|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,ปราสาทผ้าขาว,พะเยา |
Author |
นริศ ศรีสว่าง |
Title |
ปราสาทผ้าขาวไทลื้อในเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา |
Document Type |
อื่นๆ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
192 |
Year |
2542 |
Source |
รายงานประกอบวิชา หลักสูตรศิลปบัณฑิต(ศิลปะไทย) ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ในดินแดนล้านนาบริเวณตอนเหนือของประเทศไทยมีกลุ่มชนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน ผสมผสานวัฒนธรรมประเพณีจนเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น มีทั้งการรับอิทธิพลจากภายนอกและการคลี่คลายที่เกิดจากปัจจัยภายในทำให้เกิดความหลากหลาย ในด้านศิลปวัฒนธรรม งานศิลปกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่ม เกิดจากความเชื่อศรัทธาในสิ่งที่ตนนับถือ โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นผลบุญต่อตนเองในภายภาคหน้าและกุศลต่อผู้ล่วงลับ งานที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจ ไม่คิดถึงมูลค่า ให้ความรู้สึกของจิตใจเป็นตัวกำหนด ปราสาทผ้าขาวไทลื้อเป็นหนึ่งในงานศิลปกรรมที่เกิดขึ้นจากความศรัทธาต่อความเชื่อ สร้างขึ้นเพื่อความสมบูรณ์ในภพภูมิโลกหน้า อาจจะเป็นทั้งเครื่องแสดงฐานะหรือเครื่องแสดงการสั่งสมบุญบารมี โดยผ่านทางประเพณีพิธีกรรมในพระพุทธศาสนา รูปแบบของปราสาทผ้าขาวไทลื้อมีความโดดเด่นทางด้านวัสดุ ฝีมือ การประดับตกแต่งซึ่งมีความหลากหลาย ลวดลายบางส่วนเป็นลวดลายดั้งเดิมในท้องถิ่น บางส่วนก็รับอิทธิพลลวดลายศิลปะจากต่างถิ่น ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ทำให้ปราสาทผ้าขาวหมดหน้าที่ในการรับใช้ความเชื่อในสังคมของไทลื้อไปโดยปริยาย จากการศึกษาปราสาทผ้าขาวไทลื้อในเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยาแสดงให้เห็นถึงความผูกพัน ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนงานช่างของไทลื้อที่มีต่อปราสาทผ้าขาวด้วยการแสดงออกทางศิลปกรรม เกิดเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นควรค่าแก่การสืบสานและอนุรักษ์ |
|
Focus |
ศึกษาประวัติความเป็นมาลักษณะแบบแผนทางศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของปราสาทผ้าขาวไทลื้อในเขตอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ตลอดจนความคิด ความเชื่อ และการใช้สอย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
พูดภาษาตระกูลไทลื้อ ไทลื้อ หรือ ไตลื้อ (หน้า 51) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ศ.117 ครั้งนั้นอำเภอเชียงคำแขวงน้ำลาว ขึ้นในเขตการปกครองนครน่านโดยมีเจ้าสุริยวงศ์ดำรงตำแหน่งข้าหลวง เมื่อ ร.ศ.121 พวกเงี้ยวก่อจลาจล ทางราชการส่งเจ้าคุณดัสกรมาปราบจนสงบ แล้วย้ายที่ทำการแขวงมาตั้ง ณ บ้านหย่วน ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ ต่อมาทางราชการได้ปรับปรุงและยุบแขวงน้ำลาว โดยจัดเป็นบริเวณน่านเหนือ ร.ศ.128 ทางราชการได้ยุบบริเวณน่านเหนือ แบ่งพื้นที่ออกเป็นอำเภอเชียงคำ อำเภอเทิง อำเภอเชียงของขึ้นอยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดเชียงราย เปลี่ยนชื่อมาจากเชียงใหม่เหนือพร้อมกับแต่งตั้งพระยาพิศาลคีรี ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเชียงคำคนแรก เมื่อ พ.ศ. 2458 สมัยหลวงฤทธิ์ภิญโญ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเชียงคำได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคำ จากฝั่งตะวันออกมาตั้ง ณ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำลาว ต่อมา พ.ศ.2514 พันตรีชอบ มงคลรัตน์ นายอำเภอเชียงคำ ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอกลับมาตั้ง ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำลาวอีกครั้งหนึ่ง พ.ศ.2520 รัฐบาลคณะปฏิรูปการปกครอง สมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เสนอตราพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดพะเยา อำเภอพะเยา จังหวัดเชียงรายจึงได้แต่งตั้งเป็น จังหวัดพะเยา เป็นจังหวัดที่ 72 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2520 โดยโอนพื้นที่อำเภอเชียงคำ มาขึ้นเขตปกครอง จังหวัดพะเยาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 46-47) "ลื้อ" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเขตสิบสองปันนาทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สิบสองปันนาประกอบด้วยเมืองต่างๆ รวม 44 เมือง มีเมืองสำคัญ 28 เมือง เช่น เมืองเชียงรุ่ง เจียงฮ่ง เดิมดินแดนสิบสองปันนาจัดการปกครองเป็นระบบปันนา โดยแบ่งหัวเมืองออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อสะดวกในการจัดเก็บส่วยและผลประโยชน์ของรัฐ โดยแบ่งออกเป็น 12 ปันนา โดยมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นประมุขเรียกว่า เจ้าฟ้าแสนหวี ประทับอยู่ที่เมืองเชียงรุ่งปกครองดินแดนสิบสองปันนาสืบต่อมาตั้งแต่สมัยพระยาเจิง เมื่อ พ.ศ. 1723 รวมทั้งสิ้น 44 พระองค์ นอกจากนี้ ไทลื้อยังอาศัยบริเวณภาคตะวันออกของรัฐฉาน อยู่ในเขตเมืองยอง ของประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า บางส่วนอยู่ในแถบตะวันออกของแคว้นพงสาลี ส.ป.ป. ลาว สำหรับประเทศไทยไทลื้อได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานตามหัวเมืองต่างๆ ในภาคเหนือตามนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้อ เก็บข้าใส่เมือง" ของเจ้าผู้ครองนครในอดีต ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีไทลื้อกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือ นอกจากนี้ลื้อบางกลุ่มยังอพยพเข้ามามาเพิ่มเติมเพื่อลี้ภัยทางการเมืองจากจีน ที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์และแสวงหาที่ทำกินที่เหมาะสม (หน้า 51-52) |
|
Demography |
อำเภอเชียงคำมีพลเมืองทั้งสิ้น 110,267 คน (หน้า 50) ประชากรไทลื้อในเชียงคำ-ภูซาง มีจำนวน 36 หมู่บ้าน โดยคิดเป็นร้อยละ 39 ของประชากรทั้งหมด หมู่บ้านไทลื้อในตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำมีจำนวน 8 หมู่บ้าน ตำบลเชียงบาน จำนวน 7 หมู่บ้าน ตำบลน้ำแวน จำนวน 4 หมู่บ้าน ตำบลฝายกวาง จำนวน 4 หมู่บ้าน ตำบลเวียง จำนวน 2 หมู่บ้าน ตำบลเจดีย์คำ จำนวน 2 หมู่บ้าน ตำบลแม่ลาว 1 หมู่บ้าน ตำบลสบบง กิ่งอำเภอภูซาง 3 หมู่บ้าน ตำบลเชียงแรง กิ่งอำเภอภูซาง 1 หมู่บ้านและตำบลภูซาง กิ่งอำเภอภูซาง 3 หมู่บ้าน (หน้า 59-60) |
|
Political Organization |
การบริหารราชการส่วนภูมิภาค อำเภอเชียงคำ แบ่งออกเป็น 10 ตำบล 1 กิ่งอำเภอ คือ กิ่งอำเภอภูซาง มี 5 ตำบล 153 หมู่บ้าน การปกครองท้องถิ่น อำเภอเชียงคำ มีเทศบาลตำบล 3 แห่งคือ เทศบาลตำบลเชียงคำ เทศบาลตำบลสบบงและเทศบาลตำบลบ้านทราย (หน้า 50) |
|
Belief System |
ประเพณีการเทศน์มหาชาติในภาคเหนือเรียกตามพื้นเมืองว่า "ตั้งธรรมหลวง" จัดขึ้นในเทศกาลเดือน 12 ของภาคกลางซึ่งตรงกับเดือนยี่ทางภาคเหนือ การตั้งธรรมหลวงมีกำหนดไม่แน่นอน แล้วแต่ความสะดวกของคณะศรัทธา อย่างน้อยจัด 2-3 วันเป็นเกณฑ์ อย่างมากไม่เกิน 7 วัน วันแรกจะเทศน์ธรรมวัตร วันที่สอง เทศน์คาถาพันบาลีเพื่อเป็นการเคารพต่อพระธรรม วันที่สาม เทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ระหว่างที่จบกัณฑ์หนึ่งๆ จะมีการตีกลองบูชาเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า "กลองปูจา" หรืออาจจะจุดประทัด ระเบง ฆ้อง กลองและอื่นๆ ประกอบ เมื่อเทศน์จบทั้ง 13 กัณฑ์จะมีการเทศน์ธรรมพุทธาภิเษกปฐมสมโภช สวดมนต์ 7 ตำนานย่อและธัมมจักรกัปวัตนสูตร ต่อจากนั้นก็จะมีการสวดเบิก กำหนดให้จบพอดีกับรุ่งอรุณของวันใหม่ ชาวเหนือมีความเชื่อเช่นเดียวกับภาคกลางว่า ผู้ใดฟังเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ จบในวันเดียวจะได้อานิสงส์แรง (หน้า 34-36) คติความเชื่อที่เกี่ยวพันกับการออกแบบปราสาทผ้าขาวไทลื้อ คติจักรวาล เป็นคติที่ได้รับวัฒนธรรมมาจากอินเดียผ่านเขมร ในไทยคงได้รับแนวคิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์จากเขมร สัญลักษณ์ของระบบจักรวาล ประกอบด้วย เขาพระสุเมรุ ทวีป ภูเขาและมหาสมุทร โดยถูกแปรความหมายจากเดิมโดยอิทธิพลพุทธศาสนามาเป็นไตรภูมิพระร่วง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินประทับบนพระราชบัลลังก์ พระองค์เปรียบเสมือนพระอินทร์กำลังบังคับให้น้ำไหลลงไปหล่อเลี้ยงไพร่ฟ้าประชาชน หรืออีกนัยหนึ่งคือทรงเป็นเทพเจ้าในระบบจักรวาล คติจักรวาลนอกจากจะสะท้อนผ่านพระราชบัลลังก์แล้ว สถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์พระมหากษัตริย์ก็ยังคงใช้คติจักรวาลเช่นกัน (หน้า 47-48) ประเพณีการตานธรรมหลวง (เทศน์มหาชาติ) ในช่วงประเพณีการตั้งธรรมหลวงในเดือน 4 เหนือหรือประมาณเดือนมีนาคม ในอดีตจะมีการจัดทำปราสาทผ้าขาวเพื่ออุทิศให้กับญาติที่ล่วงลับในปีที่ผ่านมา หรือจะตานไปไว้ภายภาคหน้าให้กับตนเอง เมื่อประกอบพิธีต่างๆ เสร็จแล้ว จะทำการรื้อปราสาท/มณฑปทุกหลังเพราะมีความเชื่อว่าถ้านำของเก่ามาตานอีกจะทำให้ผู้ล่วงลับไม่ได้ของนั้น การตานโกนเฝ่า (การตานปราสาทก่อนที่จะนำศพไปเผา) เริ่มจากการนำสายสิญจ์มาวนรอบปราสาท โยงเข้าสู่บริเวณพิธีคณะสงฆ์สวดมนต์ จากนั้นจะนิมนต์พระสงฆ์ 1 รูปไปรับเกน (ประเคน) ปราสาท แล้วอนุโมทนาเจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลปราสาท มณฑปให้ผู้ล่วงลับ เป็นอันเสร็จพิธี (หน้า 139-140) การใช้จำนวนตัวเลข 3,5,7 ในการกำหนดส่วนประกอบต่างๆ เช่น จำนวนชั้นของฉัตร เกิดจากการนำคติเกี่ยวกับจักรวาล เขาพระสุเมรุและพระพุทธศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้ผ้าขาวยังแสดงถึงความสะอาด บริสุทธิ์ปราศจากมลทินหรือกิเลส ผ้าขาวยังเป็นเสมือนเครื่องยศแสดงฐานะแห่งการเป็นเทวดา การประดับปราสาทผ้าขาวด้วยสิ่งของต่างๆ ตามความเชื่อที่ว่าผู้ล่วงลับจะได้ใช้สอยในภพภูมิโลกหน้า (หน้า191-192) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ปราสาทผ้าขาว เป็นงานศิลปกรรมเฉพาะของไทลื้อ ที่เกิดจากความศรัทธาต่อความเชื่อ สร้างขึ้นเพื่อความสุขสมบูรณ์และเป็นผลบุญต่อตนเองในภายภาคหน้าและเพื่ออุทิศต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วโดยผ่านทางประเพณี พิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับปราสาทผ้าขาวไทลื้อ เช่น ในอดีตจะมีการจัดทำปราสาทผ้าขาวในช่วงประเพณีการตั้งธรรมหลวงในเดือน 4 เหนือ หรือประมาณเดือนมีนาคมเพื่ออุทิศให้กับญาติที่ล่วงลับในปีที่ผ่านมาหรือจะตานไปไว้ภายภาคหน้าให้กับตนเอง ขั้นตอนในการตานปราสาทหรือมณฑป คือ จะนิมนต์พระสงฆ์มารับประเคนแล้วอนุโมทนาเจ้าภาพกรวดน้ำตานปราสาทและมณฑปเป็นอันเสร็จพิธี ในวันนี้จะมีการเทศพระธรรม วันที่สองจะมีการอ่านธรรม เช่น ธรรมนิพพานสูตร เมื่อเสร็จพิธีกรรมทั้งหมดจึงจะทำการรื้อถอนปราสาทหรือมณฑปทุกหลังเพราะมีความเชื่อว่าถ้านำของเก่ามาตานอีกจะทำให้ผู้ล่วงลับไม่ได้รับของนั้น ลักษณะโดยทั่วไปของปราสาทผ้าขาวคือ เป็นอาคารมีลักษณะเรือนยอดแบบปราสาททรงสูง มีไม้ไผ่มาเป็นวัสดุสำคัญในการทำโครงสร้างมีการนำผ้าขาวหุ้มทุกส่วนของปราสาทและมีการประดับตกแต่งด้วยกระดาษฉลุลวดลาย ภายในปราสาทมีการใส่ของที่จะอุทิศ บ้างก็มีการตกแต่งด้วยผ้าเช็ดโดยรอบปราสาทหรือมีตุงกระดาษรูปร่างคล้ายรูปคนแบบตุง 3 หางประดับ ปัจจุบันไม่มีการทำปราสาทผ้าขาวอีกแล้ว เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะช่าง (สล่า) ที่มีความสามารถได้ล่วงลับไปแล้วทำให้ขาดการสืบทอดทางการช่างและไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ทำให้ปัจจุบันเหลือแต่การทำมณฑปผ้าขาวเท่านั้น (หน้า14, 64-141) |
|
Folklore |
นิทานเรื่อง "วอกตะไคร่หิน" เป็นนิทานของไทลื้อที่ปรากฏความสำคัญของปราสาท (หน้า 14-15) วรรณคดีทางศาสนาเรื่องเวสสันดร (เวสันตระ) ฉบับของพระยาพื้น เขียนขึ้นระหว่าง พ.ศ. 235...- พ.ศ.2389 กล่าวถึงปราสาทของนางมัทรี ตอนที่พระนางมัทรีกลับมาจากการหาผลไม้มาปฏิบัติพระเวสสันดร แล้วไม่เห็นลูก จนในที่สุดพระนางก็ถึงแก่วิสัญญีภาพ สมเด็จพระเสสันดรทรงตกพระทัยมากถึงกับรำพึงรำพันคุณงามความดีของพระนางมัทรีที่ติดตามมาอยู่ป่า ถ้าหากพระนางไปสิ้นวิสัญญีภาพในพระนครหลวง พระองค์จะทรงให้นายช่างสร้างปราสาทใส่พระศพให้งดงามและเหมาะสม (หน้า 37-38) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเพิ่มจำนวนของประชากรทำให้มีสถิติการตายเพิ่มสูงกว่าเดิม ทำให้เกิดปัญหาครัวตาน มณฑปและปราสาทล้นวิหาร ประกอบกับการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคทำให้มีสายไฟฟ้าพาดผ่านตามเส้นทางคมนาคม ส่งผลให้ไม่สามารถชักลากปราสาทซึ่งมีความสูงไปยังวัดได้ เนื่องจากกระแสของเทคโนโลยีและค่านิยมสมัยใหม่ ตลอดจนการขาดความเอาใจใส่ในภูมิปัญญาของตนเอง ทำให้ปราสาทผ้าขาวขาดผู้สนใจสืบสานต่อ (หน้า 192) |
|
Map/Illustration |
ภาพ - ปราสาทผ้าขาว พ.ศ. 2510 บ้านสบแวน(หน้า65,66) - ปราสาทผ้าขาว พ.ศ. 2497 บ้านเชียงบาน(หน้า70) - การเตรียมไม้ไผ่ในการทำปราสาท/มณฑกผ้าขาว(หน้า83) - ขั้นตอนการทำขื่อของปราสาท/มณฑกผ้าขาว(หน้า84) - การเหลาปุยหรือป๊อก(หน้า84) - การทำฝาของปราสาท/มณฑกผ้าขาว(หน้า85) - การตั้งโครงสร้างส่วนเสาของปราสาท/มณฑกผ้าขาว(หน้า87) - การปูพื้นฟาก(หน้า88) - ส่วนคอของหลังคาปราสาทผ้าขาว(หน้า91) - แสดงส่วนประกอบที่เรียกว่า "ไป่เอ๋อข่า" (หน้า92) - แสดงส่วนโครงสร้างของหลังคาชั้นที่ 1 (หน้า95) - แสดงส่วนโครงสร้างของหลังคาชั้นแรก (หน้า96) - แสดงส่วนประกอบของขันหงาย(หน้า99,100) - แสดงส่วนประกอบของขันคว่ำชั้นที่ 2 (หน้า101) - แสดงส่วนประกอบชั้นที่ 2 ของหลังคาปราสาทผ้าขาว(หน้า103) - ส่วนสุ่มไก่ ชั้นที่ 3(หน้า105) - แสดงการต่อสุ่มไก่เข้ากับขันหงายชั้นที่ 2(หน้า106) - การสานหมากขะแน้ด(หน้า113,114) - การประดับตกแต่งหลังคาปราสาทผ้าขาวด้วยผ้าเช็ดน้อย(หน้า127) - การทำโครงสร้างหลังคามุข(หน้า128) - โดยรอบที่ตั้งปราสาทเครื่อง(หน้า144) - ปราสาทครัวตาน(หน้า146-147) - การประดับลวดลายกระดาษฉลุบนปราสาทครัวตาน(หน้า148) - การใส่ป้านตีน ป้านเอวประดับโง่วและปุย(หน้า155) - ผ้าที่ใช้หุ้มมณฑกในปัจจุบัน(หน้า156) - ธรรมมาสน์แบบถาวรในพระอุโบสถ วัดแสนเมืองมา(หน้า161) - ช้างจ๊อยม้าจ๊อยหรือช้างร้อยม้าร้อย(หน้า163) - ฆ้องอุย สัญญาณในการเทศน์มหาชาติ(หน้า165) - สระโบกขรณี(หน้า165) - ฝนห่าแก้ว(หน้า165) - ครัวตาน(เครื่องไทยทาน) บูชากัณฑ์เทศน์(หน้า165) - ผะตี้ด สีสาย บูชากัณฑ์เทศน์(หน้า166) - มณฑกผ้าขาวที่ตานในงานศพ(หน้า167-168) - ปราสาทไทลื้อ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย(หน้า172) - ปราสาทไทลื้อในประเทศลาว แขวงอุดมไชย(หน้า163) - ส่วนประกอบปราสาทไทลื้อในประเทศลาว(หน้า174) - การประดับตกแต่งปราสาทไทลื้อในลาว(หน้า176) - การตกแต่งด้วยผ้าเช็ดน้อย ปราสาทไทลื้อในลาว(หน้า177) - รูปสัตว์จำลอง ประกอบปราสาทไทลื้อในลาว(หน้า179) - ผ้าเช็ดน้อยและตุงเครือประกอบปราสาทไทลื้อในลาว(หน้า181) - การตานปราสาทไทลื้อในลาว(หน้า183) - ลวดลายรูปปราสาทบนตุงทอ(หน้า185) - การประดับตุงทอลายปราสาทในอุโบสถวัดแสนเมืองมา(หน้า186) - การประดับตุงทอลายปราสาทในวิหารหลวงวัดท่าฟ้าใต้(หน้า187) - ตุงทอลายปราสาท(หน้า188) - ผ้าจีวรทอลายปราสาท(หน้า189) ลายเส้น - แสดงส่วนประกอบปราสาทผ้าขาวจากภาพที่ 1 (หน้า73) - แสดงส่วนประกอบปราสาทผ้าขาวจากภาพที่ 2 (หน้า74) - แสดงส่วนประกอบปราสาทผ้าขาวจากภาพที่ 3 (หน้า75) - สะแหลกหรือสุ่มมะพร้าว(หน้า77) - ปุย, ป๊อก, ป๊อกย๊อก(หน้า77) - แสดงส่วนประกอบที่เรียกว่า "ฮับจาย"( หน้า89) - โครงสร้างและส่วนประกอบส่วนคอของหลังคาปราสาท(หน้า93) - แสดงส่วนประกอบที่เรียกว่า"คอหิง"( หน้า94) - แสดงส่วนประกอบที่เรียกว่า "หาบห้อ"( หน้า98) - แสดงส่วนประกอบตกแต่งที่เรียกว่า "โง่ว"( หน้า130) |
|
Text Analyst |
สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ |
Date of Report |
31 ต.ค. 2555 |
TAG |
ลื้อ, ปราสาทผ้าขาว, พะเยา, |
Translator |
- |
|