สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลื้อ,ประวัติ,วัฒนธรรม,วิถีชีวิต,เชียงใหม่
Author จุฑามาศ สนกนก, พิเชษ อนุกูล
Title ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมไทลื้อ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 105 Year 2529
Source โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาจากทบวงมหาวิทยาลัย
Abstract

การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อ และศึกษาว่าสังคมและวัฒนธรรมใดที่ยังคงอนุรักษ์หรือเลิกปฏิบัติ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ไทลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเองในด้านต่างๆ เช่น อาชีพ การศึกษา ศาสนา ความเชื่อ วิถีชีวิต และภาษา เป็นต้น แต่การอพยพถิ่นฐาน ระยะเวลา และสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลที่ทำให้สังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อเปลี่ยนแปลงไป โดยเหตุผลที่สำคัญ คือ สังคมและวัฒนธรรมนั้นไม่เหมาะสมทำให้เลิกปฏิบัติ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ ด้วยเหตุผลหลัก คือ เป็นสิ่งที่เคยปฏิบัติสืบต่อมา อย่างเช่นการใช้ภาษาลื้อทำความเข้าใจกันในชุมชน (หน้า 102)

Focus

เป็นการศึกษาสังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อ โดยเน้นมุมมองของการศึกษาความเปลี่ยนแปลง ซึ่งวัฒนธรรมบางอย่างยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่บางอย่างสูญหายไปจากสังคม

Theoretical Issues

ในงานการศึกษาสังคมและวัฒธรรมของไทลื้อ ผู้วิจัยไม่ได้ระบุว่าใช้ทฤษฎีใดในการศึกษาและเก็บข้อมูล เพียงกล่าวว่า เป็นการศึกษาจากเอกสาร และสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง 148 คน ในหมู่บ้านแม่สาบ ซึ่งในการเก็บข้อมูลนั้นผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้นเอง แต่ถึงแม้ว่าไม่ได้ระบุกรอบแนวคิดอย่างเด่นชัด แต่ผลการศึกษาที่ได้ค่อนข้างเน้นมุมมองทางการศึกษาประวัติศาตร์ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม

Ethnic Group in the Focus

"ไทลื้อ"

Language and Linguistic Affiliations

สำหรับภาษาพูดนั้นในงานการศึกษาไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นตระกูลภาษาใด แต่ในบทสรุปส่วนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ไทลื้อมีการใช้ภาษาลื้อสำหรับติดต่อสื่อสารกันระหว่างคนในชุมชน ส่วนตัวอักษรผู้วิจัยได้อธิบายไว้ว่า ไทลื้อมีวัฒนธรรมด้านภาษา ที่คล้ายคลึงกับคนไทยภาคเหนืออย่างมาก คือใช้ตัวอักษรล้านนา เรียกว่า "ตัวเมือง" ซึ่งใช้เขียนบนคัมภีร์ใบลาน จดหมาย หรือเอกสารต่างๆ แต่ต่อมาในเขตสิบสองปันนารัฐบาลจีนได้ประดิษฐ์ตัวอักษรใหม่ขึ้นใช้พิมพ์หนังสือให้ไทลื้ออ่านแทนอักษรดั้งเดิม (หน้า 75)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2528 - 2529

History of the Group and Community

ในงานการศึกษาผู้วิจัยสันนิษฐานว่าไทลื้อที่บ้านแม่สาบน่าจะอพยพมาจากสิบสองปันนา และได้กล่าวถึงประวัติหมู่บ้านแม่สาบไว้ว่า มีผู้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติหมู่บ้านแตกต่างกันออกไป เพราะไม่มีการจดบันทึกไว้ โดยข้อมูลที่ได้มาจากคำบอกเล่า คือ บ้างเล่าว่ามาจากสิบสองปันนา มาจากเชียงตุง บ้างเล่าว่าเป็นลื้อเมืองหลวง ลื้อเมืองแจ้ ลื้อเชียงรุ้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระยาเจ้าขะเจิง พญาแห่ พญาช้าง ที่เป็นสมาชิกของเจ้าสนามหลวงทำหน้าที่ดูแลช้างของเชียงรุ้ง และถูกกวาดต้อนมาในสมัยพันตรีถวิล อยู่เย็น เดินทางไปรบเชียงตุง หรืออาจเป็นการกวาดต้อนผู้คนลงมาจากสิบสองปันนาในสมัยน้องของพระเจ้ากาวิละ โดยครั้งแรกตั้งรกรากอยู่ที่วัดเชียงรุ้ง ต.หายยา และต่อมาถูกส่งมาเลี้ยงช้างที่แม่สาบ และบ้างเล่าว่าถูกพระยามังรายกวาดต้อนลงมาจากเชียงตุง คาดว่าประมาณปี พ.ศ. 2355 และจากตำนานสิบสองปันนา ประวัติศาสตร์ไทลื้อ รวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ของจีน กล่าวว่า ไทลื้อในสิบสองปันนามีการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจากสังคมบุพกาล มีชื่อหัวหน้าเผ่าแน่ชัดและสืบวงศ์เป็นลำดับ 15 คน เมื่อเมืองเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง รัฐก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับสังคมทาสก็เริ่มขึ้นในประวัติศาสตร์ของไทลื้อ โดยมีเจ้ารัฐทาสอยู่ 27 องค์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีนก็ได้มีการติดต่อกับไทลื้อเช่นกันแต่ค่อนข้างมีอุปสรรคหลายประการ และมีการติดต่อกันมากขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งขณะนั้นเมืองลื้อมีการติดต่อกับหนานเจา (น่านเจ้า) และตาลีฟูด้วย นอกจากนี้ ยังได้มีการติดต่อกับพม่า เมื่อถึงสมัยพญาเจิง (ขุนเจียง) เมืองลื้อกล้าแข็งขึ้นประกาศไม่ขึ้นตรงต่อตาลีฟู ราชวงศ์หนานซ่ง และพม่า ได้ขยายดินแดนไปลานนา เมืองลาว เมืองแกว เชียงตุง และภาคเหนือของไทย มาตั้งเป็นอาณาจักรสิบสองปันนา และเข้าสู่สังคมศักดินา ซึ่งประวัติศาสตร์สังคมศักดินามีเจ้าแผ่นดินอยู่ 44 องค์ ไทลื้อจึงถือว่าพญาเจิงเป็นปฐมกษัตริย์ของสิบสองปันนา เมื่อสิ้นพญาเจิงสิบสองปันนาก็อ่อนแอลง ยอมอ่อนน้อมต่ออำนาจรัฐตาลีฟู เมื่ออาณาจักรตาลีฟูถูกกุบไลข่านพิชิต สิบสองปันนาจึงยอมอ่อนน้อมต่อราชวงศ์หยวนโดยขึ้นตรงต่อศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์หยวน โดยไม่มีเจ้าแผ่นดินปกครองเหมือนเดิม ทำให้ความสัมพันธ์กับจีนมีมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากจีนประกาศสถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน สิบสองปันนาก็สิ้นสภาพไปโดยปริยาย (หน้า 12-13, 17-23)

Settlement Pattern

ตามที่ปรากฏในงานศึกษาไทลื้อนิยมตั้งถิ่นฐานอยู่ริมแม่น้ำ ลำห้วย ลำธาร หรือใกล้เนินเขาภูเขา และตั้งเรียงรายติดกันไปข้างทางเดิน ลักษณะบ้านเรือนคล้ายบ้านทรงไท ยกพื้นใต้ถุนสูง มีหน้าจั่ว หลังคามุงด้วยใบคา กระเบื้องดินเผา หรือไม้แป้นเกร็ด เสาเรือนตั้งอยู่บนก้อนหินหน้าตัดที่ฝังอยู่ในดิน เรียกว่า "เรือนเสาตั้งดินขอปก" ซึ่งตัวเรือนมีการแบ่งพื้นที่การใช้ประโยชน์ออกเป็นส่วนต่าง ๆ ทั้งระเบียง เรือนชาน ห้องโถง และครัว ส่วนใต้ถุนบ้านใช้เป็นที่เก็บของ เลี้ยงสัตว์ ตำข้าว และภายในบริเวณบ้านยังแบ่งพื้นที่เป็นที่นั่งปั่นฝ้าย ยุ้งข้าว คอกหมู เล้าไก่ และที่ผูกโคกระบือ ส่วนรั้วบ้านเป็นสิ่งที่ไว้แสดงอาณาเขตของบ้านมักทำด้วยไม้ไผ่ นอกจากนี้ยังไม่ให้นำไม้ต้องห้ามมาสร้างบ้าน รวมทั้งมีข้อห้ามเกี่ยวกับการสร้างบ้านด้วย ในหมู่บ้านยังมีโรงรียน ศูนย์เด็กเล็ก วัด ศาลาประชาคม และที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน และมีการขุดสระ 2 สระ บ่อน้ำดื่ม 43 บ่อ มีเส้นทางคมนาคมติดต่อถึง อ.สเมิง ทางยาว 6 ก.ม. (ลาดยางเพียง 500 เมตร) (หน้า 68-70)

Demography

ประชาการในพื้นที่การศึกษา (หมู่บ้านแม่สาบ) มีจำนวน 310 ครัวเรือน รวมประชากรทั้งสิ้น 1,160 คน ซึ่งเป็นไทลื้อทั้งหมด และไม่มีจำนวนประชากรเพิ่มโดยการอพยพจากที่อื่นเลย

Economy

ประชากรทุกหลังคาเรือนประกอบอาชีพทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์ โดยมีที่นาทำกินเป็นของตัวเอง ซึ่งจะทำนาปีละ 1 ครั้ง ผลผลิตที่ได้นอกจากจะเก็บไว้ใช้ในครัวเรือนแล้ว ถ้ามีเหลือใช้ก็จะนำไปขาย นอกจากนี้ ยังมีการเพาะปลูกพืชไร่ จำพวกพืชไร่ระยะสั้น จำพวก ถั่วลิสง เผือก ข้าวไร่ ฝ้าย ใบชา พริกไทย ยาสูบ ฯลฯ และในฤดูแล้งมักปลูกต้นหอมและกระเทียม โดยผลผลิตที่ได้จากพืชไร่เหล่านี้จะเอาไว้ขาย ซึ่งในเรื่องการค้าขายไทลื้อไม่ถนัดเท่าไหร่นัก จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก เศรษฐกิจส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับผลผลิตทางการเกษตร อาจมีการหาของป่าจำพวกขี้ผึ้งด้วย และยังทำประมงสำหรับชุมชนที่อยู่ติดน้ำ โดยในแต่ละชุมชนมีตลาดเป็นศูนย์กลางในการค้าขาย (หน้า 11-12, 24-26)

Social Organization

ไทลื้ออยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ โดยการแต่งงานจะนำสะใภ้เข้าบ้านและอยู่รวมกันหมดทุกคน ตราบจนเมื่อพ่อเสียชีวิตไปแล้วจึงแยกออกไปตั้งบ้านเรือนเป็นอิสระ แต่จะไม่นิยมแยกครอบครัวไปอยู่ตามลำพังเลย ไทลื้อนิยมมีผัวเดียวเมียเดียว ไม่ชอบการหย่าร้าง โดยฝ่ายชายมีอำนาจสิทธิขาดในครอบครัว เพราะมีโอกาสได้บวชเรียน มีบุญมากกว่าฝ่ายหญิง ซึ่งงานหนักต่างๆ ฝ่ายชายจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนฝ่ายหญิงจะรับผิดชอบเรื่องภายในบ้าน ส่วนลูกๆ นั้นจะนับถือกันตามอาวุโส พี่มีหน้าที่ควบคุมดูแลน้อง และเด็กๆ ต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน (หน้า 24)

Political Organization

สำหรับในเรื่องของระบบการปกครองของหมู่บ้านแม่สาบไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่สำหรับในแคว้นสิบสองปันนาผู้ปกครองสูงสุด คือ พระเจ้าแผ่นดิน ที่อยู่เหนือกฎหมาย โดยปกครองกันเองดังประเทศอิสระ ชนชั้นที่รองลงมาคือเจ้าเมือง ได้รับบรรดาศักดิ์แต่งตั้งเป็นพญา มีผู้ช่วยเรียนคนสี่ มี 4 คน ซึ่งแต่ละคนมีนาประจำตำแหน่งแสนแขก พญาแขกมีหน้าที่รับแขก มีคนแขกบ้านทำหน้าที่เขียนหนังสือ ป่อเมิงบ้านทำหน้าที่เรียกประชุมหรือเป็นล่ามบ้าน ไม่มีนาประจำตำแหน่ง ตำรวจประจำหมู่บ้านเรียกขุนหาญ หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ขุนหาญจะรวมตัวกัน แล้วแจกจ่ายอาวุธให้ไปปราบปรามผู้ร้าย ซึ่งผู้ที่จะเป็นขุนหาญจะเป็นผู้ที่ชาวบ้านเลือกกันขึ้นมา มีการปรับไหม การติดคุก และถูกสั่งฆ่าสำหรับผู้ที่ทำความผิด นอกจากนี้ การถูกไม่คบหาสมาคมด้วยก็ถือเป็นวิถีประชาของหมู่บ้านด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการควบคุมไม่ให้ชาวบ้านกระทำความผิด (หน้า 26-27)

Belief System

ไทลื้อ ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับการนับถือผี มีผีประจำหมู่บ้าน ผีป่า ซึ่งมีการทำพิธีเซ่นผีทุกปี ภายในบ้านจะมีหิ้งของผีเรือน ที่เชื่อว่าเป็นผู้รักษา ไทลื้อเคร่งศาสนามาก นิยมการทำบุญ ฟังเทศน์ที่วัด ทำนองการเทศน์มี 2 อย่าง คือ ค่าวชาดก และ ค่าววิแชน นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับความเชื่อหลายอย่าง เช่น การสร้างเขิ่นบ้าน การนอน การสระผม การอาบน้ำ เป็นต้น และยังมีประเพณีการเกิด ที่จะไม่มีการเตรียมของใช้เด็กไว้ล่วงหน้า เพราะเชื่อว่าจะประสบเคราะห์ร้าย เมื่อคลอดแล้วจะนำรกใส่บั้งไม้ แล้วเอาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ในป่า ปล่อยให้รกหลุดตกลงมาเอง ซึ่งไทลื้อเชื่อว่ารกคือ "แม่เกิด" เป็นผีปีศาจต้องแยกให้อยู่ไกลกัน บางคนว่าเป็นน้องชายของเด็กมีแต่วิญญาณไม่มีชีวิต มีประเพณีการตั้งชื่อตามเพศ ตามทิศ ตามวัน ซึ่งมีกฎเกณฑ์กำหนด มีประเพณีการบวช ที่ผู้ชายไทลื้อทุกคนต้องปฏิบัติอย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะเชื่อว่าได้กุศลมาก โดยมักนิยมให้บุตรหลานบวชตั้งแต่อายุน้อย คือ 8-10 ขวบขึ้นไป แต่ไม่เกิน 15-16 ปี เพราะถือว่าเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งพิธีบวชลูกแก้วนี้นิยมบวชก่อนเข้าพรรษาเล็กน้อย มีประเพณีการแต่งงาน ซึ่งจะมีธรรมเนียมการเกี้ยวพาราสี ก่อนจะจัดงานแต่งงาน ซึ่งจะไม่นิยมจัดในช่วงเดือน 3 และเดือน 6 เพราะถือเป็นเดือนแห่งความเศร้าโศก มีประเพณีศพ ประเพณีสู่ขวัญ ซึ่งมักจัดในโอกาสสำคัญ เช่น แรกเกิด แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ เจ็บไข้ หลังทำพิธีศพ ฯลฯ ซึ่งจะมีหมอขวัญเป็นผู้ทำพิธี มีประเพณีงานบุญ ซึ่งจัดเป็นประเพณีทางศาสนา แต่การทำบุญที่ใหญ่ที่สุด คือ การทำทานมหาป๋าง มีการทำทานอุปคุต ซึ่งเป็นเทวดารักษาแม่น้ำ มีงานบุญเข้าพรรษา ออกพรรษา งานทานสลากภัต งานทอดผ้าป่า งานทำบุญฉลองวัดและธาตุสำคัญ งานพิธีเดือนยี่เป็ง ประเพณีสงกรานต์ ไทลื้อมีประเพณีการสัก ซึ่งผู้ชายทุกคนต้องมีรอยสัก ถือว่าคงกระพัน ชาตรี น่าเกรงขาม มีเวทมนต์คาถาติดตัว ผู้ที่รับสักเรียกว่า สล่าหมึก ต้องมีคาถาเวทมนต์ และผู้สักต้องถือสัจจะ 5 ข้อ สุดท้ายคือพิธีกรรมเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อในเรื่องผีเมือง นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องผี เช่น ผีป่ายายขอย ผีปอบ ผีดิบ และความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง เช่น แก้วแป็กกา แสงต่อ และยันต์ (หน้า 32-33, 36-64)

Education and Socialization

ส่วนมากผู้ที่รู้หนังสือจะเป็นผู้ชาย เพราะการศึกษาสมัยก่อนจะอยู่ที่วัด เมื่อเด็กชายอายุย่างเข้า 10 ปีขึ้นไป พ่อแม่จะส่งลูกไปบวชเป็นสามเณร เรียนหนังสือไทยเดิม ส่วนผู้หญิงแทบไม่รู้หนังสือเลย แต่ในช่วงที่เข้าไปศึกษา หมู่บ้านมีโรงเรียนประชาบาล ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน ซึ่งประชาชนในหมู่บ้านมีการศึกษาสูงกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 140 คน แต่สำหรับการขัดเกลาทางสังคมนั้นในงานไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน (หน้า 10, 12, 28)

Health and Medicine

ในงานการศึกษากล่าวว่าไทลื้อเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เกิดจากการกระทำของผี จึงไม่นิยมใช้หมอและยาแผนปัจจุบัน เมื่อยามเจ็บป่วยนิยมใช้หมอแผนโบราณและหมอผีแทนซึ่งมีอยู่มากมาย โดยการให้หมอผีปล่อยเคราะห์ เป่าน้ำมนต์ เสกคาถาอาคม ผูกข้อมือ เซ่นผี เป็นต้น บางรายใช้รากไม้ใบหญ้ามาต้มแก้โรค เช่น ในรายที่เป็นไข้จับสั่น หมอบางคนให้เอาก้อนหินมาเผาไฟวางไว้ที่ปลายเท้า เอารากไม้มาต้ม เป่าเวทมนต์ใส่ให้ดื่ม หรือหมอบางคนใช้วิธีบีบนวดแล้วจัดพิธีส่งเคราะห์ โดยการเตรียมหมากพลู เมี่ยง เกลือ ยาสูบ เนื้อหมูดิบ ปลาดิบ ไก่ดิบ และปัดเป่าภูตผีปีศาจโดยใช้ใบหนาดและน้ำส้มป่อย นอกจากนี้ยังมีหมอตำแยช่วยทำคลอด ซึ่งมักเป็นผู้ชาย และมีการอยู่ไฟหลังคลอด 1 เดือน (หน้า 28-29, 38)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

งานการศึกษากล่าวว่าในเทศกาลต่าง ๆ หรืองานพิธีกรรมสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การจุดดอกไม้ไฟ นอกจากนี้ ยังมีการละเล่นอีกหลายอย่าง เช่น การเล่นลูกข่างของเด็กๆ โยนลูกหิน หมากเก็บ ฯลฯ พวกหนุ่มสาวก็มักเล่นเสือเอาหมู หมากตบเต่า หมากกอน เล่นชักเชือก ม้าจกคอก นกกระจอกเข้าบั้ง เล่นละหาง เสือลากหาง ฯลฯ การแสดงการละเล่นในเทศกาลออกพรรษาเช่นเดียวกับชาวไทเขิน ไทเงี้ยว คือ การเล่นนางนก โดยผู้เล่นจะสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ติดปีกใหญ่พับได้ สวมหน้ากากสีขาว สวมชฎา เต้นและฟ้อนรำไปมาพร้อมกับการตีฆ้องและกลองให้จังหวะ มีการเล่นโต โดยผู้แสดงจะสวมศีรษะเล็ก ๆ คล้าย กวางมีเขา ลำตัวใช้เส้นด้าย หรือฝ้าย หรือกระดาษ ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นขนสีขาว ใช้ 2 คนอยู่ข้างในกระโดดโลดเต้นไปมา นอกจากนี้ ยังมีการฟ้อนหอก ฟ้อนดาบ การตีกลองที่ทำเป็นรูปเท้าช้างด้วย ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมที่สำคัญ คือ วัด ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายวัดทางภาคเหนือของไทย บางแห่งกำแพงล้อมรอบมีรูปสิงห์ผงาด รูปเสือโคร่ง รูปพญานาค รูปกินนร ฯลฯ ที่หน้ามุขโบสถ์สลักด้วยไม้มีศิลปอันงดงาม เป็นรูปใบไม้ ดอกไม้ บางที่เป็นรูปเทวดา นางฟ้าโปรยดอกไม้ หรือรูปหนุม่อน (หนุมาน) สำหรับการแต่งกายของไทลื้อนั้นมีเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งสมัยโบราณ ผู้ชายไทลื้อจะสวมเสื้อป้ายทับผ่าลงมาทางข้างรักแร้แบบหญิงชาวจีนแต่สั้นแค่เอว ติดแถบผ้าสีขาว เป็นรอยยาว 2 รอย ในฤดูหนาว จะใช้ผ้ากำมะหยี่พื้นสีชมพูทับริมด้วยแถบดำทั้งแขน รอบคอ และผ่าอกกลางและริมล่าง เป็นเสื้อแขนสั้น เอวสั้น สวมทับเสื้อขาวอีกชั้นหนึ่ง และกางเกงติดผ้าสีขาวตรงเอว แต่ปัจจุบันสวมเสื้อคอกลม หรือเสื้อกุยเฮง หรือเสื้อเชิ้ตสีกรมท่า และสวมกางกงขากว้างสีดำ โดยปกติจะสวมชุดดำทั้งชุด นอกจากงานพิธีจะสวมชุดขาว นิยมสวมเครื่องประดับเงินทั้งชายหญิง และเดิมนั้นชายนิยมไว้ผมยาว สำหรับหญิงไทลื้อ นิยมสวมเสื้อยาวพอดีเอว แขนกระบอก ตัวเสื้อป้ายทับมีกระดุมหรือเชือกผูกติดกันตรงใต้รักแร้ และนุ่งผ้าซิ่น ซึ่งจะมีลวดลายแตกต่างกัน นิยมไว้ผมยาว มวยไว้ตรงกลางศีรษะ หรือเอียง ประดับด้วยสร้อยและปิ่นปักผมทำด้วยโลหะเงินหรือทอง แล้วโพกศีรษะด้วยผ้าตรงหน้าผากขึ้นไป ซึ่งมักใช้สีขาว แต่ลื้อบางถิ่นใช้สีแดง ดำ หรือเทา หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ของการสมรส นอกจากนี้ยังสวมเครื่องประดับต่างๆ เช่น ตุ้มหู กำไล สร้อยคอ สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วนั้นเวลาอยู่บ้านมักจะเปลือยอก ส่วนเด็กมีการแต่งกายคล้ายกับผู้ใหญ่ นอกจากนี้ ในงานยังกล่าวถึงศิลปะในสาขาอื่นอีก คือ วรรณคดี และดนตรี รวมถึงประเพณีการสัก ซึ่งชายไทลื้อสมัยก่อนต้องมีรอยสัก ซึ่งถือว่าคงกระพันชาตรี มีคาถาติดตัว สีหมึกที่ใช้สักมี 2 อย่าง คือ สีดำ ทำจากเขม่าน้ำมันหมูกับดีสัตว์ สีแดงทำจากชาด เรียก "หาง" จะสักตั้งแต่คอลงมา หน้าอก แขน ขา บางทีถึงข้อเท้า บางคนสักเหนือหน้าผาก ตรงกลางกระหม่อมและแก้มบ้าง (หน้า 29, 32, 57, 64-68, 75-77)

Folklore

มีนิยายปรัมปราของไทลื้อที่เล่าสืบทอดกันมาเกี่ยวกับบรรพบุรุษว่า พญาอาวาโล เป็นหัวหน้าเผ่าตาลในอโยธยา ครั้งหนึ่งได้นำลูกบ้าน 15 หมู่บ้านออกล่าสัตว์ เจอกวางคำตัวหนึ่งสวยมาก พญาอาวาโลจึงคิดจับมาเลี้ยง แต่กวางคำไม่ยอมให้เข้าใกล้ จึงใช้ศรยิงไปถูกที่ขาของกวางคำและออกวิ่งเขยกไปข้างหน้า ไม่ว่าจะไล่ตามอย่างไรก็ไล่ไม่ทัน จนถึงเขต ๆ หนึ่งในตอนรุ่งอรุณ กวางคำก็วิ่งหายเข้าไปในถ้ำดอยดงนัง พญาอาวาโลตามกวางคำมาเป็นเวลา 7 เดือนแล้ว จะพาลูกบ้านกลับไปก็คงลำบาก ประกอบกับเห็นทำเลในถิ่นนี้ดี จึงตัดสินใจตั้งหลักแหล่งที่นี่ โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 15 หมู่บ้าน และเรียกเขตปกครองนี้ว่า "อาลาวี" ตามชื่อพญาอาวาโล ต่อมาศูนย์กลางการปกครองนี้เรียกว่า เจ้งฮง ก็คือเชียงรุ้งนั่นเอง ซึ่งชื่อหมู่บ้านแม่สาบก็มาจากตำนานที่พญาอาวาโลที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านพร้อมด้วยสุนัขที่นำมาด้วย สุนัขได้กลิ่นเนื้อกวาง จึงได้ชื่อว่าบ้านแม่สาบ (สาบกลิ่น) (หน้า 16)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ในงานการศึกษานี้ระบุแค่เพียงว่าไทลื้อ โดยเฉพาะในดินแดนสิบสองปันนา มีความสัมพันธ์กับชนชาติต่างๆ มาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็น พม่า จีน หรือกลุ่มชาติพันธุ์ไทต่าง ๆ โดยเฉพาะเป็นความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งไทลื้อมักตกอยู่ภายใต้อำนาจ จนปัจจุบันถึงแม้ว่ายังมีไทลื้อธำรงอยู่ แต่เป็นแค่กลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่ในดินแดนประเทศต่างๆ ทั้งไทย ลาว พม่า และจีน

Social Cultural and Identity Change

สังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อบางอย่างไม่มีการปฏิบัติแล้ว ซึ่งในช่วงที่ศึกษามีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านความเชื่อ อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย และประเพณี เพราะความไม่เหมาะสมกับยุคสมัย และกลุ่มตัวอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน อันแสดงให้เห็นว่าบางวัฒนธรรมได้เลิกปฏิบัติมาช้านานแล้ว ส่วนการอพยพมาจากสิบสองปันนามิได้ทำให้ลักษณะทางวัฒนธรรมของไทลื้อสูญสิ้นไป แต่จากการที่สภาพภูมิศาสตร์เป็นภูเขาล้อมรอบทำให้ชุมชนค่อนข้างถูกตัดขาดจากโลกภายนอก การเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกจึงเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายใน เมื่อการคมนาคมสะดวกและมีการติดต่อกับชุมชนเมืองมากขึ้น ทำให้ความเจริญหลั่งไหลเข้าสู่เมือง ประกอบกับแผนพัฒนาของรัฐทำให้เกิดการเปลียนแปลงของชุมชนอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ อายุ และการศึกษาของประชากรรุ่นใหม่ มีส่วนทำให้ยอมรับในความทันสมัยได้ง่าย (หน้า 102-103)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่แสดงเขตการปกครองท้องถิ่นรวมทั้งสภาตำบลของอำเภอสะเมิง (หน้า 14)

Text Analyst สุรัสวดี พึ่งสุข Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ลื้อ, ประวัติ, วัฒนธรรม, วิถีชีวิต, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง