สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,ประวัติศาสตร์,ลัทธิขนบธรรมเนียม,ภาษา,เชียงใหม่
Author ชาญ รังสิยานนท์
Title ประวัติชนชาติเย้า
Document Type อื่นๆ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 14 Year 2468
Source ศูนย์วิจัยชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่ กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย
Abstract

ชนชาติเย้ามีชาติกำเนิดอยู่ในประเทศจีน อพยพย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสยาม ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่เป็นหย่อมตามเนินเขา มักอยู่กันไม่เป็นหลักแหล่ง ย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ตามการเพาะปลูก มีความเชื่อเรื่องการนับถือผี การเสี่ยงทาย ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม รวมถึงตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับอำนาจของผู้ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีภาษาและคำศัพท์ เครื่องแต่งกาย และการไว้ผม สถาปัตยกรรม การแต่งงานและการเลี้ยงดูบุตร การรักษาโรคด้วยฝิ่น รวมถึงลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นเครื่อง แสดงถึงเอกลักษณ์ประจำชาติพันธุ์

Focus

เน้นศึกษาประวัติ ชาติกำเนิด ขนบธรรมเนียม ตำนาน ลัทธิความเชื่อ การแต่งกาย ภาษา คำศัพท์เย้า รวมถึงรูปร่างลักษณะอันบ่งถึงเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชนเผ่าเย้า

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เย้า

Language and Linguistic Affiliations

ผู้วิจัยได้รวบรวมคำศัพท์เย้าไว้ ซึ่งอาจจัดเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้ 1) ธรรมชาติและปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ เรียกว่า "บ้วนฮอย" ฝน เรียกว่า "บหย่ง" ลม เรียกว่า "ย่าว" รุ้งกินน้ำ เรียกว่า "จูง" ดิน หรือ แผ่นดิน เรียกว่า "ดาว" ทะเล เรียกว่า "ด้อย" พระจันทร์ หรือ เดือน เรียกว่า "หา" ฟ้าแลบ เรียกว่า "บัวเหล่ง" หิน หรือ ก้อนหิน เรียกว่า "ละเป้ยแบ๋ง" น้ำ เรียกว่า "ฮวม" ดับไฟ เรียกว่า "เปี้ยมไต่" 2) ต้นไม้และพืชพันธุ์ธัญญาหาร เช่น ต้นไม้ เรียกว่า "แด๋ง" ป่า เรียกว่า "เก้ม" ดอกไม้ เรียกว่า "แด้งเปี้ยง" ใบไม้ เรียกว่า "แด้งหน้อม" ต้นกล้วย เรียกว่า "หน้อมจิว" ต้นพริกไทย เรียกว่า "ฮ่อจิวแด๋ง" ชา เรียกว่า "จ้าหน้อม" ต้นมะม่วง เรียกว่า "มะม่วงแด๋ง" ข้าวสาร เรียกว่า "เบี้ยวเม้ย" มัน เรียกว่า "ด้อย" เกี่ยวข้าว เรียกว่า "กะเบียว" ข้าวโพด เรียกว่า "เกี้ยมแหมะ" หัวหอม เรียกว่า "ชง" ยาเส้น หรือยาสูบ เรียกว่า "อี่นเบียะ" พริก เรียกว่า "ฝันจิว" ไร่ เรียกว่า "แหล่ง" 3) สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง เช่น เสือ เรียกว่า "ดะมาว" หมูป่า เรียกว่า "เหี้ยตุง" กวาง เรียกว่า "ใหญ้" หมี เรียกว่า "เกี๊ยบ" ลิง เรียกว่า "บิง" ช้าง เรียกว่า "จาง" โคตัวผู้ เรียกว่า "ย่าหง่งโกอ้อ" แพะ เรียกว่า "โหย้ง" แมว เรียกว่า "ม่อยล่ม" กระรอก เรียกว่า "บุ๊ม" กระทิง เรียกว่า "เหี้ยหงง" หมู เรียกว่า "ตง" 4) สัตว์ปีก สัตว์น้ำ และสัตว์เลื้อยคลาน เช่น นก เรียกว่า "เหนาะ" เป็ด เรียกว่า"อั๊บ" นกเขา เรียกว่า "เหนาะแปะ" ปู เรียกว่า "ยื่มกอย" งู เรียกว่า "นาง" หอย เรียกว่า "โกย" ปีกนก เรียกว่า "เหนาะด๊ะ" อีกา เรียกว่า "เหนาะจา" จิ้งจก เรียกว่า "ลำจิ้น" มด เรียกว่า "เย็ว" 5) คน สมาชิกครอบครัวและอวัยวะต่าง ๆ เช่น มนุษยชาติ เรียกว่า "เมี่ยน" คนแก่ เรียกว่า "เม่นโก๋เมียน" เด็กผู้หญิง เรียกว่า "เซียะตอน" เด็กผู้ชาย เรียกว่า "เม่นเกี่ยงตอน" เด็กเล็ก ๆ เรียกว่า "โก่งา" น้องสาว เรียกว่า "เอเยหมั่ว" พี่ชาย เรียกว่า "เอเยียก๋อ" พ่อ เรียกว่า "เตีย" แม่ เรียกว่า "มา" ตา เรียกว่า "มู่กู่" ตา เรียกว่า "อื้มจีง" แก้ม เรียกว่า "ก้ำปุย" ปาก เรียกว่า "หยุ้ย" ผม เรียกว่า "บะเป" หน้าผาก เรียกว่า "ปย่อง" คอ เรียกว่า "จาง" นิ้ว เรียกว่า "ป้าดุ๊" ท้อง เรียกว่า "กะเซีย" น้ำตา เรียกว่า "อ่วมม่วย" คนไทย เรียกว่า "ไทย" คนจีน เจ๊ก เรียกว่า "จีน" 6) วันเดือนปี ทิศต่าง ๆ และการนับเลข เช่น วัน เรียกว่า "รุ่งนอย" บ่าย เรียกว่า "ด้ำเมือนเจีย" เวลาใกล้รุ่ง เรียกว่า "รุ่งออแย่ง" เย็น เรียกว่า "รุ่งออมหวง" ปีหน้า เรียกว่า "หง้าหัง" เมื่อวานนี้ เรียกว่า อ่านฮอย" วันนี้ เรียกว่า "นีฮอย" ทิศเหนือ เรียกว่า " ป๊ะปุง" ทิศใต้ เรียกว่า "หน้ามปุง" ทิศตะวันออก เรียกว่า "ตงปุง" ทิศตะวันตก เรียกว่า "ไฟปุง"หนึ่ง เรียกว่า "เยี้ยด" ห้า เรียกว่า "เปีย" เก้า เรียกว่า "ดัว" สิบเก้า เรียกว่า "เจียบจั้ว" สองร้อย เรียกว่า "เยแป๊ะ" แสนหนึ่ง เรียกว่า "เยี้ยตม่าน" 7) คำกริยา เช่น ได้ยิน เรียกว่า "ใฮ" นั่ง เรียกว่า "เจวย" ไป เรียกว่า "มิ่ง" หิว เรียกว่า "อ๋วยแหย่น" ร้องไห้ เรียกว่า "เงี้ยม" ร้องเพลง เรียกว่า "เป๋ายุ่ง" หาว เรียกว่า "เข้าล่วย" ล้างหน้า เรียกว่า "หยาวเมียน" ตื่น เรียกว่า "เงี่ย" นอนหลับ เรียกว่า "ป๋วยหย้อม" หวีผม เรียกว่า "เจ๋มะเป" ไปถ่ายปัสสาวะ เรียกว่า "มิ่งปุ้งเยีย" 8) โรคต่างๆ เช่น โรคห่า เรียกว่า "ปุ๊ดกวน" โรคลงราก เรียกว่า "โล้เพีย" ตาบอด เรียกว่า "อื้มซิงแหม้ง" หูหนวก เรียกว่า "หน้อมโดง" ฝังคนตาย เรียกว่า "เบี๊ยจั้นไต่" ขากะเผลก เรียกว่า "เจ๋าหว่าย" ฝีดาษ เรียกว่า "ซดตุ๊บ" ฆ่า เรียกว่า "ต๋าย" เกิด เรียกว่า "ยุง" ตาย เรียกว่า "ไต่" 9) ประโยคต่างๆ เช่น ใครมา พูดว่า "หายเต้าต้าย" ท่านมาที่นี่ทำไม พูดว่า "เม่ยต้ายลอฮะหยุง" ฉันไปตลาด พูดว่า "เยียเม่ยเฮย" พรุ่งนี้ฉันไปในป่า พูดว่า "ยังฮสยเยียเม่งเก้ม" ท่านว่าอะไร พูดว่า "เหม้ยก๊องหายยุ่ง" เพราะฉันป่วย พูดว่า "เอียปุ๊ดแป๋ง" หญิงคนนั้น พูดว่า "อั้วเต้าแม่นซิเมี่ยน" บิดาของฉัน พูดว่า "อิเยเตีย" เขาทั้งหลาย พูดว่า "นิ่มบัวแม่นซ้ำ" (หน้าคำศัพท์ 1-14)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

เชื้อชาติเดิมของชนชาติเย้าอยู่ที่เมืองน่านจิน ประเทศจีน เมื่อเมืองถูกข้าศึกโจมตี พลเมืองอพยพหนีไปอยู่เมืองล่อขางฉวน ใกล้กับกวางตุ้ง ทำนาทำไร่อยู่บนเขาบนดอย เมื่อผู้คนมากขึ้นก็อพยพไปอยู่ที่เมืองกวางซี เมื่อที่ดินจืด เกิดฝนแล้งติดต่อกันทั้งยังถูกชนชาติอื่นแย่งที่ดินเพาะปลูก พวกเย้าทั้งบนดอยและที่ราบก็อพยพไปยังเมืองยูนนาน เมืองแผว และหลวงพระบาง ส่วนพวกที่ตกค้างเหลืออยู่ในที่เดิม ก็พากันอพยพไปอยู่บนดอยบนเขา นับแต่นั้นก็แยกย้าย กระจัดกระจายไปตามทำเลต่างๆ และได้อพยพกันเข้ามายังอาณาจักรสยามจวบจนถึงปัจจุบัน (หน้า 1)

Settlement Pattern

ชนเผ่าเย้าอยู่กันอย่างไม่เป็นหลักแหล่ง และมักย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ตามลักษณะการทำไร่ หากที่ดินดีเพาะปลูกได้ผลงอกงามก็ทำซ้ำในที่เดิม หรือหากย้ายไปอยู่ที่อื่นนาน ๆ หลายปีก็อาจกลับมาอยู่ในที่เดิมอีก (หน้า 2) เรือนปลูกเป็นทรงลิลา ไม่ยกพื้นใช้ดินเป็นพื้นเรือน ที่นอนยกเป็นร้านกว้างพอกับจำนวนคน หลังคามุงด้วยไผ่ผ่าซีก ฝาใช้ฟากขนาบไม้ กระดานใช้ไม้งิ้วผ่า เป็นกระดานถากหยาบ ๆ ด้วยมีดและขวาน ในเรือนก่อไฟทิ้งไว้จนห้องและข้าวของเครื่องใช้เต็มไปด้วยเขม่า มีครกกระเดื่องตำข้าวภายในเรือน (หน้า 3)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

การเกษตร เย้าปลูกข้าว ทำไร่ และปลูกผักตามไหล่เขา ไม่เคยทำนา พืชที่ปลูกเช่น ข้าว ข้าวโพด น้ำเต้า กระเทียม พริก ขิง ผักกาด มันเทศ ยาสูบ มันฝรั่ง ฟัก เป็นต้น มีการเลี้ยงสัตว์ อาทิ สุกร ไก่ และสุนัข (หน้า 5) การซื้อขายแลกเปลี่ยน เย้าใช้เงินตราและเบี้ยสตางค์อย่างเดียวกับชาวเขา ร้านค้าในตลาดก็ไม่มีมาตราชั่งตวงวัดเหมือนจีน (หน้า 5) การบริโภค เย้าบริโภคอาหารเช่นเดียวกับพวกฮ่อ ทั้ง ข้าว ปลา เนื้อ ผัก พริก เกลือ สำหรับสุรา นิยมรับประทานกันทั้งชายหญิงหลังพิธีเลี้ยงผี ฝิ่นนิยมสูบกันทุกคนโดยถือเป็นยาแก้โรคประเภทหนึ่ง ไม่รับประทานหมากพลู นิยมรับประทานอาหารด้วยตะเกียบ นิยมล่าสัตว์มารับประทาน เช่น เก้ง กวาง กระทิง หมูป่า เมื่อยิงได้ก็จะเชิญผีให้มากินเนื้อสัตว์นั้น พร้อมสวดขอพร มีพิธีซื้อขายสัตว์ต่อผีเพราะถือว่าสัตว์ทุกอย่างเป็นของผี การจับปลาใช้วิธีงมด้วยมือเปล่า ไม่มีอุปกรณ์ดักจับ (หน้า 4)

Social Organization

การรับบุตรบุญธรรมของเย้า การรับบุตรบุญธรรมเท่ากับซื้อขายกัน เมื่อผู้ที่ได้รับเด็กเอาเงินให้บิดามารดาตามราคาที่ตกลงก็ หมดความเกี่ยวข้องระหว่างบุตรและบิดามารดา การแต่งงานเท่ากับซื้อขายด้วยเช่นกัน เพราะผู้ปกครองฝ่ายหญิงจะเรียกค่าสินสอด อย่างต่ำ 50 รูเปีย อย่างสูง 300 รูเปีย โดยพิจารณาจากรูปร่างและการงาน ผู้ใหญ่จะเป็นฝ่ายพูดตกลงกันก่อน มีใช้การดูตำราโหราศาสตร์ประกอบกับความยินยอมพร้อมใจของสองฝ่าย เมื่อตกลงกันได้แล้วก็จะนัดส่งตัวฝ่ายหญิง ฝ่ายชายจะมีพิธีเลี้ยงผี และกล่าวขอพร จากนั้นจะมีการกินเลี้ยงและชำระเงินค่าตัวหญิงที่ค้างอยู่จนครบ หญิงนั้นจึงเป็นสิทธิ์แก่ชาย เมื่อได้เป็นสามีภรรยากันแล้วจะไม่ทิ้งกัน เพราะเชื่อว่าถ้าคู่ใด ทิ้งกันเป็นการผิดผี จะถูกลงโทษอย่างหนัก รวมถึงผู้คนที่อยู่ร่วมหมู่บ้านด้วย (หน้า 6)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ลัทธิความเชื่อของเย้า เย้านับถือผี และเซ่นไหว้ผี ถือว่าผีมีอำนาจให้ทั้งคุณหรือโทษ ทุกครัวเรือนมักมีหิ้งบูชา 3 หิ้ง คือ หิ้งพระอินทร์-พระพรหมที่ฝาหิ้งหนึ่ง หิ้งปู่ย่าตายายและหิ้งผีป่า ผีเมือง มีการตั้งเครื่องเซ่นปักธูปไหว้ เครื่องเซ่นบูชา มี ถ้วยข้าว ถ้วยกับ ถ้วยน้ำ ธูปหรือไม้หอม อาทิ จันทร์ขาว จันทร์เทศเผาถ่านแทนธูป พิธีแก้บน มีการกล่าวอัญเชิญผีและใช้ไม้เสี่ยงทาย เมื่อกล่าวคำจบแล้วทิ้งไม้เสี่ยงทายพร้อมกัน หากคว่ำทั้งคู่แสดงว่าผียังไม่มา ถ้าอันหนึ่งคว่ำอันหนึ่งหงาย ผีกำลังมา ถ้าหงายทั้งสองอันแสดงว่าผีมาแล้ว ก็จะลุกขึ้นยืนกล่าวคำสวดสำเนียงคล้ายเพลงจีน พร้อมเคารพด้วยการไหว้เจ้า แล้วเชิญผีมากินของแก้บน ขั้นตอนสุดท้ายคือการเผากระดาษเงินให้ผี (หน้า 9)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

เย้าไม่นิยมใช้ยา หรืออาจใช้น้อยที่สุด พบว่ามีการใช้ยาควินินและรากไม้บางชนิด แต่มักใช้ฝิ่นรักษาโรคต่างๆ โดยถือเป็นยาแก้โรคขนานหนึ่ง ไม่ว่าจะมีอาการเป็นไข้ ปวดหัวตัวร้อน ปวดท้องก็มักสูบยาฝิ่นแก้ แม้เมื่อทารกเจ็บป่วยก็ใช้ควันฝิ่นพ่น จนติดกันทั้งชายหญิง นอกจากนี้ การรักษายังใช้วิธีการตามความเชื่อเกี่ยวกับผี กล่าวคือ หากมีการเจ็บป่วยจะถามผีด้วยวิธีเสี่ยงทาย เพื่อสอบถามว่าเป็นเพราะผีทำหรือเกิดจากอาการของโรค โดยการใช้เชือกมัดเหล็กให้แกว่ง ทำถึง 3 ครั้ง หากเหล็กไม่แกว่งเลยจึงจะเชื่อว่าไม่ได้เกิดจากผีทำ หากผีทำก็จะอธิษฐานเพื่อสอบถามต่อ สุดท้ายก็บนบานศาลกล่าว เผากระดาษเงินให้ผี เมื่อหายจึงมีการแก้บน (หน้า 4, 8, 9) การคลอดบุตรและการเลี้ยงดูบุตร การคลอดบุตรของเย้า 3 วันแรกจะให้แม่ของเด็กนั่งกอดเข่านิ่ง ๆ ไม่ให้นอนจนกว่าจะพ้นสามวัน เพราะกลัวเลือดทำพิษ มีการอยู่ไฟ 1 เดือน และให้รับประทานเพียงไก่ต้มใส่เครื่องเทศ เมื่อเด็กคลอดจะเอารกใส่ตะกร้าแขวนทิ้งไว้ในป่า สำหรับการเลี้ยงบุตร แม่ของเด็กหรือคนเลี้ยงจะเอามัดเด็กติดหลัง ไม่ค่อยดูแลทะนุถนอมมากนัก เด็กไม่เคยนอนเบาะหรือเปลจะถูกแดดฝนก็ไม่อนาทรกันนัก เมื่อเด็กอายุเกิน 1 เดือนจะมีการโกนผมไว้จุก (หน้า 5-6)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

งานหัตถกรรมเย้า มีการตีเงิน ตีเหล็ก เผาปูน ย้อมผ้า ทำกระดาษ และเย็บปักถักร้อย ผู้หญิงมีฝีมือและชำนาญในการเย็บผ้า กระดาษที่ทำเป็นกระดาษไหว้เจ้าแบบจีน ทำไว้ใช้ไหว้ผี การย้อมผ้าใช้ใบครามย้อมดำ เย้ามีหนังสือแบบอ่านเขียนโดยกลับหน้าเป็นหลังเหมือนหนังสือจีน ส่วนงานศิลปกรรมต่าง ๆ อาทิ การปั้น แกะสลัก วาดเขียน การละเล่น ดนตรี ร้องรำทำเพลง ผู้วิจัยอ้างว่า "ไม่เป็นเลย" และ "ไต่สวนข้อนี้ไม่ได้ความ" (หน้า 5, 7) เครื่องแต่งกาย เย้าชายนุ่งกางเกงดำขลิบขาด้วยผ้าแดง ลักษณะคล้ายกางเกงเงี้ยว ใส่เสื้อกุยเฮงสีดำแขนเล็กคล้ายเสื้อจีน ขลิบขอบด้วยสีแดงและสีเหลือง พันศีรษะหรือใส่หมวกที่เย็บด้วยผ้าดำคล้ายรูปกะลา ผ้าพันศีรษะสีดำและสีแดง มีผ้าคาดเอวปักชายด้วยสีแดง สีเหลือง สีดำ สีเขียวสลับกัน ใส่กำไลเงินที่คอและข้อมือ เย้าหญิงใส่เสื้อตัวยาวถึงตาตุ่ม แหวกข้างถึงเอว คอเสื้อยะวาติดภู่ฝ้ายหรือไหมแดง ที่หน้าอกตรงสาบเสื้อติดแผ่นเงินสี่เหลี่ยมเรียงติด ๆ กันตั้งแต่คอจนถึงเอว ใช้ผ้าพันเอวสองผืนทั้งด้านในและด้านนอก ผืนในเสื้อเล็กและสั้น ติดภู่ไหมคล้ายภู่กระบี่เรียงกัน ห้อยไว้ด้านหน้า กางเกงปักเป็นดอกทำด้วยเงิน เจาะหูกว้างใส่วงเงินขนาดใหญ่ ใส่กำไลเงินตามฐานะ ทั้งหญิงและชายไม่ใส่รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องแต่งกายก็มักไม่สะอาดนัก (หน้า 3-4) การไว้ผม เย้าชายจะไว้ผมเปียแบบชาวจีนสมัยก่อน แต่ไม่ถักเปีย ส่วนเย้าหญิงไว้ผมเกล้ามวยสูงกลางศีรษะ กันผมจอนที่หู ผมติดกันเป็นแผ่นใช้ผ้าแดงบาง ๆ พันแล้วเอาผ้าผืนใหญ่สีดำหรือสีแดงพันทับอีกชั้น นิยมทาผมเป็นปึกด้วยขี้ผึ้งผสมดินหม้อ (หน้า 4)

Folklore

เย้ามีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับพี่น้องสิบสองคน ซึ่งเป็นบริวารของพระอินทร์ คอยทำหน้าที่ตรวจดูความประพฤติของมนุษย์และจดบัญชีความดีความชั่วไว้ เป็นที่สักการะของเย้าสืบมาจนปัจจุบัน เล่าว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งไม่มีบุตร วันหนึ่งภรรยาซึ่งร้องไห้เสียใจที่ถูกสามีว่ากล่าวเสียดสีเพราะอยากได้บุตร ไปพบชายชราผู้หนึ่งก็เล่าให้ฟัง ชายชราได้ส่งผลไม้ซึ่งมีกลีบ 12 กลีบให้ไปรับประทาน ต่อมาภรรยาตั้งครรภ์และได้คลอดบุตรเป็นแฝดชายถึง 12 คน พอคลอดออกมาก็พูดได้เดินได้ ครบ 7 วันก็เติบโตแข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ วันหนึ่งมีการเกณฑ์แรงงานให้ตัดเสาเพื่อทำปราสาทให้กษัตริย์ บิดาได้ส่งลูกชายคนแรกไป ปรากฏว่ากษัตริย์เป็นผู้ตรวจคัดเลือกเสาด้วยพระองค์เอง เสาของนายหนึ่ง (ลูกชายคนแรก) เป็นที่พอพระทัยมาก แต่พอให้นายช่างลงมือปลูกสร้าง ก็ไม่สามารถยกเสาต้นนั้นไหว พอปราสาทสร้างเสร็จมีการทำบุญ นายหนึ่งใช้ให้น้องคือนายสองเข้ามาดู เมืองเกิดล่ม นายสองรับสารภาพว่าตนเหยียบเมืองล่ม กษัตริย์สั่งให้จับจองจำไว้ ก็ไม่อยู่จึง สั่งให้เอาไฟเผา นายสองทูลขอกลับไปดูหน้าพ่อแม่ก่อนตาย พอกลับมาถึงเล่าให้พี่น้องฟังแล้วส่งนายสามไปแทน ปรากฏว่านายสามไม่ไหม้ไฟ กษัตริย์จึงให้เอาใส่หวดนึ่ง นายสามอ้อนวอนขอกลับบ้านกษัตริย์ก็อนุญาต นายสามจัดให้นายสี่เข้าไปแทน ทหารเอานายสี่ไปนึ่ง นายสี่ก็ไม่ตาย ต่อมาก็ให้นายห้าไปรับโทษแทน เป็นเช่นนี้ไปจนถึงนายหก กษัตริย์จึงยอมปล่อยตัวไป พี่น้องทั้งสิบสองต่อมาไปวิวาทและรบกับพระอินทร์ ครั้งแรกชนะแต่ต่อมาเมื่อแพ้พระอินทร์ ก็ยอมเป็นบริวารพระอินทร์ พระอินทร์จึงมอบหน้าที่ให้ดูแลมนุษย์ (หน้า 7-8)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เย้ามีรูปร่างลักษณะคล้ายชนชาติจีนฮ่อ รูปร่างค่อนข้างผอม หนวดเคราผมเผ้าและลูกนัยน์ตาสีค่อนไปทางเหลือง ผมไม่หยิกและไม่ดก สีฟันขาวแดง ไม่มีการสักเนื้อตัวหรือย้อมสีผิว นอกจากนี้ชื่อของเย้ายังมีคำนำหน้าว่า "เลา" เช่น เลาต๋า เลาซู เลาหลอ อัดลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชนเผ่าเย้า อาจสังเกตได้จากเครื่องแต่งกายและการไว้ผม (หน้า 1-2)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ศมน ศรีทับทิม Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG เย้า, ประวัติศาสตร์, ลัทธิขนบธรรมเนียม, ภาษา, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง