต้องการชาวท้องถิ่นชนบทหลั่งไหลเข้ามาเช่าบ้านอาศัยอยู่ในบ้านครัวมากเพื่อเป็นแรงงาน ผู้ผลิตผ้าไหมในบ้านครัวที่ล้มเลิกกิจการจึงดัดแปลงบ้านขนาดใหญ่เดิมเป็นโรงงานทอผ้า โดยแบ่งเป็นห้องเช่า บ้านครัวจึงเป็นย่านที่อยู่อาศัยกลางกรุงเทพมหานคร ของชาวท้องถิ่นชนบท การเดินทางไปทำงานเข้าออกสะดวกได้หลายทิศทาง ชาวท้องถิ่นชนบทได้นำความเชื่อถือตามขนบประเพณีท้องถิ่นตนมาด้วย เช่น การดื่มสุรายาเมา การพนัน การคบชู้สู่สาว ยาเสพติด ซึ่งเป็นเรื่องพื้นบ้านของเขา แต่เป็นสิ่งต้องห้ามของชาวบ้านครัวส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นวิถีชีวิต จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพราะปรับวิถีชีวิตเข้ากันไม่ได้ แต่ก็มีบางคนปรับวิถีชีวิตอยู่กิน จนเกิดอนุชนบางส่วนที่ไม่นับถือศาสนาใดเลยก็มีในบ้านครัวจนทุกวันนี้ (หน้า 69) |
|
Other Issues |
ในเดือนมีนาคมปี พ.ศ.2531 ชาวชุมชนบ้านครัวได้รับจากหนังสือของการทางพิเศษฯ ทำให้ชาวชุมชนทราบความจริงชัดเจน ดังนี้ 1. ถนนรวมและกระจายการจราจร เริ่มต้นจากบริเวณอุรุพงษ์ ไปสิ้นสุดที่ถนนวิทยุ เป็นระยะทาง 2.8 กิโลเมตร 2. ถนนสายนี้มีทาง ขึ้น-ลง ในบริเวณศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 3. ถนนสายนี้จะไม่สร้างคร่อมทับรูปปูนปั้นหัวช้างที่สะพานหัวช้าง ทำให้ชาวชุมชนบ้านครัวมองว่า ชุมชนบ้านครัวไม่ได้รับความยุติธรรม คือ การที่จะอนุรักษ์โบราณวัตถุ โดยไม่ให้สร้างถนนคร่อมรูปปูนปั้นหัวช้างที่สะพานหัวช้าง แต่กลับให้รื้อถอนมัสยิดเก่าแก่ และสร้างถนนคร่อมสุสานของชุมชน นอกจากนี้ ยังเห็นว่า การสร้างทางด่วนซีดีโรดก็เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของนายทุนธุรกิจเอกชน (หน้า 93) ชาวชุมชนบ้านครัวเคลื่อนไหวต่อต้านโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 46 ในการเรียกร้องความเป็นธรรมและต่อต้านการสร้างทางด่วนซีดีโรด การต่อสู้ของชาวชุมชนดำเนินไปอย่างยาวนาน ใช้เวลา 15 ปี 11 รัฐบาล เพื่อให้ชุมชนไม่ถูกเวนคืนหรือรื้อถอน สิทธิดังกล่าว ได้แก่ 1. สิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม การก่อสร้างทางด่วนซีดีโรด ทำให้ชุมชนบ้านครัวซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิมต้องล่มสลายทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของท้องถิ่น (หน้า 147) 2. สิทธิศาสนา ตามบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรฺอานที่ว่า ผู้ที่จะรื้อถอน บำรุงรักษา หรือ สร้างมัสยิด จะต้องเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺเท่านั้น อีกทั้ง มัสยิด และสุสานฝังศพถือว่า เป็นศาสนสถาน และมัสยิดต้องอยู่ในชุมชน แต่ทางด่วนซีดีโรดจะแยกชุมชนออกจากมัสยิดและสุสาน ชาวชุมชนจึงต่อต้านรุนแรง เพราะละเมิดต่อศาสนาอิสลาม (หน้า 147) 3.สิทธิสังคม ชาวชุมชนบ้านครัวถือว่า ชุมชนบ้านครัวและชุมชนอื่น ต้องมีสิทธิทางสังคมเท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2534 มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาโครงการโดยตัดระยะทางจาก 2.8 กิโลเมตร เป็น 2 กิโลเมตร และ 800 เมตรที่ถูกตัดออก เพื่อให้ไม่ต้องผ่านผลประโยชน์ของบริษัทธุรกิจเอกชน (ให้ได้สร้างตึกสูงขึ้นในแนวเวนคืนที่ดิน จึงถือว่ารัฐบาลเลือกปฏิบัติ - หน้า 100-101) ฉะนั้น ในช่วงที่ผ่านชุมชนบ้านครัวก็ต้องยกเลิกได้เช่นกัน (หน้า 147-148) 4.สิทธิตามกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั่วไปไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองศาสนสถานให้พ้นจากการถูกเวนคืน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ห้ามต่อต้านการเวนคืนศาสนสถาน เป็นความชอบธรรมที่ชุมชนบ้านครัวใช้สิทธิตามกฎหมายต่อต้านทางด่วนซีดีโรด (หน้า 148) 5. ปฏิญญาสากลสิทธิมนุษยชน โดยที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และประเทศไทยเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงผูกพันรัฐบาลให้ต้องปฏิบัติตามปฏิญญาดังกล่าว ชุมชนบ้านครัวในฐานะชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม จึงถือเป็นความชอบธรรมที่จะใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนต่อต้านทางด่วนซีดีโรด (หน้า 144,148) ชาวชุมชนบ้านครัวได้เคลื่อนไหวและดำเนินการหลายประการ ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่จะคงชุมชนไว้ให้อยู่ได้ตามเดิม โดยไม่ต้องถูกรื้อถอนและเวนคืน ดังเช่น 1.การชุมนุมเรียกร้อง การเจรจา และการเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรมพร้อมข้อมูล ต่อรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีมหาดไทย การทางพิเศษฯ ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการการปกครอง กรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ต่อหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และร้องเรียนต่อจุฬาราชมนตรี เป็นต้น โดยไม่ย่อท้อไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุด มีการเลือกตั้งใหม่กี่ครั้ง หรือมีการเปลี่ยนบุคลากรที่รับผิดชอบในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกี่คนก็ตาม (หน้า 92-141) 2.การเคลื่อนไหวอย่างจริงจังจนมีแนวร่วมที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการต่อสู้ของชุมชน เช่น มีชมรมมุสลิม 16 องค์กรสนับสนุนชุมชนบ้านครัว และได้ร่วมกันยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ.2534 ให้ยกเลิกการสร้างทางด่วนซีดีโรด (หน้า 107) และมีนักวิชาการศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมชุมชนบ้านครัว และส่งข้อมูลให้แก่องค์กรรัฐที่เกี่ยวข้อง หรือเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายหรือคุณค่าทางสถาปัตย์กรรมกรณีบ้านครัวทางสื่อมวลชน (หน้า 119-120) 3.สร้างองค์กรแกนนำการต่อสู้ คือคณะกรรมการชุมชน เพื่อติดตามการดำเนินการของรัฐ รวบรวมข้อมูล และเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องตามข้อ 1 และมีกิจกรรมอื่น เช่น มีการจัดตั้งอาสารักษาชุมชน เพื่อปกป้องชุมชนในเวลากลางคืน (หน้า 94-95, 105-106) อีกทั้งกำหนดกลยุทธ์การต่อสู้ เช่น ชาวบ้านปฏิเสธการให้ความร่วมมือตอบคำถามหรือให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่การทางพิเศษฯ ที่เข้าสำรวจชุมชน เป็นต้น (หน้า 111) 4.ปี พ.ศ.2536 ผู้แทนชุมชนยื่นข้อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้มีการไต่สวนสาธารณะโครงการก่อสร้างถนนรวมและกระจายจราจร การไต่สวนครั้งแรกทำในปี พ.ศ.2536 มีข้อสรุปบางส่วนระบุว่าถนนรวมและกระจายจราจรจะไม่ทำให้การจราจรในกรุงเทพฯ ดีขึ้น และจะไม่เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการไต่สวนเห็นว่ารัฐบาลควรจะยกเลิกโครงการฯ นี้ (หน้า 115-116) การไต่สวนฯ ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2537 ความเห็นของคณะกรรมการฯ ไต่สวนเห็นว่าถนนรวมและกระจายจราจรนี้เป็นประโยชน์ค่อนข้างน้อยต่อระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (หน้า 121) |
|
Map/Illustration |
มีรูปภาพและคำบรรยายประกอบจำนวนมาก |
|
|