สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,ประวัติชุมชน,มัสยิดต้นสน,ภาคกลาง
Author คณะกรรมการจัดงานเสวนา
Title มุสลิมมัสยิดต้นสนกับบรรพชนสามยุคสมัย : ประวัติชาวมัสยิดต้นสน บทวิเคราะห์ความเป็นมา 400 ปี เคียงคู่เอกราชไทย
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, หอสมุดแห่งชาติ Total Pages 258 Year 2544
Source คณะกรรมการจัดงานเสวนา
Abstract

ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของมัสยิดต้นสนเป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างมุสลิมกับมัสยิดต้นสนซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน ตลอดจนความเป็นมาและบทบาทของมุสลิมในสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยลงมายังกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางด้านการบริการปกครองที่ บรรพบุรุษมุสลิมหลายท่านได้ฝากผลงานไว้ เช่น เจ้ากระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุดหรือแขก) พระยาราชวังสัน (ฉิม) พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) เป็นต้น และยังคงสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน เรื่องราวของมัสยิดต้นสนยังมีความผูกพันอยู่กับประวัติศาสตร์กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ในฐานะตัวแทนของกลุ่มคนมุสลิม อีกทั้งยังทำให้ภาพของประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าวสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันอย่างผสมกลมกลืนของคนหลายเชื้อชาติในบริเวณที่เรียกว่า บางกอก

Focus

หนังสือ "มุสลิมมัสยิดต้นสนกับบรรพชนสามยุคสมัย" แบ่งเป็น 3 ภาค คือภาคแรกรวมบทความเกี่ยวกับมัสยิดต้นสนทั้งแง่มุม ด้านประวัติศาสตร์ รูปแบบศิลปกรรมของตัวอาคาร ศิลปะวัตถุที่เกี่ยวข้องกับมัสยิด รวมถึงความเป็นมาของชุมชนมุสลิมมัสยิด ต้นสนตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ ภาคที่สองรวมบทวิเคราะห์ความเป็นมาของมุสลิมและมัสยิดต้นสนจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ รูปแบบศิลปกรรม และมุมมองทางด้านสังคมวิทยา ภาคที่สาม รวมข้อเขียนบทความที่กล่าวถึงบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชนมัสยิดต้นสน และคำบอกเล่าจากบรรพชนเกี่ยวกับมัสยิดต้นสนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิมชุมชนมัสยิดต้นสน

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

มุสลิมในประเทศไทยมีหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น จาม เปอร์เซีย มลายู ชวา อินเดีย เป็นต้น เชื่อกันว่ามุสลิมกลุ่มจามนั้นอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่คลองประจามจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างน้อยในรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราช (หน้า 1) ต่อมารัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ปรากฏหลักฐานการตั้งหมู่บ้านแขกมากาซาร์ซึ่งเป็นมุสลิมสายมาเลย์และชวาในพระนครศรีอยุธยา (หน้า 3) กล่าวโดยสรุป พอจะมีหลักฐานอยู่บ้างแม้ไม่ชัดเจนว่า ที่แสดงให้เห็นว่ามีมุสลิมอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามานานแล้ว เป็นต้นว่า 1) ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ปรากฏคำว่า ปสาน ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากภาษาเปอร์เซียว่า Bazaar ที่แปลว่า ตลาด ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าชาวเปอร์เซียเดินทางเข้ามายังกรุงสยามในสมัยสุโขทัย แต่เป็นไปได้ว่าชาวอินเดียโดยเฉพาะพราหมณ์อาจเป็นผู้นำภาษาเปอร์เซียเข้ามาด้วย หรืออีกทางหนึ่งไทยอาจรับคำว่าปสานผ่านคนในแหลมมลายูหรือผ่านมาทางเขมร และที่สำคัญการเดินทางของพ่อค้าที่เข้ามานั้นจำเป็นจะต้องผ่านด่านสำคัญคือ ธนบุรีเสียก่อน 2) เมื่อนายพลเรือของโปรตุเกสที่ชื่อ Afonso de Albuquerque เลือกนาย Duarte Fernandez เป็นทูตเดินทางเข้ามาอยุธยาในปีพ.ศ.2054 โดยที่นายเฟอร์นานเดซพูดภาษามลายูได้นั้นย่อมแสดงว่าจะต้องมีชาวมลายูอยู่ในเส้นทางเข้าสู่อยุธยา 3) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ปรากฏกีฬาชนิดหนึ่งในวรรณกรรมสมุทรโฆษ ที่เรียกว่า ชวาแทงหอก โดยคู่แข่งในเรื่องเป็นมุสลิมชวากับมุสลิมไทย หลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่ามีผู้คนเดินทางไปมาระหว่างประเทศเพื่อการแสดงละครและการแข่งขันแล้ว สอดคล้องกับเหตุการณ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายและเผยแพร่คริสต์ศาสนาที่อยุธยาและที่กรุงธนบุรี 4) เมื่อคณะราชทูตจากเปอร์เซียเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาและบันทึกถึง SUHAN ซึ่งก็คือสวนที่เชื่อว่าน่าจะเป็นท้องที่บริเวณกรุงธนบุรีและนนทบุรี นอกจากนี้บันทึกของราชฑูตยังกล่าวว่าเจ้าเมืองในดินแดนแห่งนี้เป็นมุสลิม ซึ่งอาจหมายถึงหัวหน้าชุมชน (หน้า 70-72) สำหรับชุมชนมัสยิดต้นสนก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2231 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อพระยาราชวังสัน (มะหะหมุด) ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นเสนาบดีคุมกองทัพเรือมารักษาป้อมวิไชเยนทร์ จึงได้พาครอบครัวมาตั้งรกรากร่วมกับทหารมุสลิมบริเวณใกล้วัดหงษารามริมคลองบางกอกน้อย (หน้า 8) ต่อมาในสมัยธนบุรีชุมชนนี้มีการขยายตัวมากขึ้น โดยมุสลิมจากอยุธยาได้หลบหนีเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ ตามบริเวณริมคลองบางกอกน้อยและมัสยิดต้นสน (หน้า 19) นอกจากนี้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยังทำให้ทราบว่าบรรพบุรุษของมุสลิมมัสยิดต้นสนเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะแม่ทัพนายกองรับใช้พระมหากษัตริย์ไทยมาหลายยุคหลายสมัย มีเพียงส่วนน้อยที่ทำการค้าขาย

Settlement Pattern

ตั้งถิ่นฐานอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีผู้นำตามคำสอนในศาสนาอิสลาม ศูนย์กลางของชุมชนประกอบด้วย มัสยิด อาคารเรียน และกุโบร์ บางชุมชนอาจใช้บางส่วนของมัสยิดเป็นสถานศึกษา และใช้กุโบร์ร่วมกับชุมชนอื่น ในอดีตจะตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือริมคลองต่างๆ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการคมนาคมทางน้ำ เช่น ชุมชนมุสลิมสายซุนนะห์แถบมัสยิดต้นสนและมัสยิดบางหลวงริมคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ มัสยิดบางกอกน้อยริมคลองบางกอกน้อย มัสยิดตึกแดงริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้เชิงสะพานพุทธฯ มัสยิดบ้านสมเด็จบริเวณหลังสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มัสยิดสวนพลูริมทางรถไฟวงเวียนใหญ่ใกล้วัดโพธิ์นิมิต มัสยิดสุวรรณภูมิริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามโรงแรมโอเรียลเต็ลและกรมศุลกากรเก่า มัสยิดวัดเกาะริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้านตะวันออกใกล้กับวัดเกาะ และมัสยิดฮารูณอยู่ติดกับโรงแรมโอเรียลเต็ล ขณะที่มุสลิมสายชีอะฮ์ยังไม่มีมัสยิดเป็นของตนเองจึงต้องใช้มัสยิดและกุโบร์ร่วมกับมุสลิมสายซุนนะห์ ปัจจุบันชุมชนมุสลิมชีอะฮ์ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณริมถนนอิสรภาพเชิงสะพานเจริญพาศน์ (หน้า 90-99)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

อาชีพของมุสลิมแถบมัสยิดต้นสนในอดีตส่วนหนึ่งรับราชการสังกัดกรมอาสาจามและกรมท่าขวาทั้งในวังหลวงและวังหน้า เช่น พระยาราชวังสัน พระยาจุฬาราชมนตรี พระยากัลยาณภักดี พระลักษมณา หลวงไพบูลย์ยนตรกิจ และหลวงลักษมณา บางส่วนประกอบอาชีพค้าขายอยู่ในเรือนแพ บ้างก็ใช้เรือสำปั้นบรรทุกสิ่งของร้องขายสินค้าตามบ้านเรือน โดยเฉพาะบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่และปากคลองบางกอกน้อย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและที่ค้าขายของชาวมัสยิดต้นสนมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี สินค้าส่วนใหญ่ ได้แก่ ผ้าแพร เครื่องสำเภา ถ้วยชาม สีผึ้ง ดินสอพอง นอกจากนี้มุสลิมบางส่วนยังคงทำสวนและทำประมงอยู่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย (หน้า 26-27)

Social Organization

จากการขยายตัวของประชากร ประกอบกับมีการตัดถนนหนทางเพื่อการคมนาคม จึงทำให้ชุมชนมุสลิมซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยเรือกสวนและป่าสะแกกลายเป็นพื้นที่ชุมชนแออัด จนต้องอพยพโยกย้ายออกจากชุมชนมัสยิดต้นสนไปอยู่ที่ใหม่ บ้างก็อพยพไปอยู่ในชุมชนมุสลิมแถบชานเมือง เช่น หนองจอก มีนบุรี ราฎร์บูรณะ หรือบริเวณปริมณฑล เช่น ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และหลายแห่งกลายเป็นชุมชนมุสลิมที่เกิดขึ้นใหม่และมีความสมัครสมานสามัคคี ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมุสลิมต่างมีความรู้สึกผูกพันกันแบบพี่น้องร่วมสายโลหิตและสามารถนับเนื่องเกี่ยวโยงกันได้ในแทบทุกสกุลนั่นเอง และเมื่อมีคนในชุมชนเสียชีวิตก็จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อจะได้ไปร่วมละหมาดให้แก่ผู้ตาย เช่นเดียวกับงานแต่งงานและงานอื่นๆ ก็จะมีการเชิญให้ไปร่วมงาน (หน้า 29,102) การถือครองที่ดินของมุสลิมมี 3 ลักษณะ คือ 1) เป็นที่ดินพระราชทาน 2) เป็นที่ดินที่มุสลิมถือครองกรรมสิทธิ์เอง 3) เป็นที่ดินที่มุสลิมเช่าจากราชการและเอกชน (หน้า 101)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

รูปแบบสถาปัตยกรรมของมัสยิดต้นสนช่วงปลายสมัยอยุธยามีลักษณะเป็นเรือนไม้สักยกพื้น ฝาขัดแตะ หลังคาโค้งครึ่งวงกลมมุงกระเบื้อง หน้าจั่วมีลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญ (หน้า15) ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีได้ขยายมัสยิดให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับผู้มาประกอบศาสนกิจที่มีจำนวนมากขึ้น (หน้า 19) จนกระทั่งในปี พ.ศ.2358 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้บูรณปฏิสังขรณ์มัสยิดขึ้นใหม่เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีลักษณะการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตกและอิสลาม ดังจะเห็นได้จากลวดลายของหน้าบัน ต่อมาในปี พ.ศ.2359 อาคารหลังเดิมได้ทรุดตัวลง จึงได้สร้างมัสยิดขึ้นใหม่ให้มีลักษณะเป็นยอดโดม และมีมุขยื่นออกมาด้านหน้าของอาคาร โดยยังคงเป็นเรือนหน้าจั่วแบบของเดิม ผนังก่ออิฐมอญ กรอบประตูหน้าต่างตกแต่งบัวปูน เฉพาะกรอบประตูด้านหน้าตกแต่งด้วยบัวหินขัดสีขาว (หน้า 25-28) อย่างไรก็ดีจากภาพถ่ายเก่าพบว่าอาคารมัสยิดต้นสนหลังเดิมแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ อาคารประธานและเฉลียงที่มีผนังล้อมรอบ อาคารประธานสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 และบูรณะใหม่ในปลายรัชกาลที่ 3 ต่อรัชกาลที่ 4 และระเบียงน่าจะได้รับการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือรัชกาลที่ 5 ส่วนกำแพงแก้วด้านหน้าอาคารที่เป็นส่วนทางเข้าน่าจะปรับปรุงขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (หน้า 33) ปัจจุบันอาคารมัสยิดต้นสนมีโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กในผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีประตูหน้าต่างโดยรอบ หลังคาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนห้องโถงด้านในเป็นทรงจั่ว ส่วนโถงทางเข้าด้านหน้าเป็นหลังคาแบน มีลูกกรงรายรอบ เน้นทางเข้ารูปโดมด้วยทรงกระบอกยอดแหลม มีทางเข้า 3 ด้านตอนบนมีช่องแสงรูปครึ่งวงกลม เหนือหน้าต่างโค้งครึ่งวงกลมทุกบานมีหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าติดกระจกเป็นช่องแสง กลางผนังในสุดเป็นที่ตั้งของมิมบัรและเมี๊ยะร็อบ (หน้า 35-36) ในบริเวณมัสยิดต้นสนยังประกอบไปด้วยสมาคมสนธิอิสลาม ซึ่งสร้างในปีพ.ศ.2332 เป็นอาคารไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีมุขด้านหน้าเป็นโถงบันได มีทางขึ้น 2 ข้าง เดิมอาคารหลังนี้น่าจะเป็นโถงโล่งชั้นเดียวยกพื้น ไม่มีฝาผนังแบบเรือนขนมปังขิง และคงจะติดหน้าต่างเมื่อยกพื้นขึ้นเป็น 2 ชั้นในปี พ.ศ.2518 ส่วนลายลูกกรงไม้ฉลุที่มุขด้านหน้าและลายฉลุไม้ที่ติดเพดานระหว่างเสาทุกช่อง สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อพ.ศ.2458 หลังคาอาคารเป็นทรงปั้นหยา ชายคาประดับด้วยไม้จำหลักลาย หลังคามุขด้านหน้าเป็นหลังคาจั่วเปิด พื้นภายในอาคารเป็นไม้สัก ศาลาแปดเหลี่ยมน่าจะมีต้นแบบมาจากยุโรป สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2473 ใช้เป็นศาลานั่งเล่นในสวน มีลักษณะเช่นเดียวกับศาลาที่พบในพระราชวังสมัยราชกาลที่ 5 เช่นพระราชวังดุสิต วังปารุสกวัน เป็นต้น (หน้า 35-38, 114) เมี๊ยะร็อบ ลักษณะคล้ายศาลาขนาดเล็ก แผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาในประธาน 4 ต้น เสามุขลด 2 ต้น มุขหน้ามีคูหาหน้าบันประกอบด้วยเครื่องลำยอง หางหงส์เป็นนาค 3 เศียรพร้อมตัวเหงาที่เรียกว่าหัวนาคหางหงส์ ส่วนกลางเป็นจั่วประดับด้วยลายกนกช่อหางโต ส่วนปลายลายกนกช่อหางโตประดับด้วยเปลือกหอยมุก ตัวเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ส่วยยอดของกนกแกนกลางประดับด้วยเปลือกหอยที่ตัดเป็นรูปวงกลมและมีสัญลักษณ์ดาวเดือนทางศาสนาอิสลาม สันนิษฐานว่าน่าจะทำขึ้นสมัยสร้างมัสยิดหลังเดิมราวรัชกาลที่ 2 หรืออาจสืบเนื่องมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา (หน้า 38-39) มิมบัร ลักษณะของหลังคาเป็นรูปโค้งประทุน (Vault) ส่วนหน้าจั่วเป็นรูปโค้งมียอดแหลมตามแบบศิลปะอาหรับ ลักษณะการประดับตกแต่งฝีมือค่อนข้างหยาบ กลางหน้าบันประดับด้วยวงกลม 3 วง เป็นลายอัลกุรอ่านปิดทอง วงด้านซ้ายตรงกลางเน้นด้วยดาวและพระจันทร์เสี้ยว ด้านขวาเป็นรูปดาว อย่างไรก็ดียังไม่สามารถกำหนดอายุที่แน่ชัดของมิมบัรนี้ได้ (หน้า 40) นอกจากนี้ภายในมัสยิดยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ดั้งเดิมอยู่ ได้แก่ โคมไฟพระราชทาน เป็นของที่ระลึกในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โคมตะเกียงน้ำมันในสมัยรัชกาลที่ 4 กระดานสลักลายอัลกุรอ่านและโคมหวดซึ่งได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หน้าบันมัสยิดต้นสนหลังเดิม และพระมหาคัมภัร์อัลกุรอ่าน (หน้า 115-120)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

บรรพบุรุษมุสลิมในสมัยธนบุรี เชื้อสายต่าง ๆ ได้แก่ 1) สายอาหรับ-เปอร์เซีย ตั้งถิ่นฐานบริเวณสะพานประตูจีนด้านตะวันตกของกรุงศรีอยุธยาไปจนถึงหลังวัดนางมุกแล้ววกลงมาที่ท่ากายี เรียกว่า แขกเทศ ชาวเปอร์เซียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ เฉกอะหมัด และท่านดาโต๊ะ โมกอล และยังคงสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน 2) สายชวา-มลายู สันนิษฐานว่าเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่แถบคลองตะเคียนทางทิศใต้ช่วงสงครามไทยรบพม่าในกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์จึงมีมุสลิมจากเมืองปัตตานีซึ่งถูกกวาดต้อนเป็นเชลยมาสมบท 3) สายจาม-เขมร เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณบางอ้อ 4) สายอินเดีย-ปากีสถาน-บังคลาเทศ มุสลิมอินเดียสายชีอะฮ์ตั้งถิ่นฐานที่มัสยิดตึกขาว (เซฟี) ส่วนกลุ่มซุนนะห์ ได้แก่ ชุมชนมัสยิดฮารูณ ชุมชนมัสยิดตึกแดง และสืบเชื้อสายมาจนกระทั่งปัจจุบัน 5) สายจีน คนจีนมุสลิมได้แต่งงานกับมุสลิมเชื้อสายต่างๆ อย่างผสมกลมกลืน (หน้า 93-95)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

กล่าวถึงประวัติของจุฬาราชมนตรี 4 ท่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) พระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) (หน้า 134-135) บทบาทของบรรพชนมุสลิมนิกายสุหนี่และชีอะฮ์ที่รับราชการฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครองในช่วงกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ เช่นเจ้ากระยาจักรีศรีองครักษ์ (หมุดหรือแขก) (หน้า 15-20, 127-132) พระยาราชวังสัน (ฉิม) พระยาราชวังสัน (นก) พันเอกพระยากัลยาณภักดี (กูบ กัลยาณสุต) พันเอกกัลยาณภักดี (ต๋อง กัลยาณสุต) พระยากัลยาณภักดี (มูฮัมหมัดยูซุฟ กะริมกุล) พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) (หน้า 129, 131) พระยาจุฬาราชมนตรี (อากาหยี่) พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) และพระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย) (หน้า 41-61) สันนิษฐานถึงมูลเหตุที่ทำให้ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงธนบุรีเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม เนื่องจากกรุงธนบุรีมีชุมชนที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและความเชื่ออยู่แต่เดิมก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินฯจะอพยพผู้คนลงมาและสร้างพระราชวัง ประกอบกับคนไทยกลุ่มใหม่ที่อพยพลงมาจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อล่องลงมาตามแม่น้ำแล้วพบกับกลุ่มเดิมที่มีความเชื่อทางศาสนาเหมือนกันหรือมีความโยงใยทางสายเลือดก็ปักหลักอยู่ด้วยกัน จึงเกิดการขยายตัวของชุมชน นอกจากนี้ยังเกิดจากการอพยพของกลุ่มมอญจากพม่า และกลุ่มเชลยลาวในคราวเจ้าพระยาจักรีและสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จไปตีเวียงจันทน์และหลวงพระบาง (หน้า 81-83) มูลเหตุที่ทำให้ตระกูลบุนนาคเป็นตระกูลที่มีบทบาททางด้านการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 1) เกิดจากการมีสายสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับราชวงศ์จักรี 2) ท่านในสกุลนี้มีบรรดาศักดิ์สูงสุดเป็น สมเด็จเจ้าพระยาจักรี คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 3) การที่สกุลนี้มีสมาชิกหลายท่านมีความรู้สูงมาก เช่น สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษและกลศาสตร์เป็นอย่างดี เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ผู้สร้างพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ 4) สกุลนี้ช่วยพระมหากษัตริย์ในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้สกุลบุนนาคโดดเด่นน่าจะเนื่องมาจากการที่ต้นตระกูลเป็นพ่อค้าชาวเปอร์เซียที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงศรีอยุธยา และได้รับราชการในตำแหน่งสูงถึงเจ้าพระยาบวรราชนายก นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านการค้า การรบ ประกอบกับสกุลนี้เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์ที่มีพิธีกรรมในเดือนมะหะหร่ำ โดยในสมัยรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯให้มีมะหะหร่ำข้ามฟากถึง 2 ครั้ง (หน้า 83-85)

Map/Illustration

ภาพประกอบแผนผังลำดับสกุลสุลต่านสุลัยมานถึงเจ้าพระยาจักรี (หมุด) (หน้า 12) แผนผังลำดับสกุลสุลต่านสุลัยมานซาห์จากพระยาจักรี (หมุด) ถึงพระยาราชวังสัน (บัว) (หน้า 25) ภาพอาคารมัสยิดต้นสนหลังเดิม (หน้า 33-34) ภาพมัสยิดต้นสนอาคารปัจจุบัน (หน้า 35-40, 114-120) ภาพกุโบร์มัสยิดต้นสน (หน้า 41, 137) ตารางลำดับรายชื่ออิหม่ามมัสยิดต้นสน (หน้า 64) แผนที่หมู่บ้านชาวต่างประเทศในสมัยอยุธยา (หน้า 103) ภาพขุนนางแขกสมัยอยุธยาในจิตรกรรมวัดช่องนนทรี (หน้า 105) ภาพป้อมเมืองสงขลา (หน้า 124) ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯมัสยิดต้นสน (หน้า 144, 146) ภาพระหว่างการรื้อมัสยิดต้นสนที่พังลงมา (หน้า 161-164)

Text Analyst ดวงใจ พิชิตณรงค์ชัย Date of Report 05 ม.ค. 2566
TAG มุสลิม, ประวัติชุมชน, มัสยิดต้นสน, ภาคกลาง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง