|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,คำบอกเล่า,ประวัติศาสตร์,สังคมวัฒนธรรม,ภาคเหนือ |
Author |
Leo A. Van Geusau |
Title |
The Chronical of Saen Charoen Village in Northern Thailand |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
47 |
Year |
2541 |
Source |
Leo A. Van Geusau Archive Momery eupt Book I |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้บันทึกคำบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีและข้อปฏิบัติต่างๆ ของอาข่าหมู่บ้านแสนเจริญ ภาคเหนือประเทศไทย จากคำบอกเล่าของหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้นำอาข่าผู้หญิง นักเล่าเรื่อง (Phi-ma) และหมอประกอบพิธีกรรม โดยมีความพยายามที่จะบันทึกเรื่องราวตรงกับที่ผู้เล่ามากที่สุด หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นรายงานฉบับร่าง ซึ่ง Dr. Leo A. von Geusau ได้มอบเอกสารให้กับนักวิจัยของศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร ซึ่งทางโครงการได้พิจารณาเห็นว่าเป็นงานชิ้นสำคัญจึงได้นำมาเผยแพร่ในฐานข้อมูล |
|
Focus |
เรื่องเล่า และคำบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมอาข่าในหมู่ ภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่าหมู่บ้าน แสนเจริญ ภาคเหนือ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาข่าอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาทิเบต-พม่า "Tibeto-Burmese" (หน้า 7) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากคำบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของอาข่า ถิ่นฐานดั้งเดิมของอาข่าอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดยูนนานประเทศจีน และ ในพื้นที่สูงประเทศลาว ทางเหนือของเวียดนาม และทางตะวันตกของพม่า กล่าวกันว่า บรรพบุรุษส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง Dzjaw-deh และกลุ่มชาติพันธุ์ Hani ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาข่ายังคงอยู่ที่นั่น Dzjaw- Bang บรรพบุรุษของโคตรตระกูล Adzjaw สร้างเมืองชื่อว่า Tim-Lang, หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Me-Jiang ต่อมาเกิดสงครามทำลายเมืองทำให้บรรพบุรุษต้องอพยพจากบริเวณแม่น้ำแดงข้ามแม่น้ำโขง อาข่าและ Hani บางส่วนยังคงอยู่พื้นที่ใกล้แม่น้ำโขงในสิบสองปันนาทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนาน ซึ่งอาจจะอยู่ในพื้นที่สร้างหมู่บ้านมานานกว่า 800 ปี อาข่าและHani ต้องอพยพขึ้นสู่พื้นที่สูงเนื่องจากการบุรุกของกลุ่มชาติพันธุ์ไต และมีข้อสันนิษฐานว่า อาข่าและ Hani อาจจะเป็นผู้ริเริ่มการทำนาขั้นบันได จากปัญหาสงครามที่ต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง "สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ" ใน 200 ปีที่ผ่านมาและค่อนข้างรุนแรงในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา อาข่าและ Hani มากมายถูกฆ่าตายและสงครามเป็นสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้อาข่าอพยพเข้าสู่ลาว พม่าและประเทศไทยในที่สุด (หน้า 5-7) สำหรับหมู่บ้าน แสนเจริญ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1967 โดยชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพมาจากดอยตุงใกล้กับบริเวณชายแดนไทย-พม่า เนื่องจากมีปัญหาการถูกทำร้าย ขโมยของและทำให้อาข่าตัดสินใจอพยพสร้างหมู่บ้านใหม่ในพื้นที่ห่างจากชายแดนมากขึ้น (หน้า 8-9) |
|
Settlement Pattern |
หลังจากเสร็จพิธีกรรมเลือกพื้นที่ ถ้าการเสี่ยงทายปรากฏว่าเป็นพื้นที่เหมาะสม จะเริ่มทำการสร้างหมู่บ้านโดยจะเริ่มจากลงเสาบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน (Dzoema) บนพื้นที่มีการเสี่ยงทาย สัปดาห์ต่อมาจะเริ่มสร้างประตูหมู่บ้านและบ้านเรือน การสร้างบ้านจะต้องเป็นไปตามแบบประเพณีของอาข่า และหลังจากนั้นจะต้องทำพิธี Mi Sang Law-eu ในป่านอกหมู่บ้านเพื่อบอกกล่าวเทพเจ้าประจำที่ดิน เทพเจ้าประจำแม่น้ำ และเทพเจ้าประจำพื้นที่แม่สายเพื่อให้เทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นๆ อาศัยไกลจาก หมู่บ้าน (หน้า 13) |
|
Demography |
ปี ค.ศ. 1976 หมู่บ้านมีประชากรทั้งหมดประมาณ 600 คน |
|
Economy |
อาข่าจะไปทำไร่ทุกวันในช่วงเดือนมีนาคม-ธันวาคม ไร่อยู่ห่างจากหมู่บ้านใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไร่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตรจากหมู่บ้าน ที่หมู่บ้าน แสนเจริญ ไม่สามารถทำนาขั้นบันไดได้เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับทำนาขั้นบันไดได้ถูกจับจองโดยกลุ่มอื่นๆ แล้ว ทำให้ต้องทำไร่หมุนเวียน ในพื้นที่วงกลมในป่า จะมีการทำรั้วกั้นป้องกันไม่ให้สัตว์เข้าไปทำลายพืชผลในไร่ แต่ละครัวเรือนมีพื้นที่ในการทำไร่ประมาณ 2-3 ไร่ ผู้ชายจะตัดต้นไม้ เผาไร่ซึ่งจะทำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และปลูก ขิง แตงกวาและถั่วก่อนพืชอื่นๆ ในช่วงเดือนมีนาคม การเพาะปลูกพืชอื่นๆ จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม พืชที่เพาะปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ผัก พริกไทย และเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน พื้นที่จะใช้ในการเพาะปลูกประมาณ 2-3 ปี หลังจากนั้นจะทิ้งไว้ประมาณ 10-15 ปีและกลับมาใช้พื้นที่เดิมอีกครั้ง (หน้า 15) การแบ่งแรงงาน ผู้หญิงอาข่าจะทำหน้าที่หาฟืน หุงข้าว หาไม้ไผ่สำหรับใช้ในการจักสาน ตัดเย็บเสื้อผ้า ดูแลเด็ก ทำงานในไร่เช่นขุดหลุมหยอดเมล็ด และหาสมุนไพรในป่าหรือบริเวณรอบๆ บ้าน งานของผู้ชายจะเป็นงานหนัก เช่น ล่าสัตว์ ถางไร่ เผาไร่ สร้างบ้าน สร้างรั้ว เด็กผู้ชายจะช่วยงานในไร่ ผู้ชายจะช่วยดูแลลูกบางครั้งและทำงานเป็นผู้นำในหมู่บ้าน ผู้หญิงอาจจะให้คำแนะนำเป็นบางครั้ง และผู้หญิงดูแลการเงินในครอบครัว (หน้า 28-29) |
|
Social Organization |
หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ชาย และสืบโคตรตระกูลฝ่ายชาย อาข่าผู้ชายมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับชื่อของบรรพบุรุษสามารถสืบย้อนไปได้หลายชั่วอายุคน และมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติเพื่อช่วยเหลือกันโดยเฉพาะหากต้องมีการอพยพ (หน้า 33-34) การดำเนินชีวิตของอาข่าจะเป็นไปตามแบบข้อปฏิบัติของ "Zang" ซึ่งกล่าวถึงอาข่าเป็นผู้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบสุข กฏเกณฑ์ข้อปฏิบัติเหล่านี้สร้างมานานหลายร้อยปีจากบรรพบุรุษของอาข่า มีการเรียนรู้สืบทอดผ่านผู้อาวุโสในหมู่บ้าน พ่อแม่ นักเล่าเรื่อง(Pi-ma) Akha-Zang ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของอาข่ามายาวนานและสามารถเข้าใจได้โดยการปฏิบัติและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น (หน้า 31) |
|
Political Organization |
บุคคลที่สำคัญที่สุดในหมู่บ้านอาข่าแบบดั้งเดิมคือ หัวหน้าหมู่บ้าน (Dozema) จะต้องเป็นผู้ที่มาจากครอบครัว Dozema ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และมีความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ หมู่บ้านที่ไม่มี Dozema ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านอาข่า ผู้ที่มีความสำคัญรองลงมาคือ สภาผู้อาวุโสในหมู่บ้าน Abaw-Tsjaw Maw ประกอบด้วยผู้อาวุโสชายอายุประมาณ 45-50 ปี ในหมู่บ้านมีผู้อาวุโสในสภาทั้งหมด 20 คน หัวหน้าหมู่บ้านจะประสานงานและร่วมมือกับสภาผู้อาวุโสในการจัดการปกครองในหมู่บ้าน นอกจากนี้หมู่บ้านยังมี Buseh เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยการปกครองภายนอก และจะได้รับการยอมรับจากรัฐให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ดูแลประสานงานการปกครองในหมู่บ้านกับอำเภอและจังหวัด ผู้ทำหน้าที่นี้จะต้องเป็นบุคคลที่สามารถพูดภาษากลางกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ บางครั้งอาจจะมี Buseh เพียง 1 คนดูแลหลายหมู่บ้าน Buseh คนปัจจุบันคือ Abaw Buseh Asseu, Dzoebaw-Majew ูดูแลทั้งหมู่บ้านเก่าและหมู่บ้านใหม่ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจภายในหมู่บ้านจะต้องได้รับความเห็นชอบจากครัวเรือนทั้งหมดด้วยเช่นกัน (หน้า 23-24) ปัญหาความขัดแย้งและการแยกหมู่บ้าน ในปี ค.ศ. 1964 รัฐบาลไทยพยายามปราบปรามคอมมิวนิสต์และรัฐบาลได้เข้ามา สร้างความสัมพันธ์กับหมู่บ้านอาข่า รัฐได้ตั้งชื่อหัวหน้าหมู่บ้านที่สำคัญของอาข่าหลายหมู่บ้าน ในขณะนั้น หัวหน้าหมู่บ้านคือ Abaw Lang Dzjeu ได้รับชื่อใหม่ แสนเจริญ อาข่าไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์คือใคร รัฐบาลไทยมักกล่าวว่า เป็นพวกโจรผู้ร้ายที่ต้องการเข้ามา ขโมยเงินและฆ่าคน แต่ในพื้นที่สูงมีหลายกลุ่มที่เป็นโจรไม่ว่าจะเป็น โก๊ะมินตั๋ง "Kuonmintang" ตำรวจ ทหาร ลาหู่แดง และว้า แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ทำให้เกิดความสับสนว่าใครคือคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลไทยหวาดเกรง อย่างไรก็ตามในหมู่บ้านไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งกับกลุ่มคนเหล่านี้ (หน้า 13-15) ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งจนทำให้หมู่บ้านต้องแยกออกเป็น 2 หมู่บ้านในปี ค.ศ. 1976 สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากปัญหาระหว่างโคตรตระกูล Dzoeban/Majeu และ โคตรตระกูล Tsheumui หัวหน้าของทั้งสองตระกูลต้องการเป็น "Buseh or Village leader" ผู้ซึ่งทำการติดต่อกับรัฐภายนอก Buseh ในขณะนั้นคือ Abaw Busseu ซึ่งอยู่ในโคตรตระกูล Dzoeban สามารถพูดภาษาไทยได้และรัฐบาลต้องการให้เขาทำหน้าที่ต่อไปแต่หัวหน้าโคตรตระกูล Tsheumui ไม่พอใจเนื่องจากครบกำหนดที่จะเป็นหน้าที่ของโคตรตระกูล Tsheumui แม้ว่าไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ก็ตามทำให้เกิดการแยกหมู่บ้านขึ้นโดยหมู่บ้านใหม่เรียกว่า แสนเจริญใหม่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านเก่ามากนัก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองหมู่บ้านดีขึ้นภายหลังจากการแยกหมู่บ้าน (หน้า 18-19) |
|
Belief System |
การนับถือศาสนาคริสต์ มีอาข่าจำนวนไม่มากนักที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากต้องการได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่า แต่ถ้าเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ก็จะไม่สามารถประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมได้อีก และไม่สามารถเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เพราะศาสนาคริสต์เชื่อว่าผีบรรพบุรุษอยู่ในนรกและถ้าอยากขึ้นสวรรค์จะต้องเปลี่ยนเป็นคริสต์เตียน แต่พวกเราก็ขออยู่กับผีบรรพบุรุษในนรกมากกว่าที่จะขึ้นสวรรค์ตามลำพัง การนับถือศาสนาคริสต์เป็นการแยกอาข่าออกจากกันและทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของอาข่า แต่เราก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขาเพราะรู้ว่าพวกเขาพยายามเข้ามาช่วยเหลืออาข่า (หน้า 17) เทศกาลปีใหม่ แต่ละครอบครัวจะเซ่นผีบรรพบุรุษสำหรับกระทำพิธีเสร็จสิ้นปีและเริ่มต้นปีใหม่ด้วยดี ปีใหม่ที่ผ่านมาทำในวันเสือและเป็นปีหนู วันแรกคือวันที่ 24 ธันวาคม วันที่ 1 ผู้หญิงจะไปตักน้ำและนำกลับมายังหมู่บ้านเพื่อให้ผีบรรพบุรุษใช้สำหรับชำระล้าง เนื่องจากผีบรรพบุรุษเดินทางไกลมาถึงหมู่บ้านและเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษด้วยอาหาร พิธีกรรมนี้จะกระทำภายในแต่ละครัวเรือน และในวันที่ 1 และ วันที่ 2 ชาวบ้านจะจ่ายหนี้สินที่ติดค้างกับเพื่อนบ้านให้หมดและไม่มีเรื่องติดค้างระหว่างกันรวมถึงทำการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เสียหายในหมู่บ้าน วันที่ 3 ทุกคนในหมู่บ้านจะแต่งกายชุดที่ดีที่สุดตามประเพณี ผู้หญิงจะสวมหมวกประดับตกแต่งสวยงาม มีการละเล่นคล้ายกับการโยนลูกสะบ้า "Tshang di eu" ในกลุ่มเด็กผู้ชาย และในตอนกลางคืนจะมีการตีกลองตลอดทั้งวัน หนุ่มสาวส่วนใหญ่จะไม่นอนตลอดทั้งคืนและจะมีการฆ่าหมูสำหรับเลี้ยงคนในหมู่บ้าน และมีการกินเหล้าและทุกคนสามารถพูดกันเปิดเผย ซึ่งงานเลี้ยงนี้จัดโดยผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เป็นประเพณีที่ช่วยป้องกันความขัดแย้งรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น (หน้า 3) พิธีกรรมเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐาน หมู่บ้านจะส่งผู้อาวุโสไปดูพื้นที่ว่าเหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐานหรือไม่และทำการทดสอบดิน โดย ผู้อาวุโสจาก 4 ตระกูลเดินทางไปดูพื้นที่ หากพอใจต่อสภาพพื้นที่ว่าเหมาะสมดี จะมีการทำพิธีเสี่ยงทายโดยการโยนไข่หรือพิธีอื่นๆ ถ้าไข่แตกเชื่อว่าเป็นพื้นที่เหมาะสมก็จะดำเนินการสร้างหมู่บ้าน(หน้า 11-13) บุคคลสำคัญในการประกอบพิธีกรรมของอาข่า หัวหน้าหมู่บ้าน Dozema เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในหมู่บ้านนอกจากนี้ยังมี พระประจำหมู่บ้าน และมีนักเล่าเรื่อง Phi-ma เป็นผู้จดจำ เรื่องราว ประวัติศาสตร์ ประเพณี ข้อปฏิบัติต่างๆ ของอาข่า (หน้า 24) สำหรับผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญคือ Ja-jeh-ama เป็นผู้หญิงที่มีอายุและไม่ต้องดูแลบุตรแล้ว Ja-jeh-ama จะใส่กระโปรงสีขาวทำหน้าที่สำคัญในการประกอบพิธีกรรม และรักษาอาการเจ็บป่วย (หน้า 28-29) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ผลกระทบจากการพัฒนา ในช่วงต้นที่จะมีการสร้างถนน อาข่าคิดว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับหมู่บ้านและจะช่วยให้เกิดการพัฒนา แต่ปรากฏว่าเมื่อสร้างถนนเสร็จ หัวหน้าหมู่บ้าน Dzeoma ถูกฆ่าโดยพ่อค้าเงินที่เข้ามาซื้อขายเงินในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สามารถจับคนร้ายได้แต่การสูญเสียหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเรื่องสำคัญในหมู่บ้าน และหลังจากนั้นมีขโมยเข้ามาพยายามขโมยหมวกประดับด้วยเงินที่ผู้หญิงอาข่าใส่ทำให้พวกเขาต้องคอยระมัดระวังและใส่หมวกที่ทำด้วยอลูมิเนียมแทน และในปี ค.ศ. 1974 บริษัทต่างๆ เข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ ตัดต้นไม้ และปลูกต้นสนสำหรับทำกระดาษ ป่าไม้ถูกทำลายและพืชสมุนไพรต่างๆ ตายเนื่องจากไม่สามารถขึ้นได้ เพราะดินเปรี้ยวและต้นสนซับน้ำไปหมด โรงงานเหล่านี้เป็นของชาวญี่ปุ่นและไต้หวัน ปัจจุบันถนนยังก่อปัญหาสำคัญคือส่งเสียงรบกวน (หน้า 19-21) Njipa-Mi-ba เป็นหมอผีและเป็นผู้ทำนายอนาคตกล่าวว่าอาข่าอาจจะประสบกับปัญหาต่างๆ มากมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ปัญหายาเสพติด ปัญหาที่ดิน ความเหลื่อมล้ำทางฐานะ อย่างไรก็ตาม Abaw-bu-ghang กล่าวว่า ถ้า Hani/Akha สามารถอยู่รอดได้หลายชั่วอายุคน อาข่าที่นี่ก็จะสามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ได้เช่นกัน พวกเราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และประการสำคัญเราต้องสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น สมาคมอาข่าที่เชียงใหม่ และมีการพบปะของอาข่าและ Hani ใน 5 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาและสร้างอนาคตร่วมกัน (หน้า 38) |
|
|