|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ยอง,วัฒนธรรม,ดนตรี,การละเล่น,ล้านนา |
Author |
รณชิต แม้นมาลัย |
Title |
กลองหลวงล้านนา : ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตและชาติพันธุ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ยอง คนยอง ชาวยอง ไทยอง ขงเมืองยอง จาวยอง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
211 |
Year |
2536 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล |
Abstract |
บทบาทของกลองหลวงในปัจจุบันมีทั้งบทบาทในการบรรเลงและประสมวง บทบาทในการบูชาและการสื่อสาร บทบาทในการแข่งขัน รวมทั้งบทบาทในการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในปัจจุบัน กลองหลวงได้กลายเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวล้านนาเชื้อสายยองบริเวณลุ่มแม่น้ำปิงในจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่ ผู้ศึกษายังกล่าวถึงสถานภาพของกลองหลวง ว่าเป็นทั้งเครื่องดนตรีและเครื่องมือในการแข่งขัน |
|
Focus |
ศึกษาถึงพัฒนาการของกลองหลวงในด้านโครงสร้าง วิธีการสร้างและระบบเสียง รวมทั้งบทบาทของกลองหลวงต่อวัฒนธรรมล้านนา |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนเน้นศึกษาชาวล้านนาเชื้อสายยอง ซึ่งเป็นคนไทที่อพยพมาจากเมืองยอง ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดเชียงตุง รัฐฉานประเทศพม่า (หน้า 40) ยองเป็นกลุ่มที่ประดิษฐ์กลองหลวงขึ้น (หน้า 3, 84) และเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในการพัฒนากลองหลวงจนถึงสมัยปัจจุบัน (หน้า 87) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ล้านนามีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ภาษาพูดของล้านนามีลักษณะคล้ายภาษาไทยทางภาคกลาง แต่แตกต่างกันในด้านสำเนียงพูดและการใช้คำบางคำ (หน้า 20) ส่วนภาษายองอยู่ในกลุ่มเดียวกับภาษาลื้อ มีความแตกต่างจากภาษาล้านนาบ้างเล็กน้อย ภาษายองเป็นภาษาคำโดด เสียงพูดโดยทั่วไปจะขึ้นจมูกกว่าภาษาล้านนา (หน้า 41) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนกล่าวถึงการก่อตั้งของอาณาจักรล้านนาโดยพญามังราย จนถึงยุคสมัยที่ล้านนาอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงแต่งตั้งให้พระยากาวิละ เจ้าเมืองลำปางขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการครองเมืองเชียงใหม่ ซึ่งพระยากาวิละเมื่อได้ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ก็ได้พยายามฟื้นฟูล้านนาขึ้นอีกครั้ง โดยการรวบรวมผู้คนจากที่ต่างๆ มาเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูและขับไล่อิทธิพลของพม่าในขณะนั้น กลุ่มคนที่พระองค์ได้ทรงรวบรวมมา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มาจากเมืองต่างๆ ในรัฐฉาน ได้แก่ ลื้อ เขิน และยอง (หน้า 9-13) เมื่ออิทธิพลของพม่าสิ้นสุดลง พระองค์โปรดให้กลุ่มคนที่มาช่วยฟื้นฟูล้านนาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ต่างๆ ได้ตามความพอใจ ซึ่งกลุ่มยองจะตั้งบ้านเรือนทั่วไปในจังหวัดลำพูน (หน้า 14) |
|
Settlement Pattern |
ชาวล้านนาเชื้อสายยองตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดลำพูนและจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบริเวณเขตแดนที่ติดต่อกันของสองจังหวัดเป็นพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง เป็นบริเวณที่มีกลองหลวงรวมทั้งกิจกรรมการแข่งขันกลองหลวงอย่างหนาแน่นและเป็นจุดสำคัญของการศึกษาวิจัย (หน้า 18) |
|
Demography |
ชาวล้านนาเชื้อสายยองอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดลำพูน โดยเฉพาะจังหวัดลำพูน ซึ่งมีประชากรเชื้อสายยองอยู่ 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด (หน้า 40) ส่วนจังหวัดเชียงใหม่มีประชากรเชื้อสายยองอยู่บ้าง แต่ไม่หนาแน่นเท่าจังหวัดลำพูน (หน้า 19) |
|
Economy |
ในอดีต เชียงใหม่และลำพูนมีระบบการค้าทางไกลโดยการนำสินค้าทางด้านเกษตรและหัตถกรรมจากลำพูนไปขายที่เชียงใหม่ทางขบวนวัวต่าง ม้าต่าง ลาต่าง และนำสินค้าจากเชียงใหม่ เป็นน้ำมันก๊าด อาหารแห้ง และหัตถกรรมจากประเทศพม่ากลับมาขายที่ลำพูน (หน้า 19) ผู้เขียนยังแสดงให้เห็นว่า ชาวล้านนามีอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากผู้เขียนได้กล่าวถึงประเพณีล้านนาในเดือนเก้าเหนือ ซึ่งเป็นเดือนเข้าสู่ฤดูกาลเกษตร (หน้า 21) รวมทั้งประเพณีแฮกนาเพื่อบูชาแม่โพสพ (หน้า 21) และประเพณีฮ้องขวัญข้าว ซึ่งเป็นประเพณีการทำสังเวยแม่โพสพ (หน้า 22) |
|
Social Organization |
ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทางสังคมล้านนาที่ชาวบ้านกับวัดมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยกล่าวถึงการสร้างกลองหลวงในสมัยก่อน ต้องอาศัยแรงงานชาวบ้านซึ่งมีความศรัทธาในพุทธศาสนา (หน้า 3) พระสงฆ์ยังถือเป็นผู้มีบทบาทในขั้นตอนของการตัดไม้เพื่อนำมาสร้างกลองหลวง โดยมีการนิมนต์พระสงฆ์เป็นผู้นำคณะตัดไม้เดินทางไปตัดต้นไม้ในป่าซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย เป็นการทำให้เกิดความอบอุ่นทางจิตใจแก่คณะตัดไม้ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลป่าไม้เกิดความเกรงใจ ช่วยให้การตัดไม้สะดวกขึ้น (หน้า93) ผู้เขียนยังกล่าวถึงการแข่งขันกลองหลวง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างวัด พระสงฆ์และชาวบ้าน (หน้า 192) ซึ่งผู้เขียนพบว่าการแข่งขันกลองหลวงส่วนใหญ่จะมีพระสงฆ์เป็นผู้นำสนับสนุน และส่งเสริมในการแข่งขันกลองหลวง ซึ่งเจ้าอาวาสวัดในเขตชุมชนยอง ในจังหวัดลำพูนและจังหวัดเชียงใหม่ มีบทบาทในการสนับสนุนการแข่งขันกลองหลวงเป็นอย่างมาก (หน้า 193) |
|
Political Organization |
ผู้ปกครองบ้านเมืองในอดีตของลำพูนและเชียงใหม่ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายเดียวกันโดยเฉพาะในสมัยที่ล้านนาเป็นประเทศราชของสยาม ผู้ครองเมืองลำพูนมีฐานะเป็นอุปราชซึ่งจะต้องสืบเชื้อสายจากผู้ครองเมืองเชียงใหม่ (หน้า 19) |
|
Belief System |
พุทธศาสนานิกายเถรวาทได้เข้ามาสู่เชียงใหม่และลำพูนตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย และได้สถาปนาอย่างมั่นคงจนเกิดปูชนียวัตถุและปูชนียสถาน (หน้า 19) ในส่วนของพิธีกรรมในการตัดไม้เพื่อนำมาทำกลองนั้น ต้องทำพิธีบูชานางไม้หรือเทพารักษ์ก่อน โดยการจัดเตรียมเครื่องสังเวยแล้วนำเอาไปวางไว้บริเวณโคนต้นไม้ที่จะตัด จากนั้นจึงมีการสวดมนต์บทชุมนุมเทวดา หรือบอกกล่าวด้วยคำพูดขอขมานางไม้และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาต้นไม้ ขออนุญาตตัดไม้เพื่อนำไปสร้างกลองหลวงถวายวัดเป็นพุทธบูชา จากนั้นกล่าวขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้การตัดต้นไม้และการสร้างกลองประสบความสำเร็จ ขอให้กลองมีเสียงดังสามารถข่มเสียงกลองใบอื่น โดยพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการตัดไม้นี้มีความแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ โดยเฉพาะในเรื่องเครื่องสังเวยและเครื่องบูชา (หน้า 94) ยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทำหนังหน้ากลอง ซึ่งนิยมเขียนคาถาด้วยอักขระล้านนาหรือขอมลงบนด้านในของหนังหน้ากลอง โดยช่างทำกลองจะเขียนเอง บางครั้งจะนำไปให้พระสงฆ์ที่นับถือเขียนให้ (หน้า 94-95) นอกจากนี้มีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการตีกลองหลวง โดยก่อนที่จะนำกลองออกแสดงหรือแข่งขันนั้นจะมีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษากลอง โดยการนำเครื่องสังเวยและกล่าวคาถา ขออนุญาตนำกลองไปใช้ในการแสดงและขอพรให้เกิดศิริมงคลแก่ผู้แสดง หากนำกลองไปแข่งขัน ก็จะขอพรให้แข่งขันชนะ ยังมีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในบริเวณวัดหรือการเสกเป่าคาถาอาคมก่อนการแข่งขันด้วย (หน้า 95-97) หากเมื่อวัดใดวัดหนึ่งมีงานสำคัญหรืองานบุญขึ้น ทางวัดจะตีกลองหลวงเพื่อให้เทวดาได้ยินเป็นการบอกกล่าวเทวดาและขอพรให้เทวดาช่วยให้งานบุญนั้นสัมฤทธิ์ผล ไม่มีอุปสรรค (หน้า 156) |
|
Education and Socialization |
ผู้เขียนกล่าวถึงการสร้างกลองหลวงว่าต้องใช้ช่างผู้ชำนาญที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากวัด ช่างทำกลองส่วนใหญ่ในอดีตเคยอาศัยอยู่กับวัดหรือเป็นเด็กวัดมาก่อน บางท่านเคยบวชเรียนเป็นเณรหรือพระ โดยในขั้นแรกต้องเป็นผู้ช่วยของช่างทำกลองก่อน จากนั้นจึงสังเกตวิธีการทำและฝึกหัดจากช่างผู้นั้น จนสามารถทำเองได้ (หน้า 126) ผู้เขียนได้กล่าวถึงการตีกลองว่าผู้ตีกลองจะต้องฝึกซ้อมตีกลองมานานพอสมควร ซึ่งผู้ตีกลองส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับวัด ได้เห็นแบบอย่างและวิธีการตีกลองจากผู้ชำนาญ ซึ่งจะต้องฝึกฝนโดยการตีทุกวันเป็นเวลา 1-2 ปีจึงจะสามารถตีกลองได้ดี (หน้า 151) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตของมนุษย์กับกลอง (หน้า 43-54) กลองที่สำคัญในล้านนา (หน้า 54-66) พัฒนาการรวมทั้งรูปแบบและโครงสร้างของกลองหลวง ผู้เขียนกล่าวว่า กลองหลวงน่าจะเป็นกลองที่พัฒนามาจากกลองแอว เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายคลึงกับกลองแอวมาก จะต่างกันที่กลองหลวงมีขนาดใหญ่กว่า และมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่ากลองแอว ประวัติความเป็นมาของกลองหลวงซึ่งได้รับการบอกเล่าสืบต่อมาพบว่า ผู้ประดิษฐ์กลองหลวงขึ้นเป็นคนแรกเมื่อประมาณ 80 ปีมาแล้ว คือ หนานหลวง ซึ่งเป็นชาวล้านนาเชื้อสายยอง กลองหลวงรุ่นแรกที่พัฒนามาจากกลองแอวนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่เรียกว่า "กลองแอวหลวง" ภายหลังจึงเรียกเป็น "กลองหลวง" อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กลองแอวจะได้รับการพัฒนาเป็นกลองหลวงนั้นได้รับการเรียกขานหลายชื่อ แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ เรียกตามเสียงกลองที่ได้ยิน หรือเรียกตามลักษณะรูปร่างของกลอง แต่ท้ายที่สุด ผู้เขียนสรุปว่า ชื่อของกลองหลวงอาจจะมาจาก 2 กรณี คือ 1.เมื่อหนานหลวงสร้างกลองที่มีขนาดใหญ่กว่ากลองแอว จึงเรียกกันว่า "กลองแอวหลวง" เนื่องจากคำว่า "หลวง" หมายถึง "ใหญ่" ต่อมาจึงเรียกเพียง "กลองหลวง" 2.เมื่อหนานหลวงสร้างกลองที่มีขนาดใหญ่กว่ากลองแอว และได้รับการยกย่องว่าเป็นกลองที่ดี ชาวบ้านจึงเรียกเป็น "กลองหนานหลวง" ต่อมาจึงเรียกเพียง "กลองหลวง" (หน้า 66-70) ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงรูปแบบและโครงสร้างของกลองต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อกลองหลวง โครงสร้างกลองหลวงทั้งโครงสร้างภายนอกและโครงสร้างภายใน (หน้า 70-84) การสร้างกลองหลวง ตั้งแต่เรื่องราวของวัสดุสำหรับการสร้างกลองหลวง อุปกรณ์สำหรับการสร้างกลองหลวง วิธีการสร้างกลองหลวง การทำความสะอาดกลองหลวง แหล่งผลิตกลองหลวงและช่างทำกลองหลวง(หน้า 97-126) ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับกลองล้านนา โดยเฉพาะกลองหลวง เป็นสิ่งที่ผู้เขียนให้ความสำคัญที่สุดในการศึกษาครั้งนี้ |
|
Folklore |
ผู้เขียนกล่าวถึงตำนานของชื่อกลอง โดยเขตล้านนามีตำนานที่เกี่ยวกับพระอุปคุต ซึ่งอาศัยอยู่ที่วัดมหาสมุทร พระอุปคุตเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก สามารถขับไล่และกำจัดมารต่างๆ ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อว่าในขณะที่จัดงานบุญ เหล่ามารมักจะมาขัดขวางทำให้เกิดอุปสรรคแก่งานนั้น จึงเกิดประเพณีการแห่พระอุปคุตขึ้น ในสมัยโบราณชาวบ้านนิยมแห่พระอุปคุตในงานปอย โดยการนำก้อนหินจากแม่น้ำนำมาใส่ขันหรือพาน แล้วแห่จากแม่น้ำมาตั้งไว้ที่ศาลาหน้าวัด ซึ่งต้องใช้กลองแอวตีนำขบวนแห่และตีขับไล่เหล่ามาร จึงมีการเรียกชื่อกลองชนิดนี้ว่า "กลองพญามาร" หรือ "กลองห้ามมาร" (หน้า 69) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความผูกพันต่อสถาบันทางศาสนา เป็นผลให้กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกลองหลวงดำเนินไป จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนยองในจังหวัดลำพูน (หน้า 194) กลองหลวงแพร่กระจายจากจังหวัดลำพูนไปยังจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายโดยกลุ่มยองนำไปเผยแพร่ จากนั้นความนิยมในการเล่นกลองหลวงจึงแพร่กระจายไปสู่ชาวล้านนาโดยทั่วไป (หน้า 205) ผู้เขียนยังได้กล่าวถึงลักษณะเสียงของกลองหลวงที่ใช้ในการแข่งขัน ว่ามีทั้งลักษณะเสียงแบบเชียงใหม่และลักษณะเสียงแบบลำพูน ซึ่งมีความแตกต่างกัน (หน้า 143) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การแข่งขันกลองหลวงซึ่งแต่เดิมมีขึ้นเพื่อความสนุกสนาน ผูกสัมพันธ์ระหว่างคณะศรัทธาของวัดต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่มีรางวัลให้แก่ผู้ชนะและนิยมแข่งขันกันในเวลากลางคืน (หน้า 174,177) แต่ปัจจุบันการแข่งขันกลองหลวงมีระเบียบกฎเกณฑ์และมีรางวัล นิยมแข่งขันกันในเวลากลางวัน (หน้า 175,177) ความคิดของชาวล้านนาที่มีต่อเสียงกลองหลวงในอุดมคติ จะแปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้กลองหลวง ตั้งแต่สมัยดั้งเดิม สมัยหนานหลวงและสมัยปัจจุบัน ซึ่งการแข่งขันกลองเป็นที่แพร่หลาย จึงต้องการให้กลองมีความเข้มของเสียงมากที่สุด และกลองหลวงของเชียงใหม่ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาระบบเสียงให้เป็นแบบเดียวกับลำพูน (หน้า 209-210) ผู้เขียนกล่าวถึงแนวโน้มในอนาคตของกลองหลวง ว่าจะมีผู้สร้างกลองหลวงน้อยลง เนื่องจากต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่ใช้สร้างกลองหลวงมีอยู่น้อยและเป็นไม้หวงห้าม (หน้า 210) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนใช้แผนที่ แผนภูมิ ตารางและรูปภาพในการอธิบายข้อมูลเพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น อาทิ แผนที่ของจังหวัดลำพูนซึ่งแสดงที่ตั้งของอำเภอต่างๆ และแหล่งกลองหลวง (หน้า 16) ตารางที่ 1 แสดงระดับความเข้มของเสียงกลองบริเวณหน้ากลอง (หน้า 131) แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบระยะเวลาการเกิดเสียงกลองหลวงในสมัยดั้งเดิม สมัยหนานหลวงและสมัยปัจจุบัน (หน้า 142) |
|
|