|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การพัฒนา,การอนุรักษ์ทรัพยากร,เชียงใหม่,ภาคเหนือ |
Author |
จรีเมธ อังกสิทธิ์ |
Title |
ผลของการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ดินและน้ำบนที่สูงที่มีต่อชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ : กรณีศึกษาโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Total Pages |
102 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ศึกษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงาน ต่อกะเหรี่ยงที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยพบว่าแรงงานภาคการเกษตรมีจำนวนลดลง มีสาเหตุมาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานกะเหรี่ยงสู่พื้นที่ราบ พื้นที่นาดำเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับขยายพื้นที่นาดำ ทำให้พื้นที่ทำไร่เลื่อนลอยลดลง วงจรหมุนเวียนพื้นที่เพื่อการเกษตรลดลงจาก 2.13 ปี เป็น 1.36 ปี เนื่องจากมีการทำไร่นาถาวรทดแทนการทำไร่เลื่อนลอยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการส่งเสริมของโครงการฯ ในด้านกรรมวิธีการผลิตและปรับปรุงพันธุ์พืช รายได้จากการเลี้ยงสัตว์ลดลง โดยหันมามุ่งเน้นด้านการเพาะปลูกและการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมกันมากขึ้น รายได้นอกการเกษตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากกะเหรี่ยงส่วนใหญ่หันมาประกอบอาชีพรับจ้างนอกหมู่บ้าน (หน้า 78-80) |
|
Focus |
ศึกษาผลกระทบจากการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ดินและน้ำของเกษตรกรกะเหรี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติขุนสาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนอุปสรรคและปัญหาจากการเปลี่ยนแปลง (หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมในเขตอุทยานแห่งชาติขุนสาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาส่วนหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพื้นราบใกล้หมู่บ้านคนเมือง อีกส่วนหนึ่งตั้งถิ่นฐานบนภูเขาและปลูกสร้างบ้านเรือนใกล้แหล่งน้ำ (หน้า 5) |
|
Demography |
กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษามีจำนวนทั้งสิ้น 268 ครัวเรือน (หน้า 16) เป็นเกษตรกรที่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี ร้อยละ 10.8 อายุระหว่าง 31-50 ปี ร้อยละ 52.5 อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 36.7 อายุสูงสุดของประชากรคือ 87 ปี อายุต่ำสุดคือ 24 ปี อายุเฉลี่ยเท่ากับ 47.62 ปี ส่วนใหญ่มีสมาชิกในครัวเรือน 4-6 คน คิดเป็นร้อยละ 52.5 รองลงมาร้อยละ 30.2 มีสมาชิกในครัวเรือน 7-9 คน ร้อยละ 9.4 มีสมาชิกในครัวเรือน 1-3 คน และร้อยละ 7.9 มีสมาชิกมากกว่า 9 คน (หน้า 23) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาประกอบอาชีพเกษตรกรรมและนิยมปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือน จากการศึกษาพบว่าจำนวนกะเหรี่ยงที่เป็นแรงงานในปี พ.ศ.2536 ลดลงจากปีพ.ศ.2532 และมีจำนวนสมาชิกที่เป็นแรงงานภาคเกษตรสูงสุด 8 คน น้อยกว่าในปี พ.ศ.2532 อยู่ 4 คน (หน้า 24-25) และมีพื้นที่การเกษตรเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 51.1 เฉลี่ยเป็นพื้นที่การเกษตร 7.99 ไร่ พื้นที่นาดำ 4.62 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชไร่ 3.5 ไร่ และพื้นที่ไร่หมุนเวียนเฉลี่ย 1.36 ปี พืชที่นิยมปลูก ได้แก่ ข้าวนาดำ ข้าวไร่ ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ผักกาด แตงกวา พริก มะพร้าว ลิ้นจี่ กาแฟ บ้วยและไผ่ตง นอกจากนี้ ยังมีการนำข้าวพันธุ์ใหม่มาปลูกทดแทนพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เช่น ข้าวพันธุ์กข.15 ชิวแม่จัน สันป่าตอง และจ้าวฮ่อ และปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อบำรุงรักษาดิน โดยร้อยละ 95.0 ไม่ใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชและแมลง ร้อยละ 61.2 ยังคงทำการเกษตรแบบดั้งเดิมโดยไม่ใช้เครื่องจักรกล (หน้า 33-35) รายได้หลักของครอบครัวจึงมาจากการปลูกพืชไร่ และการเลี้ยงสัตว์ โดยร้อยละ 41.1 มีรายได้ระหว่าง 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 33.8 มีรายได้มากกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 23.7 มีรายได้ระหว่าง 1,000-5,000 บาท และร้อยละ 1.4 มีรายได้ต่ำกว่า 1,000 บาท บางครอบครัวมีรายได้สูงสุดถึง 115,150 บาท บางครอบครัวมีรายได้ต่ำสุดเพียง 60 บาท จึงนิยมใช้สินเชื่อจากกองทุนหมุนเวียนเพื่อการเกษตรประจำหมู่บ้านในรูปของปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ กล้าพันธุ์ไม้ผล และเงิน บางครอบครัวยังกู้ยืมสินเชื่อจากเพื่อนบ้านและพ่อค้าพื้นราบในรูปของเงินและข้าว (หน้า 37) |
|
Social Organization |
ครอบครัวกะเหรี่ยงร้อยละ 95 มีหัวหน้าครอบครัวเป็นเพศชายที่มีอายุเฉลี่ย 47 ปี และมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวประมาณ 6 คน ส่วนใหญ่ร้อยละ 69.8 เข้าร่วมกลุ่มทางสังคม ได้แก่ กองทุนหมุนเวียน ธนาคารข้าวและกรรมการหมู่บ้าน มีเพียงร้อยละ 30.2 ที่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มทางสังคม (หน้า 23-24) |
|
Political Organization |
การจัดองค์กรของโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมบนที่สูงได้แบ่งพื้นที่การพัฒนาออกเป็นเขตปฏิบัติการโครงการฯ แต่ละเขตมีหัวหน้าและนักวิชาการเกษตรประจำเขตคอยดูแลรับผิดชอบในการประสานแผนในระดับหมู่บ้าน (หน้า 9) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงร้อยละ 66.2 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 32.4 นับถือศาสนาพุทธ ส่วนอีกร้อยละ 1.4 นับถือผี (หน้า 23) |
|
Education and Socialization |
กลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ศึกษาร้อยละ 80.6 ยังอ่านและเขียนหนังสือไทยไม่ได้ ร้อยละ 18.0 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา และมีเพียงร้อยละ 1.4 ที่จบการศึกษาสูงกว่าระดับประถม 6 อย่างไรก็ดีผู้ปกครองส่วนใหญ่ร้อยละ 75.5 ต้องการให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาถึงระดับมัธยมต้น (หน้า 23-24) ร้อยละ 40.3 เคยเข้ารับการฝึกอบรมด้านการเกษตรในหลักสูตรการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ดินและน้ำบนที่สูง การขยายพันธุ์ไม้และการปลูกข้าวไร่ (หน้า 51) จึงมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันการพังทลายของดิน บำรุงรักษาดิน รวมถึงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำด้วยการปลูกไม้ยืนต้น ทำแนวอนุรักษ์ ลดการถางไร่-เผาไร่ ขยายพื้นที่นาดำ ปลูกพืชหมุนเวียนและทำไร่นาสวนผสม (หน้า 54) |
|
Health and Medicine |
กะเหรี่ยงร้อยละ 72.7 เข้ารับการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบัน ร้อยละ 26.6 รักษาพยาบาลแผนปัจจุบันควบคู่กับการรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิม มีเพียงส่วนน้อยหรือร้อยละ 0.7 ที่ยังคงรักษาพยาบาลแบบดั้งเดิม (หน้า 24) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในประเทศไทยพบกะเหรี่ยง 4 กลุ่ม คือ สะกอ โป พะโอ และบะเว โดยประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ศึกษาเป็นกะเหรี่ยงสะกอ คนไทยภาคเหนือเรียก ยาง เป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศไทย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามป่าทางทิศตะวันตกของประเทศไทยบริเวณชายแดนพม่า (หน้า 5) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผลจากการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ดินและน้ำบนที่สูงทำให้กะเหรี่ยงหันมาทำไร่นาถาวรแทนการทำไร่เลื่อนลอยมากขึ้น พบว่าหลังการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ฯ จำนวนสมาชิกในครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 5.95 คน เป็น 6.09 คน จำนวนสมาชิกที่เป็นแรงงานภาคเกษตรลดลงจาก 4.01 คน เป็น 3.53 คน โดยหันไปเป็นแรงงานรับจ้างในอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง ขนาดพื้นที่การเกษตรลดลงจาก 8.77 ไร่ เป็น 7.99 ไร่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในเขตต้นน้ำ ขนาดพื้นที่นาดำเพิ่มขึ้นจาก 2.03 ไร่ เป็น 4.62 ไร่ เป็นผลมาจากการส่งเสริมของโครงการฯ ขนาดพื้นที่ปลูกพืชไร่ลดลงจาก 4 ไร่ เป็น 3.50 ไร่ เนื่องจากพื้นที่ส่วนหนึ่งถูกนำไปทำแถบพืชอนุรักษ์และบางส่วนได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ อำเภอสะเมิง วงจรการหมุนเวียนพื้นที่ลดลงจาก 2.13 ปี เป็น 1.36 ปี รายได้จากการเลี้ยงสัตว์ลดลงจาก 2,010.55 บาท เป็น 1,305.00 บาท ส่วนรายได้นอกการเกษตรเพิ่มขึ้นจาก 2,608 บาท เป็น 4,414.33 บาท นิยมปลูกข้าวนาดำ ข้าวไร่ พริกเป็นอาหาร ปลูกกาแฟ เผือก เพื่อเสริมรายได้ ปลูกมะม่วง ลิ้นจี่ บ๊วย ถั่วเหลือง เพื่ออนุรักษ์สภาพป่าและเสริมรายได้ ปลูก ไผ่ตง และกล้วยไว้ใช้สอย และปลูกข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารสัตว์ (หน้า 65, 67, 76-77) |
|
Other Issues |
การอนุรักษ์ทรัพยากร นอกจากกะเหรี่ยงในพื้นที่ศึกษาจะมีทัศนคติต่อการเกษตรในระบบการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ดินและน้ำบนที่สูงว่ามีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ดิน น้ำ และป่าไม้แล้ว พวกเขายังมีทัศนคติต่อระบบการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ฯ ว่ามีส่วนช่วยทำให้การระบาดของโรค แมลง ศัตรูพืช และวัชพืชน้อยลง ทำให้มีการใช้ปุ๋ยธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งประหยัดค่าปุ๋ยและสารเคมี จึงสามารถทำการเกษตรได้อย่างสม่ำเสมอ ชนิดของพืชที่ปลูกก็น้อยลง ทำให้ครอบครัวมีรายได้ตลอดปี ความเป็นอยู่ในครอบครัวดีขึ้น รวมถึงเกิดความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสารทั้งภายในและระหว่างหมู่บ้าน (หน้า 60) กะเหรี่ยงบางกลุ่มมีทัศนคติต่อการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ฯ ว่าทำให้ต้องใช้เวลาในการจัดการมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการจัดการก็เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังต้องใช้แรงงานในครัวเรือนเพิ่มขึ้น (หน้า 59) และชาวบ้านบางส่วนยังไม่สามารถปฏิบัติตามความรู้ ความเข้าใจในการปลูกพืชเชิงอนุรักษ์ฯ ได้ โดยให้เหตุผลว่าการขยายพื้นที่ดำนายังขาดงบประมาณในการปรับพื้นที่นา ประกอบกับยังไม่มีที่นารองรับ ส่วนการปลูกพืชหมุนเวียนนั้นยังคงไม่มีตลาดรองรับผลผลิต ไม่มีการประกันราคา และกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังไม่รู้วิธีการทำไร่นาสวนผสม (หน้า 55) นอกจากนี้ยังประสบกับปัญหาที่ดินไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติสะเมิง ปัญหาขาดแคลนตลาดรองรับผลผลิตทางการเกษตร ปัญหาการขนส่งผลิตผลในช่วงฤดูฝน ทำให้ไม่สะดวก ราคาผลผลิตต่ำ ขาดแคลนแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ปัญหาเรื่องวัชพืชและโรคระบาด ปัญหาจากการเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง จึงต้องการให้มีการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ที่โตเร็วและทนต่อโรคระบาด ปัญหาขาดแคลนพื้นที่ปศุสัตว์และอาหารสัตว์ในฤดูแล้ง (หน้า 70-71) |
|
Map/Illustration |
ผู้ศึกษาได้จัดทำตารางเพื่อนำมาใช้ประกอบการอธิบายข้อมูลโครงสร้างทางสังคม เช่น ตารางแสดงระดับการศึกษา (หน้า 27) การนับถือศาสนา (หน้า 27) จำนวนสมาชิกในครอบครัว (หน้า 28) การเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม (หน้า 30) และตารางข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การมีข้าวสำหรับบริโภคภายในครอบครัว (หน้า 33) ชนิดของการปลูกพืชในอดีตและปัจจุบันของเกษตรกรชาวเขา (หน้า 42) เปรียบเทียบรายได้จากการเลี้ยงสัตว์และรายได้นอกการเกษตรปี พ.ศ.2532 และปี พ.ศ.2536 (หน้า 48) การใช้สินเชื่อของเกษตรกรชาวเขา (หน้า 50) |
|
|