|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู,ความเป็นมา,วัฒนธรรม,ชีวประวัติ,ภาคเหนือ |
Author |
John R. Davies |
Title |
Life in a Lisu Village |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
133 |
Year |
2545 |
Source |
Footloose Books, Great Britain |
Abstract |
ลีซูหมู่บ้าน Dton Loong อพยพเข้ามาจากชายแดนพม่าในปี ค.ศ. 1960 ในอดีตหมู่บ้านดำรงวิถีชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียนปลูกข้าวและพืชผักต่าง ๆ และเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจหลักของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับการทำหัตถกรรมเย็บผ้าส่งออกขายนอกหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น และลีซูออกไปทำงานรับจ้างในเมืองเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมของลีซูในหมู่บ้านได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาและการติดต่อกับโลกภายนอก อย่างไรก็ตามกาลเวลาไม่สามารถย้อนกลับการที่จะดำรงวัฒนธรรมของลีซูให้คงอยู่ ขึ้นอยู่กับการที่หมู่บ้านมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และการมีสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของตนไว้ รวมถึงการที่กลุ่มคนภายนอกพยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ยอมรับ และมองเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมอื่นแม้ว่าจะเป็นวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยก็ตาม |
|
Focus |
ศึกษา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมลีซู ผ่านเรื่องเล่า ชีวประวัติของลีซู หมู่บ้าน Dton Loong รวมถึงการศึกษาเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการติดต่อกับโลกภายนอกในช่วงระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลีซูมีความคล้ายคลึงกับภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงบางกลุ่ม เช่น อาข่า ลาหู่ เป็นภาษาที่อยู่ในตระกูล Lolo-Tibetan ภาษาลีซูมีหลายสำเนียงแตกต่างกันและมีเสียงวรรณยุกต์ทั้งหมด 6 เสียง ให้ความหมายแตกต่างกัน บางครั้งเป็นเรื่องยากในการสื่อสารและทำความเข้าใจแต่ละสำเนียง ลีซูในประเทศไทยอาจจะไม่เข้าใจสำเนียงของลีซูที่อาศัยในประเทศอินเดีย ปัจจุบันลีซูในประเทศไทยที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยได้เป็นภาษาที่สอง (ตัวอย่างคำภาษาลีซู และแปลความหมายเป็นภาษาอังกฤษ หน้า 34-38) แต่ส่วนใหญ่ยังพูดภาษาไทยไม่ชัดมากนัก (หน้า 98-103) มิชชันารีประดิษฐ์ตัวหนังสือช่วยให้ลีซูมีภาษาเขียน Atapa Sinlee ลีซูผู้นับถือศาสนาคริสต์กล่าวว่า "ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะรวมลีซูเข้าไว้ด้วยกันและสืบทอดประวัติศาสตร์ให้คงอยู่ ในอดีตการสืบทอดผ่านการเล่าเรื่อง ร้องเพลงของผู้เฒ่าในหมู่บ้าน จึงมีความจำเป็นที่จะจดบันทึกบทเพลงไว้ก่อนที่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านจะตายไป" (หน้า 73) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ลีซูไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีการจดจำผ่านเรื่องเล่าและการร้องเพลง กล่าวถึงดินแดนดั้งเดิมของลีซูอยู่บริเวณเทือกเขาทางตะวันออกของที่ราบสูงที่ทิเบต หมู่บ้านของลีซูปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่กว้างตั้งแต่ในมณฑลยูนนานของจีน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ทางเหนือของพม่า และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่สืบทอดต่อกันมาในแต่ละรุ่น การร้องเพลงนั้นสามารถร้องติดต่อกันได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่ก็มีเพียงลีซูส่วนน้อยที่สามารถจดจำประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้ทั้งหมด (หน้า 19-20) |
|
Settlement Pattern |
เมื่อพบสถานที่ตั้งหมู่บ้านใหม่สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการสร้างศาลเจ้า สำหรับเทพเจ้า Apamo หมายถึงผีปู่ย่า สำหรับบอกเล่าว่าจะตั้งถิ่นฐานและทำพิธีโยนเหรียญลงในถ้วยเงิน (หน้า 55-57) จะกระทำโดยพระลีซู (หน้า 55-57) การเปลี่ยนแปลงการตั้งถิ่นฐานแบบอพยพเคลื่อนย้าย " Semi-Nomadic" ทำให้ลักษณะการตั้งบ้านเรือนเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการขาดแคลนไม้ไผ่ประกอบกับครอบครัวร่ำรวยขึ้น บ้านเรือนที่เคยสร้างจากไม้ไผ่พื้นเป็นดินเปลี่ยนมาสร้างแบบบ้านคนไทย ยกพื้นสูง ประมาณครึ่งเมตร บ้านที่สร้างใหม่ไม่มีหน้าต่าง ข้างล่างเป็นที่พบปะพูดคุยกันและเป็นที่เลี้ยงเด็ก (หน้า 43) |
|
Demography |
หมู่บ้าน Dton Loong มีประชากรประมาณ 750 คน แต่ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเช่นกัน เช่น อาข่า (หน้า 40) |
|
Economy |
ลีซูส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน Dton Loong ประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจหลักของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับการผลิตสินค้าหัตถกรรม เนื่องจากมีที่ดินในการทำไร่จำกัดไม่สามารถขยายที่ดิน และไม่สามารถอพยพโยกย้ายถิ่นฐานได้เหมือนในอดีตรวมถึงได้ผลผลิตในการเกษตรน้อยเนื่องจากการขาดแคลนการชลประทานที่ดี อาชีพหลักของผู้หญิงในหมู่บ้าน ผู้ชายฝึกเป็นช่างไม้ ช่างเงิน เล่นดนตรี และงานจักสานอื่น ๆ และมีลีซูหลายคนทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยว "Lisu Lodge" และธุรกิจการท่องเที่ยวส่งเสริมอาชีพอื่น ๆ มีการนำการแสดงดนตรีไปเล่นเป็นประจำ (หน้า 40-41) การทำไร่ ลีซูเรียนรู้การทำไร่จากครอบครัวของตนเอง ไม่ได้รับเอาเทคนิคใหม่ ๆ จากภายนอกมากนัก การทำไร่จะเริ่มจากการตัดต้นไม้ ถางไร่ เอาพุ่มไม้ออก ในช่วงปลายฤดูแล้งในเดือนมีนาคม ปล่อยพื้นที่ให้แห้งแล้วทำการเผา เทคนิคในการควบคุมไฟไม่ให้ลามไปที่อื่นจะทำการถางพื้นที่รอบ ๆ เอาไว้ ทำให้ไฟไม่สามารถลามต่อไปยังพื้นที่อื่นได้ พืชที่ปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด และผักต่าง ๆ เช่น พริกไทย มันฝรั่ง สำหรับใช้ในครัวเรือน ข้าวที่ลีซูปลูกแตกต่างจากข้าวของคนไทยที่ทำนาที่ลุ่มหรือนาขั้นบันได จะเป็นข้าวไร่ที่อาศัยน้ำฝนอย่างเดียว (หน้า 74-76) การปลูกข้าวเริ่มในต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นต้นฤดูฝน โดยจะขุดหลุมด้วยไม้และหยอดเมล็ด หลังจากนั้นอีกหกสัปดาห์จะกำจัดวัชพืช และอีกหกสัปดาห์ต่อมาจะกำจัดวัชพืชอีกครั้ง และจะเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนตุลาคม ข้าวที่ขายได้ประมาณกิโลกรัมละ 10 บาท เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จจะมีการทำพิธีขอบคุณผี มีการเซ่นไหว้ด้วยหมูและมีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน (หน้า 77) นอกจากการทำไร่ ลีซูเริ่มทำสวนลำใย และลิ้นจี่ โดยเริ่มปลูกประมาณ 8 ปีมาแล้ว เก็บเกี่ยวได้ 2 ปี เพราะต้องใช้เวลา 6 ปีถึงจะได้ผลผลิต การเพาะปลูกลำไยและลิ้นจี่ทำกำไรได้ดี แต่มีปัญหาว่าถ้าสภาพอากาศผิดปกติต้นก็จะไม่ออกผล (หน้า 76) อาชีพอื่นๆ Ami Saeyang ช่างเย็บผ้าและทำงานหัตถกรรม กล่าวว่า "ผู้หญิงลีซูปัจจุบันทำงานหัตถกรรม แต่ละวันจะต้องเย็บผ้า ประมาณ 8-9 ชั่วโมง สินค้าที่ผลิตเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ และผู้รับซื้อรายหลักคือ Tribal Cultural Centre ซึ่งนำสินค้าส่งออกนอกประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะซื้อจากตลาดในเมือง ซึ่งสีสันค่อนข้างสดใสกว่าผ้าในอดีต แต่ใช้รูปแบบดั้งเดิมของลีซู (หน้า 89-91) Atchai Sinlee ช่างทำเครื่องเงิน กล่าวว่า "ผมเป็นช่างทำเครื่องเงินมากว่า 25 ปี ผมไปเรียนกับช่างเงินอาวุโสนอกหมู่บ้าน ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถทำได้ อาจจะใช้เวลาเรียนประมาณสองปีสำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์และความสามารถ ของที่ผมผลิตส่วนใหญ่จะขายให้กับลีซู แต่บางครั้งก็จะรับทำตามที่มิชันนารีสั่ง เงินที่เป็นวัตถุดิบมักจากนำเงินเก่าของแต่ละครอบครัวออกมาทำใหม่ไม่ได้ซื้อจากข้างนอกเข้ามามากนัก รูปแบบที่ทำมักจะเป็นแบบดั้งเดิมแต่ช่างเงินแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงแบบดั้งเดิมไว้มิฉะนั้นก็จะไม่มีคนซื้อ ปกติรูปแบบที่ทำจะเป็นรูปปลาแสดงความอุดมสมบูรณ์ และผีเสื้อ แสดงความสวยงาม ปัจจุบันอาชีพช่างเงินค่อนข้างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เหลือช่างเงินรุ่นก่อนมากนักที่จะถ่ายทอดได้" (หน้า 87-88) Awoo Seayang นักดนตรีและช่างทำเครื่องดนตรีลีซู "tzee bu" ลักษณะคล้ายซึงมีสามสาย กล่าวว่า "ผมเริ่มฝึกเล่นดนตรีเมื่ออายุประมาณ 16 ปี จากพี่ชาย ผมไม่ได้รับค่าจ้างจากการเล่นดนตรีแต่จะได้รับเงินจากการทำเครื่องดนตรีขาย" (หน้า 82-85) Altar Sinlee ผู้จัดการทัวร์ของ ลีซู Lodge กล่าวว่า "ผมทำงานดูแล Lodge ในช่วงกลางวันในทุก ๆ เรื่องทั้งการบริการห้องพัก การจัดอาหาร ทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านพัก เพื่อให้แน่ใจว่าแขกทุกคนได้รับความสุขและความสะดวกสบายเมื่อมาพักที่นี่ และจะมีไกด์นำชมหมู่บ้านแต่จะระวังไม่ทำผิดกฎ ข้อปฏิบัติของหมู่บ้าน นอกจากนี้ในช่วงเวลาเย็น จะมีการจ้างคณะนักดนตรี นักเต้นรำลีซู เข้ามาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมและเข้าใจวัฒนธรรมและประเพณีของลีซูซึ่งแตกต่างไปจากวัฒนธรรมของพวกเขา" (หน้า 93-94) Asapa Saeyang ลีซูหนุ่มพนักงานเสริฟ ในไนต์คลับ เมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า "ผมทำงานเสริฟมากว่า 1 ปี เนื่องจากไม่มีงานในหมู่บ้าน จึงต้องออกไปหางานข้างนอก แต่ผมไม่ชอบทำงานเป็นพนักงานเสริฟมากนัก ถ้าผมได้งานที่ดีกว่าเช่นเป็นพนักงานขับรถผมอาจจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เพราะผมต้องการให้ลูกๆ ได้การศึกษาที่ดีกว่าจะได้มีอนาคตที่ดี" (หน้า 96-97) |
|
Social Organization |
ลีซูในประเทศไทยประกอบด้วย 7 โคตรตระกูล คือ Sinlee (ตัวต่อ) Seayang หรือ Lauyang (ขิง) Utsi (แมวป่า) Ngoapa (ปลา) Saecho (เตาไฟ) Sima (ไม้) Tshami (ผึ้ง) (หน้า 46) ลีซูต้องการมีลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่เมื่อลูกชายแต่งงานครอบครัวจะต้องหาเงินค่าสินสอดเจ้าสาว อาจจะมากถึงห้าหมื่นบาท ถ้าผู้ชายมาจากครอบครัวยากจนก็อาจจะจ่ายค่าสินสอดเจ้าสาวด้วยการทำงานในกับครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาว (หน้า 103) |
|
Political Organization |
ในประเพณีดั้งเดิมลีซูไม่มีหัวหน้าปกครอง หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนที่ชาวบ้านนับถือแต่ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองหมู่บ้าน และสามารถเปลี่ยนหัวหน้าได้ถ้าหัวหน้าเสื่อมความนิยม แต่ภายใต้การปกครองของไทยทุกหมู่บ้านต้องมีผู้ใหญ่บ้าน ลีซูยอมรับการปกครองนี้และคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่สังคมไทย (หน้า 47) |
|
Belief System |
ลีซูนับถือผี เทพเจ้า และสิ่งเหนือธรรมชาติ ลีซูเชื่อว่ามีผี เทพเจ้า สิงสถิตในสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ก้อนหิน ฟ้าร้อง สัตว์ คน ทั้งที่มีชีวิตและที่ตายไปแล้ว การนับถือเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติจะส่งผลให้วิถีการดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความสงบสุข สิ่งเลวร้าย อันตรายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการทำผิดกฎเท่านั้น ซึ่งจะมีหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมคอยช่วยเหลือในการทำพิธีกรรมเซ่นไหว้และเป็นคนกลางติดต่อระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า และลีซูให้ความสำคัญต่อการนับถือผีบรรรพบุรุษ ทุกบ้านจะมีหิ้งไม้สำหรับบูชาผีบรรบุรุษของโคตรตระกูล ภายในใจกลางบ้านตรงข้ามประตู การสืบทอดผีบรรพบุรุษจะทำในสายตระกูลฝ่ายชายเท่านั้น ปกติผู้หญิงลีซูจะไม่มีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา ยกเว้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ภรรยาสามารถดูแลแท่นบูชาผีบรรพบุรุษได้เมื่อสามีไม่อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องได้รับการบอกกล่าวไว้ล่วงหน้า (หน้า 55-57) ลีซูเชื่อในเทพเจ้าผู้สร้างโลก " Wusapa" และเป็นเทพผู้สร้างมนุษย์คนแรก แต่เทพเจ้าองค์นี้มีอำนาจมากและไม่มีใครทราบว่าท่านเป็นอะไร ท่านสร้างโลกแต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกและไม่มีผลกระทบกับสิ่งที่ท่านสร้างในขณะนี้ ลีซูไม่ได้คิดถึงเทพเจ้าองค์นี้มากนัก ในหมู่บ้านของลีซู เทพ Apamo มีความสำคัญที่สุด มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิต เป็นเทพผู้ปกป้องทุกคนจากสิ่งชั่วร้าย จากความเจ็บป่วย และจากความอดอยากขาดแคลน เทพ Apamo เป็นเสมือนประมุขของหมู่บ้าน (หน้า 58) นอกจากนี้มีเทพเจ้าอีก 4 องค์ที่สำคัญรองจาก Apamo จะมีศาลเจ้าตั้งอยู่ใกล้กันคือ เทพเจ้าประจำที่ดิน เทพเจ้าประจำไร่นา เทพเจ้าประจำพืชผล เและเทพเจ้าประจำธรรมชาติ การเซ่นไหว้เทพเจ้า Apamo จะกระทำ 2 ครั้งต่อปี การเซ่นไหว้หลักจะทำในเทศกาลปีใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ และจะมีการเซ่นไหว้อีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม ในช่วงที่พระอาทิตย์อยู่ต่ำที่สุดบนขอบฟ้า นอกจากนี้ทุกครอบครัวสามารถนำเครื่องเซ่นมาถวายเทพเจ้า Apamo ที่ศาลได้ตลอดเวลาแต่เฉพาะพระเท่านั้นที่เป็นผู้สามารถเข้าไปด้านในศาลและทำพิธีสวด (หน้า 59) การนับถือศาสนาคริสต์ ลีซูบางคนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ พระประจำหมู่บ้านแสดงความคิดเห็นว่า " การเปลี่ยนแปลงไปนับถือศาสนาคริสต์เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเนื่องจาศาสนาคริสต์มาจากตะวันตก ไม่มีประวัติศาสตร์กับพื้นที่แห่งนี้ และเป็นของชาวต่างชาติไม่เหมาะกับวิถีชีวิตลีซู และศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เห็นแก่ตัว คนศรัทธาพระเยซูเพื่อตัวเองเท่านั้น ในขณะที่ศาสนาดั้งเดิมของพวกเราการสวดเพื่อนับถือ ผีบรรพบุรุษ และสวดผู้ที่ให้เรามีชีวิต และสวดต่อ Apamo เพื่อดูแลพวกเรา" (หน้า 60) Atapa Sinlee ลีซูผู้นำถือศาสนาคริสต์กล่าวว่าสิ่งที่น่าสนในในศาสนาคริสต์คือ "พระเยซูเป็นชายยากจน มาจากครอบครัวยากจนเป็นช่างไม้ เป็นเหมือนผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ที่เขาพูดคนยากจน อ่อนแอแต่สามารถไปสวรรค์ และคำสอนของศาสนาคริสต์ให้ทุกคนดูแลกันและกัน อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับลีซูจะเลิกนับถือผีและอำนาจเหนือธรรมชาติและเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตามทุกคนในหมู่บ้านรับรู้ว่าผมไม่ได้เซ่นไหว้ผีและอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านี้ และผมมีชีวิตสงบสุข มีครอบครัวที่ดี หวังว่าจะช่วยให้ลีซูคนอื่นๆ สามารถเปิดใจยอมรับได้มากขึ้น แต่อาจจะต้องใช้เวลา" (หน้า 71) การนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ได้มีความขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิมของลีซู พระจำหมู่บ้านแสดงความเห็นว่า ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาดั้งเดิมของลีซูมีรากเหง้าเดียวกัน ลีซูในหมู่บ้านส่วนใหญ่นับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า (หน้า 60) ประเพณีเกี่ยวกับการตาย เมื่อมีคนตาย ลีซูจะทำการฝังศพ ซึ่งคนตายจะเป็นผู้เลือกสถานที่ที่จะต้องถูกฝังเอง โดยการทำพิธีผ่านหมอผีและครอบครัว การฝังศพปกติขาจะชี้ไปทางตะวันตก ศรีษะหันไปทางตะวันออก แต่สถานที่ที่จะฝังจะเป็นที่ไหนก็ได้ ในไร่ บนภูเขา แต่จะไม่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านมากนัก จะมีการทำพิธีโยนไข่ในบริเวณต่าง ๆ เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการฝัง หลังจากนั้นจะมีงานเลี้ยงเซ่นไหว้ด้วยหมู และมีการเล่นไพ่เพื่อความสนุกสนาน และในทุกปีในเดือนเมษายน วันขึ้น 15 คำ ครอบครัวลีซูจะไปเยี่ยมหลุมศพ เซ่นไหว้ด้วยหมูและถางพื้นที่เป็นเวลา 3 ปี (หน้า 64) |
|
Education and Socialization |
Cabour Sinlee เด็กชายอายุ 10 ปี กล่าวว่า "ผมไปโรงเรียนที่บ้าน Pan แม่แตง ห่างจากหมู่บ้านประมาณครึ่งชั่วโมง ผมชอบโรงเรียนเพราะได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อน ๆ เพื่อนของผมส่วนใหญ่เป็นลีชูแต่มีบางคนเป็นไทย แต่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กไทย และมีครูเป็นคนไทย เมื่ออยู่ที่โรงเรียนจะพูดภาษาไทย ภาษาลีซูจะพูดที่บ้านเท่านั้น ผมเริ่มเรียนภาษาไทยเมื่ออายุ 3 ปี ตอนนี้สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทยและลีซู แต่ผมชอบที่จะพูดภาษาลีซูมากกว่า วิชาที่ผมชอบเรียนที่โรงเรียนคือวิชาศิลปะ เพราะว่าสนุก และผมไม่ชอบวิชาอื่น ๆ มากนัก ผมมีน้องสองคน ถ้าผมไม่ไปโรงเรียนก็จะต้องคอยดูแลน้อง เมื่อผมโตขึ้นผมอยากเป็นคนเก่งเหมือนพระในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน เพื่อผมจะได้ปกป้องครอบครัวจากสิ่งชั่วร้าย หรือเป็นทหารหรือช่างเงิน สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือจักรยานจะได้ไม่ต้องเดินไปโรงเรียน" (หน้า 98-100) Alapa Laoyang นักเรียนมัธยมปลาย กล่าวว่า "ผมอายุ 18 ปี ผมไปโรงเรียนในเมืองเชียงใหม่ ผมโชคดีที่ได้เรียนหนังสือ ผมไม่มีวิชาที่ชอบแต่ผมอยากเป็นครู ผมอยากสอนหนังสือในหมู่บ้านลีซู อาจจะร่วมโครงการของรัฐ "ครูดอย" ผมต้องพูดภาษาไทยที่โรงเรียน แต่ผมชอบที่จะพูดลีซูมากกว่า ถ้าผมเป็นครูดอยงานของผมคือสอนให้เด็กชั้นประถมพูดภาษาไทย แม้ว่าเด็กส่วนใหญ่จะสามารถพูดภาษาไทยได้แต่ก็พูดได้ไม่ดีนักซึ่งจะส่งผลให้เป็นข้อจำกัดในการประกอบอาชีพของพวกเขาในอนาคต ผมไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานแต่ถ้าต้องแต่งงานก็คงจะแต่งกับผู้หญิงลีซู เนื่องจากเธอจะเข้าใจวัฒนธรรมของลีซูแต่ผมก็อาจจะตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนก็ได้ ขอเพียงเธอเป็นคนดี จิตใจดี ประพฤติดี หน้าตาดีหรือไม่ดีก็ไม่สำคัญ ผมอยากมีลูกและไม่สนใจว่าจะต้องเป็นลูกชายหรือลูกสาวแต่มีไม่มากนัก ผมอยากเลี้ยงลูกในหมู่บ้าน แต่อาจจะเป็นไปไม่ได้ ไม่มีงานมากนักที่นี่ แต่สิ่งที่สำคัญคือผมต้องการให้ลูก ๆ ของผมเรียนรู้วัฒนธรรมลีซูก่อนวัฒนธรรมไทย ผมอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่มีเพื่อนทั้งไทยและลีซู เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าบางคนชอบล้อเลียนสำเนียงของผม และในเมืองทุกคนรู้ว่าผมไม่ใช่คนไทย ผมรู้สึกสบายใจกว่าที่จะอยู่ในหมู่บ้านช่วงวันหยุด" (หน้า 100-103) |
|
Health and Medicine |
ลีซูมีความเชื่อเกี่ยวกับการเจ็บป่วยอาจจะเกิดจากการะกระทำของผี วิญญาณ อำนาจเหนือธรรมชาติ หรือการเสียขวัญ จะใช้การเซ่นไหว้เป็นการรักษาอาการเจ็บป่วย ของที่ใช้เซ่นไหว้อาจจะเป็น เงินกระดาษ ไก่ หรือหมู ตามความต้องการของผีหรือเทพเจ้าที่ได้บอกผ่านหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรม (หน้า 54) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
งานหัตถกรรม ผู้หญิงลีซูปัจจุบันทำงานหัตถกรรม แต่ละวันจะต้องทำการเย็บผ้า ประมาณ 8-9 ชั่วโมง สินค้าที่ผลิตเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ และผู้รับซื้อรายหลักคือ Tribal Cultural Centre ซึ่งนำสินค้าส่องออกนอกประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะซื้อจากตลาดในเมือง ซึ่งสีสันค่อนข้างสดใสกว่าผ้าในอดีต แต่ใช้รูปแบบดั้งเดิมของลีซู "(หน้า 89-91) การทำเครื่องเงิน ในประวัติศาสตร์ของลีซูเงินมีบทบาทสำคัญ เงินใช้จ่ายค่าสินสอดเจ้าสาว เป็นเครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า สร้อยคอ แหวน กำไล และเป็นเครื่องแสดงฐานะของครอบครัว มารดาจะให้เครื่องประดับกับลูกสาวเมื่อลูกสาวมีอายุในวัยที่จะแต่งงาน แหล่งวัตถุดิบเงินที่นำมาใช้เป็นเงินรูปีอินเดีย แต่ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านไม่ได้ซื้อเงินมาทำเครื่องเงินมากนักมักจะนำเงินเก่าของครอบครัวมาทำใหม่ รูปแบบที่ทำมักจะเป็นแบบดั้งเดิมแต่ช่างเงินแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงแบบดั้งเดิมไว้มิฉะนั้นก็จะไม่มีคนซื้อ ปกติรูปแบบที่ทำจะเป็นรูปปลาแสดงความอุดมสมบูรณ์ และผีเสื้อ แสดงความสวยงาม ปัจจุบันอาชีพช่างเงินค่อนข้างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เหลือช่างเงินรุ่นก่อนมากนักที่จะถ่ายทอดได้ (หน้า 87-88) ลีซูไม่นิยมเครื่องประดับทองมากนักแต่มีลีซูที่เข้าไปทำงานในเมืองกับคนไทยเริ่มใส่ทองเนื่องจากเป็นเครื่องแสดงฐานะในสังคมไทย และสามารถเปลี่ยนกลับเป็นเงินได้ง่าย (หน้า 88) เครื่องดนตรี ของลีซูลักษณะคล้ายซึง เรียกว่า "Tzeebu" เครื่องดนตรีคล้ายปี่ เรียกว่า " Faloo" ซึ่งจะเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ในเทศกาลเท่านั้น เมื่อมีการเล่นดนตรีจะมีการเต้นรำประกอบอยู่ด้วยเสมอ ลีซูมีบทเพลงหลากหลาย เช่น เพลงจีบสาว เพลงร้องเมื่อล่าสัตว์ เพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ (หน้า 80-83) |
|
Folklore |
ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ ลีซูเชื่อในเทพเจ้าผู้สร้างโลก " Wusapa" และเป็นเทพผู้สร้างมนุษย์คนแรกจากขึ้ผื้ง สร้างชายและหญิง ทั้งสองถูกสั่งไม่ให้มีลูกกัน พวกเขาจึงแยกจากกัน ผู้ชายไปทางเหนือ ผู้หญิงไปทางใต้ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาหากัน พวกเขารักกันมากจน Wusapa ยอมยกโทษให้พวกเขาและให้พวกเขามีลูกด้วยกัน (หน้า 61-63) ตำนานเรื่องการเพาะปลูกข้าว ลีซูเชื่อว่าสุนัขนำเมล็ดข้าวมาให้สำหรับการเพาะปลูก ฉะนั้นเมื่อตำข้าวครกแรกจะนำข้าวใหม่ให้กับสุนัขเพื่อเป็นการระลึกถึงความดีที่สุนัขนำเมล็ดข้าวมาให้ (หน้า 77) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
วัฒนธรรมลีซูเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกวัฒนธรรมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป แต่การเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา และได้เกิดขึ้นกับลีซูและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ บนพื้นที่สูงในภูมิภาคนี้ ปัจจุบันลีซูเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาตลาดมากขึ้นและผสมผสานเข้าสู่สังคมไทย ซึ่งไม่ได้เกิดมาจากผลของการพัฒนาและแนวนโยบายจากรัฐเพียงอย่างเดียว แต่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นไทยมากขึ้นสร้างผลประโยชน์ให้กับลีซูด้วยเช่นกัน เด็กลีซูรุ่นใหม่สามารถพูดและเขียนไทยได้ ออกมาทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น วัฒนธรรมลีซูไม่ได้แยกออกโดดเดี่ยวแต่ได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมภายนอกด้วย วัฒนธรรมของลีซูจะอยู่รอดได้ถ้ามีความเข้มแข็ง ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วัฒนธรรมลีซูสามารถดำรงอยู่ได้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ปัจจัยสามประการที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของลีซูคือ 1. การเปลี่ยนแปลงหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ชา พืชผลเมืองหนาว เป็นต้น 2. ความสามารถในการทำงานหัตถกรรมเพื่อส่งออกในตลาดทั้งในและต่างประเทศ 3. การเข้ามาของนักท่องเที่ยวในการชื่นชมวัฒนธรรมลีซู ไม่ใช่แค่นำรายได้เข้ามาในหมู่บ้านเพียงอย่างเดียว แต่ได้ปลุกสำนึกของความต้องการรักษาและดำรงวัฒนธรรมดั้งเดิมของลีซูให้เกิดขึ้น ตามความเห็นของผู้เขียนกาลเวลาไม่สามารถหวนกลับการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่อย่างน้อยมนุษย์สามารถเรียนรู้แนวทางข้างหน้าในการเคารพนับถือวัฒนธรรมอื่น และเรียนรู้และพยายามเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่มอื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงวัฒนธรรมของกลุ่มขนาดเล็กก็ตาม (หน้า 127-131) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ ลีซูในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน หน้า 21 พื้นที่บริเวณ Dton Loong หน้า 45 หมู่บ้าน Dton Loong หน้า 42 |
|
|