|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปะโอ,ลัวะ,ม้ง,การตั้งถิ่นฐาน,ครัวเรือน,อุดมการณ์ทางวัฒนธรรม,ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ |
Author |
Peter Kunstadter |
Title |
Cultural Ideals, Socioeconomic Change, and Household Composition: Karen, Lua', Hmong, and Thai in Northwestern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, ม้ง, ปะโอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
30 |
Year |
2527 |
Source |
East - West Center Honolulu, Hawaii |
Abstract |
งานนี้แสดงให้เห็นว่า แบบแผนการกระจายตัวขององค์ประกอบครัวเรือนในชุมชนต่าง ๆ ที่ต่างชาติพันธุ์กัน สอดคล้องกับอุดมการณ์ด้านวัฒนธรรม ในเรื่องของรูปแบบครัวเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ดังกล่าว เช่น ม้งกับกะเหรี่ยงมีอุดมการณ์เรื่องรูปแบบครัวเรือนต่างกัน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า การที่ชุมชนก้าวเข้าสู่ระบบแรงงานรับจ้างและตลาด จะทำให้ครัวเรือนเป็นแบบ ครอบครัวเดี่ยว เช่น กะเหรี่ยง และ ลัวะ ในเมือง (หน้า 327) |
|
Focus |
งานนี้สนใจวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในเรื่ององค์ประกอบ ของครัวเรือนในภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีชาติพันธุ์ที่หลากหลายอยู่ปะปนกัน อย่างเช่น หมู่บ้านกะเหรี่ยง หมู่บ้านลัวะ หมู่บ้านม้งผสมกับกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ในพื้นที่สูง และชุมชนบริเวณรอบตลาด ซึ่งประกอบด้วย คนไทย ภาคกลาง ไทใหญ่ อินเดีย จีนและปะโอ (Pao) (หน้า 300) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ศึกษาครอบคลุมหมู่บ้านชนเผ่าลัวะ กะเหรี่ยง หมู่บ้านที่มีหลายกลุ่มผสมกัน หมู่บ้านกะเหรี่ยงในพื้นที่ราบต่ำ กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายแถบชานเมืองบริเวณรอบแหล่งชุมชนเมือง มีทั้งไทยเหนือ ไทยภาคกลาง ฉาน อินเดีย จีน ปะโอ (หน้า 300) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่เก็บมา ในช่วงปลายปี ค.ศ.1960 และในปี ค.ศ.1980, 1981 (หน้า 300-301) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ก่อน ค.ศ.1960 พื้นที่ในการศึกษาโดยเฉพาะชุมชนบนพื้นที่สูง ตั้งอยู่เหนือระดับ 500 เมตร ซึ่งมีสภาพเป็นภูเขาสูง มีหมู่บ้านและชุมชนชาวเขาตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างโดดเดี่ยวกระจัดกระจาย แต่หลังจากปี 1960 เมื่อมีถนนตัดผ่าน ไฟฟ้าและสาธารณูปโภคเข้าถึงเพิ่มขึ้น การคมนาคมสะดวกขึ้น ชุมชนต่างๆ ก็มีการติดต่อกันมากขึ้น เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง และชุมชนชานเมือง มีการอพยพโยกย้ายของคนบนพื้นที่สูง อันเนื่องมาจากการจ้างแรงงานในพื้นที่ราบและโครงการก่อสร้างต่างๆ ทำให้คนบนพื้นที่สูงอพยพเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้าง เพื่อหารายได้เสริมในช่วงฤดูแล้งหรือนอกฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการตั้งถิ่นฐาน นอกจากนี้ยังมีการตั้งถิ่นฐานของผู้มาใหม่ เมื่อเกิดการขยายตัวของฝ่ายบริหารราชการ การขยายตัวด้านการค้าตามโครงการพัฒนารูปแบบต่างๆ ชุมชนเมืองซึ่งอยู่บริเวณกลางใจเมือง และอยู่รอบๆ ตลาด เป็นถิ่นที่อยู่ของกลุ่มพ่อค้า ข้าราชการและผู้ที่ทำงานกินเงินเดือน ส่วนชุมชนชานเมืองจะอยู่ชายขอบตลาดและตัวเมือง ซึ่งแต่เดิมมีรากฐานจากการเกษตรกรรม แต่ปัจจุบัน คนงานกินเงินเดือนและข้าราชการกลับเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแถบนี้เพิ่มขึ้น และเป็นที่รองรับผู้อพยพที่มาจากหมู่บ้านบนพื้นที่สูง ซึ่งเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้าง เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชากรในพื้นที่ต่ำรอบๆ เมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมีจำนวนมากกว่าคนบนพื้นที่สูง ทำให้เกิดการขาดแคลนที่อยู่อาศัย อีกทั้งที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้น อาจเป็นสาเหตุให้คนเมืองเริ่มอพยพออกไปตั้งถิ่นฐานแถบชานเมือง ซึ่งสามารถหาซื้อบ้านและที่ดินได้ง่ายกว่า ส่งผลให้เส้นแบ่งพรมแดนระหว่างชุมชนชานเมืองและชุมชนเมืองในรอบสิบปีที่ผ่านมาเริ่มขาดความชัดเจน (หน้า 302, 308-310) |
|
Demography |
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะความสามารถในการควบคุมโรคติดต่อและคุณภาพการรักษาพยาบาล และก็เริ่มมีการควบคุมภาวะเจริญพันธุ์ในเมืองด้วยการวางแผนครอบครัว แต่ในพื้นที่สูงอัตราการตายยังไม่ลดลง (หน้า 308) ในทศวรรษของ 1970 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว(หน้า 309) โดยเฉพาะในเมือง อันเนื่องจากการขนส่งและคมนาคม การขยายตัวของประชากรเริ่มมีมากขึ้น เพราะมีคนอพยพจากพื้นที่สูงและจากท้องถิ่นอื่นเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาแออัด จึงมีคนบางส่วนอพยพไปอยู่ตามแถบชานเมือง (หน้า 310) ซึ่งในอดีตมีระบบเศรษฐกิจที่อิงอยู่กับการเกษตร ทำให้พรมแดนระหว่างเมืองและชานเมืองขาดความชัดเจนลง (หน้า 302) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมของชุมชนบนพื้นที่สูง คือ การทำไร่ข้าวเพื่อยังชีพในพื้นที่ของชุมชน ชุมชนในพื้นที่ราบมีระบบเศรษฐกิจที่อิงอยู่กับการค้า ตลาดและการรับจ้าง (หน้า 302) ชุมชนที่ศึกษาซึ่งมีทั้งชุมชนกะเหรี่ยง ชุมชนลัวะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่สูงมีระบบเศรษฐกิจที่ผสมผสานระหว่างการทำไร่เพื่อยังชีพ การทำนาชลประทาน กับการรับจ้างแรงงานเป็นบางส่วน (หน้า 314-315) ส่วนที่ดินซึ่งชุมชนเคยจัดการร่วมกันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกบุคคล ในขณะที่สินค้าจากตลาดแม้แต่วัสดุก่อสร้างเริ่มเข้ามาเป็นที่นิยม หัตถกรรมต่าง ๆ ในครัวเรือนซึ่งเคยเป็นงานของผู้หญิง เริ่มหมดความสำคัญลง สำหรับม้งทำไร่ยังชีพด้วยการปลูกข้าว ข้าวโพด โดยมีฝิ่นเป็นพืชเงินสด (หน้า 315) |
|
Social Organization |
องค์ประกอบของครัวเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กะเหรี่ยง ครัวเรือนกะเหรี่ยงในอุดมคติประกอบด้วย คู่สมรส บุตรที่ยังไม่ได้แต่งงาน บุตรสาวคนสุดท้องที่แต่งงานแล้ว สามีและบุตร บุตรสาวคนโตและคนรองๆ ที่แต่งงานแล้ว ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ หรือสร้างครอบครัวใหม่เมื่อน้องสาวแต่งงาน พ่อหรือแม่ในยามวัยไม้ใกล้ฝั่งก็จะย้ายหรือแยกตัวไปอยู่ต่างหากในบ้านหลังเล็กๆ เพื่อไม่ให้วิญญาณต้องไปอยู่ปนกันในบ้านใหญ่เมื่อเสียชีวิตลง แต่การเคลื่อนย้ายนี้มิได้ทำให้เกิดหน่วยเศรษฐกิจครัวเรือนใหม่ เพราะคงอยู่กินกับครอบครัวบุตรหลานของตน ลูกชายที่แต่งงานแล้ว โดยปกติจะย้ายไปอยู่บ้านเจ้าสาว แต่บางโอกาสพวกเขาก็ยังลังเลใจที่จะไปอยู่ร่วมบ้านฝ่ายเจ้าสาว และจะนำภรรยากลับมาอยู่ที่หมู่บ้านของตนเอง (แม้ว่าจะไม่ร่วมครัวเรือนกับพ่อแม่ของตน) หากพ่อหรือแม่มีที่ดินไว้ให้ครอบครอง ครัวเรือนของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงเป็นหน่วยหนึ่งของการผลิตภาคเกษตรกรรม และแรงงานภาคครัวเรือนโดยปกติถือเป็นส่วนเสริมของการแลกเปลี่ยนแรงงานในหมู่เครือญาติและในหมู่เพื่อนบ้าน (หน้า 311) อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการสำรวจองค์ประกอบครัวเรือนในชุมชนกะเหรี่ยงต่างๆ ทั้งในพื้นที่สูงและพื้นที่ราบในปี ค.ศ.1968 พบว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่ประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยวแบบต่างๆ ครัวเรือนที่ประกอบด้วยครอบครัวขยายมีเป็นส่วนน้อย ซึ่งสมาชิกมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดข้างแม่ และการสำรวจในปี 1981 พบว่า ในแบบแผนนี้ยังคงเดิม เพียงแต่สัดส่วนครัวเรือนที่มีครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้นในชุมชนกะเหรี่ยงพื้นที่สูง แต่ลดลงในชุมชนกะเหรี่ยงพื้นที่ราบ (ตาราง 12.2) ม้ง หัวหน้าครัวเรือนม้งพยายามที่จะขยายขนาดครัวเรือนให้มากที่สุด โดยการขยายสายตระกูลข้างบิดาผ่านการให้บุตรชายสมรสนอกตระกูล โดยผ่านการสมรสเกินหนึ่งครั้งหรือมีภรรยาเกินหนึ่งคน ภาพอุดมคติครัวเรือนม้งประกอบด้วย หัวหน้าครอบครัว ภรรยา (ซึ่งอาจมากกว่าหนึ่งคน) บุตรซึ่งยังไม่ได้แต่งงาน ลูกชายซึ่งแต่งงานแล้ว ภรรยาของบุตรชายและลูกๆ รวมถึงหลานชายที่แต่งงานแล้ว พร้อมทั้งภรรยาและลูก ซึ่งต่างจากครอบครัวกะเหรี่ยงและครอบครัวลัวะ หัวหน้าครัวเรือนม้งพยายามที่จะรักษาการเพิ่มจำนวนรุ่นในครอบครัว หรือรักษาขนาดครัวเรือนแบบขยายด้วยการให้บุตรชายแต่งงานหลายครั้งเท่าที่จะเป็นไปได้ การแยกครอบครัวจะเกิดขึ้นหลังจากบิดาหรือหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตลง ผู้หญิงที่แต่งงานเข้าบ้านจะใช้นามสกุลร่วมกับสามี รวมถึงบุตรที่ตามมา จากการสำรวจครัวเรือนม้งในชุมชนผสมม้ง-กะเหรี่ยง แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของหัวหน้าครัวเรือนม้ง ในการจัดการครัวเรือนให้เป็นไปตามอุดมคติ กล่าวคือ ข้อมูลจากการสำรวจเมื่อปี 1981 พบว่า ครัวเรือนม้งมีครัวเรือนในรูปแบบของครอบครัวเดี่ยวเพียงร้อยละ 23.6 ส่วนครัวเรือนในรูปแบบของครอบครัวขยายมีสัดส่วนร้อยละ 76.5 (หน้า 315, ตาราง 12.3) ลัวะ ครัวเรือนในอุดมคติของลัวะ ประกอบด้วยคู่สมรส บุตรที่ยังไม่ได้สมรส ลูกชายคนสุดท้องที่แต่งงานแล้ว ภรรยาและบุตร ญาติสืบสายตระกูลที่อายุมากกว่ามักถูกคาดหวังว่าจะต้องแต่งงานก่อนญาติที่อายุน้อยกว่า บุตรชายที่แก่กว่าซึ่งแต่งงานแล้ว มักจะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่และตั้งครอบครัวใหม่ หลังจากน้องชายแต่งงานแล้ว อาจเกิดการละเมิดกฎการอยู่ร่วมกับญาติฝ่ายบิดาหลังแต่งงาน (ในความเป็นจริงก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง) เมื่อครอบครัวไม่มีบุตรชาย และเมื่อมีการรับบุตรบุญธรรมเข้ามาเป็น สมาชิกของครอบครัว (หน้า 314) ข้อมูลจากการสำรวจบ่งบอกว่า ในปี 1967 ครัวเรือนประมาณร้อยละ 52 เป็นครอบครัวเดี่ยว แต่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 63.6 ในปี 1980 (ตาราง 12.2) |
|
Belief System |
เมื่อสังคมเกษตรกรรมเปลี่ยนแปลง ทรัพยากรเริ่มขาดแคลน ชาวเขาหลายแห่งได้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ทำให้อำนาจผู้นำหมู่บ้านซึ่งนับถือผีตามระบบความเชื่อดั้งเดิมถูกสั่นคลอน และอ่อนแอลง (หน้า 310) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนเปิดถึงระดับชั้นประถมปีที่ 6 ในหมู่บ้านบนพื้นที่สูงหลายแห่ง และเด็กส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาชั้นต้น (แม้จะไม่ใช่ทุกครอบครัวเลือกที่จะส่งเด็กไปโรงเรียน) (หน้า 310) ในแถบพื้นที่สูง โรงเรียนรัฐบาลเปิดถึงระดับชั้นประถมปีที่ 4 (หน้า 309) |
|
Health and Medicine |
มีการควบคุมภาวะเจริญพันธุ์ เมื่อการแพทย์และการรักษาพยาบาลพัฒนาขึ้น โรคติดต่อหลัก ๆ อย่าง มาลาเรีย และไข้ทรพิษ สามารถควบคุมได้ มีการให้คำแนะนำเรื่องการวางแผนครอบครัวตั้งแต่ต้นยุค 1960 การวางแผนครอบครัวเมื่อปี 1970 เริ่มแพร่หลายสู่หมู่บ้านที่ราบต่ำในชนบท แต่ยังมีน้อยมากนักในพื้นที่สูง อัตราการตายยังคงสูงขึ้น สาเหตุหลักมาจากโรคติดเชื้อ แต่เริ่มลดต่ำลงในพื้นราบโดยเฉพาะในเขตตัวเมือง (หน้า 308) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ความแตกต่างด้านอุดมการณ์ทางวัฒนธรรมระหว่างการสร้างครอบครัวของม้งกับกะเหรี่ยงเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนมาก ภายในหมู่บ้านเดียวกัน แม้จะวางอยู่บนพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน แต่กลับปรากฏว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมกว่าทศวรรษ ได้ส่งผลกระทบต่อการสร้างครอบครัวของกะเหรี่ยงและลัวะในชุมชนเป็นอันดับรอง (หน้า 327) |
|
|