สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject พวน ไทยพวน ไทพวน,ความเชื่อ,พิธีกรรม,การรับนวัตกรรม,การพัฒนา,การปรับตัว,ลพบุรี
Author เชาว์วัย ศุภรตรีทิเพศ
Title การรับนวัตกรรมและพิธีกรรมทางศาสนา: ศึกษากรณีชุมชนไทยพวนในจังหวัดลพบุรี
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทยพวน ไทพวน คนพวน, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 200 Year 2542
Source หลักสูตรปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

ผู้เขียนได้ศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงในพิธีกรรมจากอดีตสู่ปัจจุบันของไทยพวนบ้านกล้วย พบว่าการนำความพัฒนาและความทันสมัยมาสู่ชุมชน ได้แก่การขุดคลองชลประทาน และการตัดถนนหลวงเข้าสู่ตัวเมือง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบความเชื่อและพิธีกรรมที่สืบทอดมายาวนานภายในหมู่บ้าน เกิดจากปัจจัย 2 ประการที่มาพร้อมกับแผนการพัฒนาของภาครัฐ ดังนี้ 1) การรับนวัตกรรมทางวัตถุ เช่น สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยานพาหนะ ทำให้พฤติกรรมความเป็นอยู่ของชาวบ้านเปลี่ยนไป ส่งผลถึงการประกอบพิธีกรรม ที่ได้นำวัสดุที่หาได้ตามยุคสมัยและเป็นสิ่งที่ต้องซื้อหาเข้ามาแทนที่สิ่งของเดิมที่เสียเวลาในการ ทำกว่ามาก และยังเป็นของที่คนในหมู่บ้านนำมาช่วยในงานพิธีกรรมของแต่ละบ้าน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและความสนิทสนมระหว่างครอบครัวแต่ละครอบครัว ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย 2) การรับนวัตกรรมที่ไม่ใช่วัตถุ เช่น เศรษฐกิจแบบทุนนิยม ทำให้การประกอบอาชีพ หรือการผลิตผลผลิตทางการเกษตรป้อนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น และคำนึงถึงระบบเศรษฐกิจมากกว่าการผลิตไว้ใช้เองในบ้าน หรือนำไปแลกเปลี่ยนภายในหมู่บ้านอย่างเช่น ในอดีตกลายเป็นสิ่งที่ไม่นิยมทำกันในปัจจุบัน

Focus

ศึกษาผลกระทบของนวัตกรรมที่มีผลต่อพิธีกรรมในชุมชนไทยพวนบ้านกล้วย จังหวัดลพบุรี

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้เขียนใช้คำว่า ไทยพวน

Language and Linguistic Affiliations

ไทยพวนพูดภาษาพวน ซึ่งเป็นภาษาของตนเอง ไทยพวนกลุ่มที่เป็นกรณีศึกษาใช้ภาษาพวนที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองพวนในเชียงขวาง ประเทศลาวซึ่งเป็นแหล่งที่อพยพมา ปัจจุบันไทยพวนบ้านกล้วยใช้ภาษาไทยภาคกลางเป็นภาษาหลัก มีภาษาพวนปนเป็นบางคำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนภาษาไทยพวนพูดเฉพาะในหมู่ผู้สูงอายุเท่านั้น (หน้า 85)

Study Period (Data Collection)

ผู้เขียนเก็บข้อมูลในภาคสนามด้วยการเข้าไปอยู่อาศัยในชุมชนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2541 ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงกลับเข้าไปอยู่อาศัยครั้งละ 2 วัน จำนวน 2 ครั้งต่อ 1 เดือน เรื่อยมาจนถึงเดือนมิถุนายน และสิงหาคม 2542 เริ่มเป็นการเข้าไปอยู่อาศัยครั้งละ 7 วัน เป็นจำนวน 2 ครั้ง รวมระยะเวลาในการศึกษาชุมชนทั้งหมดเป็น 1 ปี 1 เดือน เป็นการเข้าไปอยู่อาศัยจริง 62 วัน

History of the Group and Community

กลุ่มไทยพวนบ้านกล้วยสืบเชื้อสายมาจากพวนหรือลาวพวน (หน้า 53) มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองพวนบริเวณที่ราบสูงเชียงขวาง (Chiang Khvang) ทางตอนใต้ของเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ต่อมาก็ได้อพยพมาทางตะวันตกมาอยู่แถบเมืองเวียงจันทร์ เมืองหลวงพระบาง บางส่วนก็กระจัดกระจายอยู่บริเวณแม่น้ำงึมในประเทศลาว (หน้า 1) บรรพบุรุษของไทยพวนบ้านกล้วยอพยพมาจากเมืองเวียงจันทร์เข้ามาอยู่ในพื้นที่อาศัยปัจจุบันตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี คือราว พ.ศ. 2303 โดยถูกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครั้งยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกวาดต้อนลงมาอาศัยอยู่ในบริเวณหัวเมืองชั้นในที่ถูกปล่อยร้างไว้หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 คือ เมืองลพบุรี เมืองสระบุรี เมืองนครนายก และเมืองฉะเชิงเทรา ในศึกระหว่างพระเจ้ากรุงเวียงจันทร์และพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื่องจากหมู่บ้านกล้วยเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เป็นที่ราบลุ่มเหมาะกับการปลูกข้าว คนพวนที่ถูกกวาดต้อนมาจึงเข้ามาจับจองพื้นที่อยู่อาศัยสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน รวมแล้วมีอายุมากกว่า 200 ปี (หน้า 74-75)

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของไทยพวนบ้านกล้วยมักปลูกเรือนหลายหลังอยู่ชิดติดกันเป็นคุ้มๆ ในแต่ละคุ้ม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกัน (หน้า 74) เนื่องจากการอยู่อาศัยติดต่อกันมาเป็นเวลานานจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งของชุมชนไทยพวนบ้านกล้วย ทำให้มีการเพิ่มประชากรมากขึ้นเรื่อยๆ และขยายอาณาเขตหมู่บ้านไปกว้างไกลกว่าเดิม ทางราชการจึงยกระดับจากหมู่บ้านเป็นตำบลบ้านกล้วย และจัดแบ่งซอยหมู่บ้านเป็น หมู่ที่ 1-5 (หน้า 75) โดยมีวัดกัทลีพนาราม หรือวัดบ้านกล้วยเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน (หน้า 76) ลักษณะบ้านเรือนของไทยพวนบ้านกล้วยในสมัยก่อนเป็นเรือนไม้สูง ตัวบ้านทำด้วยไม้และไม้ไผ่ หลังคามุงจาก มีใต้ถุนสูงเพื่อใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์ ภายในบ้านนอกจากจะใช้เป็นที่พักอาศัยแล้ว ยังใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับประกอบอาชีพด้วย อย่างไรก็ตามสภาพสังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ทำให้การปลูกสร้างบ้านเรือนแทบทุกครัวเรือน หันไปนิยมสร้างบ้านรูปทรงสมัยใหม่แทบทั้งสิ้น (หน้า 88)

Demography

สัดส่วนไทยพวนในหมู่ที่ 5 ตำบลบ้านกล้วยคิดเป็นร้อยละ 85 ของประชากรทั้งหมู่บ้าน ที่เหลือเป็นคนไทย มีจำนวน 238 ครัวเรือน และประชากรรวมทั้งสิ้น 684 คน แบ่งเป็นเพศชาย 323 คน และเพศหญิง 366 คน ช่วงอายุของประชากรที่มีมากที่สุดคือช่วงอายุ 16-45 ปี ถือเป็นวัยทำงานที่สามารถทำงานและมีกำลังซื้อได้มากที่สุด (หน้า 78-79)

Economy

อาชีพหลักของไทยพวนนับแต่อดีต คือการเพาะปลูกเพื่อยังชีพ โดยเฉพาะการปลูกข้าวไทยพวนบ้านกล้วยยังยึดถือเป็นอาชีพหลักจนถึงปัจจุบัน การปลูกข้าวของชาวบ้านกล้วยจะปลูกรอบหมู่บ้านเพราะมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดปี จากการสำรวจมีผู้ประกอบอาชีพทำนาร้อยละ 30 (หน้า 85-86) และเนื่องจากว่าการปลูกข้าวเป็นเศรษฐกิจสำคัญของหมู่บ้าน จึงเกิดแบบแผนการทำนาปลูกข้าวในรอบปี (Rice Circle) ของชาวนาในชุมชน (หน้า 92) อีกทั้ง การทำนาต้องอาศัยปัจจัยธรรมชาติ ดังนั้นจึงปรากฏลักษณะของความเชื่อและแนวปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องด้วยสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่ผลผลิต (หน้า 93) ประเพณีหลายอย่างของไทยพวนบ้านกล้วยจึงเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร เช่น การบูชาผีผ้าพญาแถน ที่บันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล (หน้า 95) ปัจจุบันความเจริญได้แผ่ขยายเข้าสู่หมู่บ้านมีการตัดถนนผ่าน ติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น (หน้า 141) คนรุ่นใหม่จึงออกไปทำงานนอกหมู่บ้านกันมากขึ้น ส่วนมากเป็นวัยหนุ่มสาวที่ไปประกอบอาชีพรับจ้างในเมืองหรือต่างเมือง (หน้า 86) จากเดิมที่การทำนาปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักของชุมชนก็ได้เปลี่ยนไปเป็นการรับจ้างซึ่งคิดเป็นร้อยละ 35 ของคนทั้งหมู่บ้าน (หน้า 87-88)

Social Organization

ไทยพวนบ้านกล้วยมีความผูกพันกับเครือญาติคล้ายกับหมู่บ้านอื่นๆ ในเขตภาคกลางของประเทศไทย การเป็นครอบครัวของไทยพวนบ้านกล้วยเกิดจากทั้งการสืบสายโลหิต, การแต่งงาน และการรับไว้เป็นญาติ ครอบครัวมี 2 ลักษณะ คือ ครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) และครอบครัวขยาย (Extended Family) การเปลี่ยนแปลงของครอบครัวจากครอบครัวเดี่ยวไปเป็นครอบครัวแบบขยาย หรือในทางกลับกัน สัมพันธ์กับวงจรชีวิตครอบครัวที่สมาชิกมีการแต่งงาน การเกิด การโยกย้าย และการตาย (หน้า 80) เมื่อบุตรสาวแต่งงานและนำคู่สมรสมาอยู่ในครัวเรือนด้วย ทำให้เป็นครอบครัวขยาย ครั้นบิดามารดาเสียชีวิตไป ก็เป็นครอบครัวเดี่ยวในปัจจุบันครอบครัวเดี่ยวจะมีมากกว่าครอบครัวขยาย แตกต่างจากในสมัยก่อนที่ครอบครัวขยายมีความสำคัญ และภายในครอบครัวสมาชิกจะผูกพันกันใกล้ชิด (หน้า 83) แต่ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอาจจะน้อยลงเพราะไม่ได้ช่วยเหลือกันในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเหมือนเมื่อก่อน (หน้า 84)

Political Organization

ก่อนที่จะมีการจัดระเบียบการปกครองท้องถิ่นของทางราชการจากส่วนกลาง ไทยพวนบ้านกล้วยมีการปกครองตนเองโดยบทบาทการปกครองของผู้นำชุมชนตกเป็นหน้าที่ของผู้นำตามธรรมชาติ คือ ญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส และผู้ทรงคุณวุฒิประจำวงศ์ตระกูลหรือประจำหมู่บ้าน โดยอยู่กันอย่างผูกพันแน่นแฟ้นตามระบบเครือญาติ และมีวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างประนีประนอม แต่เมื่อทางราชการจัดระเบียบการปกครองส่วนท้องถิ่นให้ชุมชนในรูปแบบหมู่บ้าน การเลือกผู้นำชุมชนจึงเปลี่ยนไปเป็นการเลือกตั้ง ต้องดำเนินงานตามนโยบายของหน่วยราชการ และอยู่ภายใต้การปกครองส่วนตำบลอีกขั้นหนึ่ง แต่ละตำบลประกอบไปด้วย 5 หมู่บ้าน (หน้า 89) อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่บ้านที่ประชาชนในชุมชนเลือกตั้งมาก็ยังคงเป็นสมาชิกในหมู่บ้านดังเดิม แต่เปลี่ยนจากการเลือกสรรตามระบบอาวุโสไปเป็นการคัดเลือกตามคุณสมบัติที่เหมาะสมและมีความสามารถในการติดต่อกับทางราชการและสามารถประสานงานกับชาวบ้านได้ดี รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องเป็นผู้ที่ประพฤติตนตามบรรทัดฐานที่เหมาะสมของชุมชนและเป็นที่พึ่งพิงของชาวบ้านได้ด้วย (หน้า 90) การปกครองในปัจจุบันของไทยพวนบ้านกล้วยจึงกลายเป็นการปฏิบัติตามกลไกทางการเมืองการปกครองของประเทศเป็นหลัก แต่ก็ยังคงความผูกพันกันระหว่างผู้นำและชาวบ้านที่เป็นคนบ้านเดียวกันเหมือนเดิม (หน้า 151)

Belief System

ประเพณีและความเชื่อของไทยพวนบ้านกล้วยหล่อหลอมขึ้นมาจากความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาและวิญญาณบรรพบุรุษที่ติดตัวสืบมาตั้งแต่คนรุ่นบรรพบุรุษ และความเชื่อในศาสนาพุทธซึ่งกลายเป็นศาสนาหลักที่ชาวบ้านให้ความนับถือมากันช้านานนับแต่อพยพมาตั้งรกรากในแถบนี้ รวมทั้งยังมีความเชื่อแบบพราหมณ์เข้ามาปะปนอยู่บ้าง (หน้า 95) ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาทางค่านิยมและพิธีกรรมของไทยพวนบ้านกล้วยที่ได้นับถือปฏิบัติสืบต่อกันมา (หน้า 91-92) ความเชื่อในเรื่องการถือผี นับถือวิญญาณของบรรพบุรุษในชุมชนไทยพวนบ้านกล้วย สะท้อนให้เห็นถึงการเคารพบูชาเจ้าพ่อสนั่น ซึ่งภายในหมู่บ้านได้สร้างศาลเจ้าพ่อสนั่นและรูปจำลองไว้ที่กลางหมู่บ้าน ติดกับวัดบ้านกล้วย ชาวบ้านเชื่อว่าเจ้าพ่อสนั่นเป็นผีนักรบพวนชื่อ ท้าวสนั่นที่ต่อสู้กับโจรผู้ร้ายที่เข้ามาปล้นสะดมชาวบ้านในสมัยที่ไทยพวนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เมื่อท้าวสนั่นเสียชีวิตลง ชาวบ้านก็ได้สร้างศาลและรูปจำลองดังกล่าวเพื่อแสดงความเคารพนับถือ และเชื่อว่าจะดูแลรักษาหมู่บ้านและชาวบ้านให้พ้นภัยต่างๆ ยามเดินทางไกลชาวบ้านก็มักขอพรให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง และศาลเจ้าพ่อสนั่นก็ยังเป็นที่จัดพิธีเลี้ยงผีปู่ตาในเดือน 6 ของทุกปีอีกด้วย (หน้า 77) พิธีกรรมของไทยพวนบ้านกล้วย มีอยู่ 20 พิธี ได้แก่ พิธีบุญข้าวจี่ พิธีบุญสงกรานต์ พิธีบังสุกุลอัฐิ พิธีแห่บั้งไฟ พิธีไหว้เจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน พิธีทรงเจ้าพ่อ พิธีบุญห่อข้าว พิธิแฮกนา พิธีกวนข้าวทิพย์ พิธีบุญมหาชาติ พิธีใส่กระจาด พิธีบุญกระยาสาร์ท พิธีบายศรีสู่ขวัญ พิธีบวชนาค งานบุญเนื่องในวันธรรมสวนะ และอุโบสถศีล ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา พิธีเลี้ยงผีปู่ตา พิธีไล่ผีย่าเจียง พิธีบุญกำฟ้า พิธีแห่นางแมว และพิธีบุญลาน (หน้า 96) พิธีกรรมส่วนใหญ่ของไทยพวนบ้านกล้วยจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องการถือผี ตัวอย่างพิธีกรรมที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมได้แก่ พิธีไหว้เจ้าพ่อประจำหมู่บ้าน จัดขึ้นในประมาณเดือน 6 ของทุกปี เจ้าพ่อประจำหมู่บ้านของบ้านกล้วยเรียกกันว่า "เจ้าพ่อบ้านต้น" หรือ "เจ้าพ่อสัมปันโน" เป็นผีต้นตระกูลของไทยพวนผู้ล่วงลับไปแล้ว ศาลเจ้าพ่อประจำหมู่บ้านตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน พิธีไหว้เจ้าพ่อประจำหมู่บ้านที่จัดขึ้นปีละ 1 ครั้งนั้น เป็นการเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ นำเนื้อสัตว์ต้มสุก และผลไม้มาถวาย ในพิธีกรรมนี้ก็จะมีตัวแทนเจ้าพ่อ หรือ "เจ้าจ้ำ" มาเป็นร่างทรงให้ชาวบ้านมาปรึกษาปัญหาต่างๆ เจ้าจ้ำส่วนมากเป็นหญิงวัยกลางคนที่ไม่มีสามี และดำรงตนอยู่ในศีลธรรม เชื่อกันว่าเป็นผู้ที่เจ้าพ่อเลือกเอง (หน้า 105-106) ในส่วนของพิธีกรรมเนื่องในศาสนาพุทธนั้น กล่าวได้ว่า พิธีบุญมหาชาติ เป็นพิธีกรรมที่ไทยพวนบ้านกล้วยให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะถือว่าเป็นงานบุญที่ทำแล้วได้บุญมากกว่างานบุญใดๆ จัดขึ้นในเดือนสิบสอง หรือประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปีภายหลังเสร็จสิ้นการทอดกฐิน และต้องกระทำทุกปีอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 111) โดยต้องตระเตรียมงานล่วงหน้าประมาณครึ่งเดือน ศาลาวัดซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมได้รับการตกแต่งให้เป็นป่าหิมพานต์ และประดับด้วยธงพระเวส หรือ ธงมหาชาติเป็นเครื่องหมายของการเทศน์มหาชาติ (หน้า 112) การอัญเชิญพระเวสมาประดิษฐานที่ศาลาวัดจะมีขึ้นก่อนวันงาน 1 วัน วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันงาน พิธีกรรรมเริ่มด้วยการแห่ข้าวพันก้อนที่จะนำไปเป็นเครื่องบูชากัณฑ์ จากนั้นพระสงฆ์ก็เทศน์สังกาศ ต่อด้วยเทศน์กัณฑ์ทศพร ซึ่งต้องเทศน์ให้จบภายในวันเดียว (113-114) แต่ในปัจจุบันบางพิธีกรรมก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเช่นในอดีต หรือถูกลดทอนและเปลี่ยนแปลงทัศนคติดั้งเดิมไปเสียใหม่ อันเนื่องมาจากวันเวลาที่ผ่านไป และการติดต่อรับเอานวัตกรรมจากโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น (หน้า 157)

Education and Socialization

ความที่ไทยพวนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความสามารถในเชิงกาพย์กลอน ทำให้ไทยพวนแต่งบทกลอนต่างๆ ขึ้นเพื่อบรรยายถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตนำมาประกอบในกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงการบอกเล่าสู่ลูกหลาน อันเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ ภูมิปัญญา จารีตประเพณี เพื่อสืบสานเอกลักษณ์ของกลุ่ม (หน้า 171) วิธีนี้สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคมของไทยพวนบ้านกล้วยที่เน้นความแน่นแฟ้นระดับเครือญาติ ในขณะที่ความรู้ในศาสตร์วิชาสมัยใหม่ เด็กในหมู่บ้านสามารถเรียนรู้จากการศึกษาในระบบตามโรงเรียนในแต่ละชั้นปี ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละครอบครัวในการส่งเสียค่าเรียนของลูก (หน้า 142)

Health and Medicine

การเน้นความสัมพันธ์ในระบบทางเครือญาติของไทยพวนบ้านกล้วย ขยายผลไปยังการรักษาพยาบาลและการดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพอนามัยซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในครอบครัวและในชุมชน (หน้า 81) โดยไทยพวนมีความรู้ในการนำสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่นมารักษาความเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรงมากนัก และยังมีการนำความเชื่อเรื่องผี ไสยศาสตร์มาบรรเทาอาการป่วยขั้นรุนแรง เช่น การให้หมอผีมาเสกคาถาอาคม การนิมนต์พระสงฆ์มารดน้ำมนต์เพื่อขับไล่ผีและความเจ็บป่วยออกจากร่างกาย เป็นต้น ต่อมาเมื่อทางการได้ก่อตั้งโรงพยาบาลประจำอำเภอ ชาวบ้านจึงได้หันมารักษาอาการเจ็บป่วยตามการแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 151) แต่การเดินทางและความพอเพียงในการรักษาเป็นไปอย่างยากลำบากจนกระทั่ง ใน พ.ศ. 2538 ชาวบ้านและเจ้าอาวาสวัดกัทลีพนารามจึงได้รวมกันบริจาคทรัพย์สินเพื่อสร้างสถานีอนามัยประจำหมู่บ้านขึ้น (หน้า 77) ชาวบ้านจึงได้หันมารักษาการเจ็บไข้ได้ป่วยตามการแพทย์มากขึ้น แต่ในการรักษาบางกรณี เช่น มีอาการป่วยมากขึ้น ชาวบ้านก็ยังใช้การรักษาพยาบาลและความเชื่อแบบเดิมๆ ควบคู่กันไปด้วย (หน้า 151)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

วัฒนธรรมทางวัตถุที่เป็นเอกลักษณ์รู้จักกันอย่างแพร่หลายของคนภายนอกของไทยพวนบ้านกล้วย เช่น ผ้ามัดหมี่ ถูกเปลี่ยนสภาพไปหลังจากการรับนวัตกรรมทางวัตถุจากภายนอกเข้ามา จากเดิมที่สตรีชาวบ้านกล้วยจะทอผ้ามัดหมี่ไว้ใช้เองหรือมอบให้แก่แม่สามีในวันแต่งงาน กลายเป็นการทอเพื่อเป็นสินค้าออกขายให้แก่บุคคลทั่วไป (หน้า 145) รวมไปถึงงานประดิษฐ์ที่ใช้ในงานพิธีกรรมอย่างเช่น บายศรี และบั้งไฟ เป็นงานที่ละเอียดอ่อน หาผู้มีฝีมือในการประดิษฐ์ได้ยากในปัจจุบัน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการถูกลดทอนความสำคัญของงานพิธีกรรม ทั้งในขั้นตอนและความเชื่อที่แฝงอยู่ในงานพิธีกรรม (105, 119) คนรุ่นใหม่มีการรับเอานวัตกรรมจากภายนอกมามากขึ้น เพื่อใช้ทุ่นแรงทุ่นเวลาของตน จนทำให้วัฒนธรรมทางวัตถุของกลุ่มถูกลดบทบาทลง

Folklore

ผู้เขียนได้ใช้การศึกษาด้านพิธีกรรมในการบอกเล่าตำนานประจำกลุ่มไทยพวน มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นในแบบมุขปาฐะผ่านทางกาพย์กลอน ที่นอกจากจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมแล้วยังสะท้อนสังคมคตินิยมของไทยพวนและสอดแทรกวรรณกรรมที่ซ่อนอยู่ในพิธีกรรมนั้นๆ (หน้า 171) นอกจากนี้ไทยพวนบ้านกล้วยยังได้มีตำนานเกี่ยวกับวีรบุรุษท้องถิ่นที่เล่าขานต่อๆ กันมา จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง สู่การเป็นตำนานที่ลูกหลานก็ได้ให้ความเคารพนับถือจนกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สืบต่อกันมา

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การธำรงเผ่าพันธุ์ของไทยพวนบ้านกล้วยในอดีตมีความเคร่งครัดในการแต่งงานเฉพาะภายในกลุ่มหรือคนหมู่บ้านเดียวกัน (Endogamy) แต่ภายหลังการพัฒนาชุมชนของทางการ มีการตัดถนนทำให้การคมนาคมสะดวก และวัฒนธรรมเมืองก็ไหลบ่าเข้ามาครอบงำคนในชุมชน คนหนุ่มสาวออกไปทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้มีโอกาสพบปะบุคคลภายนอกและแต่งงานกับคนนอกกลุ่มตามความพอใจส่วนตัวของแต่ละคน การธำรงเผ่าพันธุ์ของไทยพวนในหมู่บ้านกล้วยจึงไม่สามารถควบคุมได้เหมือนในอดีต (หน้า 82 - 83) ประชากรในหมู่บ้านจึงเริ่มมีคนไทยเข้ามาปะปนกับไทยพวนมากขึ้นเรื่อยๆ (หน้า 78)

Social Cultural and Identity Change

ชีวิตความเป็นอยู่ของไทยพวนบ้านกล้วยที่ดำเนินมาเฉกเช่นบรรพบุรุษนับแต่ย้ายถิ่นฐานมากว่า 200 ปี เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ทางการได้ตัดถนนและขุดคลองชลประทานเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา (หน้า 140-141) พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มที่จะประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนคนเมืองมากขึ้น ในขณะที่ขนบธรรมเนียมประเพณี คติความเชื่อประจำกลุ่มชาติพันธุ์ดำรงอยู่แต่ในหมู่ผู้สูงอายุวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเท่านั้น (156-157) ดังนั้นแนวโน้มที่วัฒนธรรมของไทยพวนจะสูญหายไปในหมู่บ้านกล้วยจึงมีสูงขึ้นเรื่อยๆ การรับนวัตกรรมจากภายนอกไม่เพียงแต่ทำให้รูปแบบพิธีกรรมของไทยพวนบ้านกล้วยเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อ แนวคิดและวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในพิธีกรรมนั้นจืดจางลงไปด้วย ความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างเครือญาติ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันที่สะท้อนให้เห็นในงานพิธีกรรมของไทยพวนบ้านกล้วยค่อยๆ หมดความสำคัญลง การมีเครื่องอำนวยความสะดวกตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภคที่ทันสมัย ความรวดเร็วและสะดวกสบายในการซื้อสินค้า ทำให้การพึ่งพิงระหว่างคนในหมู่บ้านถูกตัดทอนลงไป นอกจากนี้นวัตกรรมทางวัตถุและที่ไม่ใช่วัตถุยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อในธรรมชาติและผีสางเทวดา โดยคนรุ่นใหม่ได้หันไปเชื่อวิทยาศาสตร์มากขึ้น พิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติจึงค่อยๆ หมดไป (หน้า 159-160)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ข้อมูลเชิงปริมาณที่ผู้เขียนนำเสนอไว้เป็นตาราง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผลการศึกษา เช่น ตารางการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก (หน้า 148) ให้ภาพที่ชัดเจนของการเปลี่ยนพฤติกรรมการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของไทยพวนบ้านกล้วย ส่งผลให้พิธีกรรมที่เกี่ยวของกับการเกษตรและดินฟ้าอากาศไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป ตารางแสดงสัดส่วนการประกอบอาชีพของชาวบ้านหมู่ 5 สรุปการเปลี่ยนแปลงและการยึดถือปฏิบัติ และตารางแสดงเครื่องใช้ไฟฟ้าในแต่ละครัวเรือน (88, 139, 146)

Text Analyst เอกสุดา สิงห์ลำพอง Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG พวน ไทยพวน ไทพวน, ความเชื่อ, พิธีกรรม, การรับนวัตกรรม, การพัฒนา, การปรับตัว, ลพบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง