สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทยมุสลิม,วัฒนธรรม,การบริโภค,สตูล
Author ปราณี จันทศรี
Title วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวไทยมุสลิม อำเภอเมือง จังหวัดสตูล
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 190 Year 2547
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตร์มหาบันฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ
Abstract

ผู้วิจัยได้ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของไทยมุสลิม อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ทั้งในโอกาสปกติและโอกาสพิเศษ ในโอกาสปกติ ได้จำแนกตามวัย ในวัยทารก เน้นอาหารที่มีลักษณะเหลวละเอียด บริโภคง่าย การบริโภคอาหารในวัยเด็กและ วัยรุ่น เน้นการเลือกบริโภคตามที่ตนต้องการโดยออกไปบริโภคนอกบ้าน นิยมบริโภคอาหารจานเดียว การบริโภคอาหารในวัยผู้ใหญ่ ในวัยนี้ต้องการอาหารที่มีประโยชน์และให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะต้องทำงานหนัก และในวัยชรา ลักษณะอาหารต้องเป็นอาหารอ่อน สะดวกในการบริโภค ย่อยง่ายและช่วยในการขับถ่าย วัฒนธรรมการบริโภคในโอกาสพิเศษ จำแนกตามโอกาส ดังนี้ ในโอกาสเจ็บป่วย ต้องเป็นอาหารอ่อน รสชาติจืด ในโอกาสต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือน จะเหมือนกับการบริโภคอาหารในโอกาสปกติ เพียงแต่เพิ่มปริมาณ และอาจทำอาหารเป็นพิเศษ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานะ และความสำคัญของผู้มาเยือน การบริโภคอาหารในโอกาสประเพณีต่าง ๆ ต้องไม่เป็นอาหารต้องห้ามทางศาสนา ต้องเป็นอาหารที่สะอาด บริโภคหลังจากที่ทำพิธีเสร็จแล้ว และการบริโภคอาหารในโอกาสฉลองความสำเร็จหรือประสบโชค เป็นอาหารที่แตกต่างจากโอกาสปกติ ต้องปรุงด้วยเนื้อวัว และเนื้อแพะ ปรุงขึ้นใหม่บริโภคมื้อเดียวหลังจากเสร็จพิธีทางศาสนา (หน้า 243)

Focus

ศึกษาวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของไทยมุสลิมอำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ทั้งในโอกาสปกติโดยจำแนกตามวัย ได้แก่ วัยทารก วัยเด็กและวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยชรา และในโอกาสพิเศษ ได้แก่ เจ็บป่วย ต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือน ในประเพณีต่าง ๆ และในโอกาสฉลองความสำเร็จหรือประสบโชค (หน้า 6,7)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิม (บทนำ)

Language and Linguistic Affiliations

ประชากรในอำเภอเมืองสตูลส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ในชีวิตประจำวัน และยังใช้ภาษามลายูอยู่ในบางตำบล (หน้า 43)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ.2546 (หน้า 196)

History of the Group and Community

เมืองสตูลเดิมเคยเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองไทรบุรีหรือเคดาร์ (Kedah) เรียกว่า "มูเก็มสะโตย" (Mukim Setoi) มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยที่เมืองไทรบุรีเป็นของไทยยุคกรุงศรีอยุธยาผ่านมาจนถึงสมัยพระเจ้าตากสิน คนไทยในดินแดนนี้พูดภาษามลายูเป็นภาษาถิ่น นามเรียกขานของสถานที่ต่าง ๆ ในแถบทะเลอันดามัน จึงเป็นภาษามลายูแทบทั้งสิ้น คำว่า "สตูล" เพี้ยนมาจากภาษามลายูว่า "สะโตย" หมายถึง ต้นสะท้อน อาจเป็นเพราะว่าในตำบลหรือบ้านนี้มีต้นกระท้อนงอกงามโดยทั่วไป ชาวมลายูในประเทศเพื่อนบ้าน ยังเรียกสตูลว่า "สะโตย" หรือ "มูเก็มสะโตย" และเมื่อได้รับการยกฐานะเป็นเมืองในภายหลัง เรียกว่า "นัครีสะโตย" ต่อมาหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 เมืองนัครีสะโตยก็เปลี่ยนเป็นเมืองสตูลและเป็นอำเภอเมืองสตูลตลอดมา (หน้า 39)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

จังหวัดสตูลมีไทยมุสลิมอาศัยอยู่ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด (หน้า 4)

Economy

ผู้วิจัยได้สรุปเกี่ยวกับการผลิตว่า ประชากรในอำเภอเมือง จังหวัดสตูล ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยางพารา ทำสวนปาล์มน้ำมัน สวนผลไม้ ทำนา ปลูกพืชผัก ทำป่าไม้ ค้าขาย และการประมง (หน้า 5,43) และได้นำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริโภคดังนี้ วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในวัยทารก (หน้า 46-55) จะเป็นอาหารเหลวละเอียด ปรุงจนสุก ได้แก่ อาหารประเภทต้ม เป็นน้ำข้าว น้ำนมถั่วเหลือง ข้าวต้ม นมผง อาหารประเภทบด เป็นข้าวบดกับผัก ไข่และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ กล้วยน้ำว้าสุกบด ขนมกวน นมมารดา และผลไม้ การประกอบอาหารต้องคำนึงถึงความสะอาด เวลาในการบริโภค คือ เช้า กลางวัน เย็น อาหารที่บริโภคนั้นจะเป็นอาหารเสริมหลังจากทานนมแม่แล้ว ลักษณะการบริโภคอาหาร โดยการอุ้มให้นมแม่ ถ้าเลี้ยงโดยนมผงจะอุ้มใส่ตัก หรือให้นอนในที่นอนหรือในเปล วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในวัยเด็กและวัยรุ่น (หน้า 56-80) การบริโภคอาหารของเด็กและวัยรุ่น ผู้ปกครองจะไม่ค่อยพิถีพิถันมากนัก เพราะวัยเด็กและวัยรุ่นมีความรับผิดชอบในการเลือกบริโภคอาหารที่ตนต้องการ ส่วนใหญ่นิยมออกไปบริโภคนอกบ้าน ส่วนเด็กที่ไปโรงเรียนจะทานมื้อเช้าและเย็นที่บ้าน ทานมื้อเที่ยงที่โรงเรียน นอกจากนั้นก็จะเป็นอาหารระหว่างมื้อ ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือ จะออกทะเลหาปลา จะบริโภคตอนสาย บริโภคอีกครั้งตอน 14.00-15.00 น. ส่วนมื้อเย็นจะบริโภคอาหารพร้อมกันกับสมาชิกในครอบครัว อาหารคาวที่ทานมีทั้งต้ม ผัด ยำ แกง (อาหารประเภทแกงจะเป็นอาหารมุสลิมเป็นชื่อเป็นภาษามลายู ) อาหารประเภทเครื่องจิ้ม ทอด ย่าง อาหารจานเดียว อาหารหวานเป็นประเภทเชื่อม บวด ทอด ต้ม ฉาบ เครื่องดื่มเย็น เป็นน้ำแข็งหวาน ชาดำเย็น น้ำอัดลม และผลไม้ตามฤดูกาล วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในวัยผู้ใหญ่ (หน้า 80-105) ในช่วงอายุ 20-60 ปี ในวัยนี้ต้องใช้แรงงานในการทำงาน ด้วยอาชีพที่ต้องออกทะเล ทำให้ต้องรีบเร่ง การบริโภคเพียงเพื่อให้มีแรงประกอบอาชีพ และบริโภคไม่เป็นเวลา อาหารที่บริโภคเป็นประเภทเดียวกับเด็กและวัยรุ่น แต่จะมีอาหารพื้นบ้านและอาหารมลายูเพิ่มขึ้น โดยเป็นอาหารที่อิ่มนานและมีรสจัด มีอาหารหวานประเภทนึ่ง เช่น ขนมบูตู ทำจากแป้งข้าวเจ้า และเครื่องดื่มประเภทร้อน ได้แก่ โกปี้ (กาแฟร้อน) ชาร้อน เวลาในการบริโภคขึ้นอยู่กับการประกอบอาชีพ บางคนบริโภคครบ 3 มื้อ บางคนบริโภคเพียงมื้อเที่ยงและมื้อเย็น หรือมื้อค่ำ วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในวัยชรา (หน้า 105-113) วัยชรา อายุ 60 ปีขึ้นไป มีทั้งที่ยังช่วยเหลือตนเองได้ และบางคนต้องได้รับการดูแลจากบุตรหลาน ชาวบ้านวัยชราส่วนใหญ่จะอยู่กับบ้าน ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ การบริโภคจึงเป็นแบบง่าย ๆ ไม่คำนึงถึงคุณค่าอาหารและรสชาติมากนัก บริโภคอาหารประเภทต้ม ยำ แกง โดยเน้นอาหารรสไม่จัด เปื่อย และนุ่ม เน้นบริโภคเนื้อปลามากกว่าเนื้อสัตว์อื่น ๆ บริโภคอาหารหวานประเภทแกงบวด เชื่อม ต้ม ทอด ผัก ผลไม้ และเครื่องดื่ม บริโภคครบ 3 มื้อ วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในโอกาสเจ็บป่วย (หน้า 114-125) อาหารที่ทำให้ผู้ป่วยบริโภคเป็นอาหารรสไม่เผ็ด บริโภคง่าย บริโภคอาหารต้มที่เป็นอาหารทะเล และผัก มีอาหารประเภทยำ แกง อาหารจานเดียว เครื่องจิ้ม อาหารทอด ย่าง อาหารหวานที่นิยมทำให้ผู้ป่วย เป็นถั่วเขียวต้ม เครื่องดื่มร้อน และผลไม้ตามฤดูกาล ผู้ป่วยต้องบริโภค 3 มื้อ ตรงเวลา เพราะต้องทานยา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในโอกาสต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยียน (หน้า 126-134) ไทยมุสลิมนิยมมาเยี่ยมเยียนเมื่อมีการเกิด การเจ็บ การตาย หรือในโอกาสที่มีเทศกาลต่าง ๆ ผู้มาเยี่ยมเยียนส่วนมากเป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน แต่เจ้าของบ้านต้องต้อนรับอย่างดีด้วยอาหารต่าง ๆ เช่น ปลาหมึกต้มน้ำตาล ต้มพุงวัว ผัดปู ยำวุ้นเส้น แกงเขียวหวาน น้ำพริกมะม่วง ปลาทอด น้ำแข็งหวาน น้ำอัดลม และผลไม้ อาหารที่ใช้เลี้ยงอาจเป็นอาหารชนิดเดียวกับที่บริโภคในชีวิตประจำวัน แต่เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นให้เพียงพอกับผู้มาเยี่ยมเยียน

Social Organization

การแต่งงานของไทยมุสลิม ในการเลือกคู่ครองและการแต่งงานของไทยมุสลิมต้องเป็นไปตามศาสนบัญญัติ โดยมุสลิมจะต้องแต่งงานกับมุสลิมด้วยกันเท่านั้น แต่ในกรณีแต่งงานกับคนนอกศาสนาจะต้องให้นับถือศาสนาอิสลามเสียก่อน เพื่อเป็นการวางรากฐานการนับถือศาสนาอิสลามให้กับลูก (หน้า 136)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ศาสนาอิสลาม (บทนำ) ความเชื่อเกี่ยวกับการบริโภคอาหารของไทยมุสลิม อำเภอเมือง จังหวัดสตูล วัยทารก (หน้า 56) สิ่งที่เด็กควรรับประทาน ได้แก่ กล้วย น้ำส้มคั้น แป้งข้าวโพดกวน จะทำให้ขับถ่ายสะดวก นมแม่ที่จะให้ทานเป็นอาหารหลักจนถึง 4 เดือน จากนั้นจะให้ทานข้าวบด และผัก การป้อนอาหารต้องป้อนด้วยมือขวา และมีข้อห้ามต่าง ๆ เช่น ห้ามทานปลาจะทำให้เป็นพยาธิ ทานอาหารหวานก่อนอาหารคาวจะทำให้ปวดท้อง ห้ามป้อนอาหารด้วยมือซ้ายจะเกิดอัปมงคล บริโภคเนื้อสัตว์จะทำให้เกิดโรค บริโภคผลไม้ในตอนเช้าจะทำให้ปวดท้อง วัยเด็กและวัยรุ่น (หน้า 78-80) ห้ามบริโภคอาหารรสเผ็ดเกินไปจะทำให้ตาเสีย ทานอาหารที่มีรสเค็มช่วยไม่ให้เป็นโรคคอพอก อาหารหวานห้ามบริโภคก่อนอาหารคาวในตอนเช้าจะทำให้ปวดท้อง บริโภคผลไม้ก่อนอาหารเช้าจะทำให้ปวดท้อง เครื่องดื่มที่ผสมน้ำแข็ง เด็กทานแล้วฟันเสีย ผู้ใหญ่มักจะคอยเตือนให้เด็กและวัยรุ่นทานให้ตรงเวลาและครบทุกมื้อ และไม่ให้ใช้มือซ้ายตักอาหาร ถือเป็นสิ่งอัปมงคล วัยผู้ใหญ่ (หน้า 104-105) ไม่นำเนื้อสัตว์ที่ตายเอง นอกจากอาหารทะเลมาประกอบอาหารเพราะผิดหลักศาสนา อิสลาม ไม่นำเนื้อสัตว์ที่ศาสนบัญญัติห้ามบริโภคมาประกอบอาหารและอาหารต้องสะอาดด้วยการล้างน้ำผ่าน หญิงหลังคลอด ห้ามบริโภคขนุน แตงโม มะมุด จำปาดะ สับปะรด มะละกอสุก ลางสาด จะทำให้ไม่สบายถึงเสียชีวิต ห้ามบริโภคแตงกวา บวบ ฟักทอง ฟักเขียว ผักกาดดอง จะทำให้คางแข็ง อาหารสำหรับคนท้องต้องรสไม่จัด คนเป็นริดสีดวงทวาร และหญิงมดลูกอักเสบห้ามบริโภคหน่อไม้ มื้อเช้านิยมบริโภคเครื่องดื่มเพื่อไม่ให้ท้องว่าง ไม่บริโภคผลไม้มื้อเช้าก่อนอาหาร วัยชรา (หน้า 112-113) วัยชราที่เป็นโรคปวดตามข้อ ห้ามทานหน่อไม้ เนื้อไก่พันธุ์ ประกอบอาหารตามบัญญัติศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ผู้เจ็บป่วย (หน้า 124-125) ไม่ทานอาหารที่แสลงกับโรค การบริโภคข้าวต้มจะทำให้อาการทุเลาและหายในที่สุด ห้ามบริโภคข้าวหมากจะทำให้วิงเวียนศีรษะ ห้ามบริโภคปลาที่มีเงี่ยง ห้ามบริโภคข้าวเหนียวและหอยจะทำให้เย็นในร่างกาย ห้ามบริโภคปลาดุก ปลากระเบน ทำให้อาการกำเริบ ห้ามบริโภคแกงที่มีส่วนผสมของหน่อไม้ ห้ามผู้ป่วยที่เป็นแผลบริโภคเนื้อไก่ ทำให้แผลหายช้า ให้ทานอาหารหวานช่วยบำรุงร่างกาย ยกเว้นข้าวเหนียว ขนุน ทุเรียน เงาะ ลางสาด มะมุด แตงโม แตงกวา บวบ ฟักเขียว ฟักทอง ทำให้เย็นในร่างกาย ทุเรียนทำให้ร้อนใน ให้ทานอาหารและน้ำที่ร้อนและอุ่น ต้องเตรียมอาหารแยกสำหรับผู้ป่วยและให้ผู้ป่วยบริโภคคนเดียว และใช้ช้อนกลางตักอาหาร ผู้มาเยี่ยมเยือน (หน้า133-134) เจ้าบ้านจะไม่นำอาหารที่ไม่ดีให้ผู้มาเยี่ยมเยือนบริโภค มีความเชื่อว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรี เป็นสิ่งอัปมงคลต่อตนเองและครอบครัว อาหารทุกอย่างจะต้องใหม่ไม่ผ่านการบริโภคมาก่อน เจ้าบ้านจะชวนให้ผู้มาเยี่ยมเยือนบริโภคอาหารก่อนเสมอ อย่างน้อย 1 มื้อ ก่อนกลับ ในโอกาสประเพณีต่าง ๆ (หน้า 165-171) อาหารต้องทำให้ถูกต้องตามบัญญัติศาสนา เจ้าภาพต้องนำสัตว์มาเชือดเอง ผู้เชือดและผู้ปรุงต้องเป็นมุสลิมเท่านั้น ไม่นิยมอาหารจากการถนอมอาหาร เชื่อว่าเป็นอาหารที่ไม่ดี เชื่อว่านำเนื้อแพะมาประกอบอาหารจะได้บุญมาก รองลงมาเป็นวัว ไม่นำปลามาประกอบอาหาร เพราะเป็นอาหารที่บริโภคในชีวิตประจำวัน อาหารที่นำไปทำบุญต้องแยกไว้ต่างหาก ไม่นำอาหารที่ผ่านการบริโภคไปทำบุญ อาหารที่ใช้ในพิธีจะไม่แจกให้แขกที่นับถือศาสนาอื่น ผู้หญิงและเด็กจะไม่บริโภคร่วมกับผู้ชาย ไม่ยืนหรือเดินบริโภคเพราะผิดหลักศาสนา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในโอกาสประเพณีต่าง ๆ (หน้า 134-171) วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในโอกาสประเพณีต่าง ๆ ไทยมุสลิมอำเภอเมืองสตูล ยังยึดถือการสืบทอดวัฒนธรรมจากบรรพบุรุษถือปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาหารนั้นต้องขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละครอบครัว -เมื่อเด็กแรกเกิด จะทำพิธีอะซาน (พูดกรอกที่หูข้างขวา) กอมัต (พูดกรอกที่หูข้างซ้าย) แล้วเคี้ยวอินทผลัมนำน้ำหวานจากอินทผลัมมาป้อนให้เด็ก เชือดไก่ 2 ตัว สำหรับประกอบอาหาร 1 ตัวและให้หมอทำคลอด 1 ตัว และรับประทานอาหารร่วมกัน -พิธีโกนผมไฟ ตั้งชื่อ และพิธีเชือดสัตว์ (อะกีกะห์) ทำเมื่อเด็กอายุครบ 7 วัน สำหรับพิธีเชือดสัตว์ ทำเฉพาะบุคคลและผู้มีความสามารถเท่านั้น ทำบุญเพื่อหวังผลในโลกหน้า สัตว์ที่ใช้ อาจเป็น วัว ควาย แพะ แกะ ต้องมีอายุ 2 ปีขึ้นไป หรือต้องผลัดฟันก่อนและเป็นสัตว์ไม่พิการ ทำอาหารเลี้ยงผู้รู้ ญาติมิตร เพื่อนฝูง มีการสวดขอพร เพื่อระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า -ประเพณีแต่งงาน หลังจากประกอบพิธีแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิงบอกกล่าวเชิญชวนญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงให้กินเหนียว ก่อนแขกจะกลับยังแจกข้าวเหนียวให้คนละห่อ -ประเพณีงานศพ ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง อาหารการกินจึงประกอบขึ้นอย่างง่าย ๆ หลังจากฝังศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว -พิธีเข้าสุนัต จัดให้กับบุตรชายที่มีอายุ 8-15 ปี มีการจัดเลี้ยงอาหารตามฐานะ มีข้าวสุก 1 หม้อ แกงและขนมหวานอย่างละ 1 หม้อ -วันตรุษหรือวันฮารีรายอ เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยมุสลิม มีการเลี้ยงฉลองและประกอบกิจกรรม 7 วัน ละหมาดในตอนเช้า ไปเยี่ยมกุโบร์ (สุสาน) ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ โดยนำอาหารคาว หวานไปเลี้ยงด้วย มีการเชือด อูฐ วัว ควาย แพะ แกะ นำเนื้อมาแจกเป็นอาหารแก่พี่น้องมุสลิม -วันเมาลิด จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงศาสดามูฮำหมัดในวันประสูติ ตรงกับวันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ผู้มีฐานะดีจะทำบุญที่บ้าน ทำอาหาร 2-3 อย่าง โดยเชิญผู้นำศาสนานำสวดขอพรพระเจ้าที่บ้าน และร่วมบริโภคอาหาร และมีการทำบุญรวมกันที่มัสยิด -ประเพณีการถือศีลอด จัดขึ้นในเดือนรอมฎอนหรือเดือนที่เก้าของปีนับตามปฏิทินของอิสลาม การถือศีลอด คือ การละเว้นการกิน การดื่ม การเสพย์สุขทางเพศตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เป็นเวลา 1 เดือน อาหารมื้อแรกประกอบอาหารในเวลา 03.00 น. มื้อที่สองเริ่มในเวลา 16.30-18.00 น. อาหารที่ใช้บริโภคในประเพณี ส่วนใหญ่เหมือนกับที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน อาหารที่เพิ่มขึ้นมา เช่น แกงกุรม่า แกงคั่วใหญ่ ไก่กอและ ขนมรังต้อ (ขนมดอกจอก) ขนมแนหรำ ขนมดอกจันทร์ วัฒนธรรมการบริโภคอาหารในโอกาสฉลองความสำเร็จหรือประสบโชค (หน้า 171-179) ไทยมุสลิมไม่เชื่อเรื่องโชคลาภ แต่เชื่อในผลการกระทำของพระผู้เป็นเจ้าที่บันดาลให้มีความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ถ้าปฏิบัติดี ไม่ขัดต่อคำสอนของศาสนา จึงมีการทำบุญเลี้ยงฉลอง เชิญผู้นำศาสนาไปทำพิธีทางศาสนาและร่วมบริโภคอาหาร โดยเน้นทำอาหารคาวด้วยเนื้อวัวและเนื้อแพะ จะบริโภคในตอนเที่ยงหลังทำพิธีทางศาสนาเสร็จ ความเชื่อในการประกอบและบริโภคอาหารในโอกาสฉลองความสำเร็จหรือประสบโชคมีลักษณะเช่นเดียวกับความเชื่อในโอกาสประเพณีต่าง ๆ

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ผู้เจ็บป่วยไทยมุสลิมอำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล ส่วนใหญ่ได้รับการรักษาอย่างดีจากแพทย์ เนื่องจากรัฐบาลให้สวัสดิการด้านการรักษาหลายรูปแบบ ชาวบ้านจึงนิยมไปรักษาที่โรงพยาบาล นอกจากเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือในระยะพักฟื้นที่ต้องรักษาอยู่กับบ้าน (หน้า 114)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

วัฒนธรรมการบริโภคอาหารเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ อาหารของไทยมุสลิมเป็นเอกลักษณ์ที่สอดคล้องและผสมผสานอยู่กับความเชื่อและบทบัญญัติทางศาสนาอิสลาม เช่น ก่อนบริโภคอาหารต้องกล่าวนามพระผู้เป็นเจ้าก่อน การบริโภคเนื้อสัตว์ต้องฆ่าโดยชาวมุสลิมเท่านั้น ถ้ามีการเชือดแพะจะเป็นมงคลแก่ชีวิต เพราะแพะเป็นอาหารที่ประเสริฐ เป็นที่ยอมรับของพระผู้เป็นเจ้า ห้ามบริโภคอาหารด้วยมือซ้าย จะเห็นได้ว่าไทยมุสลิมมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า บทบัญญัติ และหลักคำสอนในศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก ซึ่งได้ส่งผลถึงพฤติกรรมและการกระทำในทุกด้านของการดำรงชีวิต รวมทั้งในด้านอาหารที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมการบริโภคอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทยมุสลิม (หน้า 187)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่อำเภอเมืองสตูล (หน้า 241)

Text Analyst ขนิษฐา อลังกรณ์ Date of Report 02 พ.ย. 2549
TAG ไทยมุสลิม, วัฒนธรรม, การบริโภค, สตูล, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง