สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,การขยายตัวของเมือง,อิสลาม,มีนบุรี,กรุงเทพมหานคร
Author ประภา เสียงเสนาะ
Title อิสลามกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ศึกษาผลกระทบทางศาสนาจากการขยายตัวของเมืองในชุมชนมุสลิม แขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 144 Year 2535
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

ชุมชนมุสลิม แขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี มีประวัติสืบเนื่องยาวนานกว่า 200 ปี โดยเริ่มจากการอพยพมาจากเมืองคะดะห์(ไทรบุรี) และปัตตานี ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ตามลำดับ แต่ในเรื่องของการขยายตัวเมืองในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบแก่ชุมชนอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ การใช้แรงงาน การประกอบอาชีพ ตลอดจนด้านศาสนาและวัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ชุมชนพยายามดำรงรักษาและถ่ายทอดไปยังลูกหลานให้มากที่สุด ภายใต้ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ การขยายตัวเมืองทำให้ชุมชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องหางานที่มีรายได้สูงขึ้นกว่าการทำนาซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม การจำเป็นต้องออกไปทำงานไกลบ้านทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น มีเวลาว่างน้อยลง เหน็ดเหนื่อย และจะมีผลกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะด้านการนมาซและการถือศีลอด เพราะไม่สามารถปฏิบัติได้เต็มที่เท่ากับที่บรรพบุรุษเคยปฏิบัติกันมา สมาชิกชุมชนจึงมีการใช้ข้อผ่อนผันทางศาสนามากขึ้น ผู้นำชุมชนตลอดทั้งคณะกรรมการบริหารชุมชน ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการวางแผนสร้างงาน กระจายงานและรายได้รวมทั้งการให้ความรู้ด้านศาสนาควบคู่กันไป เพื่อให้คนในชุมชนสามารถปรับตัวเข้ากับผลกระทบดังกล่าวได้ โดยยังคงรักษาความเป็นมุสลิมที่ยึดมั่นในคำสอนของศาสนาอิสลามไว้

Focus

ศึกษาผลกระทบทางศาสนาจากการขยายตัวของเมืองในชุมชนมุสลิม แขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิม

Language and Linguistic Affiliations

คนกลุ่มแรกๆ ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานจะพูดภาษามลายูแต่ปัจจุบันจะใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร (หน้า 103)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2535

History of the Group and Community

เขตมีนบุรี เดิมเคยมีฐานะเป็นจังหวัดมาก่อน มีหม่อมเจ้าสง่างาม (สุขประดิษฐ์) เป็นเจ้าเมืองคนแรก เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเอาพื้นที่เขตอำเภอสามวา (เขตมีนบุรีปัจจุบัน) กับอำเภอแสนแสบ อำเภอเจียรดับและอำเภอหนองจอก รวม 4 อำเภอ สถาปนาขึ้นเป็นเมืองขนานนามว่า "เมืองมีนบุรี" หมายถึง เมืองปลา เพื่อให้คู่กับ "เมืองธัญญบุรี" หมายถึง เมืองข้าว จังหวัดมีนบุรีถูกยุบรวมกับจังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2475 ขึ้นต่อมณฑลกรุงเทพฯ ส่วนอำเภอหนองจอกขึ้นกับจังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอมีนบุรี เปลี่ยนฐานะเป็นเขตมีนบุรีตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 มีที่ทำการอยู่ ณ ศาลาว่าการจังหวัดมีนบุรีเดิม (หน้า 12-14) ชุมชนมุสลิมแขวงทรายกองดินใต้ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ทางภาคใต้ของไทยในอดีต ซึ่งประกอบด้วยหัวเมืองใหญ่ 7 หัวเมือง ในแต่ละปีผู้ครองเมืองจะต้องถวายเครื่องราชบรรณาการแด่เจ้าผู้ครองกรุงรัตนโกสินทร์เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน จนกระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกและพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดการสู้รบขึ้น ในที่สุด รัฐปัตตานีจึงตกเป็นเมืองขึ้น ชาวเมืองปัตตานีบางกลุ่มตกเป็นเชลยถูกอพยพขึ้นมาตั้งรกรากอยู่ในกรุงเทพฯและแถบชานเมืองเป็นส่วนใหญ่ เช่น พื้นที่เขตพระโขนง มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง ชุมชนมุสลิมแขวงทรายกองดินใต้ ส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษมาจากรัฐคะดะห์ (ไทรบุรี) และบางส่วนมาจากรัฐปัตตานี และได้ตั้งรกรากอยู่ตามชายฝั่งคลองแสนแสบ บริเวณแขวงทรายกองดินใต้และแขวงแสนแสบในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 สมาชิกของชุมชนได้มีมติที่จะสร้างมัสยิดเป็นอาคารปูนให้ถาวร จึงร่วมกันนำเรือบรรทุกทรายมากองไว้ เพื่อรอให้มีงบประมาณมากเพียงพอ เพื่อรอสร้างมัสยิดต่อไป เนื่องจากกองทรายนั้นมี่ขนาดใหญ่ จึงเรียกติดปากว่า "ทรายกองดิน" และกลายมาเป็นชื่อของตำบลจนถึงปัจจุบัน (หน้า 16-17)

Settlement Pattern

ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของชุมชนแขวงทรายกองดินใต้จะอยู่ห่างกันตามพื้นที่ชายคลองที่แต่ละคนทำนา (หน้า 18)

Demography

ประชากรเขตมีนบุรี จำนวน 92,150 คน เป็นชาย 46,851 คน หญิง 45,299 คน รวมทั้งสิ้น 187,508 ครอบครัว (หน้า 14) ประชากรแขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี เมื่อ พ.ศ.2533 - 2534 จำนวน 7,750 คน เป็นชาย 3,533 คนและเป็นหญิงจำนวน 4,217 คน จำนวน 1,239 ครัวเรือน (หน้า 22,29) ปีการศึกษา 2533 โรงเรียนสามัญระดับประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครมีนักเรียน รวม 1,640 คน จำแนกเป็น โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน มีนักเรียนรวม 896 คน เป็นชาย 435 คนและหญิง 461 คน โรงเรียนสุเหร่าแสนแสบ มีนักเรียนรวม 480 คน เป็นชาย 254 คนและหญิง 266 คน โรงเรียนสุเหร่าเกาะชุนเณร มีนักเรียนรวม 110 คน เป็นชาย 66 คนและหญิง 44 คน และโรงเรียนสุเหร่าแบบชะโด มีนักเรียนรวม 154 คน เป็นชาย 89 คนและหญิง 65 คน ส่วนโรงเรียนสอนศาสนา โรงเรียนอิสลามศาสนวิทยามีนักเรียนรวม 102 คน เป็นชาย 54 คนและหญิง 48 คน โรงเรียนสามัคคีธรรมอิสลาม (แสนแสบ) มีนักเรียนรวม 85 คน เป็นชาย 46 คนและหญิง 39 คน โรงเรียนอิควานุ้ลมุตตะกีน (เกาะขุนเณร) มีนักเรียนรวม 91 คน เป็นชาย 39 คนและหญิง 52 คน โรงเรียนซาลีมุนยีนาน มีนักเรียนรวม 278 คน เป็นชาย 144 คนและหญิง 134 คน สันนิธิอิสลาม มีนักเรียนรวม 174 คน เป็นชาย 76 คนและหญิง 98 คน โรงเรียนอิสลามพัฒนวิทยามีนักเรียนรวม 131 คน เป็นชาย 75 คนและหญิง 56 คน และโรงเรียนนูรุดดีนวิทยา มีนักเรียนรวม 83 คน เป็นชาย 38 คนและหญิง 45 คน (หน้า 23,26) เมื่อ พ.ศ.2530 ประชากรที่สังกัดมัสยิดกมาลุลอิสลามมีทั้งสิ้น 3,718 คน จำแนกเป็นชาย 1,783 คนและหญิง 1,935 คนจาก 725 ครอบครัว (หน้า 41)

Economy

อาชีพหลักของประชากรในเขตมีนบุรีคือ การเกษตรกรรม รับจ้าง ค้าขายและอื่นๆ (หน้า 15) ในอดีตชุมชนมุสลิมแขวงทรายกองดินใต้ ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ในแต่ละครัวเรือนจะเลี้ยงควาย สำหรับไถนา อย่างน้อย 1-2 ตัว นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยง เป็ด ไก่ ไว้ตามบ้านเพื่อเป็นอาหารและเป็นรายได้เสริม สมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำนา หากแรงงานไม่พอจะจ้างเพื่อนบ้านมาช่วยโดยแลกเปลี่ยนค่าแรงเป็นเสื้อผ้าอาหารและการช่วยเป็นแรงงานตอบแทนในภายหลัง (หน้า 18-19,21) มุสลิมมีพื้นที่สำหรับทำนาเฉลี่ย 20-100 ไร่/ครอบครัว และมีการเลี้ยงปลาในบ่อ หลังว่างเว้นจากการทำนา (หน้า 21) เมื่อ พ.ศ. 2534 แขวงทรายกองดินใต้มีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 4,461 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 44.60 ของพื้นที่ทั้งหมด (หน้า 29-30) อาชีพรับจ้างของมุสลิมแขวงทรายกองดินเป็นอาชีพที่มีคนทำถึงร้อยละ 80 ของแรงงานทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นแรงงานระดับกรรมกรได้เงินเดือนเท่าค่าแรงขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด (หน้า 90)

Social Organization

ชุมชนมุสลิมแขวงทรายกองดินใต้มีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ(หน้า 18) ในอดีต โต๊ะครู เป็นผู้นำท้องถิ่นที่มีอิทธิพลต่อชาวบ้านมากที่สุด เนื่องจาก ในอดีตมีผู้ทรงความรู้ทางศาสนาอยู่น้อย หมู่บ้านหนึ่งจะมีโต๊ะครู 1-2 คนเท่านั้น (หน้า 19-20) คณะกรรมการบริหารมัสยิดกมาลุลอิสลาม ได้มาจากการคัดเลือกบุคคลที่มีจิตใจเสียสละ ตามความเห็นของสมาชิกชุมชน(สัปบุรุษ) โดยมีขั้นตอนคือ 1. ให้สัปบุรุษเสนอชื่อที่ตนเห็นชอบผ่านแบบสอบถามของมัสยิดโดยทุกครอบครัว 2.อิหม่าม และคณะผู้อาวุโส ประชุมคัดเลือกผู้เหมาะสมจากแบบสอบถามตามจำนวนที่เห็นสมควร 3.นำรายชื่อบุคคลที่ถูกคัดเลือกเสนอให้ปวงสมาชิกรับรองและจัดประชุมตามระเบียนการคัดเลือกตั้งกรรมการมัสยิดที่ระบุในกฎหมาย (หน้า 43) การจัดระเบียนครอบครัวของมัสยิดกมาลุลอิสลาม การแต่งงานต้องมีกรรมการมัสยิดบันทึกตามแบบที่มัสยิดกำหนดไว้ มุอัลลัฟต้องศึกษาให้เข้าใจหลักอิสลามเบื้องต้นก่อนจึงจะแต่งงานได้ ภรรยามีสิทธิได้รับสัญญาจากสามี ที่จะฟ้องหย่าในกรณีที่สามีไม่ปฏิบัติหน้าที่ ห้ามหย่าโดยพละการ นอกจากโดยคำวินิจฉัยของอิหม่าม ห้ามหย่าโดยระบุตอล๊าก (จำนวนครั้งที่สามีขอหย่ากับภรรยา) การแต่งงานให้ทำในมัสยิด ตามหลักคำสอนอิสลาม การจัดฉลองแต่งงาน (วาลีมะฮ์) ให้ทำอย่างประหยัดตามหลักการอิสลามและห้ามนำพิธีการของศาสนาอื่นหรือประเพณีของสังคมอื่นมาใช้ (หน้า 52)

Political Organization

เขตมีนบุรีแบ่งเขตการปกคองออกเป็น 7 แขวง ได้แก่ แขวงมีนบุรี มีหมู่บ้าน 20 หมู่ แขวงแสนแสบ มีหมู่บ้าน 18 หมู่ แขวงบางชัน มีหมู่บ้าน 12 หมู่ แขวงสามวาตะวันออก มีหมู่บ้าน 21 หมู่ แขวงสามวาตะวันตกมีหมู่บ้าน 16 หมู่ แขวงทรายกองดิน มีหมู่บ้าน 8 หมู่และแขวงทรายกองดินใต้ มีหมู่บ้าน 12 หมู่ (หน้า 14)

Belief System

ศาสนาประจำท้องถิ่นเขตมีนบุรีคือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ มีวัดจำนวน 16 วัด ส่วนศาสนาอิสลามมีมัสยิด 22 มัสยิด (หน้า 15) ชาวบ้านชุมชนมัสยิดมาลุลอิสลาม นับถือศาสนาอิสลามตามบรรพบุรุษ ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนทางอิสลามโดยตลอด (หน้า 19) ประเพณีทำงานบุญ นิยมทำกันมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ตัวอย่างเช่น พิธีฉลองงานแต่งงาน โกนผมไฟ ทำบุญคนตาย เป็นต้น ลักษณะการทำบุญแต่ละครั้งจะจัดกันหลายวัน เพราะต้องเตรียมงานก่อนล่วงหน้า เรียกว่า "วันสุกดิบ" ยังมีการเลี้ยงอาหารในวันทำพิธีแต่งแล้วยังมีการเลี้ยงในวันแห่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวอีกด้วย นอกจากนี้เมื่อมีคนตาย เพื่อนบ้านจะรวบรวมสิ่งของและเงินไปช่วยเหลือ เป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประสบความโศกเศร้าจากการสูญเสียญาติของตัวเอง (หน้า 20)

Education and Socialization

มีการจัดตั้งโรงเรียน "ปอเนาะ" เพื่อให้เยาวชนได้ศึกษาคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างจริงจัง ตลอดจนชาวบ้านทั่วไป มีความรู้ความเข้าใจในความหมายของศาสนาอิสลามกว้างขวางขึ้น (หน้า 20) แขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี มีโรงเรียนสามัญระดับประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานครจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน โรงเรียนสุเหร่าแสนแสบ โรงเรียนสุเหร่าเกาะชุนเณรและโรงเรียนสุเหร่าแบบชะโด นอกจากนี้ยังมีศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนสำหรับผู้ต้องการเรียนเพิ่มเติม แต่ไม่มีเวลาหรือมีอายุมากเกินกว่าที่จะเรียนภาคปกติตามเกณฑ์อายุ ตั้งอยู่ที่โรงเรียนซาลีมุลยีนาน ทำการสอนนักเรียน กศน.ทุกวันอาทิตย์ ด้านภาคศาสนา มีโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใกล้สุเหร่าทุกแห่งในแขวงทรายกองดินอีก 9 แห่ง นอกจากนี้ยังมีการบรรยายศาสนธรรมสำหรับผู้ใหญ่ตามมัสยิดต่างๆ อยู่เสมอ แต่ที่จัดกันประจำและมีกำหนดแน่นอนคือ ที่โรงเรียนสันนิธิอิสลาม มีการบรรยายตอนค่ำของทุกวันพุธและที่โรงเรียนซาลีมุลยีนาน เวลา 10.00 - 12.00 นาฬิกาของทุกวันเสาร์ (หน้า 23-27) การจัดการศึกษาในท้องถิ่นแบ่งได้เป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับอนุบาล โดยเปิดเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้สมาชิกในท้องถิ่นที่เรียนจบทางครู อาสาสมัครสอน ระดับประถมศึกษามีโรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน สังกัดกรุงเทพมหานคร ระดับฟัรดูอีน โรงเรียนซาลีมุลยีนาน ระดับภาคเฉพาะกิจ มีการจัดโครงการอบรมทั้งในด้านศาสนาและด้านอาชีพ โดยเป็นหลักสูตรระยะสั้น นอกจากนี้ยังมีการอบรมประจำสัปดาห์สำหรับประชาชนที่สนใจในศาสนาอิสลามอีกด้วย (หน้า 46-47)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายในอดีต คนในชุมชนจะแต่งกายตามแบบอย่างของบรรพบุรุษที่อพยพมาจากภาคใต้ ผู้ชายจะนุ่งโสร่ง สวมเสื้อกรุง สวมหมวกกะเปี๊ยะ ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อแขนยาวมีผ้าคลุมศีรษะทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่และเด็กจะแต่งกายตามสมัยนิยมหรือแบบสมัยใหม่เป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงแต่งแบบเดิมบ้างในโอกาสพิเศษต่างๆ เท่านั้น เช่น เมื่อจะไปนมาซ ไปกินบุญ ไปเรียนศาสนา เป็นต้น (หน้า 102-103)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ในอดีตการทำนาต้องใช้แรงงานคนและควายเป็นหลัก และค่อยเปลี่ยนมาอาศัยเครื่องจักรช่วยผ่อนแรง โดยใช้รถไถหรือ "ควายเหล็ก" เป็นหลัก การเลี้ยงวัว ควายเพื่อใช้แรงงานไถนา ต้องเปลี่ยนเป็นการเลี้ยงไว้เพื่อน้ำนมและเนื้อสำหรับอาหาร การเลี้ยงเป็ด ไก่ เดิมนิยมเลี้ยงไว้ใต้ถุนบ้าน บางครอบครัวเริ่มเปลี่ยนมาเป็นอาชีพหลัก โดยทำเป็นโรงเลี้ยงขนาดใหญ่เพื่อนำไปจำหน่าย ทั้งเนื้อและไข่ นอกจากนี้ อาชีพรับจ้างทำงานตามโรงงานที่เข้ามาตั้งในชุมชนและบริเวณใกล้เคียง จะมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย (หน้า 21) เนื่องจากในชุมชนและบริเวณใกล้เคียงมีโรงงานอุตสาหกรรมมากเป็นผลทำให้วิถีชีวิตของมุสลิมแขวงทรายกองดินใต้เปลี่ยนจากสังคมที่ทำการเกษตรเป็นหลัก กลายเป็นผู้ใช้แรงงานรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น (หน้า 32) สภาพสังคมมุสลิมแขวงทรายกองดินใต้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ 5 ประเด็นสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการประกอบอาชีพ ด้านแรงงาน ด้านสุขภาพอนามัย ด้านสังคม วัฒนธรรมและศาสนาตลอดจนการเปลี่ยนแปลงด้านการถือครองที่ดิน (หน้า 85) การเปลี่ยนแปลงด้านอาชีพ เป็นเพราะอาชีพทำนาในปัจจุบันให้ผลตอบแทนน้อยเพราะต้นทุนการทำนาในปัจจุบันสูง (หน้า 87) การเปลี่ยนแปลงด้านแรงงาน เช่น ในอดีตการรับจ้างใช้แรงงานเพื่อแลกกับค่าจ้างมีน้อย มักจะเป็นการช่วยแรงมากกว่า แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นการจ้างแทน แรงงานสตรีสมัยก่อนนอกจากจะช่วยทำนาแล้วยังมีเวลาทำงานบ้านและงานที่เหมาะสมกับผู้หญิงเท่านั้น แต่ปัจจุบันต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น เพื่อหาเงินมาเป็นค่าครองชีพเช่นเดียวกับผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงด้านการถือครองที่ดิน ในสมัยเริ่มแรกแต่ละครอบครัวมีที่ดินทำกินครอบครัวละหลายไร่ และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการทำนาแต่ปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนแขวงทรายกองดินใต้มีที่ดินเป็นของตนเองไม่ถึงร้อยละ 50 ส่วนที่เหลือเป็นครอบครัวที่อาศัยที่ดินของคนอื่นในรูปของการเช่ารายปีหรืออาศัยอยู่กับญาติ (หน้า 90-93) การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพอนามัย สามารถมองได้ 2 ทางคือ ได้แก่ ในทางลบ ผู้คนสมัยก่อนยังไม่ต้องเผชิญกับโรคที่แพร่หลายในสังคมของประเทศกึ่งอุตสาหกรรม เช่น โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่เกือบไม่พบในสังคมสมัยก่อน ส่วนในทางบวก ความเจริญทางการแพทย์ทำให้โรคร้ายแรงหลายโรคเบาบางลงหรือหมดไปโดยสิ้นเชิง เช่น กาฬโรค ฝีดาษ ไข้ไทฟอยด์ คนสมัยนี้อายุเฉลี่ยสูงและมีความรู้ในเรื่องโถชนาการดีกว่าคนในอดีต แต่ในด้านมลภาวะซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนระยะยาวมีเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม วัฒนธรรมและศาสนา สังคมในชุมชนแขวงทรายกองดินใต้เปลี่ยนจากชุมชนเกษตรกรรมมาสู่ชุมชนอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านจิตใจและวิถีชีวิตของคนในชุมชนค่อนข้างมากโดยเฉพาะทำให้คนในชุมชนห่างเหินจากการปฏิบัติศาสนกิจเพิ่มขึ้น คนในชุมชนละทิ้งวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษเคยสืบทอดกันมาหลายประการในขณะเดียวกันก็รับเอาวัฒนธรรมตามอย่างชาวตะวันตกเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ส่วนด้านการปฏิบัติศาสนกิจน้อยลง ใช้ข้อผ่อนผันทางศาสนามากขึ้น คนในชุมชนต้องใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้นดูแลครอบครัวได้น้อยลง (หน้า 100-103,107)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง - สถิติจำนวนประชากรแขวงทรายกองดินใต้ เขตมีนบุรี ปี พ.ศ. 2529 - 2534(22) - รายชื่อโรงเรียนระดับประถมศึกษาในแขวงทรายกองดินใต้ พร้อมทั้งจำนวนนักเรียนในปี พ.ศ.2533 (23) - สถิติการเลื่อนชั้นและซ้ำชั้นของนักเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาแขวงทรายกองดินใต้ ปีการศึกษา 2533 (25) - รายชื่อโรงเรียนสอนศาสนาและจำนวนนักเรียนในแขวงทรายกองดินใต้ ปีการศึกษา 2533 (26) - สถิติการใช้ที่ดินในแขวงทรายกองดินใต้ในปี พ.ศ.2534 (30) - ค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบระหว่างนาปักดำ กับนาหว่านน้ำตม (70) - การเพิ่มของราคาที่ดินในแขวงทรายกองดินใต้ในปี พ.ศ.2500 - 2535 (97) ภาพ - แผนที่เขตมีนบุรี(35) - แผนที่แขวงทรายกองดินใต้(36) - แผนที่แสดงที่ตั้งมัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในเขตมีนบุรี(37) - มัสยิดมาลุลอิสลาม(38) - แผนที่แสดงที่ตั้งและบริเวณใกล้เคียงของมัสยิดมาลุลอิสลาม(39) - แผนภูมิการปฏิบัติงานภาคพิธีกรรมศาสนา - สังคม(59) - ภาพแสดงการปรับที่ทำแปลงหญ้า(72) - การถือครองที่ดินจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน(98) - พลตรี จำลอง ศรีเมือง ร่วมกับจุฬาราชมนตรีในพิธีเปิดศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานสาขามัสยิดมาลุลอิสลาม(126)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, การขยายตัวของเมือง, อิสลาม, มีนบุรี, กรุงเทพมหานคร, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง