|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,ประวัติชุมชน,มัสยิดต้นสน,ภาคกลาง |
Author |
คณะกรรมการจัดงานเสวนา |
Title |
มุสลิมมัสยิดต้นสนกับบรรพชนสามยุคสมัย : ประวัติชาวมัสยิดต้นสน บทวิเคราะห์ความเป็นมา 400 ปี เคียงคู่เอกราชไทย |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, หอสมุดแห่งชาติ |
Total Pages |
258 |
Year |
2544 |
Source |
คณะกรรมการจัดงานเสวนา |
Abstract |
ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของมัสยิดต้นสนเป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างมุสลิมกับมัสยิดต้นสนซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน ตลอดจนความเป็นมาและบทบาทของมุสลิมในสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยลงมายังกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางด้านการบริการปกครองที่ บรรพบุรุษมุสลิมหลายท่านได้ฝากผลงานไว้ เช่น เจ้ากระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุดหรือแขก) พระยาราชวังสัน (ฉิม) พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) เป็นต้น และยังคงสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องราวของมัสยิดต้นสนยังมีความผูกพันอยู่กับประวัติศาสตร์กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ในฐานะตัวแทนของกลุ่มคนมุสลิม อีกทั้งยังทำให้ภาพของประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างผสมกลมกลืนของคนหลายเชื้อชาติในบริเวณที่เรียกว่า บางกอก |
|
Focus |
หนังสือ "มุสลิมมัสยิดต้นสนกับบรรพชนสามยุคสมัย" แบ่งเป็น 3 ภาค คือภาคแรกรวมบทความเกี่ยวกับมัสยิดต้นสนทั้งแง่มุม ด้านประวัติศาสตร์ รูปแบบศิลปกรรมของตัวอาคาร ศิลปะวัตถุที่เกี่ยวข้องกับมัสยิด รวมถึงความเป็นมาของชุมชนมุสลิมมัสยิด ต้นสนตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ภาคที่สองรวมบทวิเคราะห์ความเป็นมาของมุสลิมและมัสยิดต้นสนจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ รูปแบบศิลปกรรม และมุมมองทางด้านสังคมวิทยา ภาคที่สาม รวมข้อเขียนบทความที่กล่าวถึงบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนมัสยิดต้นสน และคำบอกเล่าจากบรรพชนเกี่ยวกับมัสยิดต้นสนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
มุสลิมในประเทศไทยมีหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น จาม เปอร์เซีย มลายู ชวา อินเดีย เป็นต้น เชื่อกันว่ามุสลิมกลุ่มจามนั้นอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่คลองประจามจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างน้อยในรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราช (หน้า 1) ต่อมารัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ปรากฏหลักฐานการตั้งหมู่บ้านแขกมากาซาร์ซึ่งเป็นมุสลิมสายมาเลย์และชวาในพระนครศรีอยุธยา (หน้า 3) กล่าวโดยสรุป พอจะมีหลักฐานอยู่บ้างแม้ไม่ชัดเจนว่า ที่แสดงให้เห็นว่ามีมุสลิมอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามานานแล้ว เป็นต้นว่า 1) ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฏคำว่า ปสาน ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากภาษาเปอร์เซียว่า Bazaar ที่แปลว่า ตลาด ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าชาวเปอร์เซียเดินทางเข้ามายังกรุงสยามในสมัยสุโขทัย แต่เป็นไปได้ว่าชาวอินเดียโดยเฉพาะพราหมณ์อาจเป็นผู้นำภาษาเปอร์เซียเข้ามาด้วย หรืออีกทางหนึ่งไทยอาจรับคำว่าปสานผ่านคนในแหลมมลายูหรือผ่านมาทางเขมร และที่สำคัญการเดินทางของพ่อค้าที่เข้ามานั้นจำเป็นจะต้องผ่านด่านสำคัญคือ ธนบุรีเสียก่อน 2) เมื่อนายพลเรือของโปรตุเกสที่ชื่อ Afonso de Albuquerque เลือกนาย Duarte Fernandez เป็นทูตเดินทางเข้ามาอยุธยาในปีพ.ศ.2054 โดยที่นายเฟอร์นานเดซพูดภาษามลายูได้นั้นย่อมแสดงว่าจะต้องมีชาวมลายูอยู่ในเส้นทางเข้าสู่อยุธยา 3) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ปรากฏกีฬาชนิดหนึ่งในวรรณกรรมสมุทรโฆษ ที่เรียกว่า ชวาแทงหอก โดยคู่แข่งในเรื่องเป็นมุสลิมชวากับมุสลิมไทย หลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่ามีผู้คนเดินทางไปมาระหว่างประเทศเพื่อการแสดงละครและการแข่งขันแล้ว สอดคล้องกับเหตุการณ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่อยุธยาและที่กรุงธนบุรี 4) เมื่อคณะราชทูตจากเปอร์เซียเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาและบันทึกถึง SUHAN ซึ่งก็คือสวนที่เชื่อว่าน่าจะเป็นท้องที่บริเวณกรุงธนบุรีและนนทบุรี นอกจากนี้บันทึกของราชฑูตยังกล่าวว่าเจ้าเมืองในดินแดนแห่งนี้เป็นมุสลิม ซึ่งอาจหมายถึงหัวหน้าชุมชน (หน้า 70-72) สำหรับชุมชนมัสยิดต้นสนก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2231 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อพระยาราชวังสัน (มะหะหมุด) ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นเสนาบดีคุมกองทัพเรือมารักษาป้อมวิไชเยนทร์ จึงได้พาครอบครัวมาตั้งรกรากร่วมกับทหารมุสลิมบริเวณใกล้วัดหงษารามริมคลองบางกอกน้อย (หน้า 8) ต่อมาในสมัยธนบุรีชุมชนนี้มีการขยายตัวมากขึ้น โดยมุสลิมจากอยุธยาได้หลบหนีเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ ตามบริเวณริมคลองบางกอกน้อยและมัสยิดต้นสน (หน้า 19) นอกจากนี้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยังทำให้ทราบว่าบรรพบุรุษของมุสลิมมัสยิดต้นสนเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะแม่ทัพนายกองรับใช้พระมหากษัตริย์ไทยมาหลายยุคหลายสมัย มีเพียงส่วนน้อยที่ทำการค้าขาย |
|
Settlement Pattern |
ตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีผู้นำตามคำสอนในศาสนาอิสลาม ศูนย์กลางของชุมชนประกอบด้วย มัสยิด อาคารเรียน และกุโบร์ บางชุมชนอาจใช้บางส่วนของมัสยิดเป็นสถานศึกษา และใช้กุโบร์ร่วมกับชุมชนอื่น ในอดีตจะตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือริมคลองต่างๆ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการคมนาคมทางน้ำ เช่น ชุมชนมุสลิมสายซุนนะห์แถบมัสยิดต้นสนและมัสยิดบางหลวงริมคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ มัสยิดบางกอกน้อยริมคลองบางกอกน้อย มัสยิดตึกแดงริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้เชิงสะพานพุทธฯ มัสยิดบ้านสมเด็จบริเวณหลังสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มัสยิดสวนพลูริมทางรถไฟวงเวียนใหญ่ใกล้วัดโพธิ์นิมิต มัสยิดสุวรรณภูมิริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามโรงแรมโอเรียลเต็ลและกรมศุลกากรเก่า มัสยิดวัดเกาะริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านตะวันออกใกล้กับวัดเกาะ และมัสยิดฮารูณอยู่ติดกับโรงแรมโอเรียลเต็ล ขณะที่มุสลิมสายชีอะฮ์ยังไม่มีมัสยิดเป็นของตนเองจึงต้องใช้มัสยิดและกุโบร์ร่วมกับมุสลิมสายซุนนะห์ ปัจจุบันชุมชนมุสลิมชีอะฮ์ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณริมถนนอิสรภาพเชิงสะพานเจริญพาศน์ (หน้า 90-99) |
|
Economy |
อาชีพของมุสลิมแถบมัสยิดต้นสนในอดีตส่วนหนึ่งรับราชการสังกัดกรมอาสาจามและกรมท่าขวาทั้งในวังหลวงและวังหน้า เช่น พระยาราชวังสัน พระยาจุฬาราชมนตรี พระยากัลยาณภักดี พระลักษมณา หลวงไพบูลย์ยนตรกิจ และหลวงลักษมณา บางส่วนประกอบอาชีพค้าขายอยู่ในเรือนแพ บ้างก็ใช้เรือสำปั้นบรรทุกสิ่งของร้องขายสินค้าตามบ้านเรือน โดยเฉพาะบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่และปากคลองบางกอกน้อย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและที่ค้าขายของชาวมัสยิดต้นสนมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี สินค้าส่วนใหญ่ ได้แก่ ผ้าแพร เครื่องสำเภา ถ้วยชาม สีผึ้ง ดินสอพอง นอกจากนี้มุสลิมบางส่วนยังคงทำสวนและทำประมงอยู่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย (หน้า 26-27) |
|
Social Organization |
จากการขยายตัวของประชากร ประกอบกับมีการตัดถนนหนทางเพื่อการคมนาคม จึงทำให้ชุมชนมุสลิมซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยเรือกสวนและป่าสะแกกลายเป็นพื้นที่ชุมชนแออัด จนต้องอพยพโยกย้ายออกจากชุมชนมัสยิดต้นสนไปอยู่ที่ใหม่ บ้างก็อพยพไปอยู่ในชุมชนมุสลิมแถบชานเมือง เช่น หนองจอก มีนบุรี ราฎร์บูรณะ หรือบริเวณปริมณฑล เช่น ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และหลายแห่งกลายเป็นชุมชนมุสลิมที่เกิดขึ้นใหม่และมีความสมัครสมานสามัคคี ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมุสลิมต่างมีความรู้สึกผูกพันกันแบบพี่น้องร่วมสายโลหิตและสามารถนับเนื่องเกี่ยวโยงกันได้ในแทบทุกสกุลนั่นเอง และเมื่อมีคนในชุมชนเสียชีวิตก็จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อจะได้ไปร่วมละหมาดให้แก่ผู้ตาย เช่นเดียวกับงานแต่งงานและงานอื่นๆ ก็จะมีการเชิญให้ไปร่วมงาน (หน้า 29,102) การถือครองที่ดินของมุสลิมมี 3 ลักษณะ คือ 1) เป็นที่ดินพระราชทาน 2) เป็นที่ดินที่มุสลิมถือครองกรรมสิทธิ์เอง 3) เป็นที่ดินที่มุสลิมเช่าจากราชการและเอกชน (หน้า 101) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
รูปแบบสถาปัตยกรรมของมัสยิดต้นสนช่วงปลายสมัยอยุธยามีลักษณะเป็นเรือนไม้สักยกพื้น ฝาขัดแตะ หลังคาโค้งครึ่งวงกลมมุงกระเบื้อง หน้าจั่วมีลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญ (หน้า15) ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีได้ขยายมัสยิดให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับผู้มาประกอบศาสนกิจที่มีจำนวนมากขึ้น (หน้า 19) จนกระทั่งในปี พ.ศ.2358 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้บูรณปฏิสังขรณ์มัสยิดขึ้นใหม่เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีลักษณะการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตกและอิสลาม ดังจะเห็นได้จากลวดลายของหน้าบัน ต่อมาในปี พ.ศ.2359 อาคารหลังเดิมได้ทรุดตัวลง จึงได้สร้างมัสยิดขึ้นใหม่ให้มีลักษณะเป็นยอดโดม และมีมุขยื่นออกมาด้านหน้าของอาคาร โดยยังคงเป็นเรือนหน้าจั่วแบบของเดิม ผนังก่ออิฐมอญ กรอบประตูหน้าต่างตกแต่งบัวปูน เฉพาะกรอบประตูด้านหน้าตกแต่งด้วยบัวหินขัดสีขาว (หน้า 25-28) อย่างไรก็ดีจากภาพถ่ายเก่าพบว่าอาคารมัสยิดต้นสนหลังเดิมแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ อาคารประธานและเฉลียงที่มีผนังล้อมรอบ อาคารประธานสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 และบูรณะใหม่ในปลายรัชกาลที่ 3 ต่อรัชกาลที่ 4 และระเบียงน่าจะได้รับการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือรัชกาลที่ 5 ส่วนกำแพงแก้วด้านหน้าอาคารที่เป็นส่วนทางเข้าน่าจะปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (หน้า 33) ปัจจุบันอาคารมัสยิดต้นสนมีโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีประตูหน้าต่างโดยรอบ หลังคาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนห้องโถงด้านในเป็นทรงจั่ว ส่วนโถงทางเข้าด้านหน้าเป็นหลังคาแบน มีลูกกรงรายรอบ เน้นทางเข้ารูปโดมด้วยทรงกระบอกยอดแหลม มีทางเข้า 3 ด้านตอนบนมีช่องแสงรูปครึ่งวงกลม เหนือหน้าต่างโค้งครึ่งวงกลมทุกบานมีหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดกระจกเป็นช่องแสง กลางผนังในสุดเป็นที่ตั้งของมิมบัรและเมี๊ยะร็อบ (หน้า 35-36) ในบริเวณมัสยิดต้นสนยังประกอบไปด้วยสมาคมสนธิอิสลาม ซึ่งสร้างในปีพ.ศ.2332 เป็นอาคารไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีมุขด้านหน้าเป็นโถงบันได มีทางขึ้น 2 ข้าง เดิมอาคารหลังนี้น่าจะเป็นโถงโล่งชั้นเดียวยกพื้น ไม่มีฝาผนังแบบเรือนขนมปังขิง และคงจะติดหน้าต่างเมื่อยกพื้นขึ้นเป็น 2 ชั้นในปี พ.ศ.2518 ส่วนลายลูกกรงไม้ฉลุที่มุขด้านหน้าและลายฉลุไม้ที่ติดเพดานระหว่างเสาทุกช่อง สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อพ.ศ.2458 หลังคาอาคารเป็นทรงปั้นหยา ชายคาประดับด้วยไม้จำหลักลาย หลังคามุขด้านหน้าเป็นหลังคาจั่วเปิด พื้นภายในอาคารเป็นไม้สัก ศาลาแปดเหลี่ยมน่าจะมีต้นแบบมาจากยุโรป สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2473 ใช้เป็นศาลานั่งเล่นในสวน มีลักษณะเช่นเดียวกับศาลาที่พบในพระราชวังสมัยราชกาลที่ 5 เช่นพระราชวังดุสิต วังปารุสกวัน เป็นต้น (หน้า 35-38, 114) เมี๊ยะร็อบ ลักษณะคล้ายศาลาขนาดเล็ก แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาในประธาน 4 ต้น เสามุขลด 2 ต้น มุขหน้ามีคูหาหน้าบันประกอบด้วยเครื่องลำยอง หางหงส์เป็นนาค 3 เศียรพร้อมตัวเหงาที่เรียกว่าหัวนาคหางหงส์ ส่วนกลางเป็นจั่วประดับด้วยลายกนกช่อหางโต ส่วนปลายลายกนกช่อหางโตประดับด้วยเปลือกหอยมุก ตัวเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ส่วยยอดของกนกแกนกลางประดับด้วยเปลือกหอยที่ตัดเป็นรูปวงกลมและมีสัญลักษณ์ดาวเดือนทางศาสนาอิสลาม สันนิษฐานว่าน่าจะทำขึ้นสมัยสร้างมัสยิดหลังเดิมราวรัชกาลที่ 2 หรืออาจสืบเนื่องมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา (หน้า 38-39) มิมบัร ลักษณะของหลังคาเป็นรูปโค้งประทุน (Vault) ส่วนหน้าจั่วเป็นรูปโค้งมียอดแหลมตามแบบศิลปะอาหรับ ลักษณะการประดับตกแต่งฝีมือค่อนข้างหยาบ กลางหน้าบันประดับด้วยวงกลม 3 วง เป็นลายอัลกุรอ่านปิดทอง วงด้านซ้ายตรงกลางเน้นด้วยดาวและพระจันทร์เสี้ยว ด้านขวาเป็นรูปดาว อย่างไรก็ดียังไม่สามารถกำหนดอายุที่แน่ชัดของมิมบัรนี้ได้ (หน้า 40) นอกจากนี้ภายในมัสยิดยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ดั้งเดิมอยู่ ได้แก่ โคมไฟพระราชทาน เป็นของที่ระลึกในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โคมตะเกียงน้ำมันในสมัยรัชกาลที่ 4 กระดานสลักลายอัลกุรอ่านและโคมหวดซึ่งได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หน้าบันมัสยิดต้นสนหลังเดิม และพระมหาคัมภัร์อัลกุรอ่าน (หน้า 115-120) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
บรรพบุรุษมุสลิมในสมัยธนบุรี เชื้อสายต่าง ๆ ได้แก่ 1) สายอาหรับ-เปอร์เซีย ตั้งถิ่นฐานบริเวณสะพานประตูจีนด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงหลังวัดนางมุกแล้ววกลงมาที่ท่ากายี เรียกว่า แขกเทศ ชาวเปอร์เซียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ เฉกอะหมัด และท่านดาโต๊ะ โมกอล และยังคงสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน 2) สายชวา-มลายู สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่แถบคลองตะเคียนทางทิศใต้ช่วงสงครามไทยรบพม่าในกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์จึงมีมุสลิมจากเมืองปัตตานีซึ่งถูกกวาดต้อนเป็นเชลยมาสมบท 3) สายจาม-เขมร เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณบางอ้อ 4) สายอินเดีย-ปากีสถาน-บังคลาเทศ มุสลิมอินเดียสายชีอะฮ์ตั้งถิ่นฐานที่มัสยิดตึกขาว (เซฟี) ส่วนกลุ่มซุนนะห์ ได้แก่ ชุมชนมัสยิดฮารูณ ชุมชนมัสยิดตึกแดง และสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน 5) สายจีน คนจีนมุสลิมได้แต่งงานกับมุสลิมเชื้อสายต่างๆ อย่างผสมกลมกลืน (หน้า 93-95) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
กล่าวถึงประวัติของจุฬาราชมนตรี 4 ท่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) พระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) (หน้า 134-135) บทบาทของบรรพชนมุสลิมนิกายสุหนี่และชีอะฮ์ที่รับราชการฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครองในช่วงกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ เช่นเจ้ากระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุดหรือแขก) (หน้า 15-20, 127-132) พระยาราชวังสัน (ฉิม) พระยาราชวังสัน (นก) พันเอกพระยากัลยาณภักดี (กูบ กัลยาณสุต) พันเอกกัลยาณภักดี (ต๋อง กัลยาณสุต) พระยากัลยาณภักดี (มูฮัมหมัดยูซุฟ กะริมกุล) พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) (หน้า 129, 131) พระยาจุฬาราชมนตรี (อากาหยี่) พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) และพระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย) (หน้า 41-61) สันนิษฐานถึงมูลเหตุที่ทำให้ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงธนบุรีเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม เนื่องจากกรุงธนบุรีมีชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและความเชื่ออยู่แต่เดิมก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินฯจะอพยพผู้คนลงมาและสร้างพระราชวัง ประกอบกับคนไทยกลุ่มใหม่ที่อพยพลงมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อล่องลงมาตามแม่น้ำแล้วพบกับกลุ่มเดิมที่มีความเชื่อทางศาสนาเหมือนกันหรือมีความโยงใยทางสายเลือดก็ปักหลักอยู่ด้วยกัน จึงเกิดการขยายตัวของชุมชน นอกจากนี้ยังเกิดจากการอพยพของกลุ่มมอญจากพม่า และกลุ่มเชลยลาวในคราวเจ้าพระยาจักรีและสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จไปตีเวียงจันทน์และหลวงพระบาง (หน้า 81-83) มูลเหตุที่ทำให้ตระกูลบุนนาคเป็นตระกูลที่มีบทบาททางด้านการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 1) เกิดจากการมีสายสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับราชวงศ์จักรี 2) ท่านในสกุลนี้มีบรรดาศักดิ์สูงสุดเป็น สมเด็จเจ้าพระยาจักรี คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 3) การที่สกุลนี้มีสมาชิกหลายท่านมีความรู้สูงมาก เช่น สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษและกลศาสตร์เป็นอย่างดี เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ผู้สร้างพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ 4) สกุลนี้ช่วยพระมหากษัตริย์ในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้สกุลบุนนาคโดดเด่นน่าจะเนื่องมาจากการที่ต้นตระกูลเป็นพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยา และได้รับราชการในตำแหน่งสูงถึงเจ้าพระยาบวรราชนายก นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านการค้า การรบ ประกอบกับสกุลนี้เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีพิธีกรรมในเดือนมะหะหร่ำ โดยในสมัยรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯให้มีมะหะหร่ำข้ามฟากถึง 2 ครั้ง (หน้า 83-85) |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบแผนผังลำดับสกุลสุลต่านสุลัยมานถึงเจ้าพระยาจักรี (หมุด) (หน้า 12) แผนผังลำดับสกุลสุลต่านสุลัยมานซาห์จากพระยาจักรี (หมุด) ถึงพระยาราชวังสัน (บัว) (หน้า 25) ภาพอาคารมัสยิดต้นสนหลังเดิม (หน้า 33-34) ภาพมัสยิดต้นสนอาคารปัจจุบัน (หน้า 35-40, 114-120) ภาพกุโบร์มัสยิดต้นสน (หน้า 41, 137) ตารางลำดับรายชื่ออิหม่ามมัสยิดต้นสน (หน้า 64) แผนที่หมู่บ้านชาวต่างประเทศในสมัยอยุธยา (หน้า 103) ภาพขุนนางแขกสมัยอยุธยาในจิตรกรรมวัดช่องนนทรี (หน้า 105) ภาพป้อมเมืองสงขลา (หน้า 124) ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯมัสยิดต้นสน (หน้า 144, 146) ภาพระหว่างการรื้อมัสยิดต้นสนที่พังลงมา (หน้า 161-164) |
|
|