|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เกษตร,ชาวเขา,เศรษฐกิจพอเพียง,ทฤษฏีใหม่,ครอบครัว,เชียงใหม่ |
Author |
ลีศึก ฤทธิ์เนติกุล |
Title |
เกษตรทฤษฏีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อครอบครัวผาสุก : กรณีศึกษา นายหวังกี่ ลี เกษตรกรชาวเขาเผ่าม้ง ในจังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
55 |
Year |
2542 |
Source |
ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานประชาสงเคราะห์ จ.เชียงใหม่ |
Abstract |
ศึกษาครอบครัวของนายหวังกี่ ลี เกษตรชาวเขาเผ่าม้งในจังหวัดเชียงใหม่ที่ใช้ระบบการเกษตรอิงทฤษฏีใหม่และดำเนินชีวิตตามเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริ เพื่อครอบครัวผาสุก รวมถึงวิวัฒนาการการทำเกษตร การบริหารแรงงานและกิจกรรม
ในครัวเรือน จากการศึกษานี้พบว่า ครอบครัวนายหวังกี่ ลี สามารถเลี้ยงตัวเองได้ด้วยการปลูกข้าว พืชไร่ เลี้ยงสัตว์ และค้าขายภายในหมู่บ้าน แม้จะไม่สามารถทำเงินได้มาก เนื่องจากไม่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดใดชนิดหนึ่งได้มากจากการทำการเกษตรระบบผสมผสาน แต่ก็มีผลผลิตพอบริโภคตลอดทั้งปี ครอบครัวของนายหวังกี่ ลี มีไข่และเนื้อสัตว์บริโภคเป็นอาหารปกติ ในขณะที่ครอบครัวอื่นซึ่งมีฐานะดีกว่าถือว่า อาหารพวกเนื้อและไข่เป็นของหายาก อีกทั้งในส่วนของผลผลิตที่มีมากเกินกว่าการบริโภคก็แบ่งขายเป็นรายได้เสริม มีเงินพอแก่ความจำเป็น ไม่เป็นหนี้เป็นสิน สามารถนำไปซื้อสิ่งของจำเป็นในเมืองและส่งลูกไปศึกษาต่อในเมืองได้
จากการสังเกตของผู้วิจัยพบว่าสมาชิกในครัวเรือนของนายหวังกี่ ลี ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีการแบ่งงานกันทำตามศักยภาพกระจายแรงงานอย่างเหมาะสมในหมู่สมาชิกในครอบครัว หากเกิดความสับสน นายหวังกี่ ลี จะเป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้ายให้ทุกคนปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นการจัดการตามจารีตประเพณีที่สืบทอดกันมา |
|
Focus |
กรณีศึกษาครอบครัวนายหวังกี่ ลี เกษตรกรชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งทำการเกษตรและดำรงชีวิตโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
นายหวังกี่ ลี เกิดเมื่อปี พ.ศ.2482 ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อครั้งยังเด็กบิดาเสียชีวิต มารดาไปแต่งงานใหม่ ปู่รับไปเลี้ยงดู เมื่อปู่เสียชีวิตลงจึงได้อพยพตามญาติผู้น้องของปู่คือ นายเล่าหลือ ลี จากเขตอำเภอแม่แตง มายังหมู่บ้านพระบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม ต่อมานายเล่าหลือเกิดคดีความขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้าน เกรงว่าจะได้รับอันตรายจึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่หมู่บ้านแม่สา
ในขณะที่บ้านปางป่าคา (หมู่บ้านของอดีตทหารจีนของเจียงไคเซ็คตกค้างอยู่ในไทย) ประกอบอาชีพค้าชายฝิ่นเป็นหลัก เป็นชุมชนจีนฮ่อที่รัฐไทยไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้ มักเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ไทยกลายเป็นสงครามกองโจรย่อย ๆ ทหารจีนฮ่อเหล่านี้มักใช้อิทธิพลข่มขู่ม้งที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ จนทางการต้องเปิดยุทธการ "ปางป่าคา" เป็นสงครามฝิ่นครั้งแรกในไทย โดยใช้ปฏิบัติการจิตวิทยากันม้งออกจากพื้นที่สู้รบ
เมื่อยุทธการสิ้นสุดลง ชุมชนทหารจีนฮ่อถูกปราบราบคาบ ชุมชนม้งก็พลอยได้รับผลกระทบด้วย มีการอพยพโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น ทำให้เกิดหมู่บ้านหรือชุมชนใหม่ ครอบครัวนายเล่าหลือ ลีจีงอพยพจากบ้านแม่สา อำเภอแม่ริม มาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านดอยปุย เขตอำเภอหางดง เมื่อในหลวงเสด็จเยี่ยมชาวเขา (ก่อนปี 2512) ทรงแนะนำให้นำยอดท้อพันธุ์ดีมาปลูกแทนรายได้จากการปลูกฝิ่นและการปลูกท้อพันธุ์พื้นเมืองที่มีอยู่ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้นับเป็นจุดก่อกำเนิด "มูลนิธิโครงการหลวง" และ "โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา" ในปัจจุบัน (หน้า 18 - 20) |
|
Settlement Pattern |
ชาวเขาเผ่าม้ง ได้แบ่งระดับพื้นที่ในการทำเกษตรตามจารีตเป็น 3 ระดับดังนี่
1. ระดับสูง มีลักษณะเป็นป่าดิบเขา หรือ ป่ามรสุม พืชที่ปลูกเป็นไม้ผลัดใบ และเป็นพืชต้นใหญ่ที่สูงตั้งแต่ 30 เมตรขึ้นไป เหมาะสำหรับการปลูกข้าวโพดพันธุ์พื้นเมือง เช่น ข้าวโพดเหนียว และข้าวโพดเจ้า ปลูกฝิ่น ปลูกกล้วย และอ้อย
2. ระดับกลาง ความสูง 100 เมตรลงมา ต้นไม้ใหญ่มีความสูงประมาณ 15 เมตร ส่วนใหญ่เป็นไม้ผลัดใบ มักมีไฟป่าในฤดูแล้ง พื้นที่ระดับนี้เหมาะกับการปลูกข้าวไร่ ข้าวนาดำ ข้าวโพดพันธุ์สีเหลือง และพันธุ์พื้นเมือง
3. ระดับพื้นราบ รวมถึงพื้นที่ที่เป็นภูเขาเตี้ย บริเวณแอ่งกะทะ เป็นที่ดินของคนพื้นราบ ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ต้องห้าม เพราะมีอากาศร้อนอบอ้าว เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิด เหมาะสำหรับปลูกข้าวนาดำ ข้าวไร่ ปลูกผักชนิดต่าง ๆ (หน้า 3) |
|
Economy |
อาจกล่าวได้ว่า ชุมชนม้งมีวิวัฒนาการในการทำเกษตรดังนี้
1. ยุคเกษตรจารีตประเพณี ในยุคแรกเริ่มมีการปลูกข้าวโพดและฝิ่นขายให้ทหารจีนฮ่อ แล้วซื้อข้าวกินจากคนพื้นราบ ชุมชนม้งเริ่มขยับขยายลงมาบุกเบิกพื้นที่ทำกิน เพื่อปลูกข้าวไร่ตามที่ราบลุ่มขอบกระทะ ได้รับถ่ายทอดความรู้ในการทำนาดำมาปรับพื้นที่ทำนาแบบขั้นบันได รวมกับการผลิตข้าวไร่ ข้าวโพดและฝิ่น ทำให้มีอาหารเพียงพอต่อการดำรงชีพ
2. ยุครับนวัตกรรมจากภายนอก อาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ดังนี้คือ
- ช่วงที่รับพืชใหม่จากชาวจีนและคนพื้นราบ อาทิ ฝิ่น ท้อและมันฝรั่งมาปลูกเพื่อการค้า ฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริมจากทางการในเวลานั้น และสามารถแปรเป็นข้าวของเครื่องใช้ปัจจัยสี่ที่จำเป็นอื่น ๆ
- ช่วงที่รับพืชใหม่จากโครงการหลวง ทรงพระราชทานพันธุ์ไม้พืชผักเมืองหนาวและไม้ผลให้เกษตรกรปลูกทดแทนฝิ่น อาทิ มันฝรั่ง ผลไม้ พืชผัก และไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว พร้อมพระราชทานเงินทุนหมุนเวียน มีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการหลวงเพื่อพัฒนาชาวเขาขึ้น เพื่อส่งเสริมให้อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ ให้เลิกปลูกฝิ่น
- ช่วงที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาของกรมประชาสงเคราะห์ เข้ามามีบทบาทในการสร้างกิจกรรมการพัฒนาแบบบูรณาการ ให้กับชาวเขาตามหมู่บ้านต่าง ๆ อาทิ การเกษตร การศึกษา การสาธารณสุขและงานความมั่นคง มีการยกระดับคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น ชาวเขาได้รับการศึกษาและบริการสาธารณสุขมากขึ้น ลดการปลูกพืชเสพติดและไม่ก่อปัญหาด้านความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดให้ " คนอยู่กับป่า" และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยพัฒนาลุ่มน้ำขนาดเล็กและใช้แนวทางการเกษตรเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้เกิดการใช้ดินอย่างถาวร (หน้า 20-24)
3. ระบบการเกษตรในปัจจุบัน หมายถึง เกษตรกรสามารถทำการเกษตรแบบผสมผสาน โดยบูรณาการกิจกรรมทั้งหลายเข้าไว้ด้วยกัน อาทิ การปลูกไม้ผลยืนต้น การปลูกผัก พืชไร่ ข้าวนาดำ การเลี้ยงปศุสัตว์ การประมง สามารถบริหารแรงงานและการเงินในครัวเรือนได้อย่างเหมาะสม ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นครอบครัวผาสุกตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงตัวเองได้ ด้วยการปลูกข้าว ปลูกพืชไร่-พืชสวน เลี้ยงสัตว์ และค้าขายภายในหมู่บ้าน(หน้า 25-28)
สำหรับครอบครัวชองนายหวังกี่ ลี ได้ปรับใช้ทฤษฎีใหม่กับพื้นที่การเกษตรบนพื้นที่สูง คือ พื้นที่ทำนาขั้นบันได พื้นที่ปลูกพืชไร่ ปลูกไม้ยืนต้น ขุดบ่อน้ำหรือบ่อปลา พื้นที่เลี้ยงสัตว์และพื้นที่อยู่อาศัย ข้อจำกัดที่พบก็คือ การใช้ระบบเกษตรแบบผสมผสาน ทำให้ไม่สามารถผลิตพืชทำเงินชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถทำเงินได้มากเช่นครอบครัวอื่น แต่ก็มีผลผลิตทุกชนิดที่จำเป็นต่อการบริโภคในครัวเรือนตลอดทั้งปี ที่เหลือจากการบริโภคก็แบ่งขายเป็นรายได้เสริม มีพื้นที่ปลูกพืชผัก และเลี้ยงสัตว์ แม้จะไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ก็มีเงินพอแก่ความจำเป็น ไม่เป็นหนี้เป็นสิน
พื้นที่ทำการเกษตรถูกจัดสรรการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมตามความลาดชัน และรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ นายหวังกี่ ลี ได้อิงแนวทฤษฎีใหม่ แม้สัดส่วนพื้นที่และลักษณะแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรจะไม่เป็นไปตามนั้นทุกประการ แหล่งน้ำของนายหวังกี่ ลี เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกดูดซับไว้จาก ป่าไม้และรากพืช สายน้ำจากลำห้วยที่ซึมจากช่องเขา จะถูกปล่อยหรือซึมออกมาป้อนให้อ่างน้ำขนาดเล็กตลอดเวลา ไม่มีพร่อง บ่อนี้ยังสามารถใช้เลี้ยงปลาได้ (หน้า 16, 37-38)
ในส่วนของระบบการเกษตร นายหวังกี่ ลี จะปลูกพืชจำพวกท้อและลิ้นจี่ ผสมผสานในพื้นที่เดียวกัน เป็นการเกื้อกูลกันระหว่างพืชรากลึกกับพืชรากลอย เศษซากพืชใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ มูลสัตว์ใช้เป็นปุ๋ยให้กับพืช ปลักควายช่วยให้บรรดาสัตว์และพืชอยู่รอดในฤดูแล้ง ในขณะที่รอบบริเวณมีหญ้าขึ้นใช้เป็นอาหารสัตว์ในช่วงฤดูร้อน สำหรับการเกื้อกูลต่อกันในแง่แรงงานและรายได้ มีการกระจายอย่างเหมาะสม มีการใช้แรงงานและมีรายได้ตลอดปี สมาชิกในครัวเรือนไม่มีปัญหาการว่างงาน ผลผลิตทางการเกษตรมีพอเพียงภายในครัวเรือน หากเหลือก็นำออกขายนำเงินมาซื้อสิ่งของจำเป็นจากในเมือง (หน้า 38-39)
การจัดแรงงานครัวเรือน มักจัดให้เหมาะสมตามจารีตประเพณีที่สืบทอดกันมา คือจัดวางตามความหนักเบาและความละเอียดอ่อนของงาน คนแต่ละเพศแต่ละวัยจะถูกจัดวางให้เหมาะสมกับงานแต่ละอย่าง งานกำจัดวัชพืช เก็บเกี่ยวพืชผลทุกเพศวัยทำร่วมกันได้ งานคัดเลือกดูแลรักษาเมล็ดพันธุ์พืช เย็บปักถักร้อย เก็บพืชผักในไร่เป็นหน้าที่ ของผู้หญิง งานจักสาน เตรียมเครื่องมือการเกษตร ล่าสัตว์ หาของป่าเป็นหน้าที่ของผู้ชาย (หน้า 29 - 30)
สำหรับการบริหารงานในครอบครัวนายหวังกี่ ลี ผู้หญิงรับผิดชอบงานต่าง ๆ อาทิ ตำข้าว เตรียมอาหาร ล้างถ้วยชาม ให้อาหารปลา ดูแลหมู กำจัดวัชพืช เตรียม-คัดเลือก-หว่านและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ เกี่ยวข้าวใหม่ ปลูกพืชผักสวนครัว-สมุนไพร เกี่ยวหญ้า เก็บฟางแห้ง ส่วนผู้ชายรับผิดชอบงานต่าง ๆ อาทิ เตรียมดิน เตรียมเครื่องมือเกษตร ปรับปรุงคันนา ฉีดพ่นสารเคมี จัดระบบชลประทาน ขนส่งบรรจุลงยุ้งฉาง ขุดบ่อปลา จัดหาพันธุ์ปลา จับปลา สร้างคอกหมู วัวและเล้าไก่ รักษาโรคสัตว์ ส่วนด้านการค้าขาย สมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันนำของชำภายในหมู่บ้านและผลผลิตทางการเกษตรไปจำหน่ายนอกหมู่บ้าน จะแบ่งหน้าที่กันทำตามจิตสำนึก นายหวังกี่ ลี จะเป็นผู้ชี้ขาดคนสุดท้ายให้ทุกคนปฏิบัติตาม หากเกิดความสับสน นอกจากนี้ ครอบครัวยังแบ่งรายได้บางส่วนส่งเสียบุตรบางคนไปศึกษาต่อในเมือง เพื่อระบายคนออกไปทำมาหากินที่อื่น เนื่องจากพื้นที่เกษตรมีจำกัด (หน้า 16, 30-33)
ด้านการบริโภค ครัวเรือนนายหวังกี่ ลี บริโภคอาหารอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ก็ไม่ถึงกับขาดแคลน ระหว่างปีแม่บ้านมีกิจกรรมที่ต้องทำคือคัดเลือกหมูที่มีสุขภาพดีมาขุนด้วยอาหารพิเศษ ภาษาม้งเรียกหมูขุนว่า "บัวเจี๊ยะ" นำมาประกอบอาหารเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเลี้ยงญาติมิตร นำส่วนต่าง ๆ ของหมูมาปรุงเก็บไว้บริโภคได้นานหลายเดือน หรือตลอดปี นอกจากนี้ยังมีเป็ด ไก่และปลาเป็นอาหารโปรตีนเสริมไว้รับประทานตลอดปี เด็ก ๆ ในครอบครัวนายหวังกี่ ลีต่างจากครอบครัวอื่นซึ่งมีฐานะดีกว่า คือไม่อยากกินเนื้อกินไข่ เพราะถือเป็นอาหารปกติในครัวเรือน ในขณะที่เด็กครอบครัวอื่นถือว่า อาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์และไข่เป็นของหายาก (หน้า 35-36) |
|
Social Organization |
เมื่อประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจ แรงงานอพยพกลับสู่ชนบทภูมิลำเนาเดิม ส่งผลให้โครงสร้างของครอบครัวกลายเป็นครอบครัวขยาย (Extended Family) เพิ่มขึ้น (หน้า 12)
อย่างไรก็ดี โครงสร้างครอบครัวเดิมของหวังกี่ ลี เมื่อครั้งยังเด็ก มีสถานภาพไม่ต่างจากเด็กกำพร้า เนื่องจากบิดาเสียชีวิตและมารดาไปแต่งงานใหม่
ตามประเพณีม้ง ญาติจะไม่ยินยอมให้บุตรชายตามมารดาไป หากเด็กจะต้องใช้นามสกุลหรือแซ่สามีใหม่ต้องจ่ายค่าตัวเด็กให้ญาติ หวังกี่ ลี จึงต้องอยู่กับปู่คือหวังเฉา ลี เมื่อปู่เสียชีวิตจึงฝากให้ญาติผู้น้องคือ เล่าหลือ ลีช่วยดูแล (หน้า 18)
สำหรับสภาพความเป็นจริงในครัวเรือนของนายหวังกี่ ลี คือ นายหวังกี่ มีบุตร 6 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 2 คน ภรรยาเสียชีวิต แต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบัน มีลูกชายติด มา 1 คน จากการสังเกตการณ์พบว่า สมาชิกในครัวเรือนไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ต่างแบ่งงานกันทำตามศักยภาพ นายหวังกี่ ลีส่งบุตรชายไปบวชเณร 1 คน เมื่อสึกออกมาก็ไปประกอบอาชีพในเมือง (หน้า 42)
บุตรสาวของนายหวังกี่ ลีได้ออกเรือนไปแต่งงานกับหนุ่มม้งแซ่ย่าง (ตระกูลหยาง) มีฐานะค่อนข้างยากจน ตั้งแต่ปี 2542 นายหวังกี่ ลีไม่ได้เรียกร้องให้รีบจ่ายค่าสินสอดตามประเพณีแต่อย่างใด ต่างจากครอบครัวเพื่อนบ้านที่มักมีปัญหาคดีความจากการแต่งงานและค่าสินสอด สำหรับบุตรสาวต้องย้ายไปอยู่กับฝ่ายชายตามประเพณีชาวเขาเผ่าม้ง ส่วนลูกชายซึ่งเป็นแรงงานหลักก็ได้ภรรยาเป็นคนอำเภอเชียงดาว ลูกชายและลูกสะใภ้ ได้กลายมาเป็นแรงงานหลักในการผลิต และช่วยแบ่งเบาภาระในครัวเรือน (หน้า 36) |
|
Political Organization |
จากประวัติโดยย่อของนายหวังกี่ ลีพบว่า นายเล่าหลือ ลีผู้ให้การเลี้ยงดูนายหวังกี่ ลีเคยมีปัญหาขัดแย้งกับผู้มีอำนาจ ใช้อิทธิพลท้องถิ่นรีดไถเงินจากลูกบ้าน เมื่อนายเล่าหลือ ลีแสดงความเห็นคัดค้านกลับถูกพิพากษาโทษ ฐานลบหลู่ดูหมิ่นผู้นำชุมชน ด้วยการเฆี่ยนตีด้วยอวัยวะเพศตากแห้งของวัวตัวผู้ นายเล่าหลือ ลี ได้แจ้งความต่อสถานีตำรวจภูธร อำแภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถูกจับกุมมาดำเนินคดี ความขัดแย้งกับผู้นำชุมชน ยังคงมีบริวารทรงอิทธิพลอยู่ในหมู่บ้านทำให้นายเล่าหลือ จำต้องอพยพหนีภัยไปอยู่หมู่บ้านอื่น (หน้า 18-19)
เมื่ออิทธิพลเถื่อนของสังคมแบบชนเผ่าถูกกำจัดออกไป ครอบครัวนายหวังกี่ ลี ก็ได้รับผลกระทบจากกระแสการพัฒนาเชิงครอบงำของภาครัฐ ซึ่งมักควบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จในชุมชนมาโดยตลอด จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายส่งเสริมให้ชาวเขาเผ่าม้งปลูกฝิ่นขายให้รัฐ ให้เลิกปลูกฝิ่น ส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการค้า แล้วกลับหันมาสู่การเกษตรเชิงอนุรักษ์ นายหวังกี่ ลีไม่ได้เดือดร้อนต่อการเปลี่ยนกลับไปมาดังกล่าว อาศัยภูมิปัญญาดั้งเดิมผนวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ แล้วยึดแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางดำเนินชีวิต (หน้า 44) |
|
Belief System |
อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวนายหวังกี่ ลี มีความเชื่อผีวิญญาณ มีการประกอบพิธีเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษและผีประจำหมู่บ้าน เจ้าป่าเจ้าเขา ด้วยการใช้หมูขุนหรือ "บัวเจี๊ยะ" นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในพิธีกรรมสำหรับปีใหม่ม้ง หรือในระหว่างฉลองปีใหม่ได้อีกด้วย
มีการใช้วัวในงานศพ งานส่งวิญญาณหรือเชิญวิญญาณบรรพบุรุษ เพราะถือกันว่า ครอบครัวที่เลี้ยงวัวนั้นตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทั้งยังเชื่อกันว่า วัวมีความสำคัญต่อพิธีกรรมว่าด้วยชีวิตหลังความตาย จำนวนและขนาดของวัวจะเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะเจ้าภาพ (หน้า 27-28, 35)
สำหรับงานบุญตามจารีตที่สำคัญชองชาวเขาเผ่าม้ง คือ งานศพ มีการไปเยี่ยมเยียนและให้ความช่วยเหลือตามสมควรด้านกำลังทรัพย์ เป็นการแสดงออกถึงความเสียสละและเป็นผู้ใจบุญ ซึ่งจะได้รับความนับถือและมาช่วยเหลือตอบแทน หากคนในครอบครัวเสียชีวิตครอบครัวนายหวังกี่ ลีจะสละเวลาไปเยี่ยมเยียน อยู่เป็นเพื่อนเจ้าภาพอย่างน้อยหนึ่งคืน หากติดภารกิจหรือมีปัญหาด้านสุขภาพก็จะมอบหมายให้บุตรชายไปแทน (หน้า 33-34) |
|
Education and Socialization |
ด้านการศึกษาของคนในครอบครัว บุตรชายคนโตของนายหวังกี่ ลีเรียนจบชั้น ป.4 บุตรสาวพูดไม่ได้ แต่บุตรทั้งคู่ก็เป็นแรงงานที่สำคัญของครอบครัว บุตรชายคนสุดท้องศึกษาด้านช่างยนต์ระดับปวส. จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ส่วนบุตรชายที่ติดภรรยามา ศึกษาระดับปริญญาตรีที่สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ ใช้เงินทุนครอบครัว ไม่เคยกู้เงินทุนการศึกษาจากรัฐ (หน้า 42)
นอกจากนี้นายหวังกี่ ลียังมอบหมายให้บุตรสาวคนโตและบุตรชายเข้าร่วมฝึกอบรมเป็นสมาชิกอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และยังมีบทบาทเป็นแกนนำสตรีชาวเขาเผ่าม้งไปช่วยบำบัดรักษายาเสพติด (หน้า 33-34) |
|
Health and Medicine |
เนื่องจากบุตรสาวและบุตรชายมีสภาพไม่สมประกอบ กล่าวคือ บุตรชายคนโตเมื่อยังเล็กเคยป่วยเป็นไข้และเป็นโรคลมบ้าหมูรักษาไม่หายจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศจนไม่สามารถมีภรรยาได้ ส่วนบุตรสาวเมื่อยังเล็กเคยป่วยเป็นไข้หนัก หลังจากนั้นก็พูดไม่ได้อีก แต่ยังคงฟังรู้เรื่อง ได้ยินตามปกติ นายหวังกี่ ลีมีความเชื่อว่าเป็นการกระทำของภูตผีปีศาจ จึงพยายามติดต่อหาหมอผีมาทำการรักษา และพาไปโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล (หน้า 43) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนภาพ 1 พื้นที่การเกษตรตามแนวทฤษฏีใหม่ ประกอบด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ อ่างน้ำขนาดเล็กในสวน ไร่นาสวนผสมและที่อยู่อาศัย (หน้า 10)
แผนภาพ 2 แสดงแนวนโยบายการพัฒนาของกรมประชาสงเคราะห์ (หน้า 13)
แผนภาพ 3 แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร (หน้า 38)
ตาราง 1 เครื่องชี้วัดความผาสุกของครอบครัว (หน้า 14-15)
ตาราง 2 รายได้หลักจากกิจกรรมการเกษตรและการค้า (หน้า 29)
ตาราง 3 ตัวบ่งชี้ความผาสุกของครอบครัวในระดับครัวเรือน (หน้า 41 - 42)
ภาพระบบการเกษตรผสมผสาน / ภาพไม้ผล ไร่ข้าวโพด บ่อปลาและนาข้าว (หน้า 51) ภาพผู้วิจัยกับครอบครัวนายหวังกี่ ลี / ภาพนายหวังกี่ ลีกับสัตว์เลี้ยงในสวนเกษตรผสมผสาน (หน้า 52) ภาพไก่พื้นบ้าน/ ภาพแม่บ้านกำลังเตรียมอาหารให้สัตว์เลี้ยง (หน้า 53) |
|
|