|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เย้า,ผู้หญิง,เพศสภาพ,ครอบครัว,ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ,ภาคเหนือ |
Author |
วิสุทธิ์ เหล็กสมบูรณ์ |
Title |
พลวัตของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ในชีวิตครอบครัว และบทบาททางเพศสภาพของผู้หญิงอิวเมี่ยน (เย้า) ภายใต้ผลกระทบของการพัฒนา |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อิ้วเมี่ยน เมี่ยน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
276 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ศึกษาความสัมพันธ์ทางบทบาทของคนในครอบครัว และสังคมของผู้หญิงอิวเมี่ยน (เย้า) โดยผ่านการศึกษาจากผู้ร่วมวิจัยหลักและเป็นกรณีศึกษาหลักที่เป็นผู้หญิงอิวเมี่ยนและ เป็นคนรักของผู้เขียนงานวิจัย รวมทั้งเครือญาติที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มาขายน้ำเต้าหู้ในตลาดเมืองเชียงใหม่ว่ามีความสัมพันธ์เชิงการใช้อำนาจในเครือญาติอย่างไร ในงานวิจัยได้แบ่งชีวิตของผู้ร่วมวิจัยออกเป็นสามส่วนตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งอยู่ในวัยเรียน ชีวิตก่อนตัดสินใจมาอยู่กับคนรัก (ผู้เขียนงานวิจัย) และหลังจากมาอยู่กับคนรัก เพื่อสะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้ร่วมวิจัยที่พบเจอจากบุคคลใกล้ชิดเพื่อนร่วมงานรวมทั้งคนรักและทัศนคติที่ได้พบเห็นจากคนพื้นราบและชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่ผู้หญิงอิวเมี่ยนได้รับ |
|
Focus |
ศึกษากระบวนการสร้างและปรับเปลี่ยนบทบาททางเพศสภาพ (Gender Roles) ของผู้หญิงอิวเมี่ยนหรือเย้า โดยใช้แนวการศึกษาแบบมานุษยวิทยาสตรีนิยม (Feminist Anthropoogy) และสตรีนิยมสาขาต่างๆ รวมกันสร้างเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามในการวิจัยการสร้างกรอบคิดและการวิเคราะห์อธิบายโดยผู้เป็นกรณีศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยแบบเพื่อนร่วมวิจัย(Collaborative approach) ศึกษาความ สัมพันธ์ระหว่างบทบาททางเพศสภาพ (Gender Roles) ของผู้หญิงกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในครอบครัว และเครือญาติในบริบทของการพัฒนา เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยุทธวิธีปรับตัวของผู้หญิง ต่อการจัดการปัญหาชีวิตครอบครัว ภายใต้กระแสความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมที่ยากจะหลีกเลี่ยง ในการทำวิจัย ผู้เขียนนำเสนอชีวิตของผู้ร่วมวิจัย ซึ่งมีชื่อสมมุติว่า "ผึ้ง" เป็นตัวเอกในงานวิจัย โดยผู้เขียนแบ่งการวิเคราะห์งานศึกษาชีวิตครอบครัวของหญิงที่เป็นกรณีศึกษา และผู้ร่วมวิจัย ออกเป็น 3 ช่วง ช่วงที่ 1 ตั้งแต่เกิดจนก่อนจะมาอยู่กับคนรัก (พ.ศ. 2524-2541) ช่วงที่ 2 ช่วงที่มาอยู่กับคนรักโดยเปิดเผย (พ.ศ. 2542) ช่วงที่ 3 หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับคนรัก (พ.ศ. 2542-2544) ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ สะท้อนภาพความสัมพันธ์เชิงอำนาจในชีวิตครอบครัว มองเห็นอำนาจของโครงสร้างสังคมที่ซ่อนความ ไม่ยุติธรรม ที่กระทำต่อปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะผู้หญิง และกระตุ้นแวดวงวิชาการให้วิพากษ์วัฒนธรรมอันจะปูทางไปสู่การสร้างองค์ความรู้ ที่มีพื้นฐานมาจากสังคมชาวเขา และคนไทย ช่วยให้สังคมเข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลงเครือญาติและครอบครัวโดยเฉพาะผู้หญิงที่พบปัญหาชีวิต และหาแนวทางการอยู่ร่วมกับครอบครัวและเครือญาติได้อย่างมีความสุข โดยเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ ของกันและกัน (หน้า จ, 6,57-60, 238-245) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอิวเมี่ยน (เย้า) ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียด แต่ระบุว่าภาษาเขียนยืมตัวอักษรมาจากภาษาจีน แต่ออกเสียงเป็นภาษาอิวเมี่ยน ในหมู่บ้านมีครูสอนภาษาจีนประจำหมู่บ้าน (หน้า 67,119,148,149) |
|
Study Period (Data Collection) |
กลางปี พ.ศ. 2543 (หน้า 68) |
|
History of the Group and Community |
อิวเมี่ยนหรือเย้า เมื่อก่อนตั้งรกรากอยู่ในตอนกลาง ประเทศจีน แล้วเริ่มอพยพจากมณฑลฮูหนาน ช่วงสมัยราชวงศ์ฉินฮั่น ไปทางทิตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่มณฑลกวางตุ้ง กุ้ยโจว กวางสี ยูนนาน ส่วนหนึ่งย้ายมาทางภาคเหนือของเวียดนาม ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-16 ต่อมาได้อพยพเข้าลาว พม่าและภาคเหนือของไทย สาเหตุการย้ายถิ่นฐานมาจาก การทำไร่หมุนเวียนต้องใช้พื้นที่มาก ถูกรังแกจากชนชั้นที่ปกครองประเทศ ภัยจากธรรมชาติ และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ (หน้า 65, 66) |
|
Demography |
จากการสำรวจประชากรอิวเมี่ยน (เย้า) เมื่อ พ.ศ. 2533 มีประชากรจำนวน 36,000 คน อาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ อาทิเช่น เชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง กำแพงเพชร สุโขทัย เชียงใหม่ ตาก เพชรบูรณ์ ส่วนประชากรอิวเมี่ยนในเมืองเชียงใหม่ มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเป็นผู้หญิง วัย 20-50 ปี มากที่สุด รองลงมาเป็นวัยรุ่น และเด็กหญิง อายุต่ำกว่า 19 ปี กลุ่มต่อมาเป็นผู้ชายวัยผู้ใหญ่ อายุ 20-50 ปี และผู้ชายวัยรุ่น และเด็กชาย อายุน้อยกว่า 19 ปี นอกจากนี้ก็จะมีผู้หญิงอายุประมาณ 51 ปีขึ้นไป เริ่มเข้ามาอยู่กับญาติที่เปิดร้านในตัวเมืองเชียงใหม่แต่ยังมีไม่มาก กลุ่มประชากรศึกษาในงานวิจัยเป็นเครือญาติกัน จำนวน 5 คน เปิดร้านจำนวน 4 ร้าน อยู่ในตลาดและอีก 2 ร้านเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง (หน้า 65,69,70, 72) |
|
Economy |
ก่อนมีอาชีพขายน้ำเต้าหู้ อาชีพดั้งเดิมเมื่อครั้งอยู่ในหมู่บ้านบนดอย ก่อนจะมาอยู่ในเมืองจะทำอาชีพเกษตรกรรมแบบยังชีพ (Subsistence agriculture) ทำเกษตรแบบโค่นเผาป่า (Swidden) กับการปลูกพืชแบบผสม เช่น ปลูกข้าวนา ข้าวโพด ฝิ่น พืชอื่นที่ปลูกได้แก่ ถั่วลิสง ฝ้าย ขิง ทำการเกษตรที่ต้องใช้น้ำฝน (Rainfed agriculture) ทำงานโดยใช้แรงงานในครอบครัว ช่วยกันลงแขกทำงาน และจ้างแรงงาน ครอบครัวของผึ้ง ผู้ร่วมวิจัยเมื่อยังเด็กค่อนข้างมีฐานะเพราะตอนเป็นเด็กพ่อไปทำงานต่างประเทศ ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ ส่งเงินมาที่บ้านปู่จะเป็นคนดูแลซื้อโรงสีข้าวและย้ายจากที่ราบ ขึ้นไปบุกเบิกที่ดินทำกินบนดอย ที่บ้านเป็นครอบครัวเดียวที่มีเครื่องปั่นไฟใช้ในสมัยนั้น ชาวบ้านมีวิทยุฟังในหมู่บ้านหลายครอบครัว แต่มีโทรทัศน์ เพียงเครื่องเดียวที่บ้านพ่อหลวง เป็นโทรทัศน์ขาวดำ เวลาดูต้องชาร์ตไฟกับแบตเตอร์รี่ คนที่มาดูจะต้องเสียค่าดูคนละ 1 บาท ผู้ชมโดยมากจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่จะมาดูเป็นบางครั้ง โดยอ้างความเป็นญาติพี่น้องจึงไม่เสียค่าดูโทรทัศน์ ส่วนเด็กๆ ที่ไม่มีเงิน จะแอบดูตามรูแตกของฝาผนังห้อง อิวเมี่ยน (เย้า) มาขายน้ำเต้าหู้ที่ตลาดบูรพา อ.เมืองเชียงใหม่ เมื่อประมาณ 9-10 ปี ที่แล้ว ต่อมามีอิวเมี่ยนมาขายสินค้าอื่นๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว และเป็นลูกจ้างตามร้านค้า ร้านขายน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ของอิวเมี่ยน มี 4 ร้าน เป็นญาติกัน และร้านก๋วยเตี๋ยวอีก 2 ร้าน เป็นอิวเมี่ยนเหมือนกันแต่ไม่ใช่ญาติ งานอื่นๆ ที่ อิวเมี่ยนทำ เช่น เป็นนายหน้าซื้อขาย รถเข็น ตู้โชว์อาหาร รับผ้าปักอิวเมี่ยน ในหมู่บ้าน มาขายในเมือง รับสอนทำเครื่องเงิน เป็นพนักงานเสริฟ ทำสวนป่า ทำแนวกันไฟ เลี้ยงเด็ก ก่อนมาเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2539 เคยทำงาน เช่น ทำไร่เลื่อนลอย จนรัฐบาลประกาศปิดป่าจึงต้องหยุดทำ ต่อมาปลูกฝ้าย ที่ อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร มีรายได้ต่อปี 3-5 หมื่นบาทต่อปี(ปี 2528) และในปี 2530 มาทำเหมืองแร่ ที่ จ.ลพบุรี ผู้ชายจะทำงานคุมเครื่องจักร ผู้หญิงขุดหน้าดินและจะมาช่วยคุมเครื่องจักรเป็นบางครั้ง เงินเดือน 2-3 พันบาท ทำงานในโรงานเย็บผ้า โรงงานพลาสติก ที่ จ.นครปฐม (เงินเดือน 3,500 บาท) เปิดร้านขายของชำ ที่ถ้ำกระบอก จ.สระบุรี ขายของชำที่ตลาดสินค้าเกษตร ทำงานบ้าน ที่ กทม. และสมุทรปราการ (หน้า 70-79,83,85,86,88,90-93, 95, 99, 106, 108, 132, 143, 145161-163,169-170,204) ทำงานร้านน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ร้านอิวเมี่ยน มีทั้งหมด 4 ร้าน เป็นญาติพี่น้องกันและเป็นผู้หญิงทั้งหมด เปิดขายที่ตลาดบูรพา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ส่วน "ผึ้ง" ผู้เป็นกรณีศึกษาหลัก และเป็นผู้ร่วมทำวิจัยมาทำงานที่ร้านขายน้ำเต้าหู้กับญาติ เมื่อ พ.ศ. 2541 ช่วยงานในร้านหลายอย่างที่เปิดขายตั้งแต่ตอนเช้า และตอนกลางคืนจนถึงตีสอง การทำงานเป็นแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนกับการทำงานในไร่บนดอย การทำงานไม่ค่อยเคร่งครัดมากนัก ถ้าไม่สบายก็พักผ่อนได้หรือหากในหมู่บ้านมีงานบุญ งานแต่งงานหรืองานอื่นๆ ก็ลากลับไปช่วยงานที่หมู่บ้านบนดอยได้ การที่มาอยู่ด้วยกันกับญาติก็เพราะเชื่อว่า ถ้าทำธุรกิจด้วยกันจะมีความเสี่ยงต่อการถูกโกงน้อยกว่าคนอื่น อยู่ด้วยกันด้วยระบบอาวุโส เงินที่หามาได้จะส่งไปเจือจุนพ่อแม่และน้องที่อยู่บนดอย (หน้า105,172,176, 211-213, 229, 233, 244) |
|
Social Organization |
ยังอยู่แบบช่วยเหลือเกื้อกูลกันและมีความยืดหยุ่นอยู่มาก เช่น อิวเมี่ยน ที่มาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ยังติดต่อและช่วยเหลือญาติพี่น้องที่อยู่บนดอย เช่น ส่งเงินไปช่วยทางบ้าน ซื้อของใช้ในบ้านให้ เช่น เตียง โทรทัศน์ เสื้อผ้า หรือกลับไปเยี่ยมบ้าน เวลามีงาน เช่น งานแต่งงาน งานศพ ปีใหม่ ส่วนคนที่อยู่ในเมือง ก็จะช่วยหางานและทำเลค้าขายให้แก่ญาติพี่น้องที่จะมาทำงานหรือเปิดร้านในเมืองเชียงใหม่ สังคมอิวเมี่ยน ผู้ชายจะเป็นผู้นำทั้งในเมืองและอยู่บ้านบนดอย ผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว และผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่นงานบวช งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น อิวเมี่ยนบนดอย ทำอาชีพเกษตรกรรม แต่ส่วนมากไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สถานะทางสังคม ชายหญิงยังไม่มีความเท่าเทียมกัน ที่ดินทำกินผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะเป็นคนดูแล ส่วนผู้หญิงจะได้รับสิทธิ์ในการใช้ที่ดินดังกล่าว แต่ยังอยู่ในความดูแลของผู้ชาย ในอดีตผู้หญิงจะทำงานบ้านและเลี้ยงลูก คนชราจะมาช่วยเป็นบางครั้ง สำหรับงานใช้แรง เช่น งานในไร่ ทำสวน ตัดไม้ จะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ในบางครอบครัวลูกผู้หญิงกับลูกชาย ก็ช่วยทั้งงานบ้าน และ งานในไร่ แล้วแต่โอกาส การสั่งสอนลูก พ่อแม่จะสอนลูกสาวไม่ให้ออกจากบ้านในตอนกลางคืนเพราะอันตราย ส่วนเด็กชายจะห้ามเล่นการพนัน และสูบบุหรี่ ถ้าใครไม่เชื่อฟังก็จะตีลงโทษแต่พ่อแม่อิวเมี่ยนจะไม่ตีลูกหากไม่ทำความผิดอะไรมากมาย จะเพียงว่ากล่าวตักเตือนลูกเท่านั้น ในครอบครัวอิวเมี่ยน หากภรรยา มีลูกไม่ได้ก็จะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม หรือที่เรียกว่าลูกอุ้ม (Adoption) โดยมากจะรับเด็กผู้ชายมาเลี้ยง แต่บางคนก็ไม่ยึดติดว่าจะเป็นชาย หรือหญิงขอเพียงให้เป็นเด็กด้อยโอกาส เด็กที่นำมาเลี้ยงเป็นลูก จะเป็นคนเชื้อชาติใดก็ได้ เช่น ม้ง อาข่า ขมุ ลาว หรือไทย คนที่รับเด็กมาเลี้ยงจะจ่ายเงินให้พ่อแม่ที่ให้กำเนิดเด็กเป็นค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งและค่าที่ต้องออกจากผี (Spirit) ของครอบครัว มาอยู่ในความดูแลของผีโคตรตระกูล (Clan spirits) การรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกอุ้ม คนที่รับเด็กมาจะดูชาติกำเนิดของเพื่อตัดสินใจว่า พ่อแม่ของเด็กนั้นเป็นคนดีหรือไม่ (หน้า จ,ฉ ,8, 10,14,21, 22, 63-65 73, 75, 79, 80, 82, 84,85, 89, 98,106,115,120,141-147,188,195,198,199, 207, 213 , 221, 224, 232, 234 , 239-243, 245, 246, 249) การแบ่งมรดก พ่อแม่จะแบ่งมรดก(ที่ดิน)ให้ลูก โดยมีเงื่อนไขคือลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่ จะได้มรดกมากกว่าลูกคนอื่นๆ แต่โดยมากจะเป็นลูกคนโต เพราะมีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ และ น้องๆ แต่ถ้าหากพ่อแม่รักลูกไม่เท่าเทียมกัน ก็จะแบ่งมรดกให้กับลูกที่รักมากที่สุดถ้าลูกคนโตยากจนก็จะไปอยู่กับลูกคนรองและจะมอบมรดกให้ลูกคนนี้มากที่สุด เพราะการตัดสินใจเรื่องมรดกเป็นแนวจารีตประเพณี การตัดสินใจอยู่ที่พ่อกับแม่ทั้งนี้การรับมรดกคนที่มีสิทธิ์รับมรดกจะเป็นลูกผู้ชายลูกผู้หญิงไม่มีสิทธิ์รับตามประเพณี (หน้า 77,82) ประเพณีการแต่งงาน และเลือกคู่ครอง การแต่งงานมีงานแต่งใหญ่ (โจ่ว ต้ม ชิง จ้า) คือผู้ชายจะเป็นคนจ่ายสินสอดทองหมั้นแก่ฝ่ายเจ้าสาว และเป็นฝ่ายจัดงานแต่งงาน การเลือกเจ้าสาว พ่อแม่ของฝ่ายชายจะดูความขยันของฝ่ายหญิง ผู้หญิงจะมีฐานะยากจนหรือร่ำรวยก็ไม่สำคัญ เพราะจะดูที่ความประพฤติ ส่วนค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน ฝ่ายชายจะเป็นคนดูแล งานแต่งเล็ก (โจ่ว ล่าง เจีย ปง) จะทำหากฝ่ายชายฐานะไม่ดี โดยฝ่ายชายจะไปติดต่อญาติฝ่ายหญิงให้ไปทาบทามสู่ขอลูกสาวที่เป็นลูกโทน เพื่อฝ่ายชายจะไม่ต้องเสียค่าสินสอด ในการแต่งงานฝ่ายหญิงจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ส่วนฝ่ายชายเมื่อแต่งงานแล้วก็จะมาอยู่กับฝ่ายหญิง และช่วยทำงานต่างๆ การดูฤกษ์ยามแต่งงาน หมอผีจะดูวันเดือนปีเกิดถ้าเป็นวันที่ไม่ถูกโฉลกกันเข้ากันไม่ได้ ก็จะห้ามแต่งงานกัน ยกเว้นกรณีที่หญิงชายมีลูกด้วยกัน (หน้า 77, 81, 87, 166-168,173-175) ความมีอิสระในการเลือกคู่ครอง สังคมอิวเมี่ยนหนุ่มสาวจะเลือกคู่ได้อย่างเสรี ถ้ารักกันวัยรุ่นจะจีบกันเวลาทำงานในไร่ หรือไปพูดคุยด้วยตอนนั่งปั่นฝ้ายเมื่อกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีประเพณีเที่ยวสาวหรือหย่าวเซี๊ยะจะให้โอกาสคนหนุ่มเข้าไปห้องนอนหาหญิงสาวได้ถ้าผู้หญิงเต็มใจ หนุ่มสาวสามารถมีอะไรกันได้ จนกว่าจะมีหนุ่มคนใดมาบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิงว่ารักหรือต้องการแต่งงานกับลูกสาว ถ้าบอกแล้วก็มาอยู่กับผู้หญิงได้ แม้ว่าไม่ได้หมั้นหมายกัน ผู้หญิงต้องเลิกการไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น หากผู้หญิงตั้งครรภ์แล้วผู้ชายไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อเด็ก ผู้ชายต้องเสียเงินให้พ่อแม่ผู้หญิง เป็นค่าเปิดปากเด็กเพราะถ้าไม่ทำเด็กจะเป็นใบ้ ส่วนผู้หญิงอิวเมี่ยน ถ้าไปอยู่กินกับผู้ชาย โดยไม่ได้ทำตามประเพณี โดยให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมาพูดจาตกลงกันก่อนจะมาอยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา จะไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากสังคมอิวเมี่ยน และถูกตำหนิจากคนในสังคมเดิม (หน้า 22, 74, 165, 166,174,187,188, 226) |
|
Political Organization |
สังคมเมืองเชียงใหม่ เมื่อก่อนเชียงใหม่ อยู่ในการปกครองของอาณาจักรล้านนา ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เกิดขึ้นมาแบบระบบรัฐส่วยและการตลาด อาณาจักรดำรงอยู่ได้เพราะเครือข่ายด้านการค้า และให้สิทธิชุมชนท้องถิ่นเป็นอิสระจากอำนาจรัฐ การเมืองการปกครองก่อนที่ชาติตะวันตกและจักรวรรดินิยมสยาม จะเข้ามามีบทบาทในล้านนา ประกอบกับการที่ล้านนาให้อิสระแก่ท้องถิ่นและยอมรับความหลากหลายของชาติพันธุ์ ได้ส่งผลดีต่อการค้าและแลกเปลี่ยน (หน้า 134,135) การปกครองอย่างเป็นทางการ มีพ่อหลวงเป็นผู้นำ มีหน้าที่คอยดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน และตัดสินคดีหากเกิดเรื่องในหมู่บ้านเช่น การข่มขืน จะมีการเรียกพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายมาคุยกันว่า จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ถ้าทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ อาจจะให้แต่งงานกัน หรือหากไม่แต่งงานก็จะปรับเงิน แต่ถ้าทำผิดเพียงลวนลามร่างกาย ไม่ถึงกับได้เสียกันก็จะปรับเงิน กรณีทะเลาะกัน คนผิดจะต้องเสียเงินเป็นค่าทำขวัญ ให้กับคู่กรณี (หน้า 81,87) |
|
Belief System |
ความเชื่อเรื่องการมีครู ผู้หญิงขึ้นหลังคาสูงค้ำหัวคนแก่ นั้นไม่ดี แม่ของผู้วิจัยเป็นหมอดูและเชื่อว่ามีครูคุ้มครองได้ใช้ให้ผู้ร่วมวิจัยหลักที่เป็นลูกสะใภ้ทำความสะอาดแท๊งค์น้ำ แต่พอลูกสะใภ้ขึ้นหลังคาก็ไม่พอใจ บอกว่าผู้หญิงขึ้นหลังคาไม่ดี สูงค้ำหัวเพราะมีครูและรู้สึกปวดหัว (หน้า 182,223) |
|
Education and Socialization |
ลูกหลานอิวเมี่ยนที่อยูในเมืองปัจจุบันมีโอกาสได้เรียนสูงกว่าในอดีต สถานศึกษาที่ไปเรียน เช่น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ริม จ.เชียงใหม่ ผู้ร่วมวิจัยหลักเรียน ม.6 กศน. แม่ริม และต่อมาเรียนต่อคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ตอนขายน้ำเต้าหู้ก็เรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย นอกจากนี้ยังมีอิวเมี่ยนที่มีโอกาสได้เรียนในระดับปริญญาโทที่กรุงเทพ และพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี ในหมู่บ้านเดิมของอิวเมี่ยน เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ยังไม่มีโรงเรียนเปิดสอนในหมู่บ้าน แต่จะมีครูหรืออิวเมี่ยนในหมู่บ้านสอนภาษาจีน เด็กชายจะได้เรียนหนังสือ แต่เด็กหญิงจะไม่ได้เรียน เพราะถือว่าเมื่อโตต่อไป จะต้องแต่งงานมีครอบครัว ส่วนเด็กชายจะต้องเรียนเพราะจะต้องรู้หนังสือ เพราะต้องประกอบพิธีต่างๆ การศึกษาภาคบังคับมีในหมู่บ้านอิวเมี่ยนเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา เมื่อเรียนจบก็จะมาเรียนต่อในเมือง กรณีอิวเมี่ยนที่เคยอยู่ต่างจังหวัด ก่อนที่จะมาขายของในเมืองเชียงใหม่ ก็เคยได้รับการศึกษาในที่ต่างๆ เช่น โรงเรียนสงเคราะห์จังหวัดตาก โรงเรียนประถมศึกษา ของ สปช. และผู้ร่วมวิจัยหลักเคยเรียนที่โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา อ.เมือง จ.เชียงราย ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำ มีนักเรียนเชื้อชาติต่างๆ เช่น กะเหรี่ยง ม้ง มูเซอ อิวเมี่ยน (เย้า) อาข่า และคนไทยพื้นราบโดยได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษา จากโครงการช่วยเหลือเด็กยากจนของญี่ปุ่น โดยจะช่วยเหลือเด็กยากจนโดยออกทุนการศึกษาให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนจ่ายค่าเทอมปีละ 1 พันบาท (หน้า 72,74-76, 78, 80, 83, 84, 94, 95, 100, 130, 102, 145,148-158,169,183-185,198-203, 218, 224, 248) |
|
Health and Medicine |
คนแก่ในหมู่บ้านอิวเมี่ยนทั้งชายและหญิงจะชอบสูบฝิ่น เว้นแต่คนที่เป็นหมอผี ทำพิธีต่างๆ พ่อแม่จะห้ามลูกชายสูบบุหรี่ ถ้าไม่เชื่อจะถูกตีมือเพราะเชื่อว่าจะทำให้เด็กฉลาด ถ้าเขกหรือตีศีรษะ เด็กจะสมองไม่ดี เรียนไม่เก่ง (หน้า 80,86) โรคหรือความเจ็บป่วยที่กล่าวถึงในงานวิจัยที่ผู้เป็นกรณีศึกษาเป็นขณะทำงาน เช่นโรคนิ่วในไต แมลงต่อยขาเป็นฝีจนเป็นหนอง (หน้า 85,88) การตั้งครรภ์ หนุ่มสาวอิวเมี่ยน (เย้า) สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ก่อนแต่งงาน หรือจนกว่าจะเจอคนที่รักหรือต้องการแต่งงานด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะพิสูจน์ว่าหญิงไม่ได้เป็นหมัน ดังนั้นจึงมีผู้หญิงท้องก่อนแต่งหรือบางครั้งก็จัดงานแต่งานหลังจากมีลูกแล้ว (หน้า 165,166,175) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผ้าปักอิวเมี่ยนที่แม่ค้าอิวเมี่ยนในเมืองรับมาขาย แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องผ้า งานอื่น เช่น การทำเครื่องเงิน ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเช่นกัน (หน้า 73) เครื่องแต่งกายผู้หญิงอิวเมี่ยน เสื้อสีดำติดไหมพรมสีแดงขนาดใหญ่ โพกศีรษะด้วยผ้า กางเกงเป็นลายปักสวยงาม นักเรียน โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา ประกอบด้วยนักเรียนชาวเขาหลายเชื้อชาติ และคนไทยพื้นราบ จะแต่งชุดประจำเผ่าของตนเองสัปดาห์ละวัน (หน้า 138,158) |
|
Folklore |
เด็กชาย และเด็กหญิงในหมู่บ้าน จะมีการละเล่นตามประสาเด็กๆ เช่น เด็กผู้หญิงเล่นไม้คีบกระโดด เล่นแต่งงานเป็นเจ้าบ่าว เจ้าสาว เล่นขายของ ทำกับข้าว เด็กผู้ชาย จะเล่นไม้คีบกระโดด ม้าหมุน ไล่จับกัน แข่งปีนต้นไม้ ส่วนการละเล่นที่เล่นด้วยกันก็มี หมากเก็บ งูกินหาง มอญซ่อนผ้า กระโดดหนัง ม้ากระโดด เด็กชายกับเด็กหญิงจะเล่นด้วยกัน แต่ไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวกัน และพูดสุภาพ ไม่หยาบคายหรือทะเลาะกันเอง (หน้า 80, 84, 86,150,126,196,198) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ของอิวเมี่ยน กับชาวเขาเผ่าอื่น เช่น ลีซู อาข่า ล่าหู้ ม้ง และคนเมือง ตอนที่ผู้ร่วมวิจัยเรียนที่โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษาไม่เคยทะเลาะกันหรือมีอคติต่อกัน ไม่เอาเปรียบเวลาทำงานในโรงเรียนหรือหอพัก จะมีแต่ทะเลาะกันบ้างแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น นักเรียนบางคนไม่สอนการบ้านเพื่อน หวงของใช้ส่วนตัว เป็นต้น ส่วนปัญหาในขณะที่ขายน้ำเต้าหู้ ที่ตลาดบูรพาในเมืองเชียงใหม่ก็ไม่มีปัญหากัน ถึงแม้ในนั้นจะมีชาวเขาหลายเชื้อชาติและคนไทยพื้นราบ เพราะต้องทำการค้าด้วยกันและต้องพึ่งพาอาศัยกันตอนค้าขาย แต่การเกิดอคติทางเชื้อชาติ ที่ผู้ร่วมวิจัยเคยเจอคือตอนที่ ทำงานโรงแรม เพราะพนักงาน จะมีความรู้สึกดูถูกชาวเขา ทั้งที่เป็นพนักงานด้วยกัน และจะเป็นแขกมาพักที่โรงแรม โดยจะมองชาวเขาว่า ตลก เปิ่น เชย พูดไม่ชัด และแสดงออกในเชิงขบขัน เมื่อเห็นชาวเขา เช่น ชาวเขามาประชุมที่โรงแรม จะแต่งตัวใส่สูท แต่สวมรองเท้าแตะ หรือเวลาเข้าลิฟท์ก็จะถอดรองเท้า ส่วนพนักงานที่เป็นชาวเขาก็จะถูกเพื่อนร่วมงานเอารัดเอาเปรียบ เช่น วานให้ทำงาน หรืออู้งาน เข้างานสาย ความสัมพันธ์ของผู้ร่วมวิจัยหลักกับแม่แฟนที่เป็นคนพื้นราบก็ไม่ค่อยจะลงรอยกัน กระทั่งเกิดการไม่ยอมรับว่าเป็นลูกสะใภ้ เช่น เวลาแขกมาเยี่ยมที่บ้านก็จะบอกว่าลูกสะใภ้เป็นหลานสาว (หน้า 106,107,184-187, 200, 201, 223, 230 ,231) ส่วนปัญหาของอิวเมี่ยนกับคนไทย เช่น ตอนไปขายผัก ผลไม้ ที่ อ.คลองลาน จ. กำแพงเพชร ก็โดนคนเมืองกลั่นแกล้งหรือตอนที่ผู้ร่วมวิจัยไปทำงานเป็นเสมียน ที่โรงงานพลาสติก จ.นครปฐม ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แต่จะมีปัญหากับนายจ้างเพราะให้งานเยอะ ทำงานหนักถูกกดเรื่องเงินเดือน สำหรับปัญหานอกเวลาทำงาน ก็เคยถูกเพื่อนชาย ที่เป็นคนไทย ล่อลวงไปข่มขืน แต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ นอกจากนี้อิวเมี่ยนยังเคยเกิดปัญหากับชาวต่างประเทศ ได้แก่ ทหารลาว ตอนที่อิวเมี่ยนที่เคยค้าผ้าปักขาย แล้วนำผ้าไปให้อิวเมี่ยนในประเทศลาว ถูกทหารลาวจับเพราะเป็นคนต่างด้าวและปรับเงิน 10,000 บาท (หน้า 85, 95,162,163) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองของอิวเมี่ยน (เย้า) เกิดจากที่ขาดแคลนพื้นที่ทำกินบนที่สูง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นป่าสงวน คนส่วนใหญ่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผลผลิตบริโภคในครัวเรือนมีไม่พอกับความต้องการ การย้ายถิ่นในระยะแรกจะมาหางานทำหลังฤดูเก็บเกี่ยว แล้วเดินทางกลับบ้านเกิด ภายหลังได้มาอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่เป็นเวลานาน และอยู่อย่างมั่นคงกว่าแต่ก่อน (หน้า 66) |
|
Map/Illustration |
แผนภาพ ลำดับเครือญาติของผู้หญิงที่เป็นกรณีศึกษาและเป็นผู้ร่วมวิจัย (ภาคผนวก ก หน้า 266, 267) |
|
|