|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โส้ โซร ซี,ผ้า,การแต่งกาย,หัตถกรรม, มุกดาหาร,สกลนคร |
Author |
ทรงคุณ จันทจร, พิสิฎฐ์ บุญไชย, แสงเพชร สุพร |
Title |
ผ้าชาวโส้ ศึกษากรณีชาวโส้ อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร และอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โส้ โทรฺ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
70 |
Year |
2536 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ |
Abstract |
พัฒนาการการทอผ้าของโส้แบ่งเป็น 4 ยุคด้วยกัน คือ ยุคโบราณที่โส้ยังไม่รู้จักการทอผ้า ยังคงทำมาหากินอยู่บนภูเขาในบริเวณเมืองภูวานากระแด้งในประเทศลาว โดยนำเอาผลผลิตทางการเกษตรมาแลกเสื้อผ้าจากชาวลาว และภูไทย ชายโส้ยุคนี้นุ่งผ้าเตี่ยวปิดเฉพาะอวัยวะเพศ ส่วนหญิงนุ่งผ้าซิ่น เสื้อแขนกระบอกผ่าอก ยุคที่สองคือยุคแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการทอผ้า เมื่อประมาณ 50-100 ปีที่ผ่านมาโส้ได้เรียนรู้การทอผ้ากับชนกลุ่มอื่นที่เข้าไปติดต่อค้าขาย ทำให้โส้สามารถปลูกฝ้ายและทอผ้าได้เอง ยุคที่สามเป็นยุคพัฒนาการทอผ้าในระยะ 30-50 ปี นับจากปัจจุบันผ้าโส้มีการพัฒนาลวดลายของผ้าชนิดต่างๆ อย่างเต็มที่ และนิยมผ้าที่ผลิตขึ้นเอง ยุคสุดท้ายคือยุคปัจุบัน การทอผ้าของโส้ได้เปลี่ยนไป มักซื้อผ้ามาใช้แทนการทอใช้เอง ในส่วนของเครื่องมือทอผ้านั้นยังคงยึดถือแบบอย่างมาจากสมัยเริ่มแรกของการทอผ้า สำหรับลวดลายของผ้าต่างๆ โส้นำจินตนาการมาสร้างเป็นลวดลายต่างๆ ปัจจัยที่มีผลต่อลวดลายผ้าของโส้คือ ลายที่ได้จากธรรมชาติ ลายที่ได้จากอิทธิพลของศาสนา ลายที่ได้จากรูปแบบทางเรขาคณิต และลายที่ได้จากการผสมผสานกัน ความเชื่อในการใช้ผ้ามีสองลักษณะ คือ 1.การใช้ผ้าในชีวิตประจำวัน อาทิ เครื่องแต่งกายของชาย เช่น ผ้าโสร่ง กางเกงขาก๊วย เครื่องแต่งกายของหญิง เช่น ผิ่น ผ้าเบี่ยง นอกจากนี้ยังมีผ้าทำหมอน ผ้าห่ม 2.การใช้ผ้าในพิธีกรรม แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1.การใช้ทางพุทธศาสนา เช่น ผ้าในพิธีบวชนาค 2.ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับผี เช่น ผ้าในงานศพ ผ้าในพิธีเยา สภาพปัญหาการทอผ้าของโส้ในปัจจุบัน คือ การที่หนุ่มสาวหันหลังให้กับการทอผ้าเพราะต้องเข้ามาขายแรงงานในเขตเมือง การแต่งตัวแบบดั้งเดิมของโส้ก็เริ่มหดหายไปด้วย ในส่วนของโส้ที่ยังคงมีฝีมือในการทอผ้าได้ประสบกับปัญหาทางด้านคุณภาพของผ้าที่ยังด้อยเมื่อเทียบกับผ้าของกลุ่มอื่น อาจเพราะโส้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ขาดเงินทุนในการผลิต ทำให้ผ้าของโส้ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดค้าผ้า (หน้า ข-ค) |
|
Focus |
ประวัติความเป็นมา พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิธีการทอผ้าของโส้ ลวดลายของผ้า ตลอดจนการใช้ผ้าทั้งในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม |
|
Ethnic Group in the Focus |
โส้ เป็นชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเชื้อชาติมองโกลอยด์ ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค นักมานุษยวิทยาได้จัดโส้ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกข่า เช่นเดียวกับพวกแสกและกระเส็ง (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
จากบันทึกของสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ครั้งเสด็จตรวจราชการที่มณฑลอุดรและมณฑลอีสาน พ.ศ. 2449 บันทึกว่า "กะโซ่พูดภาษาของตนเอง" (หน้า 4) จากการสอบถามคนดั้งเดิมของไทยโส้ และการสังเกตของผู้เขียนเองพบว่า โส้ออกเสียงเรียกตัวเองเป็น "โซร" คือออกเสียง "ซ" และ "ร" ควบกัน โส้จะออกเสียงอักษรสูงเป็นอักษรต่ำ เช่น "หมา" จะเป็น "มา" นอกจากนี้ ภาษาพูดของโส้ยังคล้ายคลึงกับภาษาพูดของ "แสก" และ"ส่วย" (หน้า 4-5) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์กลุ่มโส้ที่เข้ามาอาศัยในเขตจังหวัดมุกดาหารได้อพยพเข้ามาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ.2359 จากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงซึ่งใกล้ดินแดนญวน และได้ถูกญวนรุกรานโดยการจับตัวโส้ไปเป็นทาสจึงหลบหนี โส้ส่วนใหญ่มาจากเมืองวังอ่างคำ และเมืองตะโปน โดยการเดินเท้ามาเป็นกลุ่มได้พบหนองน้ำและดงยางสูงใหญ่ จึงพากันตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณ 10-12 ครอบครัว อีกกลุ่มหนึ่งได้เดินทางต่อไปได้พบหนองน้ำใหญ่ จึงพากันตั้งบ้านเมือง ตั้งชื่อชุมชนว่าบ้านดงหลวง ปัจจุบันเป็นอำเภอดงหลวง (หน้า 8) ส่วนโส้ที่อพยพเข้าสู่จังหวัดสกลนครสามารถสันนิษฐานได้ว่าเข้ามาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้มีการทำสงครามกับเจ้าอนุวงศ์ และเจ้าอนุวงศ์ได้หลบหนีกองทัพไทยมาอยู่เมืองมหาชัยกองแก้ว กองทัพไทยได้ยึดเมืองมหาชัยกองแก้วได้และกวาดต้อนผู้คนในเมืองมหาชัยกองแก้ว รวมทั้งคนที่หลบหนีไปอยู่ตามป่าเขาซึ่งมีทั้งโส้และข่าเผ่าอื่นๆ (หน้า 14) ส่วนใหญ่ถูกอพยพมาอยู่ในพื้นที่เขตจังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม และบางส่วนของจังหวัดกาฬสินธุ์ (หน้า 14-15) |
|
Settlement Pattern |
เมื่อครั้งโส้อาศัยอยู่ในประเทศลาว จะรวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีตั้งแต่ 5-20 ครอบครัว โดยจะอาศัยอยู่ตามเชิงเขาและซอกเขา (หน้า 5,16) |
|
Demography |
อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร มีประชากรทั้งสิ้น 35,352 คน เป็นชาย 12,152 คน เป็นหญิง 13,350 คน ประชากรร้อยละ 90 เป็นโส้ (หน้า 11) อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครมีประชากรทั้งสิ้น 39,511 คน ส่วนใหญ่เป็นโส้ (หน้า 15) |
|
Economy |
ชาวอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ประชากรร้อยละ 90 เป็นโส้นั้นประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ โดยมักจะปลูกข้าวและมันสำปะหลัง (หน้า 11) ในส่วนของชาวอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นโส้ก็ประกอบอาชีพเช่นเดียวกัน นั่นคือ อาชีพเกษตรกรรม (หน้า 15) |
|
Social Organization |
สังคมของโส้สัมพันธ์กับสถาบันศาสนาและความเชื่อ มีการใช้ผ้าเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมของทั้งพิธีทางศาสนาพุทธและพิธีกรรมเกี่ยวกับผี (หน้า 55-65) รวมทั้งยังยึดมั่นกับขนบธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ ยึดมั่นในเรื่องการทำมาหากินและการสร้างครอบครัว ให้ความสำคัญกับการทอผ้าใช้เองโดยเมื่อหญิงโส้เริ่มเป็นสาวจะต้องเรียนรู้เรื่องผ้าตั้งแต่การปลูก การทอ การย้อม และการตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมีความเป็นกุลสตรี และเมื่อออกเรือนไปแล้ว จะสามารถตัดเย็บเสื้อผ้าให้แก่ตนเอง ลูกและสามี ส่วนชายโส้จะต้องเรียนรู้ในเรื่องการทำมาหากิน และการสร้างเครื่องมือทอผ้าเพื่อมอบให้แก่ภรรยา (หน้า 49) |
|
Political Organization |
ในท้องที่อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารแบ่งการปกครองเป็น 6 ตำบล 48 หมู่บ้าน ได้แก่ตำบลดงหลวง ตำบลชะโนดน้อย ตำบลพังแดง ตำบลกกตูม ตำบลหนองแคน และตำบลหนองบัว (หน้า 11) อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนครแบ่งการปกครองเป็น 5 ตำบล 46 หมู่บ้าน (หน้า 15) |
|
Belief System |
โส้นับถือศาสนาพุทธและนับถือผี โดยมีการใช้ผ้าในพิธีกรรมต่างๆ ของศาสนาพุทธ อาทิ พิธีบวชนาค ผ้าที่ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของพระ ผ้าถวายพระในงานบุญต่างๆ ผ้าทำขึ้นพิเศษเพื่อศาสนา ผ้านุ่งในพิธีเส็งกลอง โดยการเส็งกลองเป็นประเพณีที่โส้นิยมเล่นมาช้านาน สันนิษฐานว่าจะมาพร้อมกับการนับถือศานาพุทธ นิยมเล่นในงานบุญบั้งไฟและบุญเข้าพรรษา ก่อนการเส็งกลอง จะมีการละเล่นที่เรียกว่า "เดาะกลองหรือเตาะกลอง" กลองที่ใช้เรียกว่า "กลองเส็งหรือกลองกริ่ง" ผู้เล่นมีสองคน คนหนึ่งเดาะกลองเป็นจังหวะและออกลีลาสวยงาม อีกคนหนึ่งจะเต้นเป็นจังหวะพร้อมกับเล่น "ไม้กับแก้ป" เป็นดนตรีประกอบไปด้วย นอกจากการนับถือศาสนาพุทธแล้ว โส้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผีมาตั้งแต่โบราณก่อนที่จะนับถือศานาพุทธ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิต อาทิ พิธีศพ มีพิธี "ซางกมูท" เป็นพิธีกรรมที่ทำให้ "ผีดิบ" คือวิญาณผู้ตายที่อาจทำอันตรายต่อญาติพี่น้องกลายเป็น "ผีสุก" ก็คือผีที่ผ่านพิธีซางกมูทแล้ว และจะเป็นผีเรือนที่คอยดูแลลูกหลาน ในการประกอบพิธีซางกมูทนั้นประกอบด้วยขั้นตอนที่ละเอียดและซับซ้อน ในพิธีกรรมผู้ที่สามารถร่วมพิธีได้ คือญาติพี่น้องของผู้ตายที่เป็นสกุลผีเดียวกันเท่านั้น พิธีซางกมูทประกอบด้วยพิธีกรรมที่มีความเชื่อเรื่องผีและศาสนาพุทธควบคู่ไปด้วย ทั้งยังมีความเชื่อในการใช้ผ้า ทั้งทางเส้นด้าย ผืนผ้าและเสื้อผ้า นอกจากพิธีซางกมูทแล้ว พิธีกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตของโส้อันมาจากความเชื่อเกี่ยวกับผี ได้แก่ พิธีเยา ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อรักษาคนป่วย รวมทั้งพิธี "ตัดกำเนิด" จัดขึ้นเมื่อมีเด็กเกิดใหม่ นอกจากนี้ยังมีพิธีที่เกี่ยวกับการแต่งงาน เช่น พิธีวางดาบ ที่มีมาแต่สมัยโบราณ (หน้า 55-65) |
|
Education and Socialization |
ในปัจจุบันโส้ได้ติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกได้อย่างสะดวก และโส้รุ่นใหม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาของรัฐบาล ต้องเข้าโรงเรียนและสวมใส่เครื่องแบบนักเรียนเหมือนคนไทยทั่วไป (หน้า 26) |
|
Health and Medicine |
โส้มี "พิธีเยา" เป็นพิธีกรรมสำหรับรักษาคนป่วย ผู้ทำการรักษาเรียกว่า "หมอเยา" ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ความเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้น โส้เชื่อว่าเกิดจากการกระทำของผีที่มีความไม่พอใจบางอย่างต่อผู้ป่วย การเยาแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. พิธีเยาเรียกขวัญ เป็นการเรียกขวัญผู้ป่วยที่พลัดหลงไปไกลให้กลับมาสู่ร่าง 2. พิธีเยารักษาคนป่วยที่เชื่อว่าถูกผีทำร้ายร่างกาย หมอเยาจะใช้อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ในการปราบผี 3.พิธีเยาแก้บน เมื่อผู้ป่วยได้หายป่วยแล้วและได้บนไว้ว่าจะตอบแทนผีด้วยอะไร หมอเยาจะทำพิธีโดยแต่งเครื่องสังเวยให้ผีนั้นมารับไว้ เมื่อหมอเยารักษาผู้ป่วยจนหายป่วยแล้ว ผู้นั้นจะเป็นบริวารของหมอเยา เรียกว่า "ลูกแก้ว" ลูกแก้วจะเรียกหมอเยาว่า "พ่อแก้ว" หรือ "แม่แก้ว" ตามแต่ว่าหมอเยาเป็นชายหรือหญิง หมอเยาจะพาบริวารเลี้ยงขอบคุณผีทุกปี หรือมีประเพณีเลี้ยงผีเทศกาลใหญ่ทุกสามปีที่เรียกกันว่า "เยาแซงสนาม" หรือ "เยาลงสนาม" (หน้า 61) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนแบ่งยุคของผ้าโส้เป็น 4 ยุค ได้แก่ 1.ยุคโบราณ 2.ยุคแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมผ้า 3.ยุคพัฒนาการทอผ้า และ 4.ยุคปัจจุบัน แต่ละยุคแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเกี่ยวกับผ้าโส้ตั้งแต่ยังไม่รู้จักการทอผ้าใช้เองมาสู่ยุคปัจจุบันที่โส้หันมาสวมใส่เสื้อผ้าที่มีรูปแบบทันสมัยมากกว่าผ้าที่ทอใช้เอง (หน้า 16-28) ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงขั้นตอนการทอผ้า แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ผ้าฝ้ายและผ้าไหม - ในส่วนของการทอผ้าฝ้ายนั้นเริ่มตั้งแต่การปลูกฝ้ายเพื่อนำมาผลิตเส้นด้าย การย้อมสีฝ้ายมีวิธีการย้อมหลากหลายวิธี เช่น การย้อมด้วยคราม หรือการย้อมด้วยครั่ง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการเตรียมการทอผ้า อุปกรณ์การทอผ้า รวมทั้งการทอผ้าด้วยวิธีต่างๆ มีหลากหลายวิธี เช่น การทอผ้าขิด หรือการทอผ้าเก็บ (หน้า 29-40) - ในส่วนของการทอผ้าไหมนั้น ผู้เขียนได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนในการผลิตเส้นไหม การเลี้ยงไหม ขั้นตอนในการเตรียมการทอผ้าไหม ขั้นตอนในการทอผ้าไหม เครื่องมือต่างๆ ในการทอผ้า (หน้า 41-46) นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงลวดลายผ้าของโส้ ที่สามารถแบ่งกลุ่มแม่ลายออกเป็น 4 ลักษณะ คือ 1.ลายที่ได้จากธรรมชาติ 2.ลายที่ได้จากอิทธิพลของศาสนา 3.ลายที่ได้จากรูปแบบทางเรขาคณิต และ 4.ลายผสม (หน้า 46-47) รวมทั้งยังกล่าวถึงความเชื่อในการใช้ผ้าของโส้ว่าแบ่งผ้าออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผ้าที่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มในชีวิตประจำวัน กับผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม ผ้าที่เป็นเครื่องนุ่งห่มในชีวิตประจำวันนั้น ผู้เขียนแบ่งเป็น 1.เครื่องนุ่งห่มสำหรับผู้ชาย เช่น ผ้านุ่ง กางเกงขาก๊วย 2.เครื่องนุ่งห่มสำหรับผู้หญิง เช่น ผ้าซิ่น เสื้อ 3.ผ้าในชีวิตประจำวันอื่นๆ เช่น ผ้าทำหมอน ผ้าทำฟูก ส่วนของผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมนั้น แบ่งได้เป็น 1.การใช้ผ้าในพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ เช่น ผ้าที่ใช้ในพิธีบวชนาค ผ้าถวายพระในงานบุญต่างๆ 2.ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผี เช่น ผ้าที่ใช้ในพิธีศพ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกิด (หน้า 49-65) จนกระทั่งข้อมูลเกี่ยวกับสภาพปัญหาการทอผ้าของโส้ในปัจจุบัน (หน้า 65-66) |
|
Folklore |
ผู้เขียนกล่าวถึงตำนานความเป็นมาของโส้ เป็นตำนานร่วมกับข่า ว่ามีเทพยดา 5 องค์ อยู่ในชั้นดาวดึงส์เป็นพี่น้องที่รักกันมาก ถึงคราวที่ควรไปจุติที่โลกมนุษย์เพื่อไปสร้างบ้านแปลงเมือง เพื่อมนุษย์จะได้สืบเชื้อสายจนกว่าจะสิ้นโลก เทพยดาทั้ง 5 ได้ปรึกษานางเทพยดาทั้ง 5 ซึ่งเป็นจาริกาของตนต่างก็เห็นพ้องด้วย เทพยดาทั้ง 5 จึงร่วมจิตอธิษฐานเนรมิตเป็นรูปน้ำเต้าปุ้ง ส่วนนางเทพยดาก็อาศัยอยู่ในน้ำเต้าปุ้งนั้น น้ำเต้าปุ้งได้ลอยไปบนฟ้าแล้วตกลงมาบนภูเขา เมื่อได้เวลาน้ำเต้าบุ้งก็แตกออกเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน คือ ข่าจะออกมาเป็นคนที่หนึ่ง ผู้ไทยดำออกมาเป็นคนที่สอง ลาวพุงขาวออกมาเป็นคนที่สาม ฮ้อเป็นคนที่สี่ ญวนออกมาเป็นคนที่ห้า รวมเป็น 5 คน ส่วนผู้หญิงก็ออกมา 5 คน รวมเป็น 10 คน จากนั้นชายหญิงก็พากันลงจากภูเขาแล้วอาบน้ำและดื่มน้ำกันในหนองชื่อ "ฮกหนองฮาย" เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ข่าแจะที่ออกมาก่อนไม่ยอมอาบน้ำ จึงมีผิวกายหมองคล้ำมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนผู้ไทย ลาวฮ้อ และญวนได้ลงอาบน้ำจึงมีผิวขาว ผู้ไทย ลาวฮ้อ และญวนได้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเมือง ส่วนข่าแจะไม่ต้องการเป็นใหญ่จึงอาศัยอยู่ตามภูเขาและดำรงชีพแบบง่ายๆ (หน้า 5-6) ในส่วนตำนานของโส้เองนั้นกล่าวถึงบรรพบุรุษ 3 คนที่เข้มแข็ง คือ ปู่ลางเชิง ขุนเค็ก ขุนคาน ทั้งสามเคยไปอยู่เมืองแถนแต่ไม่ได้รับความสะดวก จึงกลับมาเมืองมนุษย์ทำมาหาเลี้ยงชีพแบบธรรมดา จนเกิดน้ำเต้าปุ้ง และได้กำเนิดเป็นไทยลอ ไทยเลิง และไทยกวาง ได้เป็นบรรพบุรุษของคนไทย คนลาว ผู้ไทย และคนญวนในเวลาต่อมา (หน้า 6) นอกจากนี้ผู้เขียนยังกล่าวถึงสาเหตุที่โส้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย มีตำนานว่าเป็นคำสั่งของแถน กล่าวว่าอีกไม่ช้าจะเกิดกลียุคขึ้น จึงขอให้ลูกหลานข้ามโขงไปยังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษเดิม (หน้า 8) ในพงศาวดารเมืองแถง กล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานของโส้ว่าจัดอยู่ในกลุ่มข่าแจะที่ออกจากน้ำเต้าก่อนเพื่อน ข่าแจะหรือโส้ไม่มีบ้านเมือง ตั้งบ้านอยู่ตามเชิงเขา ไม่รู้จักปั่นฝ้ายและทอผ้า จึงเก็บข้าวและผักมาแลกผ้ากับลาวและผู้ไทย (หน้า 16) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
โส้ติดต่อสัมพันธ์กับลาว ผู้ไทย และญวนมาช้านาน เนื่องจากตำนานกล่าวว่า แต่เดิมโส้เป็นกลุ่มคนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามเชิงเขา ไม่รู้จักปั่นฝ้ายและทอผ้า จึงเก็บข้าวและผักมาแลกผ้ากับลาวและผู้ไทย (หน้า 6,16) ปัจจุบันโส้ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคม นิยมใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาจากตลาด ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็เพราะเพื่อไม่ให้เป็นปมด้อย เพราะแต่เดิมชาวเมืองมักเรียกโส้ว่า "ข่า" ที่มีความหมายถึงการดูถูกเหยียดหยามว่าด้อยพัฒนา (หน้า 28) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในปัจจุบันโส้ได้ติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างสะดวก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการสวมใส่เสื้อผ้ามาสู่ความหลากหลายมากขึ้น โดยโส้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงหนุ่มสาวที่ยังไม่แต่งงานนิยมใส่เสื้อผ้าตามท้องตลาด ที่มีรูปแบบตามสมัยนิยมมากกว่าผ้าที่ทอเอง ในกลุ่มผู้ชายที่แต่งงานแล้วจนถึงวัยชราก็มีการเปลี่ยนแปลงการใช้เสื้อผ้ามาสวมใส่เสื้อผ้าที่ซื้อหามาจากตลาดมากขึ้น จะสวมใส่เสื้อผ้าพื้นเมืองกันเป็นจำนวนน้อย ในกลุ่มของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจนถึงวัยชราส่วนใหญ่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าพื้นเมือง ในส่วนของการทอผ้านั้น วัตถุดิบได้เปลี่ยนแปลงไป เช่น ด้าย เส้นไหม สีย้อม ที่เคยผลิตเองแต่ปัจจุบันได้ซื้อหามา ในส่วนของผ้าประเภทอื่นๆ เช่น ผ้าห่ม ผ้าขาวม้า ก็พึ่งพาวัตถุดิบจากตลาดมากขึ้นแทนการปลูกหรือประดิษฐ์เอง (หน้า 26-28) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้ รูปภาพและแผนที่ในการอธิบายข้อมูลเพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น อาทิ แผนที่ 1 แผนที่การอพยพของโส้สู่จังหวัดมุกดาหาร (หน้า 7) แผนที่ 4 แผนที่จังหวัดสกลนครแสดงที่ตั้งอำเภอกุสุมาลย์ (หน้า 12) รูปภาพที่ 8 การแต่งกายของหญิงโส้ (หน้า 25) รูปภาพที่ 22 ลายผ้าที่ได้จากความเชื่อ (หน้า 48) รูปภาพที่ 36 หมอเยาผีมูนกำลังทำพิธี (หน้า 62) |
|
|