|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,มลายู,การเมือง,ความแปลกแยก,ปัตตานี |
Author |
หวันอับดุลเลาะฮ์ ทรงเลิศ |
Title |
ความแปลกแยกทางการเมืองของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
172 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตร รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณสมบัติส่วนบุคคลของไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดปัตตานีต่อความยึดมั่นผูกพันในศาสนา และความแปลกแยกทางการเมืองพบว่า ความยึดมั่นผูกพันในศาสนาของไทยมุสลิมมิได้มีความสัมพันธ์กับความแปลกแยกทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มุสลิมในจังหวัดปัตตานีมิได้มีความแปลกแยกมากมายนัก และมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองเช่นเดียวกับคนไทยในพื้นที่อื่นๆ ในหมู่มุสลิมเพศชายมีแนวโน้มการยึดมั่นผูกพันในศาสนาและมีแนวโน้มในการปฏิบัติศาสนกิจสูงกว่าเพศหญิง ผู้ที่มีอายุและรายได้มากกว่ามีแนวโน้มในการปฏิบัติมากกว่า กลุ่มที่สมรสแล้วมีแนวโน้มจะยึดมั่นผูกพันทางศาสนาสูงกว่ากลุ่มคนโสด อย่างไรก็ดี ตัวแปรด้านอาชีพ ระดับการศึกษา และสถานภาพสมรสเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคคลมีความแปลกแยกทางการเมือง นักศึกษามีความแปลกแยกทางการเมืองมากที่สุดเนื่องจากการตระหนักถึงปัญหาบนพื้นฐานของความรู้ ส่วนข้าราชการมีระดับความแปลกแยกทางการเมืองน้อยที่สุด กลไกแก้ปัญหาความแปลกแยกและข้อขัดแย้งอาจบรรเทาได้ด้วยการให้ความสำคัญกับมนุษย์ ในเชิงยอมรับความแตกต่างหลากหลายด้านวัฒนธรรม และยอมรับเอกลักษณ์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากไทยมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่อาศัยในพื้นที่มาแต่อดีต และเคยมีอิสระในการปกครองในฐานะประเทศราชมาก่อน ส่งผลให้มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ความผิดพลาดด้านนโยบายผสมกลมกลืนของรัฐในอดีตไม่ประสบผลสำเร็จ กลับก่อให้เกิดความขัดแย้ง แปลกแยกระหว่างไทยมุสลิมบางกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ของรัฐจนเกิดปัญหาขึ้น (หน้า 16-19, 61, 63, 65-66, 68-70, 143, 146-147, 150, 155-156) |
|
Focus |
นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยมุสลิมกับความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลาม ที่ส่งผลให้เกิดความแปลกแยกทางการเมืองในจังหวัดปัตตานี |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
มกราคม 2545 - มีนาคม 2546 |
|
History of the Group and Community |
มุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนใต้อันประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา สตูล นราธิวาส อยู่อาศัยบริเวณนี้มานานนับแต่อดีต มิได้อพยพโยกย้ายมาจากถิ่นอื่น อีกทั้งยังมีรากฐานทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันมา เคยมีอิสระและอยู่ในฐานะประเทศราช ตั้งแต่อดีต ในสมัยรัชกาลที่ 1 ปี พ.ศ.2351 ได้ทรงแบ่งปัตตานีเป็น 7 หัวเมือง คือ ปัตตานี ยะลา ยะหริ่ง ระแงะ รามัน สายบุรี และหนองจิก โดยลดฐานะเป็นหัวเมืองในความดูแลของเจ้าเมืองสงขลา ที่ได้รับแต่งตั้งโดยตรงจากกรุงเทพฯ มีการอพยพมุสลิมสู่ภาคกลาง อพยพคนไทยจากภาคกลางมาอยู่หัวเมืองทั้งเจ็ด ต่อมาเกิดกบฏในรัชกาลที่ 3 มีการกวาดต้อนไทยมุสลิมมาเป็นเชลยแถบชานเมืองกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง สมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนมาปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ทรงยุบหัวเมืองเหลือเพียง 4 หัวเมือง คือ ปัตตานี ยะลา สายบุรี และระแงะ ปี พ.ศ. 2476 มณฑลปัตตานีถูกแบ่งออกเป็น 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นโยบายการผสมกลมกลืนไทยมุสลิมเข้มข้นและครอบคลุมกว่าในอดีต การเผยแพร่ลัทธิชาตินิยม การกำหนดรัฐนิยมให้คนไทยปฏิบัติตาม มีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติและการประกาศใช้วีรธรรมแห่งชาติ 14 ข้อ ภายหลังการปฏิวัติ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนโยบายที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของไทยมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ ด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมวิทยาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มุ่งเน้นลดความแตกต่างในด้านการนับถือศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม นโยบายเปลี่ยนมุสลิมให้กลายเป็นไทยพุทธของจอมพล ป.พิบูลสงครามส่งผลกระทบต่อความรู้สึกให้ไทยมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดความแปลกแยกและผิดหวังต่อการปกครอง จนมีความคิดที่จะแยกตัวออกไป มีการจัดตั้งขบวนการทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งยังร้องเรียนต่อไปยังสหประชาชาติเพื่อให้เข้าแทรกแซง กล่าวโดยสรุปคือ การที่มุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้มีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมกัน และเคยมีอิสระในการปกครองในฐานะประเทศราช ส่งผลให้มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในแง่ที่ไม่ได้อพยพเข้ามาในประเทศไทย แต่อยู่อาศัยในบริเวณนั้นมาแต่อดีตแล้ว ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงด้านนโยบายบีบบังคับเพื่อผสมกลมกลืนด้านชาติพันธุ์ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ต้องการเปลี่ยนคนมาเลย์มุสลิมให้กลายเป็นไทยพุทธ ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างคนไทยมุสลิมกับเจ้าหน้าที่รัฐและไทยพุทธทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะมีปัจจัยกระตุ้นหลายอย่าง กลายเป็นความผิดพลาดด้านนโยบายและการปราบปรามของรัฐบาล (หน้า 16-19) |
|
Demography |
ศึกษาไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี ซึ่งมีจำนวนประชากร 498,847 คน (คิดเป็นร้อยละ 80.68 ของประชากรทั้งหมดในจังหวัดปัตตานี) ประชากรเป็นไทยมุสลิมในพื้นที่อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอเมือง อำเภอยะหริ่ง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มตัวอย่าง 100 ตัวอย่างต่อ 1 อำเภอ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายอายุ 18-35 ปี การศึกษาต่ำกว่าปริยญาตรี มีระดับการศึกษาทางศาสนาเทียบเท่าชั้นมัธยมขึ้นไป เป็นคนปัตตานีโดยกำเนิด อาศัยอยู่ในปัตตานีเป็นเวลา 26-70 ปี มีอาชีพเป็นเกษตรกรหรือรับจ้างทั่วไป มีรายได้ระหว่าง 100-6,500 บาท เป็นโสด (หน้า 144) |
|
Political Organization |
ความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลภายในบริบทและบรรยากาศทางการเมือง ไม่เอื้อให้มีการยอมรับในสิทธิและเสรีภาพของกันและกันอย่างเต็มที่ ทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกขาดขันติธรรมระหว่างกลุ่มชนที่มีความแตกต่างกัน ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงที่ยากจะหาข้อยุติได้ ผู้ปกครองมักมองว่าเป็นปัญหาการแบ่งแยกดินแดน เนื่องจากมุสลิมไม่มีความรู้สึกเป็นคนไทยแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร ส่วนมุสลิมในพื้นที่ มักมองว่า รัฐบาลไม่จริงใจ มีอคติ กีดกันและพยายามลบล้างวัฒนธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐรังเกียจ กลั่นแกล้ง รังแก สร้างสถานการณ์ ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากความแตกต่างดังกล่าวนำไปสู่ความคิดที่ต้องการจะแยกตัวเป็นอิสระและอาจมีการพัวพันกันระหว่างเจ้าหน้าที่บางกลุ่มกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล หรือกลุ่มขบวนการโจรก่อการร้าย (หน้า 18-19) จากงานศึกษาเอกสารพบว่า เงื่อนไขทางการเมืองนำไปสู่ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเงื่อนไขที่กระทบความรู้สึกไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูที่แตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2500-2516 เป็นต้นมา รัฐได้ใช้นโยบายบูรณาการ ควบคุม อุปถัมภ์ค้ำจุนสถาบันและผู้นำทางศาสนา ในขณะที่ไทยมุสลิมบางกลุ่มต่อต้านขัดแย้ง จนนำไปสู่ขบวนการต่อสู้ทางการเมือง เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า นโยบายบูรณาการไม่ประสบผลสำเร็จ (หน้า 45, 47- 48) อย่างไรก็ดี จากผลการศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมในจังหวัดปัตตานี พบว่ามีความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลามสูงพอสมควร แต่ความยึดมั่นผูกพันในศาสนาก็มิได้มีความสัมพันธ์กับความแปลกแยกทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ศาสนาอิสลามก็มิได้เป็นศาสนาที่ทำให้ผู้นับถือเกิดความแตกต่างจนแตกแยกกับมนุษย์หรือระบบใด อย่างไรก็ดี ระบบนั้นต้องไม่ส่งผลในรูปของการกดขี่ข่มเหง กีดกัน ครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ เพราะโดยปกติ วิถีชีวิตไทยมุสลิมที่ผูกพันอยู่กับศาสนาอิสลามก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิดความแปลกแยกทางการเมือง (หน้า 146-147, 150, 155) สำหรับตัวแปรเรื่องเพศและระดับการศึกษาศาสนานั้น แม้สังคมมุสลิมในภาคใต้จะให้คุณค่าและโอกาสทางสังคมกับเพศชายมากกว่า แต่ก็ไม่อาจสรุปได้ชัดเจนว่าเพศเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความยึดมั่น เพราะถูกกำหนดโดยบทบาทที่แตกต่างกัน ส่วนระดับการศึกษาด้านศาสนานั้น เป็นข้อบังคับของมุสลิมทุกคน ที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านศาสนาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งจะทำให้การยึดมั่นผูกพันต่อศาสนามั่นคงยิ่งขึ้น และจะทำให้เกิดความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นที่จะรับใช้อิสลามมากขึ้น (หน้า 147 - 148) ในหมู่มุสลิม เพศชายมีแนวโน้มการยึดมั่นผูกพันในศาสนา และมีแนวโน้มในการปฏิบัติมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากการไปละหมาดที่มัสยิด กำหนดให้เน้นหนักที่เพศชายมากกว่าเพศหญิง ซึ่งมักจะถูกกำหนดให้ละหมาดที่บ้าน และหากเพศหญิงจะเดินทางไปละหมาดจะต้องมีผู้ปกครองและญาติที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ไปด้วย นอกจากนี้ เพศหญิงยังต้องดูแลจัดการภาระทางบ้าน รวมทั้งต้องดูแลบุตรหลาน บางส่วนก็อาจไม่ทราบถึงความสำคัญของวันสำคัญทางศาสนา หรือหลีกเลี่ยงการปะปนกันระหว่างชายหญิง เพศชายมีแนวโน้มในการปฏิบัติศาสนกิจเป็นประจำ เพราะเป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นผู้นำในเรื่องต่าง ๆ ส่วนเพศหญิงปฏิบัติศาสนกิจเป็นครั้งคราวและไม่สามารถปฏิบัติได้ขณะมีประจำเดือน กลุ่มที่สมรสแล้วมีแนวโน้มจะยึดมั่นผูกพันทางศาสนาสูงกว่ากลุ่มคนโสด เพราะนอกจากคาดหวังผลแล้ว อาจคาดหวังให้เป็นแบบอย่างแก่คนในครอบครัวในการปฏิบัติศาสนกิจด้วย ผู้ที่มีอายุมากกว่ามีแนวโน้มในการปฏิบัติมากกว่า อาจเพราะอายุ ที่เหลือสั้นกว่า หรือต้องการใกล้ชิดกับพระองค์ อาจหวังในบุญที่จะได้รับในปรโลก นักศึกษายังปฏิบัติน้อย เพราะยังไม่มีอาชีพที่ชัดเจน และยังไม่ได้เป็นผู้หารายได้ด้วยตนเอง ผู้ที่มีรายได้มากมีแนวโน้มในการปฏิบัติมากกว่า เพราะการมีครอบครัวเป็นประสบการณ์ ที่ช่วยให้เข้าใจถึงความลำบากของผู้อื่นมากขึ้น (หน้า 61, 63, 65 - 66, 68-70) ผลการวิจัยเรื่องความแปลกแยกทางการเมือง พบว่ามุสลิมในจังหวัดปัตตานีไม่ได้มีความแปลกแยกมากมายนัก และมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองเช่นเดียวกับคนไทยในพื้นที่อื่น ๆ อาชีพ ระดับการศึกษา และสถานภาพสมรสเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บุคคลมีความแปลกแยกทางการเมือง นักศึกษามีความแปลกแยกทางการเมืองมากที่สุด เนื่องมาจากการตระหนักถึงปัญหาบนพื้นฐานของความรู้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่คนรุ่นใหม่มีความกระตือรือร้นทางการเมืองเพิ่มขึ้น ตัวแปรเรื่องระบบการศึกษาทำให้คนได้เรียนรู้และเข้าใจระบบการเมือง รวมถึงสามารถเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยของระบบ ส่วนข้าราชการมีระดับความแปลกแยกทางการเมืองน้อยที่สุด (หน้า 150) |
|
Belief System |
อิสลาม มาจาก "อัสละมะ" มีความหมายว่าการนอบน้อมมอบตนต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวคือ อัลลอฮ ส่วนคำว่า "มุสลิม" ใช้เรียกผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม หมายถึง ผู้ที่นอบน้อมมอบตนต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความสันติ ความหมายตายตัวคือ ศาสนาแห่งสันติภาพและความปรารถนาดี ความเป็นมิตรต่อทุกคนและไม่เป็นศัตรูต่อผู้ใด รากฐานของอิสลามมาจาก คัมภีร์อัลกุรอานที่ได้รับการเปิดเผยแก่ศาสดามูฮ้มหมัด เป็นผู้อธิบายคำสอนด้วยตัวเองโดยอาศัยคำพูด การกระทำและการเห็นด้วย ข้อรวบรวมสิ่งต่าง ๆ นี้เรียก "อัลหะดีษ" เป็นตัวกำหนดและอธิบายหน้าที่ของมุสลิม (หน้า 32-33) ศาสนาอิสลามมีคำเรียกอันบ่งถึง การศรัทธายึดมั่นถือมั่นชนิดที่ผู้ศรัทธาไม่มีทางเกิดความสงสัยใด ๆ ว่า "อากีดะฮ์" ความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลามจึงหมายถึง การศรัทธาอย่างแน่วแน่ต่ออัลลอฮ รวมถึงการยอมแสดงความจำนนโดยสมบูรณ์ทั้งในคำบัญชา การตัดสิน การเชื่อฟังและการปฏิบัติตาม สำหรับมุสลิมนั้นไม่สามารถตัดสินว่าอะไรผิดอะไรถูกตามความต้องการของหัวใจตนเอง หรือตามที่สติปัญญาของตนเองแนะนำ จากการยอมรับของสังคม ตามคำสั่งใครเพื่อเอาใจใคร หรือแม้แต่ตามที่บรรพบุรุษ ครอบครัวเคยปฏิบัติ อิสลามคือศาสนาของการกระทำ ความคิด และการพูดจาที่ถูกต้องซึ่งเกิดจากความรักในพระผู้เป็นเจ้า ความยึดมั่นผูกพันในศาสนาอิสลามวางอยู่บนหลักการดังนี้ 1. หลักศรัทธา 6 ประการ คือ ศรัทธาต่อพระเจ้า ศรัทธาต่อเทวทูต ศรัทธาต่อผู้นำสาร ศรัทธาต่อคัมภีร์ของอัลลอฮ ศรัทธาต่อวันอวสานโลก ศรัทธาต่อกำหนดสภาวการณ์ 2. หลักการอิสลาม คือ หลักปฏิบัติหรือบทบัญญัติที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามมี 5 ประการคือ การปฏิญาณตน การละหมาด การถือศีลอด ซะกาด การทำฮัจญ์ (หน้า 30-32) วันสำคัญ ศาสนาอิสลามมีวันสำคัญ 2 วัน คือ วันอีดิลฟิตรี (วันอีดเล็ก) ตรงกับวันที่ 1 เดือนเซาวาล (เดือนที่ 10 ของปีอิสลาม) ตามปฏิทินจันทรคติ และ วันอีดิลอัฏฮา (วันอีดใหญ่) ตรงกับวันที่ 10 เดือนซุลหิจญะฮ์ (เดือนที่ 12 ปีอิสลาม) การละหมาดในวันทั้งสองได้รับการบัญญัติในปีแรกแห่งฮิจญเราะฮ์ศักราช ความมุ่งหมายของการละหมาดคือ การแสวงหาความใกล้ขิดต่ออัลลอฮ การละหมาดซุนนะฮ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความบกพร่องของละหมาด 5 เวลาที่บังคับสำหรับมุสลิม ส่วนใหญ่ไปละหมาดร่วมกันที่มัสยิดเดือนรอมฎอน และในโอกาสสำคัญทางศาสนาเป็นประจำ เช่น วันอีดิลฟิตรี ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (หน้า 62, 63, 65) การกล่าววาจา "บิสมิลลาฮิรเราะห์มานิรรอหีม" ก่อนลงมือทำกิจการงานใด แสดงให้เห็นว่า มุสลิมทั้งหลายรำลึกถึงพระเจ้าตลอดเวลา การรำลึกหมายถึง สิ่งที่แสดงออกมาโดยลิ้นและจิตใจ เช่น การกล่าวให้ความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ การขจัดมลทิน การสรรเสริญ การสดุดี รวมถึงการกล่าวที่บ่งถึงความสมบูรณ์ หรือลักษณะแห่งความสูงส่งและสวยงามต่อพระองค์ สื่อถึงการทำตามแบบอย่างของ นบีมูฮัมหมัดด้วยความ ยำเกรงและศรัทธา การที่มุสลิมเริ่มกิจการงานด้วยคำกล่าวเพื่อความเป็นสิริมงคลในการงาน และหวังถึงผลบุญที่จะได้รับ (หน้า 66-67) การบริจาคสิ่งของ ในการบริจาคสิ่งของหรือทรัพย์สินเงินทอง ให้แก่การประกอบกิจกรรมทางศาสนาหรือบริจาคแก่มัสยิด ศาสนาเรียกร้องเชิญชวนโดยใช้คำพูด สำนวนจูงใจและเร้าใจเพื่อสร้างความมั่นใจสบายใจแก่ผู้บริจาค อันนำไปสู่ความเสียสละบ่งให้เห็นถึงความดี อัลลอฮตรัสว่า "พวกเจ้าจะไม่ได้คุณธรรมเลย จนกว่าจะบริจาคสิ่งที่พวกเจ้าชอบ และสิ่งใดที่พวกเจ้าบริจาคไป แท้จริงอัลลอฮทรงรู้ในสิ่งนั้นดี" ปราชญ์มุสลิม วางเงื่อนไขในการบริจาคทรัพย์สินไว้ว่า ผู้บริจาคต้องเป็นคนแข็งแรง มีอาชีพ อดทน ไม่มีหนี้ ไม่มีภาระต้องใช้จ่ายทรัพย์สินให้ใคร กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่บริจาคสิ่งของหรือทรัพย์สินเงินทองให้แก่การประกอบกิจกรรมทางศาสนา หรือบริจาคแก่มัสยิดเป็นประจำข้าราชการมีแนวโน้มในการปฏิบัติมากกว่าอาชีพอื่น เพราะสอดคล้องกับภาระหน้าที่ในการให้บริการประชาชน รวมถึงโอกาสที่เอื้ออำนวยกว่า (หน้า 69-70) |
|
Education and Socialization |
ในแง่ของการแสวงหาวิชาความรู้ มุสลิมทุกคนถือว่าเป็นหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความรู้ ความเข้าใจด้านศาสนาอย่างลึกซึ้ง นบีมูฮัมหมัดได้ให้ความสำคัญต่อการอบรมสั่งสอนให้การศึกษาแก่บรรดามุสลิม และไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านพ้นไป ผู้ที่เป็นเชลยศึกหากมีความสามารถและมีความรู้ทางด้านการเขียนก็จะได้รับการปล่อยตัวไป หากสามารถสอนให้มุสลิม 10 คนรู้จักการเขียนได้ วิชาความรู้ที่มุสลิมจำเป็นต้องศึกษานั้นได้แก่ ความรู้ที่มีความจำเป็นในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจตามคำสอนของอิสลาม หรือในเรื่องของการดำเนินชีวิตทางโลก อาจจำแนกได้ดังนี้ 1. ความรู้เกี่ยวกับอะกีดะฮ์ (ความเชื่อ) อย่างถูกต้องปลอดจากความเชื่องมงาย 2. ความรู้ที่ทำให้การประกอบอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮเป็นไปอย่างถูกต้อง 3. ความรู้ที่นำมาสู่การขัดเกลาจิตใจและอบรมบ่มนิสัย 4. ความรู้ที่กระชับพฤติกรรมของมุสลิมให้มั่นคงต่อตัวเอง ครอบครัวและผู้คนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง หรือผู้ถูกปกครอง เป็นมุสลิมหรือผู้อื่นได้รู้จักสิ่งที่เป็นเรื่องต้องห้าม หน้าที่จำเป็น อนุมัติและสิ่งที่ควร-ไม่ควร (หน้า 148-149) ในส่วนของภาครัฐ รัฐพยายามใช้กลไกด้านการศึกษาเป็นเครื่องมือในการบูรณาการไทยมุสลิมให้ถือเป็นกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย (หน้า 44) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่า มีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามหลักศาสนามากกว่ากลุ่มที่มีการศึกษาระดับต่ำอาจเนื่องมาจากมีความรู้มากกว่าทำให้ตระหนักในการปฏิบัติตามข้อกำหนดมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาสูงทั้งสายสามัญและสายศาสนา หรือคนที่ศึกษามานานกว่าจึงมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติมากกว่า (หน้า 61, 63) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อาจกล่าวได้ว่า มุสลิมมีอัตลักษณ์เฉพาะทางสังคมและวัฒนธรรม ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาอิสลามที่ยึดมั่นจนก่อให้เกิดท่าทีแยกตัวจากคนต่างวัฒนธรรม เกิดเป็น "สังคมปิด" ที่เอื้อให้แยกตัวเป็นชุมชนอิสระทางการเมือง ดังนั้น ยิ่งรัฐพยายามใช้นโยบายมุ่งเน้นเพื่อลดความแตกต่างด้านการนับถือศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม โดยใช้วิธีผสมกลมกลืนด้านชาติพันธุ์ (เพียงเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่นุ่มนวลและน่าจะได้ผลมากที่สุด) มากเท่าใด กลับยิ่งเป็นการก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก ผิดหวัง เพราะมองคนละด้าน มุสลิมในพื้นที่มองว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐพยายามลบล้างวัฒนธรรม ไม่จริงใจ อคติ กีดกัน กลั่นแกล้ง สร้างสถานการณ์ ไทยพุทธมีความรังเกียจดูถูกไทยมุสลิม ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความรู้สึกนึกคิด มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้ไทยมุสลิมและไทยพุทธเกิดความชัดแย้งกัน และสถานการณ์อาจรุนแรงขึ้น หากมีการยึดถือเอกลักษณ์ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกับไทยพุทธ (หน้า 18-19) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|