สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิถีชีวิต,การพัฒนา,ลำปาง
Author สุรินทร์ภรณ์ ศรีอินทร์
Title ชุมชนกะเหรี่ยง : วิถีชีวิตและทิศทางการพัฒนา กรณีศึกษาบ้านแม่ยาง หมู่ที่ 2 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 85 Year 2542
Source หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต (บัณฑิตอาสาสมัคร) สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

การศึกษาเรื่องชุมชนกะเหรี่ยง วิถีชีวิตและทิศทางการพัฒนา กรณีศึกษาบ้านแม่ยาง หมู่ที่ 2 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในด้านต่างๆ ของชุมชน ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาและทิศทาง การพัฒนาในอนาคต โดยพบว่า ชุมชนบ้านแม่ยาง เพิ่งเป็นชุมชนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา มีประชากรทั้งหมด 26 ครัวเรือน จำนวน 117 คน ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ชีวิตความเป็นอยู่ยังคงพึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งการทำการเกษตรที่ถือเป็นอาชีพหลัก โดยทำนาแบบขั้นบันไดและทำไร่หมุนเวียน ชาวบ้านส่วนใหญ่พูดภาษาไทยเหนือได้ มีศูนย์การ ศึกษาเพื่อชุมชน มีสถานีอนามัย 3 แห่ง การนับถือศาสนาของชาวบ้านมีทั้งนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ โดยควบคู่ไปกับการนับถือผี สภาพการพัฒนาของชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ -ด้านการเมืองการปกครอง ในอดีตผู้นำ คือ ผู้นำทางศาสนาหรือฮีโข่ ในปัจจุบันผู้นำมาจากการเลือกตั้งคือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านให้ความร่วมมือทางการเมืองมากขึ้น -ด้านสังคมและวัฒนธรรม ปัจจุบันวิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนไป มีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้นชุมชนมีความเป็นเมืองมากขึ้น -ด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติลดลง การเก็บของป่า ล่าสัตว์อย่างในอดีตจึงทำได้ยาก ชาวบ้านจึงทำไร่ทำนาเป็นอาชีพหลัก และมีซื้อสินค้าจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาแบ่งเป็น 2 อย่างคือ 1. ปัจจัยภายใน ที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ได้แก่ ความสามัคคี ประเพณีที่มีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ส่วนปัจจัยภายในที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ได้แก่ การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากบุคคลภายนอก ความรู้ความเข้าใจในการใช้ภาษาไทย 2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่รับผิดชอบในพื้นที่ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมต่างๆ องค์กรที่รับผิดชอบได้แก่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเมืองปาน อบต. เจ้าหน้าที่พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ศูนย์คาทอลิก อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่มีต่อชุมชนบ้านแม่ยาง ซึ่งเห็นว่า ชาวบ้านไม่ค่อยให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงาน เส้นทางการคมนาคมไม่สะดวก ชาวบ้านยังมีความรู้ความเข้าใจในสังคมภายนอกไม่ดีพอ

Focus

ผู้วิจัยมุ่งศึกษาสภาพทั่วไปของชุมชนกะเหรี่ยงที่บ้านแม่ยาง ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง รวมทั้งสภาพทั่วไปทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจและการพัฒนา ตลอดจนปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของหมู่บ้าน

Theoretical Issues

งานศึกษาเรื่องชุมชนกะเหรี่ยง วิถีชีวิตและทิศทางการพัฒนา กรณีศึกษาบ้านแม่ยาง หมู่ที่ 2 ต.หัวเมือง อ.เมืองปาน จ.ลำปาง นี้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาชุมชน โดยพบว่าปัจจัยที่ส่งเสริมต่อการพัฒนาแบ่งได้ 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยภายในชุมชน และปัจจัยภายนอกชุมชน ปัจจัยภายในชุมชน ได้แก่ ความสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประเพณี ความเชื่อที่เป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ และการมี ส่วนร่วมทางการเมือง ในทางตรงข้ามยังมีปัจจัยภายในบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา เช่น การไม่ยอมรับอิทธิพลจากสังคมภายนอก ทักษะและความเข้าใจในภาษาไทย ทั้งนี้ชาวบ้านมีทัศนคติเห็นความจำเป็นในการพัฒนาระบบไฟฟ้า การคมนาคมติดต่อกับภายนอก และต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ สำหรับปัจจัยภายนอก เป็นความรับผิดชอบในการดูแลของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน อ.เมืองปาน อบต. เจ้าหน้าที่พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ศูนย์คาทอลิก อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง สำหรับในทัศนคติของเจ้าหน้าที่เห็นว่า กิจกรรมต่างๆ ในการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านแม่ยางไม่ค่อยให้ความร่วมมือ รวมทั้งเส้นทางคมนาคมก็ไม่สะดวก (หน้า 79)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มเป้าหมายการศึกษานี้ คือ กะเหรี่ยงที่อยู่ในชุมชนบ้านแม่ยางทั้งหมด

Language and Linguistic Affiliations

พื้นฐานของภาษายังไม่เป็นที่แน่นอน บ้างก็เห็นว่ามาจากต้นตระกูลในจีน-ทิเบต คือ พวกการานิค บ้างก็บอกว่าใกล้เคียงกับแขนงธิเบต-พม่า พวกกะเหรี่ยงสะกอส่วนมากพูดภาษาไทยเหนือได้ หรือบางคนก็พูดภาษาพม่าได้ ในชีวิตประจำวันชาวบ้านแม่ยาง จะพูดภาษากะเหรี่ยงหรือภาษาไทยเหนือ แต่มีเพียงชาวบ้าน 3 คนซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งฟังหรือพูดภาษาไทยกลางไม่ได้ แต่ชาวบ้านโดยส่วนใหญ่สามารถพูดและฟังภาษาไทยเหนือได้ เพราะได้ติดต่อสื่อสารกับคนพื้นราบบ่อยครั้ง และต่อเนื่อง มีเพียงส่วนน้อยที่พูดและฟังภาษาไทยกลางได้ (หน้า 32)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

เดิมชุมชนบ้านแม่ยางอาศัยอยู่บริเวณบ้านแม่กระโดง และบริเวณใกล้เคียงซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อยู่ห่างจากบ้านแม่ยาง 5 กม. บางคนอพยพมาจาก อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว บ้างก็อยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และได้อพยพมารวมกันที่บ้านแม่กระโดง การอพยพมาตั้งบ้านเรือนใหม่บริเวณปัจจุบันในปี พ.ศ. 2522 ในช่วงแรกๆ อพยพมาเพียง 8 ครัวเรือน ต่อมาเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้มงวดในการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้มากขึ้น จึงได้ย้ายตามมาเป็น 26 ครัวเรือน โดยเป็นกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งช่วยให้ชาวบ้านสะดวกในการขอรับบริการต่างๆ จากภาครัฐหรือเอกชนมากขึ้น และสาเหตุที่ตั้งชื่อว่า บ้านแม่ยาง นั้นมาจากสมัยก่อนบริเวณนี้มีต้นยางมาก (หน้า 9)

Settlement Pattern

ลักษณะการตั้งบ้านเรือนจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มไปตามถนนสายหลักภายในหมู่บ้าน บ้านหลังหนึ่งประกอบด้วยตัวบ้าน ยุ้งฉางข้าว ลานบ้าน และมีเขตรั้วบ้าน โดยใต้ถุนจะมีคอกหมู บริเวณนอกบ้านทำคอกเพื่อเลี้ยงไก่ วัว และควาย ลักษณะบ้านเป็นใต้ถุนสูงจากพื้น 5-6 ฟุต โดยเสาบ้านเป็นไม้ทั้งต้น พื้นบางบ้านปูด้วยฟากไม้ไผ่ และฝาบ้านใช้ไม้กระดาน ส่วนหลังคามุงด้วยใบตองตึงหรือไม้ไผ่ผ่าซีกเรียกว่า "ไม้โขบ" แต่ก็มีบ้างที่มุงหลังคากระเบื้อง ตัวบ้านมี 2 ส่วน คือ ชานบ้าน และ ห้องใหญ่ ซึ่งเป็นห้องอเนกประสงค์สำหรับเป็นห้องครัว ห้องอาหาร และรับแขก โดยมีเตาไฟอยู่ตรงกลาง มีชั้นวางของ 3 ชั้นทำด้วยไม้ไผ่สานเพื่อวางอุปกรณ์เครื่องครัว ชั้นล่างสุดจะตากข้าวเปลือกด้วยความร้อนจากเตาไฟ ภายในห้องค่อนข้างจะมืดเพราะไม่มีหน้าต่าง มีเพียงแสงที่ลอดเข้ามาตามซี่หรือรอยโหว่ของฟาก บริเวณลานบ้านเป็นที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น นั่งผิงไฟ ทอผ้า ทำเครื่องจักรสาน และห้องส้วม (หน้า 17-22)

Demography

ประชากร จากข้อมูลศูนย์การศึกษาชุมชนไทยภูเขาบ้านแม่ยาง ปี 2542 ชุมชนบ้านแม่ยางมีประชากรทั้งหมด 26 ครัวเรือน จำนวนประชากร 117 คน แบ่งเป็นชาย 63 คน และหญิง 54 คน มีประชากรที่อยู่ในวัยเด็ก (อายุต่ำกว่า 15 ปี) 37 คน มีประชากรวัยแรงงานจำนวน 55 คน และในวัยชราจำนวน 25 คน จากภาพรวมประชากรบ้านแม่ยาง เห็นได้ว่า ประชากรวัยพึ่งพิงมีมากกว่าประชากรวัยแรงงาน ขนาดครอบครัว สามารถแบ่งออกได้ 3 ขนาด คือ ครอบครัวขนาดใหญ่ซึ่งมีสมาชิก 7 คน มีจำนวน 2 ครัวเรือน ครอบครัวขนาดกลางมีสมาชิกระหว่าง 4-6 คน มีจำนวน 16 ครัวเรือน และครอบครัวขนาดเล็ก 2-3 คน มี 8 ครัวเรือน (หน้า 28, 31)

Economy

อาชีพหลัก เป็นการเกษตรกรรม ได้แก่ การทำนาแบบขั้นบันไดและทำไร่หมุนเวียน แต่ชาวบ้านนิยมทำไร่หมุนเวียนมากกว่าทำนาแบบขั้นบันไดประมาณร้อยละ 65 ของพื้นที่ทั้งหมด พืชที่ปลูกนอกจากข้าวแล้ว ได้แก่ พริก มะเขือเทศ ฟักเขียว เป็นต้น โดยการทำนาแบบขั้นบันได เริ่มจากการใช้ควายไถนาในช่วงเดือนมีนาคม หลังจากนั้นเป็นการหว่านกล้า และช่วงมิถุนายนเป็นการปักดำในช่วงนี้มีการเอาแรงระหว่างสมาชิกในหมู่บ้าน เมื่อปักดำเสร็จชาวบ้านจะปล่อยให้ต้นกล้าเจริญเติบโตเองตามธรรมชาติ ใช้น้ำฝนและห้วยทั้ง 2 แหล่ง พันธุ์ข้าวที่ปลูกได้แก่ ข้าวเจ้าพันธุ์พื้นเมือง การเก็บเกี่ยวเริ่มในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน แล้วจะนำมามัดเป็นฟ่อนและนำมารวมกันที่ลานนวดข้าว เวลาตีข้าวชาวบ้านจะนำมาตีร่วมกันบนแคร่ การตีข้าวนิยมทำกันตอนเย็นหรือกลางคืน เนื่องจากกลางวันอากาศร้อนเมื่อเสร็จแล้วเจ้าของนาจะเลี้ยงอาหารและเหล้าเป็นการตอบแทน ส่วนการทำไร่หมุนเวียน ในอดีตจะทำในพื้นที่เพียง 1 ปี แล้วย้ายไปทำที่อื่น ปล่อยประมาณ 6-7 ปีจึงย้อนกลับมาทำที่เดิม แต่ปัจจุบันกะเหรี่ยงบ้านแม่ยางมีปัญหาขาดแคลนที่ดินในการเพาะปลูกและจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้การเว้นระยะการใช้ที่ดินเดิมเพียง 3-4 ปี ดินจึงขาดความอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตที่ได้จึงมีปริมาณต่ำลง อาชีพรอง - เก็บของป่า ของป่าที่เก็บได้แก่ หน่อไม้ น้ำผึ้ง ผักป่า หนอนไม้ไผ่ ผลไม้ป่าต่างๆ โดยใช้แรงงานผู้ชายเป็นหลัก ผลผลิตที่ได้จะนำมาบริโภคและขายให้ทั้งพ่อค้าและชาวบ้าน -- ทอผ้า ส่วนใหญ่ชาวบ้านแม่ยางทอผ้าใช้เองในครอบครัว ที่เหลือจะขาย เป็นการผลิตดั้งเดิม แรงงานที่ใช้เป็นผู้หญิง โดยทำในเวลาว่างจากงานบ้าน และการทำไร่นา สำหรับด้ายที่นำมาทอนั้นในอดีตเป็นด้ายที่ปั่นเอง แต่ปัจจุบันซื้อจากพ่อค้า - การจักสาน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุทำกัน เนื่องจากต้องใช้ความชำนาญและความอดทนสูง ใช้วัสดุในท้องถิ่น คือ ไม้ไผ่และหวาย ในช่วงแรกนั้นทำเพื่อใช้ในครัวเรือน ที่เหลือส่งขายให้กับพ่อค้าหรือชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง - อาชีพรับจ้าง จะทำในช่วงที่เสร็จจากฤดูการทำไร่ทำนา ได้แก่ การรับจ้างดายหญ้าสวนผลไม้ เก็บผลไม้ รับจ้างเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ชายกะเหรี่ยงส่วนหนึ่งเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองหรือต่างจังหวัดถึงแม้ว่าการประกอบอาชีพของชาวบ้านแม่ยางจะมีความหลากหลายแต่ไม่สร้างรายได้ให้มากนัก แต่อาชีพการเก็บของป่าและรับจ้างกลับเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ ส่วนผลผลิตต่างๆ มักเก็บไว้บริโภคเองในครัวเรือนมากกว่าการจำหน่าย การถือครองที่ดิน เนื่องจากบ้านแม่ยางตั้งอยู่ในเขตอุทยานฯ จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีเพียงการครอบครองพื้นที่ทำกินโดยการจับจองเพื่อทำการเกษตร การจับจองที่ดินของชาวบ้านจะตกลงกันเองระหว่างกัน ก็จะทำรั้วล้อมรอบเขตพื้นที่ของตน เพื่อป้องกันสัตว์เข้ามาทำลายพืชผล การซื้อขายผลผลิต บ้านแม่ยางไม่มีตลาดซื้อขายสินค้า แต่จะมีพ่อค้าเดินทางเข้ามาขายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน เนื้อสัตว์ ปลา เป็นต้น นอกจากขายสินค้าให้กับชาวบ้านแล้ว ยังซื้อผลผลิตการเกษตรจากชาวบ้าน อย่าง ของป่าที่หามาได้ตามฤดูกาล และยังใช้ระบบสินเชื่อแก่ชาวบ้าน โดยเมื่อไม่มีเงินซื้อก็สามารถจดบัญชีเอาไว้ แล้วแลกเปลี่ยนกับของป่าเพื่อนำมาใช้หนี้ รายได้ ลักษณะรายได้ของชาวบ้านแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รายได้ที่เป็นตัวเงินซึ่งได้จากการเก็บของป่า ล่าสัตว์ และรับจ้าง ส่วนรายได้ที่ไม่เป็นตัวเงินได้จากการปลูกพืชที่ใช้ในการบริโภคภายในครัวเรือน ได้แก่ ข้าว พริก มะเขือเทศ กล้วย ฯลฯ รวมทั้งหมู ไก่ วัว ควาย จากการสำรวจข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่รายได้รวมของครัวเรือนต่อปีอยู่ระหว่าง 15,001-20,000 บาท จำนวน 10 ครัวเรือน รองลงมาคือ ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท มี 8 ครัวเรือน ถือว่าประชากรส่วนใหญ่ของบ้านแม่ยางมีฐานะค่อนข้างยากจนเมื่อเทียบกับระดับรายได้ทั้งหมดของหมู่บ้าน ภาวะหนี้สิน พบว่าหัวหน้าครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ส่วนหนึ่งสาเหตุจากการใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง เช่น ดื่มสุรา และอีกส่วนจากการที่ผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือนหรือผลผลิตจากป่าไม่เพียงพอทำให้ไม่มีรายได้ จึงกู้ยืมเงินจากนอกระบบ จากญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้าน โดยไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย และส่วนหนึ่งยืมในลักษณะเป็นสินค้าจากพ่อค้า (หน้า 36-48)

Social Organization

ชุมชนกะเหรี่ยงผู้ชายมักเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าครอบครัวมีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองสมาชิกในครอบครัว สำหรับผู้หญิงถือว่าเป็นหน้าที่และบทบาทในการเป็นแม่บ้านสมาชิกในครอบครัวจะช่วยกันทำงานเท่าที่สามารถจะทำได้ สำหรับงานของผู้หญิง คือ ตำข้าว หาฟืน หาอาหาร ตักน้ำ เลี้ยงสัตว์ และทอผ้า ลักษณะครัวเรือน ที่บ้านแม่ยางแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ ครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย ครัวเรือนถือเป็นศูนย์กลางของสมาชิกทุกคนมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นหนา (หน้า 31-32) การรวมกลุ่มทางสังคม - กลุ่มอาชีพจักสาน ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เพราะต้องมีการฝึกฝนและใช้เวลานานในการผลิตในแต่ละชิ้น ดังนั้นจึงมีการรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ยังขาดผู้นำในการติดต่อประสานงาน ดำเนินการในกิจการต่างๆ ของกลุ่ม - กลุ่มเยาวชน ก่อตั้งโดยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากศูนย์คาทอลิก จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2541 โดยมีสมาชิกกลุ่มทั้งหมด 14 คน กิจกรรมในระยะแรก ได้แก่ การทำนารวม คือสมาชิกในกลุ่มร่วมกันทำนา เมื่อนำผลผลิตที่ได้มาขายและนำเงินเข้ากองทุน เพื่อจัดกิจกรรมอื่นต่อไป ปัจจุบันกลุ่มเยาวชนไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก เนื่องจากมีปัญหาด้านการเงินและมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมน้อย (หน้า16-17) ค่านิยมในการเลี้ยงดูบุตรพบว่าบุตรมีความเคารพเชื่อฟังพ่อแม่มาก คิดว่าพอแม่ทำอะไรก็มีเหตุผล ดังนั้นบุตรจึงไม่ชอบการโต้เถียง และเมื่อมีปัญหาก็ปรึกษาพ่อแม่ อีกทั้งยังเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด พ่อแม่จะให้ความรักกับบุตรเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกหญิงหรือชาย ไม่ค่อยมีการทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้อง ทั้งนี้พ่อจะมีบทบาทในการปกครองครอบครัวค่อนข้างสูง แต่เมื่อมีปัญหาทั้งพ่อและแม่จะร่วมกันตัดสินปัญหา (หน้า 54)

Political Organization

ผู้นำที่เป็นทางการ ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน คนปัจจุบันอยู่บ้านกล้วยทำให้ไม่สะดวกในการดูแลปกครอง เนื่องจากเส้นทางคมนาคมสะดวก ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีบทบาทในชุมชนบ้านยางมากนัก ผู้นำศาสนาพุทธ กะเหรี่ยงสะกอเรียกผู้นำทางศาสนาว่า "ฮีโข่" ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านตามประเพณีที่สืบทอดกันมา ตำแหน่งทางฝ่ายชาย หน้าที่ของฮีโข่ คือ ประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผี เจ้าที่ เจ้าทาง ซึ่งจะต้องจัดขึ้นประจำทุกปี ปีละ 2 ครั้ง คนไทยมักเรียกพิธีนี้ว่า "พิธีปีใหม่กะเหรี่ยง" สำหรับบ้านแม่ยางในปัจจุบันนั้น ฮีโข่ไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก เนื่องจากมีผู้นับถือศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้น และจากการที่ชาวบ้านมีการศึกษามากขึ้น มีการติดต่อสังคมภายนอกมากขึ้น ทำให้การนับถือผีเหมือนในอดีตและความเชื่อในประเพณีเกี่ยวกับการนับถือผีลดลง ดังนั้น หน้าที่ของฮีโข่หรือหมอผีจึงน้อยลงด้วย ผู้นำศาสนาคริสต์ ผู้นำศาสนาในหมู่บ้าน คือ นายแก้วดี ยาง เป็นผู้ทำพิธีทางศาสนาที่โบสถ์ในหมู่บ้าน ซึ่งทำทุกวันในตอนเย็น (หน้า 22, 27-28) ค่านิยมเกี่ยวกับการปกครองในหมู่บ้าน โดยที่ชาวบ้านจะเชื่อฟังผู้นำหมู่บ้านมาก เมื่อมีปัญหาจะปรึกษาและก่อนตัดสินคดีความใดๆ ต้องปรึกษาผู้อาวุโสก่อน และผู้นำหมู่บ้านมีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงมีบทบาทในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการต่างๆ (หน้า 54)

Belief System

ชาวบ้านแม่ยางมีจำนวน 15 ครัวเรือนที่นับถือศาสนาพุทธ และอีก 11 ครัวเรือนนับถือศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ การนับถือผีควบคู่ซึ่งมักเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมากกว่า ศาสนาพุทธ ภายในหมู่บ้านแม่ยางไม่มีวัดมีเจดีย์ที่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่ได้ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา ศาสนาคริสต์ ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จะปฏิบัติศาสนกิจทุกวันที่โบสถ์ โดยมีผู้นำศาสนา ได้แก่ นายแก้วดี ยาง บางครั้งจะมีครูสอนศาสนา ซึ่งจะสอนหลักธรรมของศาสนาจากไบเบิล โดยเป็นภาษากะเหรี่ยงรวมถึงคำสอนก็เช่นกัน การนับถือผี เป็นความเชื่อดั้งเดิม ที่เชื่อว่าผีมีอยู่ทุกแห่งในป่าในไร่ในลำธาร ผีที่ชาวบ้านนับถือประเภทหลักๆ คือ ผีบ้านผีเรือน เทพารักษ์รักษาหมู่บ้าน กะเหรี่ยงเชื่อว่า ดวงวิญญาณยังคงอยู่ภายในบ้านและหมู่บ้านด้วยความห่วงใยบุตรหลานและคอยปกป้องรักษา ดังนั้นชาวบ้านจึงมีการเลี้ยงผีอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ชาวบ้านแม่ยางยังมีพิธีเซ่นไหว้หรือขอขมาหากคนในบ้านเกิดเจ็บป่วย ซึ่งคล้ายกับการสะเดาะเคราะห์ของคนไทยพื้นราบ ดังนั้นจึงมีการเลี้ยงผีต่างๆ ดังนี้ - การเลี้ยงผีเรือน เป็นการเซ่นไหว้เพื่อขอร้องให้ผีเรือนช่วยคุ้มครองป้องกันอันตรายทั้งปวง ขอให้ทุกคนประสบความเจริญก้าวหน้า ทำมาหากินอุดมสมบูรณ์ - การเลี้ยงผีไร่หรือผีนา จะทำพิธีก่อนการเพราะปลูกข้าวหรือพืชไร่ และหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยจะทำร้านสำหรับเลี้ยงผีบริเวณนาข้าว - การเลี้ยงผีน้ำ เมื่อชาวบ้านออกไปหาปลาหรือล่าสัตว์ กลับมาแล้วเกิดเจ็บป่วยก็เชื่อว่าถูกผีทำร้าย จะต้องไปหาฮีโข่หรือหมอผีเพื่อทำพิธีให้ - การเลี้ยงผีเพื่อฉลองชัย จะทำหลังจากการสร้างบ้านเรือนเสร็จ ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน - การเลี้ยงผีเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ กะเหรี่ยงเชื่อว่าผู้ที่เจ็บป่วยเกิดจากผีโกรธทำร้ายเอา ด้วยเหตุนี้ต้องอาศัยการติดต่อกับผีและเซ่นไหว้ เช่น ถ้าเป็นโรคระบาดมีคนป่วยไม่มาก หมอผีจะบนบานศาลกล่าว และเซ่นไหว้ด้วยไก่ แต่หากป่วยกันมากจะเป็นหมู วัว โดยมักเลี้ยงร่วมกัน เป็นต้น แม้ว่าความเชื่อเรื่องการนับถือผีนั้น ปัจจุบันเริ่มลดลงไปแต่บางครอบครัวยังนับถืออย่างเหนียวแน่นและยังประกอบพิธีกรรมแบบดั้งเดิมอยู่ สำหรับประเพณีต่างๆ ของบ้านแม่ยางที่สืบทอดกันมา ได้แก่ ประเพณีมัดมือปีใหม่ ประเพณีขึ้นบ้านใหม่ ประเพณีเกี้ยวสาว ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีงานศพ (หน้า 50-58) - ความเชื่อและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหาร สมัยก่อนกะเหรี่ยงจะไม่กินเนื้อวัวเนื้อควายเพราะมีกลิ่นเหม็น ถ้าหากจะกินจะเอาแต่เนื้อส่วนดีๆ และกินกันเฉพาะผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่กินเพราะเชื่อว่าทำให้เลือดลมไม่ดี นอกจากนี้บางคนยังเชื่อว่าถ้ากินเลือดค่างสดๆ จะทำให้มีกำลัง หรือเกล็ดของลิ่นหากนำมาฝนกับหินละลายน้ำ จะช่วยรักษาโรคนิ่วและแก้ขัดเบาได้ ส่วนสัตว์ที่ถูกเสือกัดจะไม่นำมากินเพราะเชื่อว่าเสือมีพิษ แม้แต่แม่ลูกอ่อนหากกินเนื้อสัตว์ที่เสือกัดและให้นมลูกจะทำให้เจ็บป่วย เด็กจะกินแมงทับไม่ได้ถ้ากินเชื่อว่าจะทำให้หนังตายื่นลงมาปิดตา บางคนเชื่อว่าถ้ากินเลือดที่ออกจากเขากวางอ่อนทำให้แข็งแรงมากและอายุยืน (หน้า 62-63)

Education and Socialization

บ้านแม่ยางมีสถานศึกษา 1 แห่ง ศูนย์การศึกษาชุมชนไทยภูเขาบ้านแม่ยาง (ศศช.) ซึ่งเป็นโรงเรียนของกรมการศึกษานอกโรงเรียน สอนระดับประถมศึกษา นักเรียนทั้งหมดอยู่ในวัยเรียน คือ อายุต่ำกว่า 12 ปี ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2537 โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 เกิดไฟไหม้อาคารเรียนจึงย้ายมาสร้างใหม่ ปัจจุบันมีนักเรียน 12 คน เรียนอยู่ในระดับชั้น ป.1 - ป.6 จากภาพรวมสภาพการรู้หนังสือของชาวบ้านแม่ยาง มีคนที่รู้หนังสืออ่านออกเขียนได้ 51 คน และเป็นชายมากกว่าหญิง (หน้า 32-33)

Health and Medicine

ด้านสาธารณสุข ในอดีตขาวบ้านแม่ยางไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการใช้บริการสถานีอนามัยมากนัก เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวกและอยู่ห่างไกล ประกอบกับการรักษาด้วยสมุนไพรพื้นบ้านโดยหมอยาในหมู่บ้านที่เป็นกะเหรี่ยง และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ไม่มีเวลาตรวจรักษาถึงหมู่บ้าน ปัจจุบันมีการใช้บริการมากขึ้นโดยใช้ที่สถานีอนามัยต้นงุ้น และบ้านขามเป็นหลัก เนื่องจากอยู่ใกล้ที่สุด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยังให้ความสำคัญดูแลทั้งการป้องกัน และรักษาโรคแก่ชาวบ้าน สำหรับโรคที่ชาวบ้านเป็นกันมากได้แก่ ไข้หวัดและโรคผิวหนัง (หน้า 34) อาหารการกิน อาหารที่ชาวบ้านนิยมกินกันเป็นประจำได้แก่ ข้าว พริกและเกลือ นิยมอาหารรสเผ็ดกับข้าวทุกชนิดต้องใส่เกลือส่วนพืชผักและเนื้อสัตว์ที่นำมาบริโภคจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล เพราะได้มาจากการผลิตเองและธรรมชาติ - ข้าว เป็นข้าวเจ้าพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งเป็นข้าวไร่หรือข้าวที่ปลูกในนา เมล็ดค่อนข้างอ้วนกลม มีวิตามินสูง ชาวบ้านตำกินเองทุกครอบครัว - กับข้าว เนื้อสัตว์ที่นิยมมากินคือ ปลาทู ปลาแห้ง เนื้อหมู เนื้อวัว ปลาสด ซึ่งต้องซื้อจากพ่อค้า สำหรับสัตว์เลี้ยงคือ ไก่ และหมูนั้นเป็นสัตว์ที่ใช้ในพิธีกรรม ชาวบ้านไม่ค่อยนำมาบริโภค ส่วนสัตว์ป่าหามาได้เป็นครั้งคราวส่วนใหญ่เป็นนก หนู กระรอก หมูป่า ไก่ป่า เป็นต้น โดยนิยมนำมาขายเพราะได้ราคาสูงและนำเงินมาซื้อของจากพ่อค้าแทน ดังนั้นอาหารที่ซื้อได้แก่ ปลาทูเค็ม ปลาแห้ง ปลากะป๋อง เนื้อหมู เนื้อไก่ เกลือ กะปิ ปลาร้า ขนม ผักผลไม้ต่างๆ ชาวบ้านนิยมทำกับข้าวอย่างเดียวในแต่ละมื้อ ส่วนมากเป็นน้ำพริกและแกง ยังมีอาหารประเภทอื่น เช่น ต้มเค็ม หมก ยำ ไม่ชอบกินอาหารที่มีน้ำมัน ชาวบ้านกินข้าวโดยนั่งเป็นวงรอบโตก - ขนม ชาวบ้านไม่กินของหวานหลังกินข้าวแบบคนไทย แต่จะมีขนมซึ่งจะทำกินในงานเลี้ยงหรือประเพณีต่างๆ เช่น ข้าวปุ๊ก คือ ข้าวเหนียวนึ่งสุกแล้วเอามาผสมกับงาคั่วและเกลือที่ตำละเอียดแล้วตำให้เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งทำในพิธีมัดมือปีใหม่ พิธีขึ้นบ้านใหม่ และข้าวเหนียวต้มมีลักษณะคล้ายข้าวต้มน้ำวุ้นของไทย ต่างกันที่ขนาดและรูปร่าง นอกจากนี้จะใช้ตอกแทนที่จะใช้ไม้กลัด (หน้า 59-63)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เพลง ในพิธีการเลี้ยงผีเพื่อฉลองชัย ผู้มาร่วมงานจะร้องเพลงอวยพรแก่เจ้าของบ้าน หรือการ "ซอ" เป็นเพลงที่ร้องมีลักษณะเหมือนคำกลอน แต่เป็นภาษากะเหรี่ยงซึ่งเรียนรู้และสืบทอดกันมา (หน้า 52) การแต่งกาย ผู้ชายนิยมแต่งตัวเหมือนคนพื้นราบมากขึ้นเรื่องจากมีความสะดวกในการทำงาน แต่จะมีเสื้อสีแดงไว้สำหรับใส่ในโอกาสสำคัญ โดยมีลักษณะดังนี้ เป็นเสื้อทรงกระสอบ คอเสื้อเป็นตัววี ชายเสื้อจะทำเป็นพู่ห้อยลงมาเสมอชายเสื้อ สำหรับกางเกงจะสวมแบบคนพื้นราบคือเป็นกางเกงขายาว และอาจสวมเสื้อสีแดงทับ และมีผ้าโพกศรีษะ และถุงย่ามไว้ให้เจ้าบ่าว ย่ามนั้นจะมีลวดลายที่ปากถุงเพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันผีไม่ให้ทำร้ายเจ้าบ่าวได้ ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะมีลักษณะสีขาวทรงกระบอก คอเสื้อเป็นตัววียาวคล่อมข้อเท้า แต่ปัจจุบันใช้สีอื่นแต่ห้ามใช้สีดำ นิยมแต่งกายที่รุ่มร่ามด้วยการเย็บปักด้วยด้ายที่เป็นพู่สีต่างๆ นอกจากนี้ยังมีผ้าโผกศรีษะจะเป็นสีขาว สวมใส่กำไลข้อมือและสร้อยคอเครื่องประดับ สำหรับเสื้อผ้าหญิงสาวจะทอกันเอง สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะใช้เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินหรือสีดำที่ประดับด้วยลูกปัดสีขาวตามบริเวณชายผ้า ซึ่งลักษณะของเสื้อจะคล้ายกันเสื้อผู้หญิงทั่วไป และนุ่งผ้าซิ่นสีแดง ชุดแม่บ้านนี้จะต้องปักลาย เพราะถ้าไม่มีเชื่อกันว่าทำไม่มีลูก แต่สำหรับครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์มักจะไม่ปักลูกเดือย แต่ใช้เป็นการทอเป็นลายต่างๆ แทน (หน้า63-64)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์กับคนภายนอกกลุ่ม กะเหรี่ยงมีลักษณะประจำกลุ่มคือ สมถะ รักสันโดษ เกรงใจคน ไม่นิยมใช้วาจาก้าวร้าวหรือกระทบกระแทก มักหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือไม่พอใจโดยปลีกตัวหนีเสมอ ไม่ค่อยรับอิทธิพลภายนอกมาเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมประเพณีของตนง่ายๆ ชาวบ้านแม่ยางมีการติดต่อกับกลุ่มภายนอกซึ่งเป็นคนพื้นราบมานาน ซึ่งสังเกตได้จากที่ชาวบ้านสามารถพูดภาษาไทยเหนือได้ โดยรูปแบบความสัมพันธ์เป็นในลักษณะการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิตกัน คือ ชาวบ้านไปซื้อของใช้ที่จำเป็นในตลาดหรือมีพ่อค้ามาขายสินค้า และคนพื้นราบก็ซื้อวัว ควาย หมู ไก่ ของป่าจากชาวบ้านภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านบางส่วนยังรับจ้างคนพื้นราบในการทำการเกษตร นอกจากนี้ยังมีการติดต่อกับกะเหรี่ยงในหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน สำหรับความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาจากหน่วยงานต่างๆ ยังมีอยู่น้อยและเป็นแบบเป็นทางการไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิด (หน้า35)

Social Cultural and Identity Change

สภาพการพัฒนาของชุมชนบ้านแม่ยางมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการปกครอง ในอดีตผู้นำ ได้แก่ ผู้นำทางศาสนาหรือฮีโข่ ซึ่งมีบทบาทมากในชุมชน ปัจจุบันผู้นำชุมชนมาจากการเลือกตั้งคือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและเป็นแบบเป็นทางการมากขึ้น ชาวบ้านให้ความร่วมมือทางการเมืองการปกครองมากขึ้น 2.ด้านสังคมและวัฒนธรรม ชาวบ้านแม่ยางมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อที่สืบทอดกันมา มีความใกล้ชิดผูกพันกับธรรมชาติมาแต่อดีต ปัจจุบันวิถีชีวิตของชาวบ้าน ต้องมีการติดต่อกับสังคมภายนอก มีความเป็นเมืองมากขึ้น 3.ด้านเศรษฐกิจ ชุมชนมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ อาศัยธรรมชาติในการดำรงชีวิต อาชีพหลัก ได้แก่ เก็บของป่า ล่าสัตว์ ทำนา ทำไร่ ปัจจุบันความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติลดลง อาชีพเก็บของป่าล่าสัตว์ทำได้ยากขึ้น ชาวบ้านจึงประกอบอาชีพทำนา ทำไร่เป็นหลัก และมีการซื้อสินค้าจากภายนอกมากขึ้น สภาพเศรษฐกิจชุมชนเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมีประชากรเพิ่มมากขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติกลับอุดมสมบูรณ์น้อยลงและพื้นที่ทำการเกษตรมีจำกัด ชาวบ้านมีภาวะหนี้สินในขณะที่รายได้ลดลงทำให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างลำบาก (หน้า 67-68)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่แสดงที่ตั้งตำบลหัวเมือง (หน้า 11) แผนที่แสดงแผนผังหมู่บ้านแม่ยาง (หน้า 12) รูปการสร้างบ้าน (หน้า 18) ตารางแสดงจำนวนประชากรแยกตามเพศ และช่วงอายุ (หน้า 28) รูปการเตรียมดินเพื่อทำนาแบบขั้นบันได (หน้า 38) ตารางแสดงรายได้ต่อปีของครัวเรือน (หน้า 47) รูปการประชุมประจำเดือน (หน้า 53) รูปหนุ่มสาวกะเหรียงในชุดประจำเผ่า (หน้า 65)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 14 ก.ย. 2555
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), วิถีชีวิต, การพัฒนา, ลำปาง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง