|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),นักเรียน,การปรับตัว,เชียงใหม่ |
Author |
นงลักษณ์ แก้ววงศ์ดี |
Title |
ปัญหาการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอในโรงเรียนบ้านห้วยทราย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
56 |
Year |
2547 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
ผู้เขียนพบว่า นักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอมีปัญหาการปรับตัวทางสังคมด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน และด้านความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในโรงเรียนอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีปัญหาเรื่องเพื่อนไม่ค่อยให้นักเรียนเป็นที่ปรึกษาอยู่ในระดับมาก อาจเป็นเพราะว่า นักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอที่เป็นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเพศชายอยู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ให้ความสำคัญของเพื่อนมาก ต้องการมีเพื่อนสนิทเพื่อนที่รู้ใจคอยให้คำปรึกษา แต่เนื่องจากความแตกต่างทางด้านประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยมความสนใจและระยะเวลาที่เข้ามาศึกษาทำให้นักเรียนไม่มีเพื่อนพูดคุยด้วย (หน้า 41) ส่วนปัญหาการปรับตัวด้านความสัมพันธ์กับครูและด้านความสัมพันธ์กับชุมชนอยู่ในระดับน้อย โดยนักเรียนไม่กล้าปรึกษาปัญหากับครูเนื่องจากพึ่งเข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ทำให้ยังไม่มีความไว้วางใจที่จะให้บุคคลอื่นรับรู้ปัญหาของตนเอง และคนในชุมชนยังไม่มีความสนิทสนมกับนักเรียนทำให้ไม่กล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนเท่าที่ควร (หน้า 43) |
|
Focus |
ศึกษาการปรับตัวทางสังคมของนักเรียนชาวเขาเผ่าปกากะญอในโรงเรียนบ้านห้วยทราย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
"กะเหรี่ยง" เป็นชื่อเรียกรวมๆ ที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Karen ซึ่งฝรั่งเศสเรียกตามพม่าที่มาจากคำว่า "คะยิ่น" มีความหมายว่า คนป่า คนเถื่อนหรือทาสผู้วิจัยได้ศึกษากะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw-Karen) เป็นกะเหรี่ยงกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "ปกากะญอ" ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด (หน้า 19) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเชื้อสายสะกอหรือปกากะญอในกรณีศึกษาพูดภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษาหลัก อยู่ในกลุ่มตระกูลธิเบต - พม่า (Tibeto-Burman) (หน้า 19) และพูดภาษาคำเมืองกับภาษาไทยกลางเป็นภาษาที่สอง (หน้า 21) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงที่สืบสายมาจากพวกโลโล - โนสุ (Lolo-Nosu) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพวกธิเบตได้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว แบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆได้ 4 กลุ่มคือ กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw-Karen) กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo-Karen) กะเหรี่ยงคะยา (Kayah-Karen) หรือกะเหรี่ยงบาเว (B' ghwe Karen) และกะเหรี่ยงตองสู/ตองซู่ (Thongsue, Taungthu) หรือกะเหรี่ยงปะโอ (หน้า 19) กะเหรี่ยงอาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามบริเวณจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือ ที่มีมากที่สุดได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะที่อำเภออมก๋อย และในอำเภออื่นๆ เช่น แม่แจ่ม จอมทอง อำสะเมิง และแม่วาง กะเหรี่ยงในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสะกอ (Sgaw Karen) หรือปกากะญอ ชีวิตความเป็นอยู่ที่เกือบจะใกล้เคียงกับคนพื้นราบแต่ยังมีความแตกต่างทางด้านประเพณีบางอย่างอยู่ (หน้า 21) กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw-Karen) เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด เรียกตัวเองว่า "ปกากะญอ" คำว่า "ปกากะญอ" นี้แยกออกได้เป็น 2 พยางค์ คือ "ปกา" แปลว่า คน ส่วนคำว่า "กะญอ" แปลว่า ง่าย "คนง่ายๆ" สะท้อนโลกทัศน์ของชนเผ่าที่ว่าเป็นคนที่เรียบง่าย ซื่อตรง จริงใจรักธรรมชาติ รักความสงบ ชอบเสียงเพลงและมีจิตใจอ่อนโยน สนุกสนานร่าเริงและยิ้มแย้มเป็นมิตรกับคนที่มาเยือน (หน้า 19) |
|
Demography |
นักเรียนปกากะญอในพื้นที่ที่ศึกษามีทั้งหมด 39 คนคือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 7 คนคิดเป็นร้อยละ 17.90 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 9 คนคิดเป็นร้อยละ 23.10 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 8 คนคิดเป็นร้อยละ 20.50 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 15 คนคิดเป็นร้อยละ 38.90 หากจัดจำแนกตามเพศจะมีนักเรียนชายจำนวน 25 คนคิดเป็นร้อยละ 64.10 มีนักเรียนหญิงจำนวน 14 คนคิดเป็นร้อยละ 35.90 (หน้า 30) |
|
Economy |
ลักษณะแบบแผนการผลิตและโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีลักษณะแบบยังชีพ(Subsistence Economy) กล่าวคือเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในครัวเรือน และวิธีการผลิตก็เป็นแบบประเพณีคือทำไปตามแบบอย่างที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 21) |
|
Social Organization |
โดยทั่วไปชุมชนกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอจอมทองมีองค์กรทางสังคมตามระบบจารีตเดิมมากกว่าระบบที่สร้างขึ้นใหม่ โดยโครงสร้างพื้นฐานมาจากความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติซึ่งมีพื้นฐานจากสายเลือดการแต่งงาน และการอยู่รวมกันแบบครอบครัวขยาย แต่ว่าปัจจุบันมีแนวโน้มแยกเป็นครอบครัวเดี่ยว นอกจากนี้ ตามประเพณีมีข้อกำหนดให้ผู้ชายมีภรรยาได้เพียงคนเดียวจึงทำให้ครอบครัวมีขนาดเล็ก โดยที่หลังจากแต่งงานแล้วสามีจะต้องไปอยู่บ้านภรรยาระยะหนึ่งเพื่อเป็นแรงงานให้กับครอบครัวฝ่ายภรรยา หลังจากนั้นจึงแยกออกไปอยู่ตามลำพังเฉพาะครอบครัวของตนหรืออยู่ต่อไปจนกระทั่งน้องสาวของภรรยาคนต่อไปจะแต่งงาน ส่วนลูกสาวคนสุดท้องเมื่อแต่งงานแล้วจะต้องอยู่กับพ่อแม่ตลอดไป ในเรื่องความสัมพันธ์ฉันเพื่อนนั้นกะเหรี่ยงให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนมาก โดยจะซื่อสัตย์เชื่อมั่นและศรัทธาต่อกันและถือว่าความรักใคร่สัมพันธ์กันในเผ่ามีความสำคัญกว่าความสัมพันธ์ในครอบครัว (หน้า 20) |
|
Belief System |
ชุมชนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่นับถือผี แต่ก็มีบางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และนับถือพุทธศาสนา (หน้า 40) ในการนับถือผีนั้นจะมีการสักการะบูชา คือภายในตัวบ้านจะมี "หิ้งผี" ถือว่าเป็นที่สิงสถิตของผีบรรพบุรุษผีบ้านและผีเรือน เป็นสถานที่อันเป็นที่นับถือ ผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้ ในสังคมของกะเหรี่ยงถือว่าความมั่งคั่งและการมีวัยอาวุโสเป็นสิ่งที่แสดงถึงสถานะที่สูงส่งในสังคม อย่างไรก็ตามปกากะญอก็ถือว่าการแสดงออกถึงความมั่งคั่งหรือการแสดงให้คนอื่นเห็นว่ามีสมบัติมากนั้นจะเป็นการชักชวนให้เพื่อนบ้านเห็นและมาขอความช่วยเหลือจากตน (หน้า 20) |
|
Education and Socialization |
นักเรียนปกากะญอส่วนใหญ่เป็นเพศชาย เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รองลงมาคือชั้นประถมศึกษาปีที่ 5, 6 และ 4 อายุระหว่าง 12-13 ปี รองลงมาคือ อายุระหว่าง 10-11 ปี (หน้า 40) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปกากะญอมีการติดต่อสื่อสารกับคนพื้นราบตลอด เนื่องจากต้องส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนในพื้นที่ราบ และยังมีการติดต่อกันในการซื้อขายเกี่ยวกับวัสดุในการก่อสร้างบ้าน (หน้า 20) จึงทำให้สามารถสื่อสารกับคนพื้นราบได้ดีจนทำให้พูดภาษาคำเมืองและภาษาไทยกลางได้ (หน้า 21) นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้วิถีชีวิตคนพื้นราบด้วย และด้วยการติดต่อกับคนพื้นราบนี้จึงทำให้มีการนับถือพุทธศาสนาด้วย |
|
Other Issues |
ผลจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 17 ให้มีการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ทำให้นักเรียนปกากะญอ โรงเรียนบ้านห้วยสะแพดซึ่งไม่ได้เปิดการเรียนการสอนชั้นมัธยมศึกษา ต้องไปเรียนที่โรงเรียนบ้านห้วยทราย ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาที่อยู่ใกล้ที่สุด และประกอบกับที่โรงเรียนบ้านห้วยสะแพดมีบุคลากรไม่เพียงพอในการจัดการเรียนการสอน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 ของโรงเรียนบ้านห้วยสะแพด จึงต้องมาเรียนที่โรงเรียนบ้านห้วยทรายด้วย (หน้า 40) นักเรียนปกากะญอบ้านห้วยสะแพดที่มาเรียนที่โรงเรียนบ้านห้วยทราย มีปัญหาเรื่องการปรับตัวทางสังคมด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน และสภาพแวดล้อมโรงเรียน อยู่ในระดับปานกลาง อาจเป็นเพราะนักเรียนปกากะญอกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น จึงมีปัญหาเรื่องไม่มีเพื่อนเป็นที่ปรึกษาอยู่ในระดับมาก ซึ่งอาจเพราะเป็นวัยที่ให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก ต้องการเพื่อนสนิท เพื่อนที่รู้ใจคอยปรึกษา แต่เนื่องจากความแตกต่างด้านประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ความสนใจ และระยะเวลาที่เข้ามาศึกษา ทำให้นักเรียนปกากะญอไม่มีเพื่อนพูดคุยด้วยมาก (หน้า 41) ส่วนปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน ประสบกับปัญหาเรื่องห้องน้ำไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียน อยู่ในระดับมาก อีกเรื่องคือปัญหาการใช้ห้องสมุดอยู่ในระดับน้อย เพราะมีทักษะมาจากโรงเรียนเก่าแล้ว ซึ่งแสดงว่านักเรียนสามารถนำทักษะจากสภาพแวดล้อมเดิมมาใช้กับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ (หน้า 41-42) นักเรียนปกากะญอมีปัญหาการปรับตัวทางสังคมด้านความสัมพันธ์กับครูและชุมชน อยู่ในระดับน้อย มีเรื่องนักเรียนไม่กล้าปรึกษาปัญหากับครูผู้สอนอยู่ในระดับปานกลาง และเรื่องครูไม่ให้คำปรึกษาที่ดีแก่นักเรียนอยู่ในระดับน้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า นักเรียนปกากะญอเพิ่งเข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ยังไม่มีความไว้วางใจที่จะให้บุคคลอื่นรับรู้ปัญหาของตัวเอง แต่เมื่อกล้าที่จะขอคำปรึกษาจากครู ก็จะได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสม ดังนั้น ครูควรให้ความสนใจ และเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ รวมทั้งประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี นักเรียนจึงจะกล้าเปิดเผยปัญหาของตนเอง (หน้า 43) ส่วนปัญหาความสัมพันธ์กับชุมชน เรื่องคนในชุมชนไม่ค่อยสนใจนักเรียนอยู่ในระดับปานกลาง และชุมชนไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วม อยู่ในระดับน้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ คนในชุมชนยังไม่มีความสนิทสนมกับนักเรียน ทำให้ไม่กล้าที่จะปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนเท่าที่ควร แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม แสดงให้เห็นว่าคนในชุมชนยอมรับนักเรียนปกากะญอ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน (หน้า 43) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางเพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพที่ชัดเจน ในเรื่องของข้อมูลทั่วไปของนักเรียนและระดับปัญหาการปรับตัวทางสังคมในด้านต่างๆ (หน้า 30-37) |
|
|