สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทลื้อ,การถ่ายทอดความรู้,การรักษาพยาบาล,สมุนไพร,เชียงใหม่
Author องอาจ พรมไชย
Title กระบวนการถ่ายทอดความรู้ของชาวไทลื้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพร
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 93 Year 2539
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

กระบวนการถ่ายทอดความรู้ของไทลื้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรเป็นการถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษและมีการถ่ายทอดความรู้ในลักษณะการกล่อมเกลาทางสังคมโดยครอบครัวเครือญาติและเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้จากผู้รู้ เช่น พระ ผู้อาวุโสและหมอพื้นบ้าน การสืบทอดความรู้ด้านการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรและไสยศาสตร์ที่มีการสืบทอดถึงปัจจุบัน ส่วนมากจะสืบทอดกันในครอบครัวที่มีบรรพบุรุษเป็นหมอพื้นบ้าน ส่วนด้านการยอมรับการรักษาพยาบาลด้วยยาสมุนไพรของประชาชนในชนบท ยังให้การยอมรับและศรัทธา ส่วนมากผู้ใหญ่ยังมีความเชื่อและยังนิยมใช้กันอยู่เนื่องจากความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดบอกเล่าให้ปฏิบัติสืบต่อกันมา อีกประการหนึ่งคือ ยาสมุนไพรราคาถูกและสมุนไพรบางชนิดก็ไม่ต้องหาซื้อ สามารถหาได้จากในชุมชนที่ปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ไว้ ยาสมุนไพรบางชนิดก็เป็นเครื่องปรุงอาหารในวิถีชีวิตประจำวันของชาวชนบท ส่วนเด็กและเยาวชน ให้การยอมรับการใช้ยาสมุนไพรน้อยกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ได้เรียนรู้การรักษาพยาบาลจากสื่อต่างๆ และจากสาธารณสุข ทำให้รู้จักการรักษาสุขภาพอนามัยและการรักษาพยาบาลด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ มากกว่าวิธีแพทย์แผนโบราณ ปัจจุบันพบว่า การรักษาพยาบาลด้วยการแพทย์แผนโบราณยังมีอยู่ในประชาชนทุกกลุ่มควบคู่ไปกับการรักษาพยาบาลด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน

Focus

ศึกษากระบวนการถ่ายทอดความรู้ของไทลื้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรที่มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน และศึกษาการยอมรับของประชาชนในการรักษาพยาบาลด้วยยาสมุนไพรของไทลื้อในชนบท

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทลื้อ

Language and Linguistic Affiliations

สำเนียงการพูดของไทลื้อคล้ายกับ "ยอง" ที่อาศัยในจังหวัดลำพูน(หน้า 54)

Study Period (Data Collection)

ตุลาคม พ.ศ. 2536 - กันยายน พ.ศ.2538

History of the Group and Community

ไทลื้อมาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านแม่สาบ เมื่อ พ.ศ. 2324 จากการบอกเล่าของหลวงพ่อปัน พุทธโส อายุ 81 ปี เล่าว่า บรรพบุรุษได้ย้ายถิ่นฐานมาจากแคว้นสิบสองปันนา เมืองเชียงรุ้ง ประเทศจีนในสมัยพ่อขุนเม็งรายมหาราชที่ไปรบกับพม่าแล้วกวาดต้อนไทลื้อ ไทเขิน ไทยองมาจากแคว้นสิบสองปันนา ราว พ.ศ.2315 มาครั้งแรกมีเพียง 9 ครอบครัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเลี้ยงช้างให้พ่อขุนเม็งราย เพราะที่บ้านแม่สาบมีทำเลที่เหมาะสมแก่การเลี้ยงช้าง ขุมชนแห่งนี้ได้รับการยกฐานะเป็นหมู่บ้านของกรมการปกครอง กระทรวง มหาดไทย เมื่อ พ.ศ.2501(หน้า 53-54)

Settlement Pattern

การตั้งบ้านเรือนภายในหมู่บ้านจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ หมู่บ้านแม่สาบเหนือ 148 หลังคาเรือนและบ้านแม่สาบใต้ 163 หลังคาเรือน แต่ชาวบ้านแบ่งครัวเรือนเพื่อสะดวกในการปกครองเป็น 15 คุ้ม บ้านภายในหมู่บ้านแม่สาบอยู่เป็นกลุ่มตามแนวยาวเหนือ-ใต้ มีลำห้วยก๋องงองตัดผ่านชุมชน แนวด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นทุ่งนา มีโรงเรียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก มีผีเสื้อบ้านและวัดอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ภายในหมู่บ้านมีบ้านของหมอพื้นบ้าน 7 แห่งบ้านของ อสม. 6 แห่ง(หน้า47,50) ชุมชนบ้านแม่สาบ สร้างบ้านเรือนตามแนวถนนที่ผ่านหมู่บ้านทั้งสองฟาก เขตของบ้านแต่ละหลังมีการกั้นรั้วรอบ ซึ่งโดยภาพรวมของหมู่บ้าน จะตั้งอยู่เป็นกลุ่มใหญ่เพียงกลุ่มเดียว มีบ้านเรือนทั้งหมด 311 หลังคาเรือน บ้านทุกหลังมีลักษณะที่มั่นคงแข็งแรง (หน้า 56)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไทลื้อบ้านแม่สาบ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นการผลิตเพื่อยังชีพและเพียงพอต่อการประกอบพิธีต่างๆ ในรอบปี ส่วนที่เหลือจะนำไปแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคที่ตนขาดแคลน ปัจจุบันเมื่อมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น จึงเกิดอาชีพใหม่ขึ้น ได้แก่ อาชีพบริการ โดยการรับจ้างทำงานก่อสร้างในอำเภอสะเมิง โดยเฉลี่ยมีรายได้คนละ 20,000 บาทต่อปี บางครอบครัวยังมีกิจการเล็กๆ ภายในหมู่บ้าน จึงทำให้ทุกครัวเรือนมีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี (หน้า 55,59)

Social Organization

สังคมของชุมชนบ้านแม่สาบมีวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายและเป็นเครือญาติกันใน 3 ตระกูลเท่านั้น ลักษณะครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว เมื่อบุตรธิดามีครอบครัวก็จะแยกออกไปตั้งบ้านเรือนของตนเอง มีเพียง 7 ครอบครัวจาก 311 หลังคาเรือนที่เป็นครอบครัวขยาย การแต่งงานนิยมแต่งเพียงครั้งเดียว มีลักษณะผัวเดียวเมียเดียว นอกจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิตหรือหย่าร้าง แต่ละครอบครัวไม่นิยมมีบุตรมาก มีประมาณ 1-3 คนเท่านั้น(หน้า 55) การแต่งงานมักจะแต่งกันระหว่าง 3 ตระกูลดั้งเดิม ได้แก่ ตระกูล ยะมะโน สาธุเมและพุทธโส แต่จะมีแต่งกับตระกูลเล็กๆ ในชุมชนและนอกชุมขนซึ่งมีไม่มากนัก(หน้า 57)

Political Organization

บ้านแม่สาบมีการปกครองที่เป็นทางการในรูปของสุขาภิบาล อยู่ในเขตความรับผิดชอบของสุขาภิบาลตำบลสะเมิงใต้ มีผู้นำเป็นทางการและมีการแบ่งโครงสร้างการปกครองออกเป็นฝ่ายต่างๆ คือ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ ฝ่ายการศึกษาและวัฒนธรรม ฝ่ายการคลัง ฝ่ายสวัสดิการและสังคม ฝ่ายสาธารณสุข ประชาชนจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ทำหน้าที่ประธานฝ่ายต่างๆ และหมู่บ้านได้มีคณะกรรมการกลางหมู่บ้าน โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คนเป็นรองประธานและประธานคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ฝ่ายละ 1 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน (หน้า 64 -65)

Belief System

ชุมชนไทลื้อบ้านแม่สาบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ นอกจากมีวัดแล้วยังมี "เสื้อบ้าน" ทุกครัวเรือนจะมีการร่วมกันจัดเลี้ยงเสื้อบ้านในเดือน 9 (เหนือ) เดือน 7 (ใต้)วันขึ้น 14 ค่ำ โดยมีผู้อาวุโสในหมู่บ้านเป็นผู้นำในการประกอบพิธีเพื่อให้ขจัดปัดเป่าภัยพิบัติให้แก่หมู่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล พิธีกิ๋นข้าวใหม่ เป็นการร่วมกันทำบุญที่วัดหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวในแต่ละปีแล้วเสร็จ ความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นความเชื่อหนึ่งที่มีการสืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ โดยเฉพาะเรื่อง "เสื้อบ้าน" ส่วนความเชื่ออื่น ก็สุดแล้วแต่ละครอบครัวจะนับถือ โดยเฉพาะในเรื่องผีที่คอยปกปักรักษาซึ่งโดยมากมีความสัมพันธ์กับการเกษตร เช่น ผีขุนน้ำ ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำที่ใช้ในการเกษตรมีเจ้าของรักษา จึงต้องมีการเซ่นไหว้เลี้ยงผีขุนน้ำ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านในเดือนมิถุนายนของทุกปี เป็นต้น ส่วนประเพณี พิธีกรรมและขนบธรรมเนียมต่างๆ ในชุมชนจะเหมือนกับชาวพื้นเมืองเหนือทั่วไป ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน เช่น ประเพณีขึ้นปีใหม่ในเดือนเมษายน (ช่วงวันสงกรานต์) ประเพณีส่งผี เชื่อว่าเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยอาจจะมีผู้มารบกวน คนในครอบครัวจะเชิญผู้เฒ่าในหมู่บ้านหรือหมอพื้นบ้านมาประกอบพิธีเพื่อให้อาการดีขึ้น ประเพณีสู่ขวัญ เป็นประเพณีที่จัดหลังจากการเจ็บป่วยซึ่งเชื่อว่าคนป่วยมักจะขวัญตกหาย จึงต้องมีการเรียกขวัญและมีการสู่ขวัญเพราะเชื่อว่า ขวัญให้ความเป็นสิริมงคลติดตัว เป็นต้น (หน้า 55-56, 60-62)

Education and Socialization

การศึกษาแบบไม่เป็นทางการของไทลื้อบ้านแม่สาบ เกิดจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมของกลุ่มคนในระดับครอบครัว โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการเกษตร ดังนั้นการอบรมสั่งสอนจึงเป็นการปฏิบัติจริงและเป็นการบอกเล่าสืบกันมาจากบรรพบุรุษ อีกกระบวนการหนึ่งคือการถ่ายทอดความรู้โดยอาศัยผู้เรียนได้เกิดความเชื่อ ศรัทธาและสนใจ ซึ่งมีกระบวนการถ่ายทอดหลายรูปแบบ เช่น ผู้เรียนจะต้องไปขอเป็นศิษย์ส่วนผู้เรียนที่สนใจก็จะแสวงหาความรู้จากบุคคลอื่น ปัจจุบันมีการจัดการศึกษานอกระบบของหน่วยงานต่างๆ เข้ามาจัดการเรียนรู้ให้แก่ประชาชน การจัดแต่ละครั้งจะเป็นการจัดหลักสูตรระยะสั้นๆ (หน้า 57-58, 78-79)

Health and Medicine

การแพทย์และการสาธารณสุขของชุมชนไทลื้อบ้านแม่สาบ สามารถจำแนกได้เป็น 2 ส่วนคือกรณีรับการบริการด้านสาธารณสุขจากแพทย์แผนปัจจุบันกับการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิม ในอดีตการแพทย์และการสาธารณสุขจะอาศัยยาสมุนไพรกลางบ้านควบคู่กับไสยศาสตร์เวทมนต์คาถาโดยหมอพื้นบ้าน เนื่องจากวิถีชีวิตของชาวบ้านในชนบทส่วนมากพึ่งพากับธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันถึงแม้ว่าจะมีการแพทย์แผนใหม่ มีการจัดตั้งโรงพยาบาลตลอดจนศูนย์สาธารณสุขมูลฐานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีการรักษาแบบพื้นบ้านควบคู่กับแพทย์แผนปัจจุบันให้เห็นอยู่บ้าง แต่คนส่วนใหญ่นิยมไปตรวจและรักษาโรคที่โรงพยาบาลสะเมิงมากกว่า (หน้า 63-64)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไทลื้อ มีภาษาพูดและการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ต่างจากคนพื้นเมืองทั่วไป(หน้า 54)

Social Cultural and Identity Change

สังคมของไทลื้อบ้านแม่สาบ ปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีต เพราะสังคมไทยแปรเปลี่ยนไปตามกระแสของการพัฒนาประเทศที่พยายามมุ่งเน้นความทันสมัย(หน้า 55) ปัจจุบันไทลื้อบ้านแม่สาบไม่นิยมมีบุตรมากเนื่องจากการรณรงค์ของทางราชการให้ประชาชนคลุมกำเนิดเพื่อมิให้มีบุตรมาก ต่างจากในอดีตที่นิยมมีบุตรมากเพื่อจะให้ช่วยเหลือครอบครัวในการประกอบอาชีพเมื่อโตขึ้นแล้ว (หน้า 56-57) เนื่องจากมีการพัฒนาด้านคมนาคมเข้าสู่ตัวอำเภอสะเมิงเมื่อ พ.ศ. 2525 เป็นผลให้วิถีชีวิตบ้านแม่สาบเปลี่ยนไป เนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับต่างชุมชนมากขึ้น มีระบบสาธารณูปโภคที่ดีขึ้น(หน้า 59) ปัจจุบันหมอพื้นบ้านเริ่มมีน้อยลง เนื่องจากมีการสืบทอดกันค่อนข้างน้อยและในแวดวงเฉพาะทางเครือญาติ ประกอบกับผู้ที่สนใจมีน้อยและต้องเรียนรู้นานกว่าที่จะเป็นหมอพื้นบ้านได้(หน้า 63)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ปัจจัยที่ส่งผลให้ไทลื้อเกิดการยอมรับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพร คือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรม วัฒนธรรมการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรเป็นสิ่งที่ประชาชนยอมรับและสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ส่วนปัจจัยด้านผลการรักษา เมื่อมีผู้ไปรักษากับหมอพื้นบ้านแล้วหายจากไข้ จึงทำให้เกิดความศรัทธาในยาสมุนไพรแล้วบอกเล่าต่อกันจึงเป็นผลอย่างยิ่งต่อการยอมรับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพร แต่การ ยอมรับการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพรยังมีความสำคัญเป็นรอง การรักษาพยาบาลด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน (หน้า 79)

Map/Illustration

ภาพ - แผนที่จังหวัดเชียงใหม่(48) - แผนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่(49) - ที่ตั้งบ้านเรือนและสภาพทั่วไป บ้านแม่สาบ(50) แผนภูมิ - แสดงกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของชาวไทยลื้อเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วย สมุนไพร(84)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 21 พ.ย. 2549
TAG ไทลื้อ, การถ่ายทอดความรู้, การรักษาพยาบาล, สมุนไพร, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง