|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ผ้าทอ,ลำพูน |
Author |
วจินตน์ วังแจ่ม |
Title |
ผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูน |
Document Type |
อื่นๆ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
39 |
Year |
2543 |
Source |
รายงานประกอบวิชา Folk art and handicraft สาขาการออกแบบ |
Abstract |
การศึกษาเรื่องผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูน ได้กล่าวถึงความเป็นมา การอพยพ และการตั้งถิ่นฐานของกะเหรี่ยง วิถีชีวิต และการแต่งกายของกะเหรี่ยง ที่แยกกันอย่างชัดเจนระหว่างหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งจะใส่ชุดคลุมสีขาว ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้ว จะใส่เสื้อพื้นสีแดง ดำ หรือน้ำเงิน และมีลวดลายงดงาม ส่วนผู้ชายนั้นจะใส่เสื้อและกางเกงที่มีลักษณะเดียวกันตั้งแต่เด็กจนแต่งงาน การทอผ้าเป็นหน้าที่เฉพาะของผู้หญิงที่จะต้องทอให้กับสามีและลูกด้วย การทอผ้ายังแสดงถึงฝีมือ และความประณีต รวมทั้งเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว การศึกษานี้ ยังได้บอกถึงกระบวนการและขั้นตอนการทอผ้าจากปุยฝ้าย จนกระทั่งเป็นผืนผ้า ตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้าซิ่น กางเกง และการตกแต่งลวดลายอย่างสวยงาม |
|
Focus |
กระบวนการและขั้นตอนที่ทำให้เกิดเป็นผืนผ้าของกะเหรี่ยงบ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูน |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโปว์ บ้านป่าเลา อ.แม่ทา จ.ลำพูน (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงนับว่ามีถิ่นกำเนิดเมื่อ 739 ปีก่อนคริสตกาล แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่ ณ ที่ใด มีตำนานเล่ากันมาว่า ถิ่นกำเนิดของกะเหรี่ยง คือ "ธิบิ-โกวบิ" บางคนสันนิษฐานว่าคงหมายถึง ธิเบตและทะเลทรายโกบี กะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในพม่า และเริ่มเคลื่อนข้ามแม่น้ำสาละวิน มาสู่ดินแดนไทยในคริสตวรรษที่ 18 (ราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์) สาเหตุที่กะเหรี่ยงมีถิ่นฐานอยู่ระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า เนื่องจากสองประเทศนี้ต่างก็ยกทัพไปรุกเขตแดนกัน กะเหรี่ยงจึงถูกต้อนเป็นเชลยให้จัดข้าวปลาอาหารเสบียงให้กองทัพ และต้องทำหน้าที่นำทางให้กับกองทัพ ต่อมาจึงเข้ามาตั้งถิ่นฐานในลานนาไทยแถบแม่สะเรียงถึงเชียงใหม่ ซึ่งเดิมเป็นที่อยู่ของลัวะ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ กล่าวว่า เดิมกะเหรี่ยงอยู่ทางด้านตะวันออกของธิเบต แล้วเข้ามาตั้งอาณาจักรอยู่ในประเทศจีน ภายหลังถูกรุกรานจึงหนีมาอยู่ตามลำน้ำแยงซี มาปะทะกับชนชาติไทย จึงถอยร่นมาอยู่ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวินในเขตประเทศพม่า เนื่องจากการอยู่ตามพื้นที่ราบมักถูกรบกวนจึงอพยพเข้าสู่ป่าลึกและภูเขา (หน้า 1-2) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงจะปลูกพืชไร่แบบผสมผสาน เพาะปลูกตามเชิงเขาที่มีความลาดเอียงและเป็นดินตะกอนที่ไหลมาจากยอดเขา หน้าดินมีความอุดมสมบูรณ์ โดยทำไร่ในที่หนึ่ง 1-2 ปี แล้วจึงย้ายไปที่ใหม่ ปล่อยไร่เก่าให้มีต้นไม้ขึ้นจนมีความอุดมสมบูรณ์ใน 4-5 ปี แล้วจึงกลับมาทำไร่ที่เดิมอีก พืชที่ปลูกมีฝ้ายพันธุ์พื้นเมืองที่ใช้สำหรับทอผ้าด้วย (หน้า 17) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยง มีการแบ่งงานกันตามเพศ โดยผู้ชายจะเข้าป่าเพื่อหาของป่ามาเป็นอาหารและนำออกไปขายให้กับคนพื้นราบและ ออกไปรับจ้างนอกหมู่บ้าน ส่วนหญิงกะเหรี่ยง หลังฤดูเก็บเกี่ยวจะอยู่กับบ้านดูแลลูก และใช้เวลาตลอดทั้งวันทอผ้าสำหรับ ทุกคนในครอบครัว (หน้า 4) การทอผ้ายังบอกถึงลักษณะนิสัยของผู้หญิง ฝ่ายชายพิจารณาฝ่ายหญิง โดยดูจากเครื่องแต่งกาย หากผ้าที่ทอใส่ ละเอียด ประณีต ผู้ชายจะอยากได้มาเป็นภรรยา เพราะผ้าที่ทอใส่อย่างปราณีต จะเป็นหน้าเป็นตา เวลาเข้าสังคม (หน้า 25-26) |
|
Political Organization |
กะเหรี่ยงที่อาศัยในจังหวัดลำพูน มีการปกครองกันเองในหมู่บ้าน โดยมีผู้นำเรียกว่า ลีโข่ นอกจากเป็นผู้นำหมู่บ้านแล้วยังเป็นผู้สื่อสารกับดินและน้ำ ซึ่งเป็นผู้คุ้มครองที่สูงสุดเพื่อให้การคุ้มครองคนในหมู่บ้านและบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารสมบูรณ์ (หน้า 4 ) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กะเหรี่ยงมีการแต่งกายที่ต่างกันไปตามแบบแผน ได้แก่ -ผู้หญิงกะเหรี่ยงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จะใส่ชุดคลุมสีขาว ทรงกระสอบทอจากฝ้ายพื้นขาว ทอหรือปักลวดลายให้สวยงาม เช่น ทอลายขวางสีแดงทอเป็นตะเข็บหรืออาจมีสีน้ำเงินและเหลืองตกแต่งอยู่บ้างเล็กน้อย โดยใส่ชุดแบบนี้ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กจนโต เป็นสาว -ผ้าคลุมศีรษะ ตามประเพณี หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะไว้ผมยาวเกล้าจุกบนกระหม่อม ออกเรือนแล้วจึงเปลี่ยนมาเกล้าไว้ที่ท้ายทอย ผ้าคลุมมี 2 แบบ คือ เป็นผ้าคาดสีแดงหรือขาว หรือเป็นสีแดงมีชายครุย อีกแบบหนึ่งเป็นผ้าสี่เหลี่ยมจตุรัสสีแดง หรือสีชมพู ขนาดประมาณ 1 ตารางเมตร พันชายด้านหนึ่งรอบศีรษะแล้วปล่อยให้ชายอีกด้านหนึ่งห้อยสยายคลุมไหล่ เด็ก สาว ๆ นิยมใช้ผ้าคาดผมปักลูกปัดสีใสประดับพู่ ปัจจุบันกะเหรี่ยงไม่นิยมใช้ผ้าคลุมศีรษะ เพียงแต่ไว้มวย หรือเพียงใช้ผ้าสี ขาวคลุม -ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อและผ้านุ่งแยกชิ้นกัน ก่อนแต่งงานเจ้าสาวต้องเตรียมเสื้อผ้าใส่ในงานแต่งงานทั้งของตัวเองและสามี เสื้อของผู้หญิงที่บ้านป่าเลา นิยมทอยกดอก ตัวเสื้อส่วนบนเป็นผ้าสีดำหรือน้ำเงิน ทอยกดอกสีแดงหรือสีอื่นแทรกในส่วนช่วงล่างคือใต้ราวนมลงมา ตัวผ้านุ่ง นิยมใช้สีแดง ใช้การมัดหมี่ (นิไค) เป็นลายตามแนวขวาง มีลายสีเหลืองเล็ก ๆ ทั่วไป ทอผ้าเป็น 2 ชิ้นแล้วนำมาสอยติดกัน -เสื้อผู้ชาย จะใส่แบบเดียวตั้งแต่เด็กจนแต่งงาน เป็นเสื้อทรงกระสอบยาวถึงสะโพก ตัวเสื้อเป็นผ้าพื้นสีขาวทอด้วยด้ายสีแดง สอดด้ายทิ้งชายทำเป็นพู่ บริเวณท้องคอ ท้องแขน เอว และชายเสื้อ กางเกงคล้ายสะโหร่งหรือกางเกงสะดอของภาคเหนือ สีน้ำเงินหรือสีดำ ไม่มีลวดลาย เมื่อตายเสื้อผ้าทุกชิ้นจะถูกฉีกและเผาไปพร้อมคนตาย (หน้า 4-8) ขั้นตอนการทอผ้า นำปุยฝ้ายที่สุกเต็มที่มาตากแดดให้แห้งสนิท จากนั้นแยกปุยกับเมล็ดด้วยเครื่องหีบ ตีปุยฝ้ายให้ฟู แล้วนำมาปั่นเป็นเส้นด้าย ย้อมสีเส้นด้าย โดยสีดำได้จากผลมะเกลือ สีน้ำเงินจากใบฮ่อมและใบคราม สีแดงและม่วง ได้จากเถาไม้ฝาง หรือสีแดงจากเปลือกไม้ประดู่ ทั้ง 3 สีนี้เป็นสีพื้นของกะเหรี่ยง สีแสด ได้จากเถานมวัว สีเขียว จากใบสมอพิเภก สีชมพู ได้จากเปลือกต้น ปุย สีเหลือง ได้จากขมิ้นและใบสมอ สีชมพูอมส้ม ได้จากเปลือกไม้แพ่ง สีน้ำตาล ได้จากฝักต้นหนามจ๋อย สีน้ำตาลออก เหลือง ได้จากเปลือกไม้เป๋ย หรือต้นตะแบก สีแดงอมส้ม ได้จากรากโค๊ะ เมื่อย้อมสีแล้วตากให้แห้งสนิท ก่อนนำไปทอต้อง นำไปนวดกับข้าวจ้าวต้มสุก เพื่อให้ฝ้ายมีความเข็ง เหนียว ไม่ขาดง่าย ดังนั้นเมื่อทอเสร็จแล้วจะนำไปใช้ต้องซักให้มีความอ่อน ตัว การทอ เริ่มจากขึงเส้นยืน ทำตะกอหรือเก็บเขา เป็นการกำหนดลาย หรือทำลวดลายด้วยการมัดหมี่ ประกอบไม้และทอตามขวาง ที่เรียกเส้นขัด หรือเส้นพุ่ง กระทุ้งให้แน่นและเริ่มแถวใหม่เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนได้ลายตามต้องการ ลวดลายบนชุดของผู้หญิงรวบรวมได้ทั้งหมด 17 ลาย ตัวอย่างเช่น ลายเหลิงแคซาคลิ (ลายเม็ดฟัก) ลายทะเมขว้าง (ลายขอบตา) ลายเซซาพอ (ลายดอกหมาก) ลายเช้งถูเป้งด้าย (ลายผีเสื้อ) ลายทุโน๊ะ (ลายปีกนก) เป็นต้น ลายทั้ง 17 ลายล้วนแต่เป็นลวดลายที่เลียนแบบมาจากสิ่งที่อยู่ในธรรมขาติ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการทอพิเศษ ที่เรียกว่า ลายไม้ขนาดต่าง ๆ มักใช้ทอบนเสื้อหญิงที่แต่งงานแล้ว และทอเป็นชุดพิเศษ 1-2 ชุด สำหรับใส่ในงานสำคัญของหมู่บ้าน เมื่อทอเสร็จจะนำมาเย็บเป็นเสื้อ ผ้าซิ่น และกางเกง ติดพู่ห้อย ตกแต่งด้วยเม็ดเดือย เลือกเม็ดเดือยที่มีลักษณะเรียวยาว โดยกะเหรี่ยงจะปลูกต้นเดือยไว้ในบ้าน (หน้า 17-39) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงที่เห็นได้ชัดเจน คือ การแต่งกาย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งในเรื่องสี ลวดลาย รูปทรง และการตกแต่ง และการทอผ้าของกะเหรี่ยงยังคงมีการปฏิบัติสืบต่อกันมา ทั้งนี้เพราะ ผ้า อันเป็นวัสดุที่นำมาทำเครื่องนุ่งห่มนั้นมีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และการทอผ้าของผู้หญิงยังแสดงถึงฝีมือ และความประณีต รวมทั้งเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว กิจกรรมการทอผ้าที่ทอกันเป็นกลุ่มยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในชุมชน (หน้า 14,25) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|