|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลวะ,ลัวะ,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ขมุ,ชาวเขา,รัฐไทย,ภาคเหนือ |
Author |
Roland Mischung |
Title |
The Hill Tribes of Northern Thailand: Current Trends and Problems of their Integration into the Modern Thai Nation |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, ปกาเกอะญอ, กำมุ ตะมอย, ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
9 |
Year |
2542 |
Source |
Regions and National integration in Thailand 1892-1992, p.94-104, Wiesbaden: Harrassowitz |
Abstract |
บทความนี้ผู้เขียนต้องการนำเสนอบทบาทของชาวเขาที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย กับการเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยยุคปัจจุบัน โดยนำเสนอประเด็นปัญหาที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ทั้งแนวคิดและทัศนคติของชาวเขาและคนพื้นราบที่มีต่อกัน บทบาททางสังคม การเมือง และการดำเนินการของรัฐบาล โดยนำเสนอในแนวประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ผู้เขียนยังแสดงความคิดเห็นและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล หากการดำเนินการของรัฐบาลสร้างแรงกดดัน และมองข้ามความหลากหลายทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทย |
|
Focus |
แสดงให้เห็นวิวัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับชาวเขาโดยพิจารณาการบูรณาการของกลุ่มชาวเขาเข้ากับรัฐไทยที่รวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง (หน้า 94) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม ได้แก่ ลัวะ (หรือ ละว้า ในภาษาไทยภาคกลาง) ถิ่น ขะมุ กะเหรี่ยง (หรือ ยาง ในภาษาถิ่นเหนือ) ม้ง (เมี้ยว) เมี่ยน (เย้า) อาข่า (อีก้อ) ละหู่ (มูเซอ) ลีซู (ลีซอ) (หน้า 95) แต่ในงานศึกษานี้ผู้เขียนยกตัวอย่างกะเหรี่ยงเป็นส่วนใหญ่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
งานเขียนได้ระบุว่าชาวเขาได้เริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศพม่าโดยผ่านบางส่วนของประเทศลาว แต่ชนเผ่ากะเหรี่ยงนั้นมีประวัติศาสตร์การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยนานที่สุด โดยคาดการณ์ว่าเริ่มมีการอพยพจากพม่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 18 (หน้า 95-96) |
|
Settlement Pattern |
ชาวเขาไม่มีการตั้งถิ่นฐานที่แน่นอนโดยจะย้ายถิ่นฐานทุก ๆ 10-20 ปี ยกเว้นชนเผ่ากะเหรี่ยงซึ่งตั้งถิ่นฐานถาวรโดยพบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานในที่เดิมสืบย้อนกลับไปได้มากกว่า 100-200 ปี (หน้า 96) |
|
Economy |
ชาวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าม้งและลีซอปลูกฝิ่นเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยรับธรรมเนียมการปลูกฝิ่นมาจากประเทศจีนประมาณกลางคริสตศตวรรษที่ 19 เป็นระยะที่เริ่มการอพยพลงทางใต้ ซึ่งฝิ่นได้กลายเป็นพืชยุทธศาสตร์สร้างรายได้ชั่วคราวอย่างหนึ่ง เนื่องจากสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบว่า ชาวเขาเผ่า ละว้า ขะมุ ถิ่น นิยมการทำไร่แบบทุติยภูมิ กล่าวคือ ทำไร่บนพื้นที่ที่เคยมีการทำไร่มาก่อน และยังพบการทำนาข้าวแบบขั้นบันไดตามแนวเชิงเขาในบางพื้นที่ของชนเผ่ากะเหรี่ยง และช่วงปลายศตวรรษที่ 19 พบว่าชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจกับคนพื้นราบ โดยสินค้าที่มีการแลกเปลี่ยนกัน ได้แก่ เหล็ก เกลือ เครื่องถ้วยชาม แลกเปลี่ยนกับผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ต่าง ๆ (หน้า 95-97) |
|
Political Organization |
ด้านการเมืองนั้น ได้มีหลักฐานแสดงว่าชนเผ่ากะเหรี่ยงได้มีส่วนร่วมในเรื่องการจัดการสายน้ำและปันน้ำ ในศาลไทย (Court of Siam) หรือ ศาลเจ้านายฝ่ายเหนือ (Court of Princes of Northern Thailand) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องสิทธิของชนเผ่าในการตั้งถิ่นฐานที่ควรได้รับการยอมรับและเคารพ และยังพบว่ากะเหรี่ยงยังได้รับการว่าจ้างให้ป้องกันการรุกล้ำของพม่าตามแนวชายแดนด้วย (หน้า 97) ในปีคริสตศักราช 1967-1969 ได้เกิดการลุกฮือต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐในหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง อำเภอเถิง จังหวัดเชียงราย เกิดจากความขัดแย้งเรื่องส่วนแบ่งผลประโยชน์จากฝิ่น ระหว่างกลุ่มม้งและเจ้าหน้าที่บางกลุ่มเท่านั้น แต่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ ขึ้น และจากเหตุการณ์นี้เองรัฐบาลจึงตระหนักถึงความสำคัญของชาวเขาที่มีอยู่อย่างหลากหลายส่งผลให้เกิดโครงการในประเทศและสากลเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขา ในปีคริสต์ศักราช 1967 รัฐบาลไทยได้ประกาศนโยบายบูรณาการชาวเขาเข้ากับสังคมไทย โดยดำรงไว้ซึ่งการเคารพในสิทธิในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และวัฒนธรรมของชนเผ่า ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้เป็นพลเมืองชั้นหนึ่งที่พึ่งพาตนเองได้ (หน้า 99-100) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้เขียนให้ข้อมูลว่า ชนเผ่า ลัวะ ถิ่น ขะมุ มีจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งสามเผ่าได้สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษามอญ-เขมร ปัจจุบันได้กลมกลืนเข้ากับชาวนาท้องถิ่นเหนือของไทย (หน้า 95) ชนเผ่าม้งและเมี่ยน มีวัฒนธรรมและภาษาเป็นมรดกตกทอดร่วมกัน เช่นเดียวกันกับชนเผ่า อาข่า ละหู่ มูเซอ ที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน (หน้า 95) ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขาและคนพื้นราบนั้นมีความขัดแย้งเรื่องภาพลักษณ์ของชาวเขาในสายตาของคนพื้นราบ เนื่องจากคนพื้นราบเห็นว่าชาวเขามีความเชื่อ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมที่แตกต่างจากตน แต่ในทางกลับกันทัศนคติของชาวเขาต่อคนพื้นราบโดยรวมถึง ชนชาติจีน พม่า ไทย หรือชาติอาณานิคมต่าง ๆ เห็นว่าชนชาติเหล่านี้เป็นชนชาติที่มีความสำคัญและโดดเด่น สมควรได้รับบทบาทที่ สร้างสรรค์ เนื่องจากมีความสำคัญต่อความมั่นคงและสถานะความเป็นอยู่ของชนเผ่าตน (หน้า 98) แม้ว่าชาวเขาได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยอย่างสมบูรณ์ ยังคงเป็นพลเมืองชายขอบ อย่างไรก็ตามการดำรงอยู่ของชาวเขาก็ได้รับความเคารพในฐานะชาติพันธุ์ที่มีความแตกต่าง ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 19 ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขาและคนพื้นราบได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งเนื่องจากการการทำข้อตกลงยุติการล่าอาณานิคมตามแนวชายแดน (นอกจากนี้กองกำลังชาวเขาก็ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะต่อต้านกองกำลังต่างชาติ เช่น อังกฤษ) ประกอบกับการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจทำให้นโยบายต่อชาวเขาไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ และไม่ได้รับการดูแล เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญต่อชาวเขามาเป็นเวลานาน เนื่องจากเห็นว่าชาวเขาไม่ได้สร้างผลประโยชน์พิเศษใด ๆ ให้แก่ประชากรไทย ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชาวเขาและคนพื้นราบจึงห่างเหินกลายเป็นช่องว่าง ชาวเขากลายเป็นคนแปลกหน้า และภาพลักษณ์ที่ดีของชาวเขาในฐานะชาติพันธุ์ที่มีความแตกต่างก็เริ่มเลือนหายไปจากทัศนคติของคนพื้นราบ ชาวเขาได้กลายเป็นอนารยชนที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่แปลกแยก ก่อให้เกิดคำเรียกว่า "ชาวเขา" ขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้เรียกชนเผ่าทุกเผ่าโดยรวม (หน้า 97-98) หลังจากปีคริสต์ศักราช 1950 เป็นต้นมา ภาพลักษณ์ชาวเขายิ่งตกต่ำลงเรื่อย ๆ สาเหตุมาจากชนเผ่าม้งที่มีการปลูกฝิ่นกันอย่างแพร่หลายมากขึ้นจนเป็นภัยคุกคาม เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอสาเหตุ 3 ประการที่มีผลต่อภาพลักษณ์ของชาวเขาที่ตกต่ำลง ได้แก่ 1) การบุกรุกถางป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย ทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย 2) การปลูกฝิ่น ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย และเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ 3) เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ โดยชาวเขาได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในฐานะคอมมิวนิสต์ต่างชาติ (Foreign Communist) (หน้า 98) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในปีคริสต์ศักราช 1959 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการสวัสดิภาพชาวเขา (Hill Tribe Welfare Committee) เป็นช่วงเวลา 1 ปีหลังจากที่รัฐบาลได้ห้ามการปลูกและบริโภคฝิ่น กิจกรรมที่สำคัญที่คณะกรรมการได้จัดตั้งคือการสร้างนิคมสร้างตนเอง เพื่อสนับสนุนการย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานเดิม และให้ความช่วยเหลือความรู้ทางการเกษตร การแพทย และอนามัย และการตั้งโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือเรื่องการศึกษา โดยได้รับความช่วยเหลือจากศูนย์วิจัยชนเผ่า (Tribal Research Centre) เป็นโครงการร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และกรมพัฒนาสวัสดิการสังคม กระทรวงมหาดไทย ในปีคริสต์ศักราช 1964 โดยช่วยเหลือการสำรวจข้อมูลของชนเผ่าต่าง ๆ นอกจากนี้องค์การสหประชาชาติก็ได้เข้ามาช่วยเหลือในปีคริสต์ศักราช 1967 เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีโครงการหลวงในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขาให้ดียิ่งขึ้น (หน้า 99-100)์ |
|
Other Issues |
นโยบายเกี่ยวกับชาวเขา ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับนโยบายการผลักดันให้ย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานในที่เดิมว่า นโยบายการผลักดันนั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อชาวเขาทุกเผ่า ตัวอย่างเช่น ชาวเขาเผ่าลีซอและเผ่าม้งได้ยกเลิกการปลูกฝิ่นแล้ว นอกจากนี้ยังตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นหลักแหล่งมาตั้งแต่ช่วงปีคริสตศักราช 1970 ส่วนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงนั้นก็ได้หันมาทำนาแบบขั้นบันไดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว และทำไร่เลื่อนลอยเป็นครั้งคราวเท่านั้น นอกจากนี้ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงยังอาศัยอยู่ในป่าลึกที่ไม่ได้รับการรบกวนอีกด้วย ผู้เขียนได้ให้เหตุผลต่อนโยบายการผลักดันให้ย้ายกลับไปตั้งถิ่นฐานเดิมนั้นว่าได้มองข้ามปัญหาหลายประการ ได้แก่ 1) ที่ดินที่รัฐได้จัดหาไว้ให้นั้นเป็นที่ดินที่มีคุณภาพต่ำและขาดความอุดมสมบูรณ์ 2) การยกเลิกการทำไร่เลื่อนลอยได้มองข้ามเรื่องการสร้างความหลากหลายทางพืชพรรณที่ได้จากการทำไร่แบบนี้ 3) การอพยพชาวเขานั้นเป็นการปิดโอกาสการใช้ชาวเขาช่วยประชาสัมพันธ์การฟื้นฟูป่าไม้ซึ่งเป็นรูปแบบการอนุรักษ์ในสมัยใหม่ 4) นโยบายดังกล่าวมองข้ามหลักพื้นฐานการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมของชนเผ่าซึ่งมีความต้องการอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของตนและประกอบพิธีกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อของชนเผ่าตนเองโดยยังให้ความเคารพกฎหมายไทยและได้รับการยอมรับจากคนไทย และที่สำคัญคือ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ผู้เขียนได้อ้างถึงคำกล่าวของคุณวนัช พฤกษะศรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีใจความสำคัญ ว่า ชาติไทยเป็นพหุสังคมซึ่งเกิดขึ้นจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์และภาษา สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของชาติไทย (หน้า 101-102) นอกจากนี้ ผู้เขียนได้ใช้กรณีของยุโรปเป็นการสรุปถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้หากมีการแทรกแซงและบังคับทางชาติพันธุ์ ถ้ายิ่งได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลมากก็ยิ่งเกิดความวุ่นวายมากขึ้นเช่นกัน (หน้า 102) |
|
Text Analyst |
รัฐพล พิริยะธนารักษ์ |
Date of Report |
25 ก.ย. 2567 |
TAG |
ม้ง, เมี่ยน, ลีซู, ลาหู่, ลวะ, ลัวะ, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), ขมุ, ชาวเขา, รัฐไทย, ภาคเหนือ, |
Translator |
- |
|