|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,รัฐปตานี,ประวัติศาสตร์,พัฒนาการ,การล่มสลาย,จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
Ibrahim Syukri (pseudonym) |
Title |
History of the Malay Kingdom of Patani |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
143 |
Year |
2528 |
Source |
Monographs in International Studies Ohio University. Southeast Asia Series no.68 Athens, Ohio. |
Abstract |
งานเขียนมีเนื้อหาหลักที่ความขัดแย้งและสงครามระหว่างสยามในอดีตจนถึงรัฐบาลไทยในปัจจุบันกับคนมุสลิมในภาคใต้ ผู้เขียนพยายามสะท้อนภาพความคับแค้นใจของคนมุสลิมที่ถูกกดขี่ ถูกแย่งชิงทรัพยากร ถูกฆ่าอย่างทารุณโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย ทั้งในสงคราม และในความหวาดระแวง งานเขียนนี้เปรียบเสมือนตัวแทนความรู้สึกนึกคิดของคนมุสลิมที่ถ่ายทอดออกมาให้โลกภายนอกได้รับรู้ถึงชะตากรรมของเผ่าพันธุ์ และเรียกร้องให้คนมุสลิมรุ่นหลังลุกขึ้นมากำหนดอนาคตของตนเองด้วยมือของตนเอง อย่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้กดขี่อย่างรัฐบาลไทยอีก สิ่งที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่เป็นมุมมองของคนมุสลิมอย่างแท้จริง ผู้เขียนเขียนหนังสือนี้เพื่อเผยแพร่ในหมู่คนมุสลิมในภาคใต้ เขียนเป็นภาษายาวี เพื่อให้คนมุสลิมได้เรียนรู้ความเป็นมาของตนเอง |
|
Focus |
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของรัฐ "ปตานี" และความสัมพันธ์ที่มีกับรัฐไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาที่ศึกษาเริ่มตั้งแต่สภาพแหลมมลายูสมัยโบราณที่มนุษย์กลุ่มแรกเข้ามาอาศัยการเกิด "รัฐปตานี" จนถึง ค.ศ. 1949 |
|
History of the Group and Community |
แต่เดิมในพื้นที่ที่ต่อมาเป็น "รัฐปตานี" รู้จักกันในชื่อ "Kota Mahligai" มีราชาปกครองต่อเนื่องกันหลายคน (หน้า 18) ราชาสำคัญคนหนึ่งชื่อ Sri Wangsa ประชากรบางส่วนเป็นคนมลายู อพยพมาจากตอนใต้ของแหลมมาลายู และเกาะสุมาตรา ปัญหาสำคัญของ Kota Mahligai ก็คือตั้งอยู่ห่างจากทะเลนับสิบไมล์ ทำให้ยากต่อการค้าขาย และะพวก Siam-asli ไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเล ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะคนมลายู เริ่มออกมาตั้งบ้านเรือนใกล้ชายฝั่งมากขึ้น ในเวลานั้นชาวประมงชราชื่อ "Tani" เป็นคนดีที่ชาวบ้านนับถือ ยกย่องเขาเป็น "Bapak" และเรียกเขาว่า "Pak Tani" ได้มาตั้งหมู่บ้านในทำเลที่สวยงาม มีปลาชุกชุม ในฤดูฝนน้ำไม่ท่วม มีท่าเรือที่เหมาะทั้งเรือเล็กและเรือใหญ่ มีที่บังลมมรสุมและคลื่นได้ดี ข้างหมู่บ้านมีแม่น้ำชื่อ Kerisik พื้นที่สูงมีระดับต่าง ๆ กันสามารถทำนาได้ ทำให้ในระยะเวลาไม่นานหมู่บ้านก็เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในที่สุดหมู่บ้านนี้ก็ไดัรับการตั้งชื่อว่า "Kampung Pak Tani" แปลว่า หมู่บ้านของ Pak Tani ขณะที่ Kampung Pak tani ขยายตัวขึ้น Kota Mahligai ก็เริ่มโดดเดี่ยว ในที่สุดราชา Sri Wangsa ได้ย้ายเมืองหลวง มาสร้างพระราชวังใกล้ๆ หมู่บ้านของ Pak Tani ยังไม่ได้ตั้งชื่อเมือง แต่ความที่อยู่ใกล้ Kampung Pak Tani คนทั่วไปจึงเรียกว่า เมืองของ "Pak Tani" และรู้จักกันแพร่หลายในเวลาต่อมา ในชื่อว่าอาณาจักร หรือ รัฐ "ปตานี" (หน้า 18- 20) "ปตานี" รุ่งเรืองในฐานะเป็นศูนย์กลางการค้า และเป็นเมืองท่าที่สำคัญ เป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่ชาวตะวันตกที่เดินทางมาติดต่อค้าขาย โดยมีราชา Sri Wangsa เป็นราชาองค์แรก อย่างไรก็ตาม ในสมัยนั้น "ปตานี" ทั้งราชาและชาวเมืองยังนับถือศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธในนิกายมหายาน ขณะเดียวกันที่เกาะสุมาตรา มีเมืองหนึ่งชื่อ Pasai ประชาชนเริ่มนับถือศาสนาอิสลาม ในขณะที่ยังมีคนนับถือฮินดูอยู่จำนวนมาก ต่อมาเกิดความขัดแข้งกัน คนมุสลิมอยู่อย่างยากลำบาก จึงเดินทางเข้ามาที่ ปตานี ต่อมาศาสนาอิสลามก็แพร่หลายในปตานี (หน้า 20) ปตานีปกครองด้วยระบบกษัตริย์สืบทอดมายาวนานนับร้อยปี ปตานีสูญเสียเอกราชสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การพยายามปกครองปตานีของสยามนำความยุ่งยากและปัญหาความขัดแย้งที่ยากจะแก้ไขต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (รายละเอียด ดูในหัวข้อ Ethnicity / Ethnic Relation ความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนมุสลิมโบราณนิยมตั้งบ้านเรือนริมชายทะเล เพราะง่ายในการประกอบอาชีพประมง มุสลิมโบราณเรียนรู้การต่อเรือเพื่อใช้ในการเดินทางและติดต่อกับโลกภายนอก (หน้า 10) สำหรับเมืองปตานีมีพัฒนาการจากชุมชนประมงกลายเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองและการค้า |
|
Economy |
อาณาจักรปตานีตั้งอยู่ชายทะเลเป็นเมืองท่าสำคัญ มีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศทั้งตะวันตกและตะวันออก แต่ด้วยภูมิประเทศที่สามารถทำนาปลูกข้าว และทำเกษตรได้ ทำให้ปตานีมีระบบเศรษฐกิจที่หลากหลายทั้งเกษตร ประมง และการค้า |
|
Belief System |
แต่เดิมอาณาจักรปตานีในสมัยราชา Sri Wangsa นับถือฮินดู และพุทธแบบมหายาน เหมือนอาณาจักรโบราณอื่นๆ ต่อมาในสมัยราชา Intera ราชาองค์ที่ 2 (หน้า 20-22) จึงเปลี่ยนไปนับถืออิสลาม ในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในช่วงศตวรรษที่ 15 หลังจากราชา Intera ซึ่งครองนครต่อจากพระราชบิดา คือราชา Sri Wangsa ได้เปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามแล้ว อาณาจักรปตานี เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีการติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีและการค้ากับต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่มะละกาซึ่งเป็นอาณาจักรแรกที่รับอิสลามเข้ามา ต่อมาก็ติดต่อกับอยุธยา เนื่องจากปตานีเป็นเมืองท่าที่สำคัญทำให้มีพ่อค้าจากเมืองต่างๆ ทั้งยุโรปและเอเชียเข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ชวา อินเดีย และอาหรับ ส่วนชาวยุโรปชาติแรกที่เข้ามาค้าขายคือโปรตุเกส ในปี ค.ศ. 1516 โดยล่องเรือมาจากมะละกา (หน้า 23) ค.ศ. 1592 ในสมัยราชา Hijau กษัตริย์หญิงองค์แรกของปตานี ได้เจริญสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์ญี่ปุ่น สยาม ซึ่งกษัตริย์ของสยามมักจะเรียกราชา Hijau ของปตานีว่า Pra Nang Chau Ying แต่คนมลายูในอาณาจักรปตานีออกเสียงเป็น Raja Nang Chayang ค.ศ. 1602 เรือสินค้าของดัทช์เข้ามาเทียบท่าเรือปตานี และ ค.ศ. 1611 เรือสินค้าอังกฤษเดินทางเข้ามาที่ปตานี (หน้า 29-33) การติดต่อสัมพันธ์กับชาติต่างๆ ของอาณาจักรปตานีส่วนใหญ่เน้นที่การค้าขาย ปตานีเป็นอาณาจักรแรกๆ ในเอเชียที่มีอาวุธสงครามทันสมัยจากยุโรป แต่ความสัมพันธ์กับสยามนั้นมีแต่สงครามมากมายหลายครั้ง ในช่วงนี้ตรงกับสมัยอยุธยา ข่าวความเจริญรุ่งเรืองและสวยงามของอาณาจักรปตานีทำให้สมเด็จพระนเรศวรส่งกองทัพนำโดยออกญาเดโชมาตีปตานีในปี ค.ศ.1603 แต่พ่ายแพ้อาวุธของปตานี เป็นสงครามครั้งแรกระหว่างสยามกับปตานี และต่อมา Raja Biru กษัตริย์หญิงองค์ต่อมาได้หล่อปืนใหญ่ขึ้นมา 3 กระบอกเพื่อเตรียมรับสงครามกับสยามชื่อปืนใหญ่ศรีนครา ศรีปตานี และมหาลีลา ปืนทั้ง 3 กระบอกได้ใช้เมื่อ Raja Ungu พระธิดาของ Raja Biru ขึ้นครองปตานี และออกญาเดโชยกทัพมาเป็นครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ.1632 และพ่ายแพ้ไป ค.ศ. 1633 สยามยกทัพมาอีก และแพ้กลับไปอีกครั้ง ค.ศ.1635 Raja Ungu สิ้นพระชนม์ Raja Kunning พระธิดาครองราชย์ต่อมาด้วยความสงบสุข กษัตริย์อยุธยาได้ยินข่าวการเปลี่ยนกษัตริย์จึงส่งออกญาเดโชกลับมาเจรจาให้ปตานีเป็นเมืองขึ้น แต่ Raja Kunning ไม่ยอม และในขณะนั้นอาณาจักรปตานีและอาณาจักรมลายูอื่นๆ เข้มแข็งขึ้นมาก อยุธยาไม่ได้ยกทัพมาตีปตานีอีก แต่ใช้สงครามตัวแทน โดยให้นครศรีธรรมราชที่เป็นเมืองขึ้นของอยุธยามาตีปตานี แต่ก็พ่ายแพ้อีก ตั้งแต่นั้นมา Raja Kunning ก็ปกครองปตานีมาอย่างสงบสุข จากบันทึกของชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาใน ค.ศ. 1686 กล่าวไว้ว่าปตานียังคงปกครองด้วยกษัตริย์ผู้หญิง เมื่อสิ้น Raja Kunning เท่ากับสิ้นราชวงศ์ของ Raja Sri Wangsa นับตั้งแต่สิ้น Raja Kunning ไม่มีชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายกับปตานีอีก พ่อค้าตะวันตกกลุ่มเดิมก็จากไป คงมีแต่พ่อค้าชาวอาหรับ อินเดียมุสลิม จีน ญี่ปุ่น เท่านั้นที่ยังคงติดต่อค้าขายกับปตานี (หน้า 50) สยามศัตรูหมายเลขหนึ่งก็ไม่ได้มารบกวนปตานีอีก เพราะความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจในราชสำนักอยุธยา และสงครามกับพม่า ที่ทำให้ในปี ค.ศ.1767 สยามเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า หัวเมืองต่างๆ ประกาศตนเป็นอิสระ ปี ค.ศ.1769 เมื่อพระเจ้าตากกอบกู้เอกราชคืนมาจากพม่าสำเร็จ จึงได้ปราบปรามหัวเมืองทางใต้ เจ้าเมืองสงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช หนีการจับกุมไปพึ่งปตานี แต่กองทัพพระเจ้าตากตามไปขอตัวคืน ถ้าหากปตานีไม่ส่งตัวเจ้าเมืองทั้งสามให้ กองทัพสยามจะบุกตีปตานี ทำให้ Sultan Mahmud เป็น RaJa ในขณะนั้นต้องส่งตัวเจ้าเมืองทั้งสามให้กับสยาม (หน้า 51) การกลับมามีอำนาจอีกครั้งของสยามทำให้ปตานีหวั่นเกรงว่าสักวันหนึ่งสยามต้องหาทางตีปตานีอีก จนกระทั่ง ปี ค.ศ.1776 พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองทางเหนือ สยามลองใจปตานี ส่งสาส์นมาขอเงิน 80,000 บาท แต่เจ้าเมืองปตานีไม่ยอมให้ กรุงธนบุรีเตรียมทัพโจมตี ปตานี แต่พระเจ้าตากถูกปลงพระชนม์เสียก่อนในปี ค.ศ.1782 จึงไม่ได้ตี ปตานี ต่อมารัชกาลที่หนึ่งแห่งราชวงศ์จักรีขึ้นครองราชย์ ย้ายเมืองหลวงมาที่กรุงเทพฯ ปี ค.ศ.1784 พม่ายกทัพมาตีนครศรีธรรมราช พระยากลาโหมเป็นแม่ทัพ ยกทัพมาสู้ เมื่อเสร็จศึกชนะพม่าแล้วจึงยกทัพไปตั้งอยู่ที่สงขลา ส่งสาส์นถึงเจ้าเมืองปตานีให้ส่งบรรณาการ แต่เจ้าเมืองปตานีไม่ยอม พระยากลาโหมจึงยกทัพไปตีปตานี ให้รบจนกว่าปตานีจะยอมแพ้ การรบดำเนินอยู่หลายวัน เจ้าเมืองปตานีตายในสนามรบ เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของปตานี นับตั้งแต่ต่อสู้กับสยามมานับร้อยปี สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นเพราะปตานีสงบสุขมาเป็นเวลายาวนาน ผู้คนลืมการสู้รบ และวิธีการเตรียมรับสงคราม อาวุธที่มีก็ด้อยประสิทธิภาพ กองทัพก็ไม่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสยาม และที่สำคัญมีไส้ศึกที่นำความลับในการจัดการรบไปบอกพระยากลาโหม (หน้า 54-56) ความพ่ายแพ้ครั้งนี้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาสู่ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับปตานี กองทัพสยามได้เข่นฆ่าผู้คนทั้งชาย หญิง และเด็ก ๆ เป็นจำนวนมาก กวาดต้อนเชลย ขโมยทรัพย์สิน เผาทำลายพระราชวัง และขนปืนใหญ่ไปสองกระบอก แต่จมน้ำไปหนึ่งกระบอก ปัจจุบันตั้งอยู่ที่หน้ากระทรวงกลาโหม และสยามยังได้เข้ามาจัดการควบคุมการปกครองโดยแต่งตั้งเจ้าเมืองเอง แต่จากสภาพบ้านเมืองที่ถูกทำลายเสียหายมากเกินกว่าจะบูรณะ เจ้าเมืองคนใหม่ คือ Tungku Lamidin จึงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ Perawan และด้วยความเป็นมุสลิม ทำให้เจ้าเมืองคนใหม่รอคอยโอกาสที่จะกอบกู้เอกราช (หน้า 57) ปี ค.ศ.1789 Tungku Lamidin ส่งสาส์นไปถึงพระเจ้าแผ่นดินเวียดนาม ชักชวนเข้าร่วมต่อสู้กับสยาม แต่เวียดนามส่งสาส์นให้กับสยาม พระยากลาโหมยกทัพมาจับเจ้าเมืองปตานี เกิดการต่อสู้กัน กองทัพปตานีรุกไล่สยามไปจนถึงสงขลา รบกันที่สงขลาอยู่ 3 ปี ไม่มีใครแพ้ชนะ แต่กองทัพปตานีอ่อนล้า ขาดเสลียงและไกลบ้าน จึงล่าถอยกลับมาตั้งรับที่ปตานี ทหารสยามติดตามมาจำนวนมาก ในที่สุดปตานีก็พ่ายแพ้ครั้งที่สอง Perawan ถูกทำลายยับเยินเหมือนครั้งแรก เจ้าเมืองถูกจับตัวมาประหารชีวิตที่กรุงเทพฯ ก่อนเคลื่อนทัพกลับได้แต่งตั้งเจ้าเมืองใหม่ คือ Datuk Pankgalan ให้ปกครองภายใต้การกำกับดูแลของคนไทย ปี ค.ศ.1808 เกิดการทะเลาะกันระหว่างเจ้าเมืองกับคณะที่ปรึกษาคนไทย เนื่องจากเจ้าเมืองขาดอิสระในการปกครอง Datuk Pankgalan ขับไล่คนไทยไปสงขลา ทางกรุงเทพฯ ส่งเจ้าเมืองนครฯ กับเจ้าเมืองสงขลายกทัพมาจับเจ้าเมืองปตานี เกิดการต่อสู้ทำสงครามกันอีกครั้ง เจ้าเมืองปตานีชนะ แต่อีก 2-3 เดือนต่อมาพระยากลาโหมยกทัพมาเองทั้งทางบกและทางทะเล ปตานีพ่ายแพ้เป็นครั้งที่ 3 เจ้าเมืองตายในสนามรบ หลังการพ่ายแพ้ครั้งที่ 3 ของปตานี สยามได้เปลี่ยนระบบการคัดเลือกเจ้าเมืองปตานีใหม่ โดยให้คนไทยเป็นเจ้าเมืองแทนคนมุสลิม เจ้าเมืองคนไทยได้นำคนไทยไปตั้งรกรากอยู่ในปตานีเป็นจำนวนมาก เกิดการทะเลาะกันระหว่างคนไทยกับมุสลิมอยู่เสมอเพราะการปกครองที่กดขี่ ไม่เป็นธรรม ไม่เข้าใจกัน ทำให้เจ้าเมืองหวาดระแวงคนมุสลิมจะลุกขึ้นสู้ พระยาอภัยสงคราม เจ้าเมืองสงขลาในขณะนั้นจึงตัดสินใจแบ่งแยกอาณาจักรปตานีออกเป็นหัวเมืองเล็กๆ 7 เมือง คือ ปตานี ยะหริ่ง หนองจิก รามัน ยะลา สาย และลิเกห์ เพื่อง่ายต่อการควบคุม ตามนโยบายแบ่งแยกและปกครอง โดยส่งคนไปเป็น Raja ในแต่ละเมือง (หน้า 60-61) เมืองปตานีปกครองโดย Tuan Sulong ลูกชายของ Datuk Pankgalan ซึ่งไม่เป็นที่ไว้วางใจเท่าเมืองอื่นๆ Tuan Sulong เป็นคนเคร่งศาสนามาก ค.ศ.1831 เจ้าเมือง Kedah ขับไล่คนไทยที่เป็นตัวแทนสยามหนีไปสงขลา เจ้าเมืองสงขลากับนครฯ ยกไปตีเคดาห์ สยามเกณฑ์เจ้าเมืองทั้ง 7 ให้ไปช่วยรบเคดาห์ แต่เจ้าเมือง 4 เมือง ตัดสินใจรบกับสยามที่ปตานีแทน Tuan Sulong เป็นหลานของเจ้าเมืองกลันตันจึงขอความช่วยเหลือจากกลันตัน ทัพจากกลันตันและตรังกานูต่างเข้ามาช่วยปตานีรบกับสยาม การรบครั้งนี้รุนแรงและเสียหายมาก กองทัพมุสลิมพ่ายแพ้ Tuan Sulong หนีไปกลันตันพร้อมเจ้าเมืองยะลาและครอบครัว ปตานีถูกทำลายย่อยยับอีกครั้ง หลังจากนั้น สยามได้แต่งตั้งเจ้าเมืองอีกหลายคนปกครองปตานีสืบต่อมา โดยขึ้นต่อเจ้าเมืองสงขลา แต่สถานการณ์รอบด้านไม่สงบสุข มีความพยายามปลดปล่อยตนเองจากการปกครองของสยามในหัวเมืองต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ปี ค.ศ.1906 มีการยกเลิกระบบเจ้าเมือง เปลี่ยนการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลในสมัยรัชกาลที่ 5 เมือง 7 แห่งของอาณาจักรปตานีถูกยุบรวมเป็น มณฑลปัตตานี และถูกแบ่งอีกครั้งเป็น 4 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี สายบุรี และนราธิวาส มีข้าหลวงใหญ่มาประจำที่ปัตตานี เรียกว่าสมุหเทศาภิบาล ข้าราชการสยามคนแรกที่มารับตำแหน่งนี้คือ พระยาเดชานุชิต (หน้า 78) หลังจากระบบการปกครองโดยเจ้าเมืองมลายูถูกยกเลิกไป ประชากรมลายูในอาณาจักรปัตตานีถูกเปลี่ยนเป็นประชากรไทย เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ส่งตรงมาจากกรุงเทพฯ ทำหน้าที่เก็บภาษี โดยไม่สนใจทุกข์สุขของราษฎร ไม่เคยพยายามเข้าใจหลักศาสนาอิสลาม และคนมุสลิม การศึกษา สาธารณสุข และสวัสดิการต่างๆ ไม่เคยมี มีโรงเรียนของรัฐบาลไทยก็อยู่เฉพาะในเมืองเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้กับคนมุสลิม ทำให้ ปี ค.ศ.1923 คนมาเลย์ในปัตตานีประท้วงไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล ค.ศ.1933 รัฐบาลไทยยกเลิกมณฑล จัดการปกครองแบบเป็นจังหวัด และเริ่มขยายนโยบายสร้างชาติไทยให้ยิ่งใหญ่ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ก็กระทบกับวิถีชีวิตและความเชื่อของมุสลิมเป็นอย่างยิ่ง การเรียกร้องอิสระภาพและการปกครองตนเองเริ่มปรากฏชัดอีกครั้งในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1947 เมื่อ Haji Sulong bin abdul Kadir ประธานสภาอิสลาม และ Wan Othman Ahmad เป็นตัวแทนยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล 7 ข้อ คือ 1. ผู้ปกครองสูงสุดของ 4 จังหวัด คือยะลา ปตานี นราธิวาส และสตูลต้องเป็นมุสลิม เกิดในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งใน 4 จังหวัดนี้ ได้รับการเลือกตั้งจากราษฎร และดำรงตำแหน่งนี้ตลอดไป ไม่มีการแทนที่จนกว่าจะตาย 2. ภาษีทั้งหมดที่เก็บได้จาก 4 จังหวัด ต้องใช้จ่ายเฉพาะใน 4 จังหวัดนี้เท่านั้น 3. รัฐบาลต้องสนับสนุนการศึกษาของมุสลิมในท้องถิ่น เป็นการเฉพาะใน 4 จังหวัด 4. แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของข้าราชการใน 4 จังหวัดต้องเป็นมุสลิม และเกิดใน 4 จังหวัดนี้ 5. รัฐบาลต้องให้ใช้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาไทย 6. รัฐต้องอนุญาตให้สภาอิสลามร่างกฎหมายเกี่ยวกับประเพณีและพิธีกรรมเอง 7. รัฐบาลต้อง แยกศาลศาสนากับศาลพลเรือนใน 4 จังหวัด (หน้า 89-90) ในขณะเดียวกันคนมาเลย์ในนราธิวาสก็มีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลคล้ายๆ กัน ข้อเรียกร้องทั้งหมดถูกส่งไปกรุงเทพฯ 16 มกราคม ค.ศ.1948 ตำรวจจับตัวฮะยี สุหลง สองวันต่อมาจับผู้นำมุสลิมอีก 3 คน สองเดือนต่อมาทั้งหมดถูกส่งตัวไปจำคุกที่บางขวาง 27 เมษายน ค.ศ.1948 ระเบิด 3 ลูก ถูกส่งมา และเกิดการสู้รบระหว่างตำรวจไทยกับคนมาเลย์มุสลิมที่ Kuala Bengernara 28 เมษายน ค.ศ.1948 ตำรวจไทยประมาณพันคนต่อสู้กับคนมาเลย์มุสลิมที่นราธิวาส 30 เมษายน ค.ศ.1948 ตำรวจปราบปรามพิเศษถูกส่งลงไปตรึงกำลังในจังหวัดที่มีคนมุสลิมอยู่เพื่อควบคุมสถานการณ์ เหตุการณ์นี้ทำให้คนมุสลิมเสียชีวิต และถูกจับกุมเป็นจำนวนมาก 10 ตุลาคม ค.ศ.1949 ตัวแทนสื่อมวลชนมาเลย์-มุสลิมที่ประจำอยู่ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ทั้งอังกฤษ จีน และทมิฬ ได้เดินทางเข้าไปสังเกตการณ์ในปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แต่ถูกกีดกันโดยตำรวจ (หน้า 94-95) กล่าวโดยสรุป จะเห็นว่าความสัมพันธ์กับสยาม-ไทยของอาณาจักรปตานี เต็มไปด้วยความขัดแย้งและสงคราม นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่พบในงานเขียนเล่มนี้คือความรู้สึกเกลียดชังที่คนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้มีต่อรัฐบาลไทย และอาณาจักรไทยตั้งแต่อดีต ที่ทำลายความรุ่งเรืองและสงบสุขของอาณาจักรปตานี ปล้นชิงทรัพย์สิน ขูดรีดทรัพยากร ตลอดจนขูกรีดภาษีในอัตราสูงเพื่อนำเข้าไปบำรุงส่วนกลาง โดยปราศจากการเหลียวแลพัฒนาปตานี โดยผู้เขียนเสนอข้อคิดเห็นว่าอาณาจักรปตานีเคยยิ่งใหญ่กว่าสยามในอดีต แต่ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าระหว่างกรุงเทพฯ กับปัตตานีช่างห่างไกลกันลิบลับ (หน้า 95) นับเป็นความแค้นที่ฝังลึกจนยากเยียวยา ความเกลียดชังที่รู้สึกได้นั้นมีมากกว่าคนไทยเกลียดชังพม่าหลายร้อยเท่านัก มีการเปรียบเทียบว่ารัฐไทยได้ฆ่าชีวิตและจิตวิญญาณของคนมลายู ดังนั้นการที่จะแก้ไขปัญหาในภาคใต้ หากไม่ระมัดระวังแล้ว ความเกลียดชังที่มีอยู่กลับจะยิ่งเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้น เพราะทุกครั้งในประวัติศาสตร์ของมุสลิมภาคใต้ มักจบลงที่ถูกรัฐบาลไทยปราบปรามเข่นฆ่า หากจะศึกษาข้อมูลเรื่องหนี้สินและความยากจน นับตั้งแต่ปตานีตกอยู่ใต้การปกครองของสยามในศตวรรษที่ 18 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าว รัฐบาลไทยไม่ได้สนใจปกครองดูแลปัตตานี ไม่มีความเจริญก้าวหน้า หรือการกินดีอยู่ดีของมุสลิม เกิดขึ้นในปัตตานี ทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม และเศรษฐกิจ ปัตตานีขาดแคลนและล้าหลังเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในมาเลเซีย (หน้า 95) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แต่เดิมการสืบต่ออำนาจของราชาในอาณาจักรปตานีสืบเชื้อสายเลือดโดยตรงเท่านั้น เช่น จากพ่อสู่ลูก จากแม่สู่ลูก เป็นต้น หากไม่มีผู้สืบสกุล ขุนนางต้องประชุมกันเลือกราชาองค์ใหม่ ที่ต้องสืบเชื้อสายราชาในรัฐมุสลิมรัฐใดรัฐหนึ่ง (หน้า 49) แต่หลังจากที่ปตานีพ่ายแพ้และถูกปกครองโดยสยาม ประเพณีนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่การแต่งตั้งใครก็ได้ที่สยามเห็นสมควร ซึ่งสร้างความไม่พอใจและก่อความขัดแย้งในเวลาต่อมา และเมื่อปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล สยามก็ส่งข้าหลวงจากส่วนกลางไปปกครอง เมื่อเปลี่ยนเป็นจังหวัด ผู้ว่าราชการและข้าราชการปกครอง รวมทั้งตำรวจ ทหาร ก็เป็นข้าราชการของรัฐบาลกลาง ซึ่งทำให้คนท้องถิ่นไม่พอใจ |
|
Map/Illustration |
แผนที่อาณาจักรปตานีสมัยโบราณ (หน้า xx ) และแผนที่ปตานีในศตวรรษที่ 19 (หน้า xxi) แผนภูมิราชวงศ์ของ Raja Sri Wangsa (หน้า 49) |
|
|