สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,คำบอกเล่า,ประวัติศาสตร์,สังคมวัฒนธรรม,ภาคเหนือ
Author Leo A. Van Geusau
Title The Chronical of Saen Charoen Village in Northern Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร Total Pages 47 Year 2541
Source Leo A. Van Geusau Archive Momery eupt Book I
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้บันทึกคำบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีและข้อปฏิบัติต่างๆ ของอาข่าหมู่บ้านแสนเจริญ ภาคเหนือประเทศไทย จากคำบอกเล่าของหัวหน้าหมู่บ้าน ผู้นำอาข่าผู้หญิง นักเล่าเรื่อง (Phi-ma) และหมอประกอบพิธีกรรม โดยมีความพยายามที่จะบันทึกเรื่องราวตรงกับที่ผู้เล่ามากที่สุด หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เป็นรายงานฉบับร่าง ซึ่ง Dr. Leo A. von Geusau ได้มอบเอกสารให้กับนักวิจัยของศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร ซึ่งทางโครงการได้พิจารณาเห็นว่าเป็นงานชิ้นสำคัญจึงได้นำมาเผยแพร่ในฐานข้อมูล

Focus

เรื่องเล่า และคำบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคมวัฒนธรรมอาข่าในหมู่ ภาคเหนือของประเทศไทย

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

อาข่าหมู่บ้าน แสนเจริญ ภาคเหนือ

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาอาข่าอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาทิเบต-พม่า "Tibeto-Burmese" (หน้า 7)

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1995

History of the Group and Community

จากคำบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของอาข่า ถิ่นฐานดั้งเดิมของอาข่าอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดยูนนานประเทศจีน และ ในพื้นที่สูงประเทศลาว ทางเหนือของเวียดนาม และทางตะวันตกของพม่า กล่าวกันว่า บรรพบุรุษส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง Dzjaw-deh และกลุ่มชาติพันธุ์ Hani ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาข่ายังคงอยู่ที่นั่น Dzjaw- Bang บรรพบุรุษของโคตรตระกูล Adzjaw สร้างเมืองชื่อว่า Tim-Lang, หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Me-Jiang ต่อมาเกิดสงครามทำลายเมืองทำให้บรรพบุรุษต้องอพยพจากบริเวณแม่น้ำแดงข้ามแม่น้ำโขง อาข่าและ Hani บางส่วนยังคงอยู่พื้นที่ใกล้แม่น้ำโขงในสิบสองปันนาทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูนนาน ซึ่งอาจจะอยู่ในพื้นที่สร้างหมู่บ้านมานานกว่า 800 ปี อาข่าและHani ต้องอพยพขึ้นสู่พื้นที่สูงเนื่องจากการบุรุกของกลุ่มชาติพันธุ์ไต และมีข้อสันนิษฐานว่า อาข่าและ Hani อาจจะเป็นผู้ริเริ่มการทำนาขั้นบันได จากปัญหาสงครามที่ต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง "สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ" ใน 200 ปีที่ผ่านมาและค่อนข้างรุนแรงในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา อาข่าและ Hani มากมายถูกฆ่าตายและสงครามเป็นสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้อาข่าอพยพเข้าสู่ลาว พม่าและประเทศไทยในที่สุด (หน้า 5-7) สำหรับหมู่บ้าน แสนเจริญ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1967 โดยชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพมาจากดอยตุงใกล้กับบริเวณชายแดนไทย-พม่า เนื่องจากมีปัญหาการถูกทำร้าย ขโมยของและทำให้อาข่าตัดสินใจอพยพสร้างหมู่บ้านใหม่ในพื้นที่ห่างจากชายแดนมากขึ้น (หน้า 8-9)

Settlement Pattern

หลังจากเสร็จพิธีกรรมเลือกพื้นที่ ถ้าการเสี่ยงทายปรากฏว่าเป็นพื้นที่เหมาะสม จะเริ่มทำการสร้างหมู่บ้านโดยจะเริ่มจากลงเสาบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน (Dzoema) บนพื้นที่มีการเสี่ยงทาย สัปดาห์ต่อมาจะเริ่มสร้างประตูหมู่บ้านและบ้านเรือน การสร้างบ้านจะต้องเป็นไปตามแบบประเพณีของอาข่า และหลังจากนั้นจะต้องทำพิธี Mi Sang Law-eu ในป่านอกหมู่บ้านเพื่อบอกกล่าวเทพเจ้าประจำที่ดิน เทพเจ้าประจำแม่น้ำ และเทพเจ้าประจำพื้นที่แม่สายเพื่อให้เทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติอื่นๆ อาศัยไกลจาก หมู่บ้าน (หน้า 13)

Demography

ปี ค.ศ. 1976 หมู่บ้านมีประชากรทั้งหมดประมาณ 600 คน

Economy

อาข่าจะไปทำไร่ทุกวันในช่วงเดือนมีนาคม-ธันวาคม ไร่อยู่ห่างจากหมู่บ้านใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไร่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตรจากหมู่บ้าน ที่หมู่บ้าน แสนเจริญ ไม่สามารถทำนาขั้นบันไดได้เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับทำนาขั้นบันไดได้ถูกจับจองโดยกลุ่มอื่นๆ แล้ว ทำให้ต้องทำไร่หมุนเวียน ในพื้นที่วงกลมในป่า จะมีการทำรั้วกั้นป้องกันไม่ให้สัตว์เข้าไปทำลายพืชผลในไร่ แต่ละครัวเรือนมีพื้นที่ในการทำไร่ประมาณ 2-3 ไร่ ผู้ชายจะตัดต้นไม้ เผาไร่ซึ่งจะทำในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และปลูก ขิง แตงกวาและถั่วก่อนพืชอื่นๆ ในช่วงเดือนมีนาคม การเพาะปลูกพืชอื่นๆ จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม พืชที่เพาะปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ผัก พริกไทย และเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน พื้นที่จะใช้ในการเพาะปลูกประมาณ 2-3 ปี หลังจากนั้นจะทิ้งไว้ประมาณ 10-15 ปีและกลับมาใช้พื้นที่เดิมอีกครั้ง (หน้า 15) การแบ่งแรงงาน ผู้หญิงอาข่าจะทำหน้าที่หาฟืน หุงข้าว หาไม้ไผ่สำหรับใช้ในการจักสาน ตัดเย็บเสื้อผ้า ดูแลเด็ก ทำงานในไร่เช่นขุดหลุมหยอดเมล็ด และหาสมุนไพรในป่าหรือบริเวณรอบๆ บ้าน งานของผู้ชายจะเป็นงานหนัก เช่น ล่าสัตว์ ถางไร่ เผาไร่ สร้างบ้าน สร้างรั้ว เด็กผู้ชายจะช่วยงานในไร่ ผู้ชายจะช่วยดูแลลูกบางครั้งและทำงานเป็นผู้นำในหมู่บ้าน ผู้หญิงอาจจะให้คำแนะนำเป็นบางครั้ง และผู้หญิงดูแลการเงินในครอบครัว (หน้า 28-29)

Social Organization

หัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ชาย และสืบโคตรตระกูลฝ่ายชาย อาข่าผู้ชายมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับชื่อของบรรพบุรุษสามารถสืบย้อนไปได้หลายชั่วอายุคน และมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติเพื่อช่วยเหลือกันโดยเฉพาะหากต้องมีการอพยพ (หน้า 33-34) การดำเนินชีวิตของอาข่าจะเป็นไปตามแบบข้อปฏิบัติของ "Zang" ซึ่งกล่าวถึงอาข่าเป็นผู้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบสุข กฏเกณฑ์ข้อปฏิบัติเหล่านี้สร้างมานานหลายร้อยปีจากบรรพบุรุษของอาข่า มีการเรียนรู้สืบทอดผ่านผู้อาวุโสในหมู่บ้าน พ่อแม่ นักเล่าเรื่อง(Pi-ma) Akha-Zang ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของอาข่ามายาวนานและสามารถเข้าใจได้โดยการปฏิบัติและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น (หน้า 31)

Political Organization

บุคคลที่สำคัญที่สุดในหมู่บ้านอาข่าแบบดั้งเดิมคือ หัวหน้าหมู่บ้าน (Dozema) จะต้องเป็นผู้ที่มาจากครอบครัว Dozema ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในการเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน และมีความรู้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ หมู่บ้านที่ไม่มี Dozema ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านอาข่า ผู้ที่มีความสำคัญรองลงมาคือ สภาผู้อาวุโสในหมู่บ้าน Abaw-Tsjaw Maw ประกอบด้วยผู้อาวุโสชายอายุประมาณ 45-50 ปี ในหมู่บ้านมีผู้อาวุโสในสภาทั้งหมด 20 คน หัวหน้าหมู่บ้านจะประสานงานและร่วมมือกับสภาผู้อาวุโสในการจัดการปกครองในหมู่บ้าน นอกจากนี้หมู่บ้านยังมี Buseh เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยการปกครองภายนอก และจะได้รับการยอมรับจากรัฐให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ดูแลประสานงานการปกครองในหมู่บ้านกับอำเภอและจังหวัด ผู้ทำหน้าที่นี้จะต้องเป็นบุคคลที่สามารถพูดภาษากลางกับเจ้าหน้าที่รัฐได้ บางครั้งอาจจะมี Buseh เพียง 1 คนดูแลหลายหมู่บ้าน Buseh คนปัจจุบันคือ Abaw Buseh Asseu, Dzoebaw-Majew ูดูแลทั้งหมู่บ้านเก่าและหมู่บ้านใหม่ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจภายในหมู่บ้านจะต้องได้รับความเห็นชอบจากครัวเรือนทั้งหมดด้วยเช่นกัน (หน้า 23-24) ปัญหาความขัดแย้งและการแยกหมู่บ้าน ในปี ค.ศ. 1964 รัฐบาลไทยพยายามปราบปรามคอมมิวนิสต์และรัฐบาลได้เข้ามา สร้างความสัมพันธ์กับหมู่บ้านอาข่า รัฐได้ตั้งชื่อหัวหน้าหมู่บ้านที่สำคัญของอาข่าหลายหมู่บ้าน ในขณะนั้น หัวหน้าหมู่บ้านคือ Abaw Lang Dzjeu ได้รับชื่อใหม่ แสนเจริญ อาข่าไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์คือใคร รัฐบาลไทยมักกล่าวว่า เป็นพวกโจรผู้ร้ายที่ต้องการเข้ามา ขโมยเงินและฆ่าคน แต่ในพื้นที่สูงมีหลายกลุ่มที่เป็นโจรไม่ว่าจะเป็น โก๊ะมินตั๋ง "Kuonmintang" ตำรวจ ทหาร ลาหู่แดง และว้า แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ทำให้เกิดความสับสนว่าใครคือคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลไทยหวาดเกรง อย่างไรก็ตามในหมู่บ้านไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งกับกลุ่มคนเหล่านี้ (หน้า 13-15) ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งจนทำให้หมู่บ้านต้องแยกออกเป็น 2 หมู่บ้านในปี ค.ศ. 1976 สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากปัญหาระหว่างโคตรตระกูล Dzoeban/Majeu และ โคตรตระกูล Tsheumui หัวหน้าของทั้งสองตระกูลต้องการเป็น "Buseh or Village leader" ผู้ซึ่งทำการติดต่อกับรัฐภายนอก Buseh ในขณะนั้นคือ Abaw Busseu ซึ่งอยู่ในโคตรตระกูล Dzoeban สามารถพูดภาษาไทยได้และรัฐบาลต้องการให้เขาทำหน้าที่ต่อไปแต่หัวหน้าโคตรตระกูล Tsheumui ไม่พอใจเนื่องจากครบกำหนดที่จะเป็นหน้าที่ของโคตรตระกูล Tsheumui แม้ว่าไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ก็ตามทำให้เกิดการแยกหมู่บ้านขึ้นโดยหมู่บ้านใหม่เรียกว่า แสนเจริญใหม่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านเก่ามากนัก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองหมู่บ้านดีขึ้นภายหลังจากการแยกหมู่บ้าน (หน้า 18-19)

Belief System

การนับถือศาสนาคริสต์ มีอาข่าจำนวนไม่มากนักที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากต้องการได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่า แต่ถ้าเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ก็จะไม่สามารถประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิมได้อีก และไม่สามารถเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ เพราะศาสนาคริสต์เชื่อว่าผีบรรพบุรุษอยู่ในนรกและถ้าอยากขึ้นสวรรค์จะต้องเปลี่ยนเป็นคริสต์เตียน แต่พวกเราก็ขออยู่กับผีบรรพบุรุษในนรกมากกว่าที่จะขึ้นสวรรค์ตามลำพัง การนับถือศาสนาคริสต์เป็นการแยกอาข่าออกจากกันและทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของอาข่า แต่เราก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขาเพราะรู้ว่าพวกเขาพยายามเข้ามาช่วยเหลืออาข่า (หน้า 17) เทศกาลปีใหม่ แต่ละครอบครัวจะเซ่นผีบรรพบุรุษสำหรับกระทำพิธีเสร็จสิ้นปีและเริ่มต้นปีใหม่ด้วยดี ปีใหม่ที่ผ่านมาทำในวันเสือและเป็นปีหนู วันแรกคือวันที่ 24 ธันวาคม วันที่ 1 ผู้หญิงจะไปตักน้ำและนำกลับมายังหมู่บ้านเพื่อให้ผีบรรพบุรุษใช้สำหรับชำระล้าง เนื่องจากผีบรรพบุรุษเดินทางไกลมาถึงหมู่บ้านและเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษด้วยอาหาร พิธีกรรมนี้จะกระทำภายในแต่ละครัวเรือน และในวันที่ 1 และ วันที่ 2 ชาวบ้านจะจ่ายหนี้สินที่ติดค้างกับเพื่อนบ้านให้หมดและไม่มีเรื่องติดค้างระหว่างกันรวมถึงทำการซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เสียหายในหมู่บ้าน วันที่ 3 ทุกคนในหมู่บ้านจะแต่งกายชุดที่ดีที่สุดตามประเพณี ผู้หญิงจะสวมหมวกประดับตกแต่งสวยงาม มีการละเล่นคล้ายกับการโยนลูกสะบ้า "Tshang di eu" ในกลุ่มเด็กผู้ชาย และในตอนกลางคืนจะมีการตีกลองตลอดทั้งวัน หนุ่มสาวส่วนใหญ่จะไม่นอนตลอดทั้งคืนและจะมีการฆ่าหมูสำหรับเลี้ยงคนในหมู่บ้าน และมีการกินเหล้าและทุกคนสามารถพูดกันเปิดเผย ซึ่งงานเลี้ยงนี้จัดโดยผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เป็นประเพณีที่ช่วยป้องกันความขัดแย้งรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น (หน้า 3) พิธีกรรมเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐาน หมู่บ้านจะส่งผู้อาวุโสไปดูพื้นที่ว่าเหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐานหรือไม่และทำการทดสอบดิน โดย ผู้อาวุโสจาก 4 ตระกูลเดินทางไปดูพื้นที่ หากพอใจต่อสภาพพื้นที่ว่าเหมาะสมดี จะมีการทำพิธีเสี่ยงทายโดยการโยนไข่หรือพิธีอื่นๆ ถ้าไข่แตกเชื่อว่าเป็นพื้นที่เหมาะสมก็จะดำเนินการสร้างหมู่บ้าน(หน้า 11-13) บุคคลสำคัญในการประกอบพิธีกรรมของอาข่า หัวหน้าหมู่บ้าน Dozema เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในหมู่บ้านนอกจากนี้ยังมี พระประจำหมู่บ้าน และมีนักเล่าเรื่อง Phi-ma เป็นผู้จดจำ เรื่องราว ประวัติศาสตร์ ประเพณี ข้อปฏิบัติต่างๆ ของอาข่า (หน้า 24) สำหรับผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญคือ Ja-jeh-ama เป็นผู้หญิงที่มีอายุและไม่ต้องดูแลบุตรแล้ว Ja-jeh-ama จะใส่กระโปรงสีขาวทำหน้าที่สำคัญในการประกอบพิธีกรรม และรักษาอาการเจ็บป่วย (หน้า 28-29)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ผลกระทบจากการพัฒนา ในช่วงต้นที่จะมีการสร้างถนน อาข่าคิดว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับหมู่บ้านและจะช่วยให้เกิดการพัฒนา แต่ปรากฏว่าเมื่อสร้างถนนเสร็จ หัวหน้าหมู่บ้าน Dzeoma ถูกฆ่าโดยพ่อค้าเงินที่เข้ามาซื้อขายเงินในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สามารถจับคนร้ายได้แต่การสูญเสียหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเรื่องสำคัญในหมู่บ้าน และหลังจากนั้นมีขโมยเข้ามาพยายามขโมยหมวกประดับด้วยเงินที่ผู้หญิงอาข่าใส่ทำให้พวกเขาต้องคอยระมัดระวังและใส่หมวกที่ทำด้วยอลูมิเนียมแทน และในปี ค.ศ. 1974 บริษัทต่างๆ เข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ ตัดต้นไม้ และปลูกต้นสนสำหรับทำกระดาษ ป่าไม้ถูกทำลายและพืชสมุนไพรต่างๆ ตายเนื่องจากไม่สามารถขึ้นได้ เพราะดินเปรี้ยวและต้นสนซับน้ำไปหมด โรงงานเหล่านี้เป็นของชาวญี่ปุ่นและไต้หวัน ปัจจุบันถนนยังก่อปัญหาสำคัญคือส่งเสียงรบกวน (หน้า 19-21) Njipa-Mi-ba เป็นหมอผีและเป็นผู้ทำนายอนาคตกล่าวว่าอาข่าอาจจะประสบกับปัญหาต่างๆ มากมายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ปัญหายาเสพติด ปัญหาที่ดิน ความเหลื่อมล้ำทางฐานะ อย่างไรก็ตาม Abaw-bu-ghang กล่าวว่า ถ้า Hani/Akha สามารถอยู่รอดได้หลายชั่วอายุคน อาข่าที่นี่ก็จะสามารถผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ได้เช่นกัน พวกเราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และประการสำคัญเราต้องสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น สมาคมอาข่าที่เชียงใหม่ และมีการพบปะของอาข่าและ Hani ใน 5 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาและสร้างอนาคตร่วมกัน (หน้า 38)

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG อาข่า, คำบอกเล่า, ประวัติศาสตร์, สังคมวัฒนธรรม, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง