|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เขมร,สังคม,ประเพณี,ความเชื่อ,นิยาย,ประเทศไทย |
Author |
พระมหาศักดิ์ เพชรประโคน |
Title |
ผฺกาสฺรโพน การศึกษาวิเคราะห์สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อของชาวเขมร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
274 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเขมรศึกษา ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร |
Abstract |
สังคมเขมรในสมัยประมาณ พ.ศ. 2476 เป็นสังคมชนบท การประกอบอาชีพส่วนมากเกี่ยวเนื่องด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การทำนา หาของป่า การค้าขายข้าวและสิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีวิตประจำวัน ความเป็นอยู่ของหญิงด้อยกว่าชาย หญิงสาวต้อง อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ รักนวลสงวนตัวตามขนบธรรมเนียมเขมรโบราณ คนส่วนมากไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาแบบสมัยใหม่ คนที่ฐานะดีเท่านั้นที่จะส่งเสริมลูกชายให้เล่าเรียนเพื่อรับราชการเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ผู้หญิงสูงอายุนิยมกินหมากพลูและ เข้าวัดรักษาอุโบสถศีล คนส่วนมากนิยมยกย่องคนดีมีคุณธรรมมีความรู้ความสามารถ แต่กำลังมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปในทางวัตถุนิยม โดยเริ่มยกย่องคนที่มีฐานะทางการเงิน ประเพณีแต่งงานเป็นหน้าที่ของพ่อแม่จะจัดการให้ลูกตามที่เห็นสมควร หญิงสาว ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นเรื่องคู่ครอง การจัดงานศพนิยมตั้งรูปถ่ายคนตายไว้หน้าโลงศพ มีการปักธงจระเข้ มีการบรรเลงเพลงโศกเศร้าที่เรียกว่า "ทามมีง" เป็นเอกลักษณ์ การตั้งศพบำเพ็ญกุศลไม่มีกำหนดวันที่แน่นอนขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าภาพ ปรัชญาความเชื่อมีลักษณะผสมผสานกันระหว่างความเชื่อตามหลักพุทธศาสนา เช่น หลักกรรม ความเชื่อท้องถิ่น เช่น เชื่อผี เชื่อวิญญาณบรรพบุรุษ ความเชื่อแบบพราหมณ์ เช่น ความเชื่อต่อเทพเจ้า พระอินทร์ พระพรหม ถึงแม้จะถือพุทธศาสนาเป็นหลักแต่ ก็มีพิธีกรรมแบบท้องถิ่นและพราหมณ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยเสมอ |
|
Focus |
ศึกษาวิเคราะห์สังคม วัฒนธรรม ความเชื่อของคนเขมรในสมัย พ.ศ. 2476 จากนวนิยายเขมรเรื่อง "ผกาสรโพน" |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
กันยายน พ.ศ. 2530 - ตุลาคม พ.ศ. 2531 |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
ประชาชนเขมรมีอาชีพหลักคือ การทำนาและหาของป่า เช่น น้ำผึ้ง ขี้ผึ้งและปลา นอกจากนี้ยังมีการประกอบอาชีพค้าขายและแลกเปลี่ยนกันในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยและเริ่มมีธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่นการระเบิดหิน (หน้า 15,17, 20, 22) |
|
Social Organization |
สังคมเขมรประมาณ พ.ศ.2476 เป็นสังคมชนบท ดำเนินชีวิตด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ค่อยมีการแข่งขันกันมากนัก มีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติบ้าง เพื่อนบ้านบ้าง มีค่านิยมยกย่องคนดีและคนที่มีฐานะทางครอบครัวดี (หน้า 10) สถานภาพของหญิงด้อยและมีอิสรภาพน้อยกว่าชาย ต้องอยู่ในโอวาทและปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่ พ่อแม่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัดที่จะอบรมสั่งสอนลูกให้อยู่ในขนบธรรมเนียมโบราณ (หน้า 22) หญิงสาวเขมรโดยปกติจะรักนวลสงวนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ชายในลักษณะชู้สาวหรือเกี้ยวพาราสีกันจนถึงขั้นจับเนื้อต้องตัว ส่วนหญิงสูงอายุจะมีลักษณะที่ค่อนข้างพิเศษอย่างเป็นเอกลักษณ์ คือ การเข้าวัดรักษาศีล ตัดผมสั้นหรือโกนผม ถือเป็นทางอันสงบและเป็นการสั่งสมบุญเพื่อเดินทางไปสู่ปรโลกต่อไป หญิงสาวที่แต่งงานแล้วเมื่ออายุมากขึ้นจะนิยมกินหมากพลู และมีบางกลุ่มที่ไม่กินหมากเพราะพยายามทำตัวให้เป็นคนสมัยใหม่ (หน้า 24-25, 27) การแต่งงาน การหาคู่ครองให้ลูกสาวลูกชายถือเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องจัดหาให้ลูก โดยขั้นตอนการแต่งงาน มี 4 ขั้นตอนคือ ขั้นทาบทาม ขั้นหมั้น ขั้นกำหนดวันและขั้นแต่งงาน สำหรับผู้หญิงที่ยังไม่มีคู่หมั้นหรือยกเลิกกับคู่หมั้นเก่าไปแล้ว ถ้ามีชายใดสนใจก็จะให้พ่อแม่มาติดต่อสู่ขอให้ ซึ่งโดยมากมักจะเป็นหน้าที่ของแม่มากกว่าพ่อ (หน้า 32-33) |
|
Belief System |
"วิธีการหาผึ้ง" เชื่อว่าเมื่อพบผึ้งดูดเกสรดอกไม้ ถ้าดูดเสร็จแล้วบินต่ำๆตรงไปที่ใดที่หนึ่งแสดงว่ารังผึ้งนั้นอยู่ไกล แต่ถ้าดูดเอาน้ำหวานจากเกสรแล้วบินสูงลิบลิ่ว แสดงว่ารังผึ้งอยู่ไม่ไกลจากนี้นัก (หน้า 19-20) "พิธีเกี่ยวกับการตาย" เมื่อมีคนตาย เขมรมักจะเก็บศพไว้ประกอบพิธีทางศาสนาประมาณ 3 หรือ 7 วัน ตามแต่ฐานะทางครอบครัว ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ในพิธีจะเปิดเพลง "ทามมีง" ซึ่งเป็นเพลงเฉพาะในงานศพ นอกจากนี้ยังนิยมนำผ้าดิบทำธงจระเข้ผูกที่ปลายไม้ไผ่และนิยมตั้งรูปถ่ายของผู้ตายไว้ด้านหน้าที่ตั้งศพ ปรัชญาความเชื่อของเขมร มีลักษณะผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมของเขมรคือความเชื่อเรื่องวิญญาณ ความลึกลับของธรรมชาติ ป่าเขาศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนเวทมนตร์คาถาต่างๆ ที่บรรพบุรุษยึดถือกันมา ผสมกับความเชื่ออันเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์ เช่น ความเชื่อเรื่องพระอินทร์ พระพรหมและศาสนาพุทธ เช่น หลักกรรมและหลักไตรลักษณ์ เป็นต้น (หน้า 35-36,43-45,49) เมื่อมีคนป่วยหรือเกิดเหตุร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ จะเชื่อว่า ถูกเจ้าพ่อหรือปีศาจเบียดเบียน ต้องไปหาคนที่มีวิชา เรียนเวทมนตร์จนแก่กล้าเป็นผู้รักษา บางคนก็มิได้เรียนเวทมนตร์มาเพียงแต่ถูกเจ้าต่างๆ จับให้เป็นร่างทรงคอยช่วยรักษาคนโดยการแนะนำให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่เจ้าหรือผีนั้นต้องการ คนที่เข้าทรงมีทั้งโดยสมัครใจและโดยจำยอม ที่เป็นโดยจำยอมคือคนนั้นจะเจ็บป่วยกระออดกระแอดรักษาอย่างไรก็ไม่หาย แต่เมื่อทำพิธีรับ (เจ้าหรือเทวดา) แล้วก็จะหายป่วยหรือดีขึ้น นอกจากนี้ เขมรยังมีความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ จากนวนิยายเรื่องผกาสรโพน ปรากฏวิธีการดูดวงชะตา 2 วิธีคือ ดูจากวัน เดือนปีเกิดของเจ้าของดวง โดยการบวกลบแล้วทำนายตามเศษเลขที่ได้ ส่วนวิธีที่สองคือการดูจากการเสี่ยงทายคัมภีร์ โดยคัมภีร์ที่ใช้เสี่ยงทายนั้นมีอิทธิพลของศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ เช่น คัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับทศชาติชาดก โดยถือเอาว่าถ้าผู้เสี่ยงทายชี้ก้านธูปไปตรงกับข้อความหรือภาพตอนใดในเรื่องชาดกก็ทายตามเหตุการณ์นั้นๆ ส่วนที่เป็นอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เช่น คัมภีร์ที่มีข้อความหรือภาพเรื่องรามเกียรติ (หน้า 37, 41-42) |
|
Education and Socialization |
เขมรผู้มีความคิดก้าวหน้า มีฐานะดี โดยเฉพาะพวกพ่อค้ามักจะส่งเสริมให้ลูกไดรับการศึกษาสูงสุดเท่าที่ทำได้ หากโรงเรียนอยู่ไกลบ้าน พวกนักเรียนจะพักเรียนอยู่ประจำจนปิดเทอมจึงกลับบ้าน การศึกษาสำหรับผู้ชายถือเป็นเกียรติศักดิ์ศรีแก่ครอบครัวและเป็นเครื่องยกฐานะตน สำหรับผู้หญิงพ่อแม่ไม่นิยมส่งเสริม ให้ศึกษาเล่าเรียนแค่เพียงอ่านออกเขียนได้เท่านั้น นอกจากการศึกษาแบบสมัยใหม่แล้วยังมีการศึกษาสมัยเก่าคือการศึกษาวิชาคาถาอาคมที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตอีกด้วย (หน้า10-14) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องมือที่ใช้ในการจับปลาในสมัยนั้นมีเพียงสุ่ม ส้อม ปี๊บ โดยถ้าในที่ที่มีน้ำมากจะใช้สุ่ม และใช้ส้อมแทงปลา ถ้าน้ำไม่มากจะใช้ปี๊บวิดน้ำออกแล้วจับปลา (หน้า 19) |
|
Folklore |
นวนิยายเรื่องผกาสรโพน พ่อนางวิธาวี กับเจ๊กบุน-ถน พ่อของบุน-เธือน เป็นเพื่อนรักกัน ได้ตกปากรับคำให้ลูกสาวลูกชายเป็นคู่รักกันเมื่อเขาโตขึ้น เจ๊กบุน-ถนส่งบุน-เธือนไปเรียนหนังสือที่วิทยาลัยในกรุงพนมเปญ ต่อมาค้าขายข้าวขาดทุนอย่างหนัก บุน-เธือนทราบข่าวแล้วไม่สบายใจ ฝ่ายยายนวนแม่นางวิธาวีหลังจากสามีตายแล้ว เห็นว่าครอบครัวของบุน-เธือนยากจนลง จึงคิดจะยกเลิกคำสัญญา จึงขอร้องให้นางวิธาวีตัดใจจากบุน-เธือน แต่นางวิธาวีรักบุน-เธือนมาก จึงขอให้เห็นแก่การศึกษาของเขา บุน-เธือน คิดจะเลิกเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่ถูกพ่อห้ามและเขาพิจารณาเห็นว่ายายนวนคงไม่ยอมยกลูกสาวให้มาทนทุกข์อยู่กับตนเป็นแน่ จึงเกิดความมุ่งมั่นที่จะศึกษายิ่งขึ้น ขณะที่ยายนวนกำลังคิดหาโอกาสจะยกเลิกคำสัญญาอยู่นั้น ยายจันผู้เป็นเพื่อนรักได้มาบอกข่าวว่ายายถูกับเถ้าแก่ไณสาน อยากมาสู่ขอนางวิธาวีให้ไณสต ลูกชายของเขา และต่อมายายนวนตกลงรับหมั้นหนุ่มไณสต นางวิธาวีเขียนจดหมายไปบอกให้ บุน-เธือนทราบและตั้งใจเรียนให้จบ ตัวนางจะไม่มีวันลืมบุน-เธือนเลย ตั้งแต่นั้นมา นางวิธาวีมีแต่ซูบผอมเพราะตรอมใจ หลังจากนั้นไม่นานนางวิธาวีเศร้าหมองลงเรื่อยๆ ยายนวนจึงรีบแจ้งฝ่ายชายรีบมาจัดการแต่งงานโดยเร็ว เพราะคิดว่าเมื่อแต่งงานแล้ว นางวิธาวีคงจะดีขึ้น ฝ่ายบุน-เธือนทราบข่าวว่านางวิธาวีจะแต่งงาน ก็เสียใจมาก พอดีได้ยินเสียงตาสูเข้าไปอนุญาตเจ๊กบุน-ถนไปหาของป่า จึงขออนุญาตพ่อเข้าไปหาของป่ากับตาสูด้วย ส่วนนางวิธาวีเมื่อเห็นสิ่งของที่จัดเตรียมไว้เพื่อแต่งงานก็ซึมเศร้าถึงกับล้มป่วยลง หลังจากที่บุนเธือนกลับมาจากป่าเดินผ่านไปทางหน้าวัดได้ยินเสียงเพลงบรรเลงในงานศพ นึกสงสัยจึงเดินไปดู เขาตกใจมากเมื่อรู้ว่าเป็นงานศพของนางวิธาวี ขณะที่เขากำลังโศกเศร้าอยู่นั้น ยายไผได้มาบอกว่ายายนวนเฝ้าคอยมาหลายวันแล้ว เพราะนางวิธาวีได้ฝากจดหมายไว้ เมื่อยายนวนเห็นบุน-เธือนมาถึงจึงให้คนพยุงลุกขึ้นนั่ง แล้วเรียกบุน-เธือนเข้ามาใกล้ๆ แล้วบอกว่านางวิธาวีเรียกหาบุน-เธือนตลอดเวลาและได้ฝากจดหมายและแหวนทับทิมไว้ให้บุน-เธือนก่อนตาย บุน-เธือนรับจดจดหมายแล้วเดินออกมาและไม่ลืมที่จะดูรูปนางวิธาวีที่ตั้งไว้ในงานศพอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่รู้จักเบื่อ ตกกลางคืนบุน-เธือนอ่านจดหมายที่นางวิธาวีเขียนลาก่อนจะตายจากไป ด้วยความเศร้าโศก ท่ามกลางความเงียบสงัดแห่งราตรีและเสียงร้องของนกเขาผี (หน้า 5-7) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
คนสมัยก่อนยึดมั่นอยู่กับคุณงามความดีและความรู้ความสามารถเป็นหลัก แต่ต่อมาสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปในด้านวัตถุนิยมและมีการแข่งขันมากขึ้น ค่านิยมเงินเริ่มสูงขึ้นคนไม่มีคุณธรรมตแต่ถ้ามีความรู้ดี มีฐานะดีก็ถือเป็นคนที่น่ายกย่อง(หน้า 28,30) |
|
|