|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย ไทยโย้ย โย่ย,วิถีชีวิต,ความเปลี่ยนแปลง,สกลนคร |
Author |
สมศักดิ์ ศรีสันติสุข, เกษษา ขันธุปัทม์, บุญแพง ศรีพรหมทัต, ปรีดา เถายบุตร, กิตติยา ผากงคำ, อัมพิกา แก้วไพฑูรย์, ธัญพิมล ปักสังคะเณย์ |
Title |
วิถีครอบครัวและชุมชนชาติพันธุ์ไทยโย้ย บ้านโพนแพง ตำบลหนองสนม อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทโย้ย โย่ย โย้ย ไทยโย้ย ไทย้อย ผู้ย้อย ย้อย ลาวย้อย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
222 |
Year |
2540 |
Source |
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ คณะอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
Abstract |
ศึกษาวัฒนธรรมของไทยโย้ย บ้านโพนแพง เน้นที่บทบาทของสถาบันครอบครัวและเครือญาติในการช่วยรักษาและสืบทอดเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่ม เพราะกลุ่มไทยโย้ย ที่บ้านโพนแพง ก็เหมือนเป็นครอบครัวขยาย ขนาดใหญ่ ที่เกิดจากสายสัมพันธ์ทางการแต่งงานกันภายในชุมชนมาแต่เดิม ทำให้เหมือนเป็นเครือญาติกันทั้งหมู่บ้าน และเพิ่งมาในระยะหลังที่มีการทำงานนอกหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้แต่ง่านกับคนนอกมากขึ้น และสมาชิกที่เป็นไทยโย้ยแท้ ๆ เริ่มจะลดน้อยลง ถึงอย่างนั้นภายในชุมชนเองก็ยังพูดคุยกันด้วยภาษาโย้ย ซึ่งอาจเป็นรูปธรรมที่สามารถยืนยันถึงความมีอยู่ของไทยโย้ยไว้ได้ |
|
Focus |
ศึกษาวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ และการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเองท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงในระดับสากล โดยพิจารณาจากบทบาทของสถาบันครอบครัวและเครือญาติเป็นหลัก |
|
Theoretical Issues |
ไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนในการศึกษา เป็นการพรรณนาให้เห็นวัฒนธรรมของไทยโย้ยในมิติต่าง ๆ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูด เป็นภาษาไทยโย้ยส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นภาษาตระกูลไท-ไต โดยมีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบการออกเสียงระหว่างภาษาโย้ย กับ ญ้อ เล็กน้อย และมีการแปลความหมายตัวอย่างของคำและประโยคในชีวิตประจำวันเป็นภาษากลางด้วย แต่ไม่ได้มีการกล่าวถึงภาษาเขียนไว้ (หน้า 31, 59-62) |
|
Study Period (Data Collection) |
สิงหาคม 2539 - ตุลาคม 2540 รวมระยะเวลา 15 เดือน |
|
History of the Group and Community |
ไทยโย้ย อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง โดยการกวาดต้อนและเกลี้ยกล่อมในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งปราบกบฎเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ โดยย้ายจากเมือง "ฮ่อมท้าว" แขวงจำปาศักดิ์ มาตั้งที่บ้านม่วงริมยาม ซึ่งปัจจุบันคือ อ.อากาศอำนวย ต่อมาย้ายตามพระสุนทรราชวงศา ไปตั้งชุมชนที่เมืองยโสธร ที่บ้าน "กุดลิง" ปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ต่อมาเมื่อมีประชากรมากขึ้น บ้านกุดลิงเริ่มคับแคบ และพระสุนทรราชวงศาถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว โย้ยบางส่วนจึงอพยพกลับมาที่บริเวณเดิม คือ ที่บ้านแร่ อ.พังโคน จ.สกลนคร อีกครั้ง โดยยังใช้ชื่อบ้านกุดลิงตามเดิม แต่ที่บ้านแร่ การเพาะปลูกไม่ค่อยได้ผล จึงย้ายมาอยู่ที่ "บ้านชุมแสงหัวนา" ต.วานรนิวาส ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โย้ยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ขอขึ้นกับเมืองยโสธร กับกลุ่มที่ขอขึ้นกับเมืองสกลนคร รัชกาลที่ 4 จึงทรงตั้งเมืองให้ใหม่ และพระราชทานสาส์นตราตั้งเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "วานรนิวาศ" ใน พ.ศ. 2404 จนถึงปัจจุบัน (หน้า 31-32) ส่วนไทยโย้ย ที่บ้านโพน เดิมอยู่ที่บ้านชาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกจากบ้านวานรนิวาศอีก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านวานรฯ ประมาณ 1 กม. สาเหตุที่ย้ายจากบ้านชาดเพราะเกิดโรคระบาด คือโรคฝีดาษ บางส่วนไปอยู่บ้านวานรฯ บางส่วนมาอยู่ที่บ้านโพนแพง เมื่อปี พ.ศ. 2407 ทำตูบริมน้ำยาม จึงเรียกว่า "บ้านตูบหมู" เพราะหมูป่าชุม ปัจจุบันบ้านชาดกลายเป็นหมู่บ้านร้าง และยังพอมองเห็นได้ไกล ๆ จากบ้านโพนแพง (หน้า 33) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งบ้านเรือนจะปลูกติดกันเป็นกระจุกในหมู่เครือญาติสกุลเดียวกัน โดยมีรูปแบบบ้านที่สำคัญ 6 แบบ ตามช่วงเวลา คือ 1. บ้านใต้ถุนสูง หลังคามุงหญ้าแฝก ฝาบ้านใช้ใบตองหรือไม้ไผ่ป่าสับเป็นแผ่น ห้องนอน ห้องครัวอยู่บนบ้าน แยกกันคนละมุม เป็นบ้านไม่ถาวร 2-3 ปี ต้องรื้อสร้างใหม่ เป็นลักษณะบ้านในช่วงแรกเริ่มตั้งหมู่บ้าน ปัจจุบันไม่มีบ้านแบบนี้แล้ว 2. เป็นลักษณะบ้านเมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา บ้านใต้ถุนสูง ชั้นเดียว ครัวเรือนแยกออกต่างหาก เรียก "เฮือนไฟ" ห้องนอนเรียก "ส้วม" ไม่มีห้องน้ำ ห้องส้วม หลังคามุงด้วยฝาไม้ เป็นไม้เนื้อแข็ง เรียกแป้นไม้ หรือหญ้าคา มีชานบ้าน ส่วนมากสำหรับบ้านใหญ่จะมี 4-5 ห้อง ปัจจุบันไม่มีแล้ว 3. บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง 1 เมตร สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง หลังคามุงสังกะสี มีห้องครัวแยกอยู่ต่างหาก มีห้องน้ำ ไม่มีห้องส้วม ส่วนมากมี 3 ห้อง 4. บ้านไม้ทั้งหลัง 2 ชั้น ยกพื้นสูง 1 เมตร ครัวแยกต่างหาก ส่วนมากมี 3 ห้อง 5. บ้านไม้ถือปูน 2 ชั้น ชั้นบนไม้ ชั้นล่างปูน หลังคาสังกะสีหรือกระเบื้องตามสมัยนิยม ชั้นล่างเป็นห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องครัว 6. ชั้นเดียวปูนทั้งหลัง เนื่องจากหาไม้สร้างบ้านยาก หลังคาสังกะสีหรือกระเบื้อง ใช้อิฐ บล๊อกทำฝาผนัง (หน้า 154-155) ลักษณะการใช้พื้นที่ เช่น ชานหน้าบ้าน มีโอ่งน้ำดื่มกิน อยู่หน้าเรือนครัว ห้องนอน ลูกชายนอนห้องพระ คือ ห้องว่างที่ยังไม่ได้กั้นห้องหรือหน้าห้องของลูกสาวหรือหน้าห้องพ่อแม่ จะไม่ให้ลูกสาวนอนห้องพระ ห้องครัว แยกออกต่างหากจากชานเล็ก มักมีขนาดเล็กและมีอุปกรณ์ไม่มาก ปัจจุบันเมื่อใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ห้องครัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้น และถูกสุขลักษณะมากขึ้นด้วย ส่วนใต้ถุนใช้เลี้ยงสัตว์จำพวก วัว ควาย ความเชื่อเกี่ยวกับบ้าน เช่น บันได ต้องมีจำนวนขั้นเป็นเลขคี่ ห้ามนั่งและเหยียบธรณีบ้าน ไม่นิยมหันหน้าบ้านไปทางตะวันตก ปัจจุบันไม่เคร่งครัดแล้วเนื่องจากพื้นที่กำจัด ไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจะไม่เอามาสร้างบ้าน และเวลาจะสร้างบ้านต้องดูฤกษ์ยามก่อน ซึ่งก็ไม่ค่อยถือกันแล้วเช่นกัน (หน้า 159-162) |
|
Demography |
243 ครัวเรือน ประชากร 1,259 คน ชาย 616 คน หญิง 643 คน วัยแรงงาน 848 คน เท่ากับ 67.36 % วัยพึ่งพิง 0-14 ปี 296 คน เท่ากับ 23.51 % 60-75 ปีขึ้นไป 115 คน เท่ากับ 9.13 % (หน้า 38) |
|
Economy |
ส่วนใหญ่อาชีพหลัก คือ ทำนาและเกษตรกรรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาชีพสืบทอดมาจากอดีต ปัจจุบันเริ่มมีการเปิดร้านค้าที่ใต้ถุนบ้าน ขายสิ่งของเบ็ดเตล็ดหรืออาหารสดและสำเร็จที่ซื้อมาจากในตัวอำเภออีกทอดหนึ่ง หลังฤดูทำนาก็ทำอาชีพเสริมคือ รับจ้าง ช่วงแรกรับจ้างในหมู่บ้าน ต่อมาประมาณ ปี 2525 เริ่มรับจ้างในกรุงเทพ ปัจจุบันมีคนทำงานรับจ้างในต่างประเทศถึง 70 % ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้แล้วก็รับราชการ (หน้า 63-72) |
|
Social Organization |
มีการสืบสกุลทางพ่อ และชายเป็นใหญ่ ลูกชายคนสุดท้องมักจะเป็นคนเลี้ยงดู และรับมรดกบ้านของพ่อ-แม่ด้วย พ่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำไร่ทำนาเป็นหลัก แม่ทำหน้าที่ในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกหลาน หุงหาอาหาร เมื่อหมดหน้านาก็จะทอผ้า ทำเครื่องนุ่งห่ม แต่ก่อนอยู่กันเป็นครอบครัวขยาย แม้เมื่อแต่งงานแยกบ้านไปแล้วก็ยังอยู่ในละแวกเดียวกัน แต่ปัจจุบันเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ยิ่งเมื่อต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน ก็ยิ่งทำให้ห่างเหิน และบทบาทของพ่อแม่ลดลงอย่างมาก (หน้า 42-46) ในการแต่งงาน ต้องสืบลำดับญาติกันก่อน โดยฝ่ายชายต้องมีศักดิ์เป็นพี่ถึงจะแต่งได้ และต้องเป็นคนบ้านโพนแพงด้วย ปัจจุบันไม่ค่อยได้ยึดถือกันแล้ว (หน้า 145) |
|
Political Organization |
แรกย้ายมาตั้งบ้านเรือนที่โพนแพงนี้ เมื่อปี 2407 มีผู้ใหญ่บ้านเป็นคนดูแล คนแรกคือ นายไชยราช โพธิ ซึ่งเป็นคนชักชวนชาวบ้านย้ายมาจากบ้านชาด ถึงปัจจุบันมีผู้ใหญ่บ้านรวมแล้ว 10 คน (หน้า 108) แต่ก่อนผู้นำมาจากความเห็นชอบส่วนใหญ่ของชาวบ้าน ซึ่งพิจารณาจากความอาวุโส ความเป็นคนดี มีคุณธรรม และเป็นคนโพนแพง ต่อมาก็เริ่มมีการลงคะแนนเสียงโดยการยกมือนับคะแนน โดยผู้มีสิทธิออกเสียงจะต้องอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี (หน้า 117) ต่อมามีการแบ่งหมู่บ้านออกเป็น "คุ้ม" ทั้งหมด 10 คุ้ม มีหัวหน้าคุ้มประสานงานระหว่างสมาชิกภายในคุ้มกับคณะกรรมการหมู่บ้านฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝ่ายการปกครอง ฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ ฝ่ายป้องกันและรักษาความสงบ ฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายการศึกษาและวัฒนธรรม ฝ่ายกิจการสตรี นอกจากนี้ก็มีการรวมกลุ่มเพื่อการพัฒนาชุมชน เป็นกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กลุ่มเยาวชน กองทุนอาหารกลางวันเด็ก กลุ่มสตรี เป็นต้น (หน้า 126-127) นอกจากนี้ก็ยังมีผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งก็คือผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในงานพิธีต่าง ๆ หรือทำหน้าที่รักษาคนป่วยไข้ด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ ถือเป็นผู้นำทางความเชื่อ |
|
Belief System |
นับถือพุทธศาสนา พร้อมกับถือผีบรรพบุรุษ เรียก "ผีปู่ตา" ซึ่งเป็นผีของชุมชน หอผีปู่ตาตั้งอยู่ริมน้ำยาม นอกจากนี้ก็มี "ผีเฮือน" ซึ่งก็คือผีบ้านผีเรือน ปกปักรักษาสมาชิกของครอบครัว (หน้า 90-91) มีวัดจอมแจ้ง เป็นสถานที่ในการจัดพิธีทางศาสนาต่าง ๆ ตั้งขึ้นพร้อม ๆ กับการตั้งหมู่บ้าน มีฮีตประเพณีเช่นเดียวกลุ่มไทย-ลาวทั่วไป (หน้า 87) โดยจัดงานบุญต่าง ๆ ได้แก่ บุญมหาชาติหรือบุญพระเวศ บุญห่อข้าวประดับดิน บุญห่อข้าวสาก บุญเข้าพรรษา บุญออกพรรษาหรือบุญลอยเรือไฟ บุญกองข้าวหรือบุญเดือน 3 คือ พิธีสู่ขวัญผู้สูงอายุ สู่ขวัญข้าว และสู่ขวัญควาย เป็นต้น (หน้า 90) นอกจากนี้ก็กล่าวถึงประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เกิด แต่งงาน ตาย การบวชเณร บวชพระ ขึ้นบ้านใหม่ สงกรานต์ สะเดาะเคราะห์ ตีกลองเลง พิธีกรรมตามความเชื่อต่างๆ การเลี้ยงผีปู่ตา มีพิธีเลี้ยง 2 แบบ คือเลี้ยงประจำปีๆ ละ 2 ครั้ง ก่อนลงนาและก่อนเอาข้าวขึ้นฉาง และเลี้ยงเมื่อลูกหลานของหมู่บ้านจะไปทำงานต่างถิ่น ทำพิธีพูดกับผีปู่ตาผ่านจ้ำหรือหมอจ้ำ เรียกว่าการ "บะ" ให้ผีปู่ตาปกปักรักษาให้อยู่รอดปลอดภัย เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องเลี้ยงผีปู่ตาอีกรอบ นอกจากนี้แล้วยัง "บะ" เมื่อต้องการไปทำงานหรือสอบด้วย (หน้า 91) ความเชื่อเกี่ยวกับผีน้ำหรือกองกอย มีตัวอย่างเรื่องเล่าที่ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าผีน้ำมีจริงคือเรื่องของพ่อเฒ่ากก เล่าว่าวันหนึ่งในระหว่างทาง คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเข้ามาเกาะแข้งขา ไล่ก็ไม่ไป ผลักก็ไม่ออก จนเกิดความรำคาญ จึงได้จับคนตัวเล็กนั้นฟาดกับพื้นจนตาย เมื่อกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน ก็ถูกผีเข้าสิง ร้องไห้และพูดบ่นว่า เมื่อญาติสอบถามก็ได้ความว่าผีที่เข้าสิง มาจากน้ำหนองเทาขึ้นมาจากน้ำยาม ตัวเล็ก ๆ ผมแดง เสียใจที่ถูกตีจนตาย จึงตามมาเข้าสิง ญาติพี่น้องจึงได้แต่งขันดอกไม้ไปขอขมา ผีจึงออกจากร่างไป พิธีเสี่ยงค้อง จะทำเมื่อมีของหรือคนหายไป มีคนหมอมอเป็นคนทำพิธี โดยมีอุปกรณ์ คือ ข้องหาปลา 1 อัน หมากน้ำเต้ามัดผ้าแดงใส่ปากข้อง เอาไม้ 2 อันมัดไว้คนละข้าง ให้คนจับคนละฟาก แต่งขันธ์ 5 ดอกไม้ ธูปเทียน เชิญท้าวเซียงลงมาจากสวรรค์ ลงมาฉิงใส่ข้อง แล้วพูดว่า " ไอ้เซียงเอ้ย ไท้หูตากว้างให้พาไปหาของหายแหน่ ถ้าเจ้าเป็นอยู่บ่อนได๋ให้พาไปเอา" ข้องนั้นจะสั่นอย่างแรง สองคนนั้นต้องจับให้อยู่ แล้พาเดินไปหาของที่หายไปนั้น เมื่อพบของที่ต้องการแล้ว ก็เชิญไอ้เซียงออก (หน้า 94-96) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
มีทั้งการรักษาแผนปัจจุบันของสถานีอนามัยที่ตั้งอยู่ใน ต.หนองสนม และมีร้านขายยาแผนปัจจุบัน ซึ่งชาวบ้านเป็นเจ้าของ กับการรักษาแผนโบราณ ใช้สมุนไพร ส่วนใหญ่เป็นรากไม้ ด้วยวิธีต่าง ๆ ตามลักษณะโรค และการรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ เพราะเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากภูติผีปีศาจ ผีไห้หรือผีไร่ โดยต้องให้หมอเป่า เป็นผู้รักษาให้ ในเรื่องการคลอดบุตร ต้องมีการเตรียมคลอด โดยให้ไปนั่งตรงทางแยก ใส่ผ้าถุง 2 ผืนซ้อนกัน นั่งคุกเข่าเอาหินหรือทรายมาถูท้อง แล้วลุกขึ้นยืน ถอดผ้าถุงผืนหนึ่งออกโยนทิ้งไป จะทำให้คลอดได้ง่ายขึ้น หลังคลอดก็มีขะลำหรือข้อห้าม เช่น การอยู่ไฟ จะต้องกินน้ำร้อนและอาบน้ำร้อนที่ต้มด้วยเปลือกไม้ต่าง ๆ เช่น ไม้จิก ไม้กะเบา อาหารการกินระหว่างอยู่ไฟ ต้องกินข้าวกับเกลือและข่าเผาเท่านั้น เพราะมีความเชื่อว่าถ้ากินของคาว น้ำนมแม่และตัวเด็กจะเหม็นคาวด้วย และทำให้มดลูกเข้าอู่ได้ช้า เป็นต้น ปัจจุบันระบบสาธารณสุขและสาธารณูปโภคแบบใหม่เปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างมาก เช่น การสร้างห้องส้วมและห้องครัวรวมทั้งการปรุงอาหารการกินต่างๆ ให้ถูกสุขลักษณะมากขึ้นด้วย (หน้า 97-108) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
งานสถาปัตยกรรม กล่าวถึงลักษณะของบ้านแบบต่าง ๆ ในหัวข้อเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว การแสดง ที่สำคัญคือ กลองเลง เป็นกลองสองหน้า ใช้ตีจังหวะสนุกสนานในงานบุญประเพณีต่าง ๆ โดยเฉพาะงานบุญมหาชาติ ซึ่งทุกคุ้มจะมีส่วนร่วมแห่กลองเลงไปจนรอบหมู่บ้าน แต่ละคุ้มรับผิดชอบกลองเลงและขบวนแห่ในส่วนคุ้มตนเอง แล้วส่งต่อเป็นทอด ๆ จนครบ (หน้า 142) งานหัตถกรรม กล่าวถึงการทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน เสื่อ โดยไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดเฉพาะ นอกจากในอดีตมีความสัมพันธ์กับการหาคู่ของหนุ่มสาว เรียก "การลงข่วง" หญิงสาวลงข่วงกันเป็นกลุ่มตามใต้ถุนบ้านในตอนค่ำ หนุ่มๆ จะแวะเวียนไปหาตามบ้านของสาวที่ตนหมายปองอยู่ เพื่อพูดคุยทำความรู้จักได้อย่างใกล้ชิด (หน้า 162-163) |
|
Folklore |
กล่าวถึงเซี่ยงเมี่ยง, งูเหลือมบ่มีพิษ, ผีกองกอย, ผีน้ำ และผีปู่ตา (หน้า 137) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในงานวิจัยกล่าวเพียงว่า แต่เดิมไทยโย้ยบ้านโพนแพง ไม่อนุญาตให้คนกลุ่มหรือบ้านอื่นมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณบ้านโพนแพงนี้ แต่ต่อมาก็ไม่ได้เข้มงวดแล้ว เนื่องจากลูกหลานต้องออกไปทำงานที่อื่น ทำให้ได้แต่งงานกับคนนอกกลุ่มมากขึ้น ทั้งที่เป็นคนไทยต่างถิ่นและชาวต่างประเทศ ส่วนความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นไม่ได้กล่าวถึงมาก นอกจากมีการเปรียบเทียบภาษาพูดกับ "ญ้อ" เท่านั้น |
|
Social Cultural and Identity Change |
ประเด็นในการวิจัยเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขทางสังคมเกือบทุกด้าน ซึ่งโดยมากเป็นปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ที่ทำให้ชาวบ้านต้องออกไปทำงานต่างถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ก็คือการศึกษาที่สูงขึ้น ซึ่งเหล่านี้ทำให้ชุมชนต้องปรับตัวไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่สะท้อนว่าชุมชนยังคงรักษาความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเองได้ที่สำคัญ คือ ภาษา และประเพณีบางอย่างที่ยังคงปฏิบัติกันอยู่อย่างเคร่งครัด เช่น พิธีลอยเรือไฟ งานบุญมหาชาติ และพิธีแต่งงาน เป็นต้น |
|
|