|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การทอผ้า,กี่เอว,บ้านพระบาทห้วยต้ม,ลำพูน |
Author |
ฤชุอร แซ่โกย |
Title |
อาชีพการทอผ้ากี่เอวของชนเผ่ากะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
96 |
Year |
2544 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอาชีวศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ผลการวิจัยพบว่าการทอผ้าของชนเผ่ากะเหรี่ยงที่บ้านพระบาทห้วยต้มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยเป็นการทอเพื่อใช้นุ่งห่มในชีวิตประจำวันและในประเพณีต่างๆ เช่น ประเพณีแต่งงานและขึ้นบ้านใหม่ ต่อมาเมื่อหน่วยงานต่างๆ ได้เข้าไปจัดสร้างสาธารณูปโภคขยายโอกาสทางการศึกษาและส่งเสริมอาชีพการทอผ้า ทำให้การทอผ้ากลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชนเผ่ากะเหรี่ยง กระบวนการผลิตจึงเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเชิงพาณิชย์ ด้วยการพัฒนาคุณภาพของเส้นใย สีย้อมให้มีความคงทน มีการประยุกต์ลวดลายและผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการถ่ายทอดความรู้ที่มิได้จำกัดเฉพาะเพศหญิงในระบบเครือญาติเท่านั้น แต่เป็นการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบจากหน่วยงานที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ (หน้า ง-จ) |
|
Focus |
ศึกษาอาชีพการทอผ้ากี่เอวของชนเผ่ากะเหรี่ยง บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนในประเด็นสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การพัฒนาคุณภาพเส้นใย กระบวนการทอ แนวทางการออกแบบลวดลาย รวมถึงการส่งเสริมอาชีพการทอผ้ากี่เอว และระบบการจัดการทางการตลาด (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มสตรีและแม่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงโปว์และสะกอที่มีอาชีพทอผ้าของ บ้านพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน (หน้า 21) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2544 |
|
History of the Group and Community |
บ้านพระบาทห้วยต้มมีชื่อตามรอยพระบาทที่ประดิษฐานบริเวณวัดพระบาทห้วยต้ม ก่อตั้งโดยชนเผ่ากะเหรี่ยงที่เลื่อมใสศรัทธาในครูบาวงษ์ ได้ติดตามครูบาวงษ์มา และมีการอพยพเข้ามาสมทบอีกในปี พ.ศ.2514 และ พ.ศ.2516 จนกระทั่งกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ (หน้า 24-25) |
|
Demography |
ประชากรกะเหรี่ยงในแต่ละหมู่บ้านของบ้านพระบาทห้วยต้มในปี พ.ศ.2544 จำแนกตามเพศและวัย กลุ่มบ้านห้วยต้มมีประชากร 976 คน กลุ่มบ้านหนองปูมีประชากร 930 คน กลุ่มบ้านหนองบอนมีประชากร 788 คน กลุ่มบ้านเด่นยางมูลมีประชากร 722 คน กลุ่มบ้านหนองนามีประชากร 732 คน กลุ่มบ้านเด่นทรายมูลมีประชากร 811 คน และกลุ่มบ้านหนองเกี๋ยงมีประชากร 436 คน (หน้า 32) |
|
Economy |
เมื่อแรกเริ่มก่อตั้งชุมชนประชากรดำรงชีพด้วยการหาของป่าและทำการเกษตรแบบยังชีพ โดยบุกเบิกพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง มีที่ดินเฉลี่ยครอบครัวละ 6 ไร่ ต่อมา พ.ศ.2528 ทางราชการได้สั่งปิดป่าและเขตอุทยานและให้มูลนิธิโครงการหลวงเป็นผู้จัดสรรพื้นที่ทำกินบริเวณรอบๆ หมู่บ้านให้ครอบครัวละ 3 ไร่ ชาวบ้านจึงต้องไปประกอบอาชีพรับจ้างสกัดศิลาแลง ปลูกป่า ขุดดิน ถางไร่ และทำความสะอาดวัด บางคนประกอบอาชีพค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคและไหมพรม (หน้า 27-28) จนกระทั่งได้รับการส่งเสริมอบรมอาชีพทอผ้า จึงมีการรวมกลุ่มผู้ประกอบอาชีพและจัดการทางการตลาด การจัดจำหน่ายสินค้าจากผู้ทอผ้าถึงผู้ซื้อโดยตรง คิดเป็นร้อยละ 10 ของผู้ประกอบอาชีพ การจัดจำหน่ายโดยผ่านผู้ค้าปลีก คิดเป็นร้อยละ 5 ของผู้ประกอบอาชีพ การจัดจำหน่ายโดยผ่านผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้ประกอบอาชีพ ส่วนอีกร้อยละ 15 เป็นการจัดจำหน่ายโดยมีหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือในการรวบรวมผ้าทอและติดต่อประสานงานการจัดจำหน่าย เช่น ร้านค้าจากศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ร้านค้าจากศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง นอกจากนี้ยังมีการประชาสัมพันธ์สินค้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นด้านการตลาดของผ้าทอ เช่น การจัดงาน Amazing Karen ขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม การออกร้านจำหน่ายในงานเทศกาลต่าง ๆ และงานส่งเสริมสินค้าหัตถกรรม เป็นต้น (หน้า 69-71) ผลจากการเข้ามาส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับชาวเขาของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดลำพูนและหน่วยงานต่างๆ ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มอาชีพ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มทอผ้า กลุ่มทำเครื่องเงินและกลุ่มตีเหล็ก สำหรับกลุ่มผู้ประกอบอาชีพทอผ้าได้มีการดำเนินงาน 2 ลักษณะ คือ กลุ่มสตรีและแม่บ้านชาวเขา ภายใต้การดูแลและสนับสนุนจากศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดลำพูน และกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโครงการหลวง ให้ความช่วยเหลือด้านการจัดสรรงาน การผลิต การตลาดและเงินทุนกู้ยืมแก่สมาชิก (หน้า 67-68) |
|
Political Organization |
ในระยะแรกของการก่อตั้งชุมชน ครูบาวงษ์ทำหน้าที่เป็นผู้นำชุมชนโดยธรรมชาติ มีบทบาทในการอบรมสั่งสอนและให้คำปรึกษาแก่ชุมชน เมื่อชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้นจึงมีการคัดเลือกผู้นำกลุ่มที่เรียกว่าอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปให้ทำหน้าที่เป็นมัคทายก ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา อบรมสั่งสอนชาวบ้าน และสอดส่องผู้กระทำผิดกฎหมายของหมู่บ้าน โดยยึดหลักคำสอนทางศาสนาและกฎหมายเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ต่อมาใน พ.ศ.2516 ชุมชนบ้านพระบาทห้วยต้มได้รับการยกฐานะเป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ มีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของทางราชการและชุมชน แต่บทบาทของอาจารย์ก็ยังคงมีอยู่ (หน้า 25) |
|
Belief System |
เดิมชนเผ่ากะเหรี่ยงมีการนับถือผี แต่เมื่ออพยพเข้ามาที่บ้านพระบาทห้วยต้มจึงหันมานับถือศาสนาพุทธตามความศรัทธาในครูบาวงษ์ ทุกบ้านจะมีพระพุทธรูปหรือภาพพระพุทธรูปไว้สักการบูชา ในวันพระและวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะเป็นวันหยุดงาน ชาวบ้านจะไปฟังเทศน์ และปฏิบัติธรรมที่วัด ส่วนประเพณีดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับการทอผ้า ได้แก่ ประเพณีขึ้นปีใหม่ ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะมีการเฉลิมฉลองและผูกข้อมือเพื่อความเป็นสิริมงคล และประเพณีการแต่งงาน เชื่อกันว่าหญิงสาวที่ทอผ้าได้ประณีตสวยงามจะเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในหมู่บ้าน เนื่องจากต้องทอผ้าเพื่อตัดชุดเจ้าสาวและเจ้าบ่าวเอง (หน้า 28) |
|
Education and Socialization |
ครูบาวงษ์ได้เริ่มจัดการศึกษาแก่บ้านพระบาทห้วยต้มอย่างไม่เป็นทางการขึ้นในปี 2518 โดยเปิดโรงเรียนชุมชนเพื่อทำการสอนภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยง ต่อมาพ.ศ.2519 จึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาลก่อนวัยเรียน มีหน่วยงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาประจำหมู่บ้านเป็นผู้ดูแล และเปิดการสอนภาษาไทยให้แก่ชาวบ้านในเวลากลางคืน ภายใต้การดูแลของสำนักงานการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดลำพูน จนกระทั่งปี พ.ศ.2521 จึงได้จัดตั้งโรงเรียนบ้านห้วยต้ม (ไชยวงษาอุปถัมภ์) สังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติจังหวัดลำพูน โดยเปิดสอนการศึกษาภาคบังคับถึงชั้นประถม 6 ต่อมาได้เปิดสอนถึงชั้นมัธยม 3 และเพิ่มศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอีก 3 แห่ง (หน้า 27, 29) กระบวนการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการทอผ้าเป็นเรื่องเฉพาะของเพศหญิง จะเริ่มต้นเมื่อเด็กหญิงอายุ 6-8 ปี โดยย่า ยาย และแม่ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ด้วยการฝึกฝนให้ทอย่ามหรือผ้าสไบ จนเกิดความชำนาญ จึงจะได้เริ่มทอเป็นลวดลาย และฝึกฝนจนกระทั่งมีฝีมือประณีต นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนเทคนิคการทอผ้าหรือลวดลายพิเศษระหว่างเครือญาติกัน (หน้า 28) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
อุปกรณ์สำคัญในการทอผ้ากี่เอวของกะเหรี่ยง ได้แก่ แผ่นหนังกวางคล้องกับไม้รั้งผ้าที่ทอและเอวผู้ทอ ส่วนเส้นใยที่ใช้ในการทอจะใช้ฝ้ายปลูกเอง และจะมีกรรมวิธีในการปั่นฝ้ายให้เป็นเส้นใยสำหรับการทอผ้า เนื่องจากเส้นใยฝ้ายธรรมชาติดังกล่าวไม่คงทนและหลุดลุ่ยง่าย จึงต้องมีการพัฒนาคุณภาพเส้นด้าย ด้วยการนำไจด้ายชุบในน้ำข้าวพันธุ์พื้นเมืองเพื่อเพิ่มความคงทนแข็งแรง และย้อมด้วยสีจากธรรมชาติ เช่น สีดำจากผลมะเกลือ สีแดงจากเถาไม้ฝางหรือเปลือกต้มประดู่ สีแสดจากเปลือกเถานมวัว โดยในการย้อมนั้นจะอาศัยประสบการณ์ในการคาดคะเนตามความพึงพอใจของผู้ย้อม สีที่ได้จึงแตกต่างกันในแต่ละครั้งของการย้อม (หน้า 38-39) เอกลักษณ์ของผ้าทอกะเหรี่ยง คือ การนำผ้าแต่ละชิ้นมาประกอบกันเป็นเครื่องแต่งกายโดยไม่มีการตัด มีการกำหนดรูปแบบและรูปทรงสำหรับการใช้งานโดยเฉพาะ ในการทอผ้าจึงต้องอาศัยความชำนาญในการกะขนาดของหน้าผ้า และวางตำแหน่งของลวดลายมีเทคนิคการทอ 5 ประเภท คือ 1) การทอพื้น ได้แก่ การทอสลับสีด้ายยืน เช่น ลวดลายบนย่ามและบนส่วนของตีนซิ่น และการทอสลับสีด้ายพุ่ง เช่น ลายบนผ้านุ่งผู้ชาย 2) ทอจก ด้วยการใช้นิ้วล้วงเข้าไปในด้ายยืนแล้วเอาด้ายสีต่าง ๆ แทรกเข้าไปในขณะทอ สลับกับการสอดด้ายพุ่ง ผ้าทอประเภทนี้ใช้เป็นของขวัญแก่ผู้ชายที่ตนพึงพอใจหรือใช้เป็นลวดลายบนเสื้อและผ้าซิ่นของผู้หญิง 3) ทอยกดอก คล้ายกับการทอจกแต่จะง่ายกว่า เนื่องจากใช้วิธียกตะกอกำหนดลายไว้ตั้งแต่ตอนขึ้นด้ายแล้ว 4) ทอจกผสมยกดอก ทำให้ได้ลวดลายที่มีความสวยงามแปลกตา 5) มัดหมี่ คือการย้อมด้ายให้เป็นลวดลายติดสีในบางส่วน มักปรากฏเป็นลายขวางบนตัวผ้าซิ่นของผู้หญิงหรือโสร่งของผู้ชาย (หน้า 40-42) ลวดลายบนผ้าทอได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติรอบๆ ตัว จำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ลายที่เกิดจากการทอจกหรือยกดอก มีทั้งลายที่เลียนแบบมาจากพืช ผัก ผลไม้ สัตว์ และลายเรขาคณิตต่างๆ เช่น ลายเมล็ดฟัก ลายดอกหมาก ลายน้ำเต้า ลายต้นไม้ ลายดอกทานตะวัน ลายคน ลายเต่า ลายปากนก ลายแมงมุม ลายผีเสื้อ ลายตะขาบ ลายตาไก่ ลายดาว ลายต้มไม้มีกิ่ง เป็นต้น 2) ลายมัดหมี่ ลักษณะลายคล้ายสายน้ำไหล 3) ลายปัก เป็นการสร้างลวดลายบนผืนผ้าหลังจากการตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้ด้ายสีแดงสลับด้วยด้ายสีเหลืองและสีเขียว อาจมีการปักลูกเดือยระหว่างด้ายสีต่างๆ นิยมลายแมงมุม ลายจิงโจ้น้ำ ลายตานกฮูก และลายน้ำเต้า (หน้า 42-50) การแต่งกายของกะเหรี่ยงมีความแตกต่างกันตามเพศและวัย โดยชุดของหญิงสาวกะเหรี่ยงโปว์จะใช้เทคนิคการทอจกลวดลายบริเวณหน้าอก และมีด้ายสีแดงเย็บติดปล่อยชายยาว ส่วนชุดของหญิงสาวกะเหรี่ยงสะกอจะมีลวดลายน้อยกว่า และมีพู่เย็บติดชายเสื้อรอบตัว หญิงกะเหรี่ยงโปว์ที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อที่ใช้เทคนิคการจกและปักตกแต่งลวดลาย นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่เส้นยืนทอจกและทอยกดอก ส่วนหญิงกะเหรี่ยงสะกอที่แต่งงานแล้ว จะสวมเสื้อและนุ่งซิ่นที่ใช้เทคนิคการจกและยกดอก ขณะที่ผู้ชายกะเหรี่ยงโปว์และสะกอจะสวมผ้าทอสีพื้น เช่น สีขาว และนุ่งโสร่งหรือกางเกง (หน้า 51-55) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ รับหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มเป็นหมู่บ้านบริวารภายใต้มูลนิธิโครงการหลวงได้ทำให้เกิดการขยายโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชน มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมของหมู่บ้าน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเลื่อนไหลในสภาพความเป็นอยู่ เช่น คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านนิยมใช้ภาษาไทยภาคกลางในการติดต่อสื่อสารและแต่งตัวตามสมัยนิยมด้วยการสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ (หน้า 30) ส่วนการเข้าไปส่งเสริมอาชีพทอผ้ากี่เอวของหน่วยงานต่างๆ ทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพและลวดลายผ้าทอจนเป็นที่ต้องการของตลาด ตลอดจนมีการประยุกต์ชิ้นงานให้มีประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายมากขึ้น เช่น นำมาตัดเป็นผ้าแขวนผนังหรือผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง และผ้าคลุมไหล่ (หน้า 61) นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงและพัฒนาลวดลายให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคด้วยเทคนิคการทอเกี่ยวตะขอ โดยใช้ด้ายเส้นพุ่งสีเดียวกันหรือสลับสีเกี่ยวกระหวัดกับด้ายเส้นยืนสลับไปมาจนเกิดลวดลายลักษณะเหมือนตาข่าย การทอจกเส้นยืน เป็นลวดลายที่ออกแบบสำหรับผ้าคลุมไหล่เพื่อให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น และการผสมผสานกลุ่มสีบนลวดลายที่ทอจนเกิดเป็นลายใหม่ที่ดูแปลกตา ส่งผลให้ครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยจากการทอผ้า 700-2,000 บาท/เดือน รวมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการถ่ายทอดความรู้ แนวคิดในการสร้างสรรค์ลวดลาย และเทคนิคการทอผ้าผ่านหน่วยงานของรัฐและเอกชน กระทั่งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าก็มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ด้วยการใช้กระสอบปุ๋ยแทนหนังกวางคาดเอว มีการใช้ด้ายสำเร็จรูปแทนฝ้ายพื้นเมือง และใช้สีวิทยาศาสตร์แทนสีย้อมจากธรรมชาติ เนื่องจากได้รับการพัฒนาคุณภาพเส้นด้ายให้มีความคงทนแข็งแรง อีกทั้งยังมีสีสันสวยงามและราคาถูก (หน้า 62-67) |
|
Other Issues |
ปัญหาและอุปสรรคจากการส่งเสริมอาชีพทอผ้าของหน่วยงานต่างๆ ในชุมชนกรณีศึกษา ได้แก่ เนื้อหาของหลักสูตรการอบรมแต่ละโครงการขาดความต่อเนื่องและสอดคล้องกัน อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจากหน่วยงานที่เข้าไปจัดโครงการอบรมขาดความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของคนในพื้นที่ ประกอบกับขาดการติดตามผลจากหน่วยงานต่างๆ อย่างจริงจัง บุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญก็ไม่เพียงพอกับจำนวนประชากรในชุมชน นอกจากนี้ยังขาดเงินสนับสนุนการจัดโครงการอบรม ส่วนปัญหาของผู้เข้าอบรม ได้แก่ ประชากรผู้เข้าอบรมยังขาดความรู้พื้นฐานด้านการศึกษา จึงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ในโครงการที่จัดขึ้น อีกทั้งยังขาดการสนใจอย่างจริงจังจึงไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ทั้งในกระบวนการผลิตและการจัดการด้านการตลาด รวมถึงช่วงเวลาที่จัดการอบรมยังไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน (หน้า 60-61) นอกจากนี้ยังมีปัญหาและอุปสรรคในการประกอบอาชีพทอผ้า คือ 1) ปัญหาการผลิตที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและคุณภาพของผ้าทอ ทั้งในด้านความประณีตในการทอ ลวดลาย และเทคนิคการย้อม 2) ปัญหาด้านการตลาด เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์ผ้าทอของชาวเขาเผ่าอื่น ๆ แย่งส่วนแบ่งทางการตลาด 3) ปัญหาการจัดการผลิตและการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีความสมดุลกับความต้องการของตลาด (หน้า 73) |
|
Map/Illustration |
แผนภูมิสังคมมิติแสดงถึงการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการทอผ้า (หน้า 29) แผนภูมิสังคมมิติแสดงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในชุมชน (หน้า 31) ภาพอุปกรณ์ต่างๆ ในการทอผ้า (หน้า 34) ลวดลายของผ้าทอ (หน้า 43-50) การแต่งกายของกะเหรี่ยง (หน้า 51-55) ลวดลายที่เกิดจากการพัฒนาเทคนิคการทอ (หน้า 66-67) ผลิตภัณฑ์ผ้าทอ (หน้า 72) และตารางจำนวนประชากรชนเผ่ากะเหรี่ยงบ้านพระบาทห้วยต้ม (หน้า 32) |
|
|