สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,ความเป็นมา,วัฒนธรรม,ชีวประวัติ,ภาคเหนือ
Author John R. Davies
Title Life in a Lisu Village
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร Total Pages 133 Year 2545
Source Footloose Books, Great Britain
Abstract

ลีซูหมู่บ้าน Dton Loong อพยพเข้ามาจากชายแดนพม่าในปี ค.ศ. 1960 ในอดีตหมู่บ้านดำรงวิถีชีวิตด้วยการทำไร่หมุนเวียนปลูกข้าวและพืชผักต่าง ๆ และเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบัน ระบบเศรษฐกิจหลักของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับการทำหัตถกรรมเย็บผ้าส่งออกขายนอกหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น และลีซูออกไปทำงานรับจ้างในเมืองเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมของลีซูในหมู่บ้านได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาและการติดต่อกับโลกภายนอก อย่างไรก็ตามกาลเวลาไม่สามารถย้อนกลับการที่จะดำรงวัฒนธรรมของลีซูให้คงอยู่ ขึ้นอยู่กับการที่หมู่บ้านมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และการมีสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของตนไว้ รวมถึงการที่กลุ่มคนภายนอกพยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ยอมรับ และมองเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมอื่นแม้ว่าจะเป็นวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยก็ตาม

Focus

ศึกษา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมลีซู ผ่านเรื่องเล่า ชีวประวัติของลีซู หมู่บ้าน Dton Loong รวมถึงการศึกษาเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการติดต่อกับโลกภายนอกในช่วงระยะเวลาไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลีซูหมู่บ้าน Dton Loong

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลีซูมีความคล้ายคลึงกับภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงบางกลุ่ม เช่น อาข่า ลาหู่ เป็นภาษาที่อยู่ในตระกูล Lolo-Tibetan ภาษาลีซูมีหลายสำเนียงแตกต่างกันและมีเสียงวรรณยุกต์ทั้งหมด 6 เสียง ให้ความหมายแตกต่างกัน บางครั้งเป็นเรื่องยากในการสื่อสารและทำความเข้าใจแต่ละสำเนียง ลีซูในประเทศไทยอาจจะไม่เข้าใจสำเนียงของลีซูที่อาศัยในประเทศอินเดีย ปัจจุบันลีซูในประเทศไทยที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาไทยได้เป็นภาษาที่สอง (ตัวอย่างคำภาษาลีซู และแปลความหมายเป็นภาษาอังกฤษ หน้า 34-38) แต่ส่วนใหญ่ยังพูดภาษาไทยไม่ชัดมากนัก (หน้า 98-103) มิชชันารีประดิษฐ์ตัวหนังสือช่วยให้ลีซูมีภาษาเขียน Atapa Sinlee ลีซูผู้นับถือศาสนาคริสต์กล่าวว่า "ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะรวมลีซูเข้าไว้ด้วยกันและสืบทอดประวัติศาสตร์ให้คงอยู่ ในอดีตการสืบทอดผ่านการเล่าเรื่อง ร้องเพลงของผู้เฒ่าในหมู่บ้าน จึงมีความจำเป็นที่จะจดบันทึกบทเพลงไว้ก่อนที่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านจะตายไป" (หน้า 73)

Study Period (Data Collection)

ประมาณปี ค.ศ. 1992

History of the Group and Community

ลีซูไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีการจดจำผ่านเรื่องเล่าและการร้องเพลง กล่าวถึงดินแดนดั้งเดิมของลีซูอยู่บริเวณเทือกเขาทางตะวันออกของที่ราบสูงที่ทิเบต หมู่บ้านของลีซูปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่กว้างตั้งแต่ในมณฑลยูนนานของจีน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ทางเหนือของพม่า และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่สืบทอดต่อกันมาในแต่ละรุ่น การร้องเพลงนั้นสามารถร้องติดต่อกันได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่ก็มีเพียงลีซูส่วนน้อยที่สามารถจดจำประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้ทั้งหมด (หน้า 19-20)

Settlement Pattern

เมื่อพบสถานที่ตั้งหมู่บ้านใหม่สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการสร้างศาลเจ้า สำหรับเทพเจ้า Apamo หมายถึงผีปู่ย่า สำหรับบอกเล่าว่าจะตั้งถิ่นฐานและทำพิธีโยนเหรียญลงในถ้วยเงิน (หน้า 55-57) จะกระทำโดยพระลีซู (หน้า 55-57) การเปลี่ยนแปลงการตั้งถิ่นฐานแบบอพยพเคลื่อนย้าย " Semi-Nomadic" ทำให้ลักษณะการตั้งบ้านเรือนเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการขาดแคลนไม้ไผ่ประกอบกับครอบครัวร่ำรวยขึ้น บ้านเรือนที่เคยสร้างจากไม้ไผ่พื้นเป็นดินเปลี่ยนมาสร้างแบบบ้านคนไทย ยกพื้นสูง ประมาณครึ่งเมตร บ้านที่สร้างใหม่ไม่มีหน้าต่าง ข้างล่างเป็นที่พบปะพูดคุยกันและเป็นที่เลี้ยงเด็ก (หน้า 43)

Demography

หมู่บ้าน Dton Loong มีประชากรประมาณ 750 คน แต่ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเช่นกัน เช่น อาข่า (หน้า 40)

Economy

ลีซูส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน Dton Loong ประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจหลักของหมู่บ้านขึ้นอยู่กับการผลิตสินค้าหัตถกรรม เนื่องจากมีที่ดินในการทำไร่จำกัดไม่สามารถขยายที่ดิน และไม่สามารถอพยพโยกย้ายถิ่นฐานได้เหมือนในอดีตรวมถึงได้ผลผลิตในการเกษตรน้อยเนื่องจากการขาดแคลนการชลประทานที่ดี อาชีพหลักของผู้หญิงในหมู่บ้าน ผู้ชายฝึกเป็นช่างไม้ ช่างเงิน เล่นดนตรี และงานจักสานอื่น ๆ และมีลีซูหลายคนทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยว "Lisu Lodge" และธุรกิจการท่องเที่ยวส่งเสริมอาชีพอื่น ๆ มีการนำการแสดงดนตรีไปเล่นเป็นประจำ (หน้า 40-41) การทำไร่ ลีซูเรียนรู้การทำไร่จากครอบครัวของตนเอง ไม่ได้รับเอาเทคนิคใหม่ ๆ จากภายนอกมากนัก การทำไร่จะเริ่มจากการตัดต้นไม้ ถางไร่ เอาพุ่มไม้ออก ในช่วงปลายฤดูแล้งในเดือนมีนาคม ปล่อยพื้นที่ให้แห้งแล้วทำการเผา เทคนิคในการควบคุมไฟไม่ให้ลามไปที่อื่นจะทำการถางพื้นที่รอบ ๆ เอาไว้ ทำให้ไฟไม่สามารถลามต่อไปยังพื้นที่อื่นได้ พืชที่ปลูกคือ ข้าว ข้าวโพด และผักต่าง ๆ เช่น พริกไทย มันฝรั่ง สำหรับใช้ในครัวเรือน ข้าวที่ลีซูปลูกแตกต่างจากข้าวของคนไทยที่ทำนาที่ลุ่มหรือนาขั้นบันได จะเป็นข้าวไร่ที่อาศัยน้ำฝนอย่างเดียว (หน้า 74-76) การปลูกข้าวเริ่มในต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นต้นฤดูฝน โดยจะขุดหลุมด้วยไม้และหยอดเมล็ด หลังจากนั้นอีกหกสัปดาห์จะกำจัดวัชพืช และอีกหกสัปดาห์ต่อมาจะกำจัดวัชพืชอีกครั้ง และจะเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนตุลาคม ข้าวที่ขายได้ประมาณกิโลกรัมละ 10 บาท เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จจะมีการทำพิธีขอบคุณผี มีการเซ่นไหว้ด้วยหมูและมีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน (หน้า 77) นอกจากการทำไร่ ลีซูเริ่มทำสวนลำใย และลิ้นจี่ โดยเริ่มปลูกประมาณ 8 ปีมาแล้ว เก็บเกี่ยวได้ 2 ปี เพราะต้องใช้เวลา 6 ปีถึงจะได้ผลผลิต การเพาะปลูกลำไยและลิ้นจี่ทำกำไรได้ดี แต่มีปัญหาว่าถ้าสภาพอากาศผิดปกติต้นก็จะไม่ออกผล (หน้า 76) อาชีพอื่นๆ Ami Saeyang ช่างเย็บผ้าและทำงานหัตถกรรม กล่าวว่า "ผู้หญิงลีซูปัจจุบันทำงานหัตถกรรม แต่ละวันจะต้องเย็บผ้า ประมาณ 8-9 ชั่วโมง สินค้าที่ผลิตเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ และผู้รับซื้อรายหลักคือ Tribal Cultural Centre ซึ่งนำสินค้าส่งออกนอกประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะซื้อจากตลาดในเมือง ซึ่งสีสันค่อนข้างสดใสกว่าผ้าในอดีต แต่ใช้รูปแบบดั้งเดิมของลีซู (หน้า 89-91) Atchai Sinlee ช่างทำเครื่องเงิน กล่าวว่า "ผมเป็นช่างทำเครื่องเงินมากว่า 25 ปี ผมไปเรียนกับช่างเงินอาวุโสนอกหมู่บ้าน ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถทำได้ อาจจะใช้เวลาเรียนประมาณสองปีสำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์และความสามารถ ของที่ผมผลิตส่วนใหญ่จะขายให้กับลีซู แต่บางครั้งก็จะรับทำตามที่มิชันนารีสั่ง เงินที่เป็นวัตถุดิบมักจากนำเงินเก่าของแต่ละครอบครัวออกมาทำใหม่ไม่ได้ซื้อจากข้างนอกเข้ามามากนัก รูปแบบที่ทำมักจะเป็นแบบดั้งเดิมแต่ช่างเงินแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงแบบดั้งเดิมไว้มิฉะนั้นก็จะไม่มีคนซื้อ ปกติรูปแบบที่ทำจะเป็นรูปปลาแสดงความอุดมสมบูรณ์ และผีเสื้อ แสดงความสวยงาม ปัจจุบันอาชีพช่างเงินค่อนข้างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เหลือช่างเงินรุ่นก่อนมากนักที่จะถ่ายทอดได้" (หน้า 87-88) Awoo Seayang นักดนตรีและช่างทำเครื่องดนตรีลีซู "tzee bu" ลักษณะคล้ายซึงมีสามสาย กล่าวว่า "ผมเริ่มฝึกเล่นดนตรีเมื่ออายุประมาณ 16 ปี จากพี่ชาย ผมไม่ได้รับค่าจ้างจากการเล่นดนตรีแต่จะได้รับเงินจากการทำเครื่องดนตรีขาย" (หน้า 82-85) Altar Sinlee ผู้จัดการทัวร์ของ ลีซู Lodge กล่าวว่า "ผมทำงานดูแล Lodge ในช่วงกลางวันในทุก ๆ เรื่องทั้งการบริการห้องพัก การจัดอาหาร ทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านพัก เพื่อให้แน่ใจว่าแขกทุกคนได้รับความสุขและความสะดวกสบายเมื่อมาพักที่นี่ และจะมีไกด์นำชมหมู่บ้านแต่จะระวังไม่ทำผิดกฎ ข้อปฏิบัติของหมู่บ้าน นอกจากนี้ในช่วงเวลาเย็น จะมีการจ้างคณะนักดนตรี นักเต้นรำลีซู เข้ามาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมและเข้าใจวัฒนธรรมและประเพณีของลีซูซึ่งแตกต่างไปจากวัฒนธรรมของพวกเขา" (หน้า 93-94) Asapa Saeyang ลีซูหนุ่มพนักงานเสริฟ ในไนต์คลับ เมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า "ผมทำงานเสริฟมากว่า 1 ปี เนื่องจากไม่มีงานในหมู่บ้าน จึงต้องออกไปหางานข้างนอก แต่ผมไม่ชอบทำงานเป็นพนักงานเสริฟมากนัก ถ้าผมได้งานที่ดีกว่าเช่นเป็นพนักงานขับรถผมอาจจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เพราะผมต้องการให้ลูกๆ ได้การศึกษาที่ดีกว่าจะได้มีอนาคตที่ดี" (หน้า 96-97)

Social Organization

ลีซูในประเทศไทยประกอบด้วย 7 โคตรตระกูล คือ Sinlee (ตัวต่อ) Seayang หรือ Lauyang (ขิง) Utsi (แมวป่า) Ngoapa (ปลา) Saecho (เตาไฟ) Sima (ไม้) Tshami (ผึ้ง) (หน้า 46) ลีซูต้องการมีลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่เมื่อลูกชายแต่งงานครอบครัวจะต้องหาเงินค่าสินสอดเจ้าสาว อาจจะมากถึงห้าหมื่นบาท ถ้าผู้ชายมาจากครอบครัวยากจนก็อาจจะจ่ายค่าสินสอดเจ้าสาวด้วยการทำงานในกับครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาว (หน้า 103)

Political Organization

ในประเพณีดั้งเดิมลีซูไม่มีหัวหน้าปกครอง หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนที่ชาวบ้านนับถือแต่ไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองหมู่บ้าน และสามารถเปลี่ยนหัวหน้าได้ถ้าหัวหน้าเสื่อมความนิยม แต่ภายใต้การปกครองของไทยทุกหมู่บ้านต้องมีผู้ใหญ่บ้าน ลีซูยอมรับการปกครองนี้และคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่สังคมไทย (หน้า 47)

Belief System

ลีซูนับถือผี เทพเจ้า และสิ่งเหนือธรรมชาติ ลีซูเชื่อว่ามีผี เทพเจ้า สิงสถิตในสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ก้อนหิน ฟ้าร้อง สัตว์ คน ทั้งที่มีชีวิตและที่ตายไปแล้ว การนับถือเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติจะส่งผลให้วิถีการดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความสงบสุข สิ่งเลวร้าย อันตรายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการทำผิดกฎเท่านั้น ซึ่งจะมีหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรมคอยช่วยเหลือในการทำพิธีกรรมเซ่นไหว้และเป็นคนกลางติดต่อระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า และลีซูให้ความสำคัญต่อการนับถือผีบรรรพบุรุษ ทุกบ้านจะมีหิ้งไม้สำหรับบูชาผีบรรบุรุษของโคตรตระกูล ภายในใจกลางบ้านตรงข้ามประตู การสืบทอดผีบรรพบุรุษจะทำในสายตระกูลฝ่ายชายเท่านั้น ปกติผู้หญิงลีซูจะไม่มีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา ยกเว้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ ภรรยาสามารถดูแลแท่นบูชาผีบรรพบุรุษได้เมื่อสามีไม่อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องได้รับการบอกกล่าวไว้ล่วงหน้า (หน้า 55-57) ลีซูเชื่อในเทพเจ้าผู้สร้างโลก " Wusapa" และเป็นเทพผู้สร้างมนุษย์คนแรก แต่เทพเจ้าองค์นี้มีอำนาจมากและไม่มีใครทราบว่าท่านเป็นอะไร ท่านสร้างโลกแต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกและไม่มีผลกระทบกับสิ่งที่ท่านสร้างในขณะนี้ ลีซูไม่ได้คิดถึงเทพเจ้าองค์นี้มากนัก ในหมู่บ้านของลีซู เทพ Apamo มีความสำคัญที่สุด มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิต เป็นเทพผู้ปกป้องทุกคนจากสิ่งชั่วร้าย จากความเจ็บป่วย และจากความอดอยากขาดแคลน เทพ Apamo เป็นเสมือนประมุขของหมู่บ้าน (หน้า 58) นอกจากนี้มีเทพเจ้าอีก 4 องค์ที่สำคัญรองจาก Apamo จะมีศาลเจ้าตั้งอยู่ใกล้กันคือ เทพเจ้าประจำที่ดิน เทพเจ้าประจำไร่นา เทพเจ้าประจำพืชผล เและเทพเจ้าประจำธรรมชาติ การเซ่นไหว้เทพเจ้า Apamo จะกระทำ 2 ครั้งต่อปี การเซ่นไหว้หลักจะทำในเทศกาลปีใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ และจะมีการเซ่นไหว้อีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม ในช่วงที่พระอาทิตย์อยู่ต่ำที่สุดบนขอบฟ้า นอกจากนี้ทุกครอบครัวสามารถนำเครื่องเซ่นมาถวายเทพเจ้า Apamo ที่ศาลได้ตลอดเวลาแต่เฉพาะพระเท่านั้นที่เป็นผู้สามารถเข้าไปด้านในศาลและทำพิธีสวด (หน้า 59) การนับถือศาสนาคริสต์ ลีซูบางคนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ พระประจำหมู่บ้านแสดงความคิดเห็นว่า " การเปลี่ยนแปลงไปนับถือศาสนาคริสต์เป็นเรื่องไม่ถูกต้องเนื่องจาศาสนาคริสต์มาจากตะวันตก ไม่มีประวัติศาสตร์กับพื้นที่แห่งนี้ และเป็นของชาวต่างชาติไม่เหมาะกับวิถีชีวิตลีซู และศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เห็นแก่ตัว คนศรัทธาพระเยซูเพื่อตัวเองเท่านั้น ในขณะที่ศาสนาดั้งเดิมของพวกเราการสวดเพื่อนับถือ ผีบรรพบุรุษ และสวดผู้ที่ให้เรามีชีวิต และสวดต่อ Apamo เพื่อดูแลพวกเรา" (หน้า 60) Atapa Sinlee ลีซูผู้นำถือศาสนาคริสต์กล่าวว่าสิ่งที่น่าสนในในศาสนาคริสต์คือ "พระเยซูเป็นชายยากจน มาจากครอบครัวยากจนเป็นช่างไม้ เป็นเหมือนผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ที่เขาพูดคนยากจน อ่อนแอแต่สามารถไปสวรรค์ และคำสอนของศาสนาคริสต์ให้ทุกคนดูแลกันและกัน อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับลีซูจะเลิกนับถือผีและอำนาจเหนือธรรมชาติและเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตามทุกคนในหมู่บ้านรับรู้ว่าผมไม่ได้เซ่นไหว้ผีและอำนาจเหนือธรรมชาติเหล่านี้ และผมมีชีวิตสงบสุข มีครอบครัวที่ดี หวังว่าจะช่วยให้ลีซูคนอื่นๆ สามารถเปิดใจยอมรับได้มากขึ้น แต่อาจจะต้องใช้เวลา" (หน้า 71) การนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ได้มีความขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิมของลีซู พระจำหมู่บ้านแสดงความเห็นว่า ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาดั้งเดิมของลีซูมีรากเหง้าเดียวกัน ลีซูในหมู่บ้านส่วนใหญ่นับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า (หน้า 60) ประเพณีเกี่ยวกับการตาย เมื่อมีคนตาย ลีซูจะทำการฝังศพ ซึ่งคนตายจะเป็นผู้เลือกสถานที่ที่จะต้องถูกฝังเอง โดยการทำพิธีผ่านหมอผีและครอบครัว การฝังศพปกติขาจะชี้ไปทางตะวันตก ศรีษะหันไปทางตะวันออก แต่สถานที่ที่จะฝังจะเป็นที่ไหนก็ได้ ในไร่ บนภูเขา แต่จะไม่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านมากนัก จะมีการทำพิธีโยนไข่ในบริเวณต่าง ๆ เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการฝัง หลังจากนั้นจะมีงานเลี้ยงเซ่นไหว้ด้วยหมู และมีการเล่นไพ่เพื่อความสนุกสนาน และในทุกปีในเดือนเมษายน วันขึ้น 15 คำ ครอบครัวลีซูจะไปเยี่ยมหลุมศพ เซ่นไหว้ด้วยหมูและถางพื้นที่เป็นเวลา 3 ปี (หน้า 64)

Education and Socialization

Cabour Sinlee เด็กชายอายุ 10 ปี กล่าวว่า "ผมไปโรงเรียนที่บ้าน Pan แม่แตง ห่างจากหมู่บ้านประมาณครึ่งชั่วโมง ผมชอบโรงเรียนเพราะได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อน ๆ เพื่อนของผมส่วนใหญ่เป็นลีชูแต่มีบางคนเป็นไทย แต่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กไทย และมีครูเป็นคนไทย เมื่ออยู่ที่โรงเรียนจะพูดภาษาไทย ภาษาลีซูจะพูดที่บ้านเท่านั้น ผมเริ่มเรียนภาษาไทยเมื่ออายุ 3 ปี ตอนนี้สามารถพูดได้ทั้งภาษาไทยและลีซู แต่ผมชอบที่จะพูดภาษาลีซูมากกว่า วิชาที่ผมชอบเรียนที่โรงเรียนคือวิชาศิลปะ เพราะว่าสนุก และผมไม่ชอบวิชาอื่น ๆ มากนัก ผมมีน้องสองคน ถ้าผมไม่ไปโรงเรียนก็จะต้องคอยดูแลน้อง เมื่อผมโตขึ้นผมอยากเป็นคนเก่งเหมือนพระในภาพยนตร์จีนกำลังภายใน เพื่อผมจะได้ปกป้องครอบครัวจากสิ่งชั่วร้าย หรือเป็นทหารหรือช่างเงิน สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือจักรยานจะได้ไม่ต้องเดินไปโรงเรียน" (หน้า 98-100) Alapa Laoyang นักเรียนมัธยมปลาย กล่าวว่า "ผมอายุ 18 ปี ผมไปโรงเรียนในเมืองเชียงใหม่ ผมโชคดีที่ได้เรียนหนังสือ ผมไม่มีวิชาที่ชอบแต่ผมอยากเป็นครู ผมอยากสอนหนังสือในหมู่บ้านลีซู อาจจะร่วมโครงการของรัฐ "ครูดอย" ผมต้องพูดภาษาไทยที่โรงเรียน แต่ผมชอบที่จะพูดลีซูมากกว่า ถ้าผมเป็นครูดอยงานของผมคือสอนให้เด็กชั้นประถมพูดภาษาไทย แม้ว่าเด็กส่วนใหญ่จะสามารถพูดภาษาไทยได้แต่ก็พูดได้ไม่ดีนักซึ่งจะส่งผลให้เป็นข้อจำกัดในการประกอบอาชีพของพวกเขาในอนาคต ผมไม่ได้คิดเรื่องแต่งงานแต่ถ้าต้องแต่งงานก็คงจะแต่งกับผู้หญิงลีซู เนื่องจากเธอจะเข้าใจวัฒนธรรมของลีซูแต่ผมก็อาจจะตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนก็ได้ ขอเพียงเธอเป็นคนดี จิตใจดี ประพฤติดี หน้าตาดีหรือไม่ดีก็ไม่สำคัญ ผมอยากมีลูกและไม่สนใจว่าจะต้องเป็นลูกชายหรือลูกสาวแต่มีไม่มากนัก ผมอยากเลี้ยงลูกในหมู่บ้าน แต่อาจจะเป็นไปไม่ได้ ไม่มีงานมากนักที่นี่ แต่สิ่งที่สำคัญคือผมต้องการให้ลูก ๆ ของผมเรียนรู้วัฒนธรรมลีซูก่อนวัฒนธรรมไทย ผมอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่มีเพื่อนทั้งไทยและลีซู เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าบางคนชอบล้อเลียนสำเนียงของผม และในเมืองทุกคนรู้ว่าผมไม่ใช่คนไทย ผมรู้สึกสบายใจกว่าที่จะอยู่ในหมู่บ้านช่วงวันหยุด" (หน้า 100-103)

Health and Medicine

ลีซูมีความเชื่อเกี่ยวกับการเจ็บป่วยอาจจะเกิดจากการะกระทำของผี วิญญาณ อำนาจเหนือธรรมชาติ หรือการเสียขวัญ จะใช้การเซ่นไหว้เป็นการรักษาอาการเจ็บป่วย ของที่ใช้เซ่นไหว้อาจจะเป็น เงินกระดาษ ไก่ หรือหมู ตามความต้องการของผีหรือเทพเจ้าที่ได้บอกผ่านหมอผีผู้ประกอบพิธีกรรม (หน้า 54)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

งานหัตถกรรม ผู้หญิงลีซูปัจจุบันทำงานหัตถกรรม แต่ละวันจะต้องทำการเย็บผ้า ประมาณ 8-9 ชั่วโมง สินค้าที่ผลิตเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ และผู้รับซื้อรายหลักคือ Tribal Cultural Centre ซึ่งนำสินค้าส่องออกนอกประเทศ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจะซื้อจากตลาดในเมือง ซึ่งสีสันค่อนข้างสดใสกว่าผ้าในอดีต แต่ใช้รูปแบบดั้งเดิมของลีซู "(หน้า 89-91) การทำเครื่องเงิน ในประวัติศาสตร์ของลีซูเงินมีบทบาทสำคัญ เงินใช้จ่ายค่าสินสอดเจ้าสาว เป็นเครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า สร้อยคอ แหวน กำไล และเป็นเครื่องแสดงฐานะของครอบครัว มารดาจะให้เครื่องประดับกับลูกสาวเมื่อลูกสาวมีอายุในวัยที่จะแต่งงาน แหล่งวัตถุดิบเงินที่นำมาใช้เป็นเงินรูปีอินเดีย แต่ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านไม่ได้ซื้อเงินมาทำเครื่องเงินมากนักมักจะนำเงินเก่าของครอบครัวมาทำใหม่ รูปแบบที่ทำมักจะเป็นแบบดั้งเดิมแต่ช่างเงินแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงแบบดั้งเดิมไว้มิฉะนั้นก็จะไม่มีคนซื้อ ปกติรูปแบบที่ทำจะเป็นรูปปลาแสดงความอุดมสมบูรณ์ และผีเสื้อ แสดงความสวยงาม ปัจจุบันอาชีพช่างเงินค่อนข้างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เหลือช่างเงินรุ่นก่อนมากนักที่จะถ่ายทอดได้ (หน้า 87-88) ลีซูไม่นิยมเครื่องประดับทองมากนักแต่มีลีซูที่เข้าไปทำงานในเมืองกับคนไทยเริ่มใส่ทองเนื่องจากเป็นเครื่องแสดงฐานะในสังคมไทย และสามารถเปลี่ยนกลับเป็นเงินได้ง่าย (หน้า 88) เครื่องดนตรี ของลีซูลักษณะคล้ายซึง เรียกว่า "Tzeebu" เครื่องดนตรีคล้ายปี่ เรียกว่า " Faloo" ซึ่งจะเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ในเทศกาลเท่านั้น เมื่อมีการเล่นดนตรีจะมีการเต้นรำประกอบอยู่ด้วยเสมอ ลีซูมีบทเพลงหลากหลาย เช่น เพลงจีบสาว เพลงร้องเมื่อล่าสัตว์ เพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ (หน้า 80-83)

Folklore

ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ ลีซูเชื่อในเทพเจ้าผู้สร้างโลก " Wusapa" และเป็นเทพผู้สร้างมนุษย์คนแรกจากขึ้ผื้ง สร้างชายและหญิง ทั้งสองถูกสั่งไม่ให้มีลูกกัน พวกเขาจึงแยกจากกัน ผู้ชายไปทางเหนือ ผู้หญิงไปทางใต้ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาหากัน พวกเขารักกันมากจน Wusapa ยอมยกโทษให้พวกเขาและให้พวกเขามีลูกด้วยกัน (หน้า 61-63) ตำนานเรื่องการเพาะปลูกข้าว ลีซูเชื่อว่าสุนัขนำเมล็ดข้าวมาให้สำหรับการเพาะปลูก ฉะนั้นเมื่อตำข้าวครกแรกจะนำข้าวใหม่ให้กับสุนัขเพื่อเป็นการระลึกถึงความดีที่สุนัขนำเมล็ดข้าวมาให้ (หน้า 77)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

วัฒนธรรมลีซูเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกวัฒนธรรมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป แต่การเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา และได้เกิดขึ้นกับลีซูและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ บนพื้นที่สูงในภูมิภาคนี้ ปัจจุบันลีซูเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาตลาดมากขึ้นและผสมผสานเข้าสู่สังคมไทย ซึ่งไม่ได้เกิดมาจากผลของการพัฒนาและแนวนโยบายจากรัฐเพียงอย่างเดียว แต่การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นไทยมากขึ้นสร้างผลประโยชน์ให้กับลีซูด้วยเช่นกัน เด็กลีซูรุ่นใหม่สามารถพูดและเขียนไทยได้ ออกมาทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น วัฒนธรรมลีซูไม่ได้แยกออกโดดเดี่ยวแต่ได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมภายนอกด้วย วัฒนธรรมของลีซูจะอยู่รอดได้ถ้ามีความเข้มแข็ง ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วัฒนธรรมลีซูสามารถดำรงอยู่ได้จะต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ปัจจัยสามประการที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของลีซูคือ 1. การเปลี่ยนแปลงหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ชา พืชผลเมืองหนาว เป็นต้น 2. ความสามารถในการทำงานหัตถกรรมเพื่อส่งออกในตลาดทั้งในและต่างประเทศ 3. การเข้ามาของนักท่องเที่ยวในการชื่นชมวัฒนธรรมลีซู ไม่ใช่แค่นำรายได้เข้ามาในหมู่บ้านเพียงอย่างเดียว แต่ได้ปลุกสำนึกของความต้องการรักษาและดำรงวัฒนธรรมดั้งเดิมของลีซูให้เกิดขึ้น ตามความเห็นของผู้เขียนกาลเวลาไม่สามารถหวนกลับการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่อย่างน้อยมนุษย์สามารถเรียนรู้แนวทางข้างหน้าในการเคารพนับถือวัฒนธรรมอื่น และเรียนรู้และพยายามเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่มอื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงวัฒนธรรมของกลุ่มขนาดเล็กก็ตาม (หน้า 127-131)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ ลีซูในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน หน้า 21 พื้นที่บริเวณ Dton Loong หน้า 45 หมู่บ้าน Dton Loong หน้า 42

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 25 ก.ย. 2567
TAG ลีซู, ความเป็นมา, วัฒนธรรม, ชีวประวัติ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง