|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิธีคิดเกี่ยวกับป่า,การปรับตัว,วรรณกรรม,ลำพูน |
Author |
วรุตม์ ศิริกิม |
Title |
กระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชุมชนกะเหรี่ยง:ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านป่าแป๋ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
110 |
Year |
2546 |
Source |
บัณฑิตวิทยาลัย สาขาวิชานโยบายและการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกริก |
Abstract |
ผู้วิจัยได้มองกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชาวป่าแป๋ เป็น 2 มิติ คือ มิติของนามธรรม และมิติของรูปธรรม กระบวนการในมิตินามธรรมเป็นเรื่องของวิธีคิดเป็นหลัก แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นเรื่องของความคิดความเชื่อของชาวป่าแป๋ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องผี และขวัญ แต่ไม่ใช่เลือนหายไป แต่มีการประยุกต์ เชื่อมโยงความรู้จากภายนอกมากขึ้นกว่าความรู้ดั้งเดิมของชุมชน ทำให้เกิดการผสมระหว่างความรู้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสนา และส่วนที่สองเป็นวิธีคิดความรู้เกี่ยวกับป่าและการดูแลรักษาป่า ชาวป่าแป๋มีความคิดต่อป่าว่าเป็นแหล่งน้ำ ต้นน้ำที่อยู่อาศัยของสัตว์ เป็นที่พักพิงจึงต้องมีการอนุรักษ์ไว้ เพราะถ้าไม่มีป่าก็ไม่มีน้ำ มิติที่เป็นรูปธรรม คือการนำเอามิติที่เป็นนามธรรมข้างต้นมาเปลี่ยนเป็นปรากฎการณ์ที่เห็นได้ในชุมชน โดยเห็นได้จากกฎของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนภายนอกเห็นว่าเขารักษาป่าไว้ได้ (หน้า 101-102) |
|
Focus |
การศึกษากระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชุมชนกะเหรี่ยง โดยวิเคราะห์จาก ประวัติศาสตร์ชุมชน วิถีชีวิต ความคิดความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม พฤติกรรมการใช้ประโยชน์ การรักษาผืนป่าของชุมชนบ้านป่าแป๋ (หน้า 29) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวบ้านป่าแป๋เป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า ปกากะญอ กะเหรี่ยงสะกอ เป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด อาศัยอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือตอนบน ชื่อเรียกที่รู้จักกันในท้องถิ่น คือ ยางขาว ยางกะเลอ ยางป่า (หน้า 7) ปัจจุบันพบว่าชาวป่าแป๋บางส่วนเป็นกะเหรี่ยงโป เนื่องจากการเข้ามาแต่งงานกับชาวบ้านป่าแป๋ |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษาปกากะญอในการสื่อสารเรื่องราว ปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ ในการพูดคุยกับคนในกลุ่ม (หน้า 41) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยได้ใช้เวลาในการอยู่ในพื้นที่ที่ศึกษาประมาณ 6 เดือน โดยแบ่งออกเป็น2 ระยะ โดยครั้งแรกคือช่วงเดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายน 2546 ผู้วิจัยได้อาศัยอยู่ครั้งละ 2-3 วันโดยได้เข้าพื้นที่ 9 ครั้ง และระยะที่ 2 คือช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน 2546 โดยเป็นการพักอาศัยนาน ๆ โดยกลับลงมา 2 สัปดาห์ต่อครั้ง (หน้า 35) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติของปกากะญอหมู่บ้านป่าแป๋ ได้อพยพมาจากจังหวัดเชียงใหม่เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2436 หรือประมาณร้อยกว่าปีที่ผ่านมาโดยมีประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน เดินทางข้ามสันเขามาจากบ้านแม่ยุย ตำบลบ้านตาล อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณดอยช้าง จังหวัดลำพูน ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 บ้านดอยช้างถูกผนวกเข้ากับบ้านห้วยหละ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนคนในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้นจึงได้แยกออกมาตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ และได้มีการเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจากบ้านดอยช้าง เป็นบ้านป่าแป๋ ซึ่งหมายถึงจุดที่สูงที่สุด โดยเป็นหมู่ 7 ของตำบลป่าพลู เมื่อ พ.ศ. 2514 มีผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ "นายมะลิโย บุญเป็ง " (หน้า 44-45) |
|
Settlement Pattern |
บ้านป่าแป๋เป็นชุมชนที่ถูกครอบคลุมโดยป่าสงวนบ้านโฮ่ง เป็นส่วนหนึ่งของเขตลุ่มน้ำชั้น 1เอ ชาวบ้านป่าแป๋ส่วนใหญ่มีที่ทำกินที่ได้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ แต่ไม่มีเอกสารสิทธิของทางราชการ ที่ทำกินของชาวป่าแป๋จะอยู่นอกเขตอนุรักษ์ของหมู่บ้าน และจะจับจองเป็นเจ้าของถาวร (หน้า 42) การสร้างบ้านเรือนในปัจจุบันเป็นเรือนบ้านไม้กระดาน หาได้จากในป่า ยกใต้ถุนสูง มีลักษณะเหมือนบ้าน 2 หลังติดกัน โดยหลังหนึ่งจะเป็นห้องครัว และอีกหลังหนึ่งจะเป็นห้องนอน สำหรับบ้านบางหลังส่วนที่เป็นห้องครัวยังสร้างด้วยไม้ไผ่อยู่เช่นเดิม |
|
Demography |
หมู่บ้านป่าแป๋เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ในปี พ.ศ.2545 หมู่บ้านป่าแป๋มีจำนวนครัวเรือน 67 หลังคาเรือน 73 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 284 คน แยกเป็นชาย 109 คน หญิง 87คน เด็กชาย 46 คน เด็กหญิง 42 คน ชาวป่าแป๋เมื่อก่อนเป็นปกากะญอทั้งหมด แต่ปัจจุบันพบว่าบางส่วนเป็นกะเหรี่ยงโป และมีกะเหรี่ยงที่อื่นเป็นผู้ชาย มาแต่งงานกับผู้หญิงบ้านป่าแป๋ ชาวบ้านเรียกว่า "เป็นเขย" โดยการแต่งงานจะนับฝ่ายผู้หญิง ดังนั้นจึงเห็นผู้ชายจากที่อื่นเป็นเขยบ้านป่าแป๋หลายคน |
|
Economy |
ชาวบ้านป่าแป๋ในอดีตมีการทำไร่ พื้นที่ที่ใช้ทำไร่ชาวบ้านเรียกว่า ฉกี่ โดยชาวป่าแป๋จะทำไร่หมุนเวียน แต่ละบ้านจะมีที่ไร่อยู่ประมาณ 5-7 แปลงและมีการทำไร่หมุนเวียนไปแต่ละปี แต่เมื่อคนมากขึ้นการบุกรุกถางไร่จึงเกิดขึ้น และเมื่อหมู่บ้านได้เข้ามาเป็นหมู่บ้านที่อนุรักษ์ป่าไม้แล้วทำให้เกิดการจำกัดพื้นที่ไร่ของแต่ละบ้าน โดยปัจจุบันเหลือประมาณบ้านละ 3 แปลง (หน้า 84) แต่เนื่องจากดินที่หมู่บ้านป่าแป๋ส่วนใหญ่เป็นดินแดงทำให้เกิดปัญหาด้านการเกษตรเนื่องจากผลผลิตไม่ดี ผลผลิตไม่เพียงพอแก่การบริโภค ผลผลิตไม่ได้มาตราฐาน ทำให้ชาวบ้านรับการช่วยเหลือจากทางราชการโดยเข้ามาสนับสนุนให้มีการปลูกกาแฟ (หน้า 42, หน้า 86) โดยมีการปลูกแซมไว้ตามป่า ซึ่งปลูกแล้วได้ผลดี และสนับสนุนให้ปลูกลิ้นจี่ แต่ผลผลิตออกมาน้อยมาก |
|
Political Organization |
ในอดีตชาวป่าแป๋มีการนำโดยผู้นำเผ่าที่เรียกว่า "ปกาฮีโข่" ต่อมาเมื่อมีการยกระดับให้เป็นหมู่บ้านจึงมีการเปลี่ยนเป็นพ่อหลวงบ้าน หรือผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง โดยมีวาระครั้งละ 5 ปี มาจากการเลือกตั้ง บ้านป่าแป๋มีผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว 7 คน ในปี 2535 ได้เริ่มมีการแต่งตั้งกรรมการหมู่บ้านขึ้น มีกรรมการหมู่บ้าน 10 คน และมีพยานอีก 44 คน โดยกรรมการหมู่บ้านจะเป็นผู้อาวุโสหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ นอกจากพ่อหลวงแล้วยังมีการแต่งตั้งผู้ช่วยขึ้น ไปดูแลแต่ละส่วนของหมู่บ้านป่าแป๋โดยแบ่งเป็นป๊อก มีจำนวน 4 ป๊อก (หน้า 55-56) |
|
Belief System |
ในอดีตชาวบ้านป่าแป๋มีการนับถือผีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยผ่านพิธีกรรมการเลี้ยงผีต่างๆ เช่น ผีไร่ ผีป่าผีดอย และมีความเชื่อเรื่องของขวัญ เมื่อมีการกระทำใดๆ ที่ผิดไปจากจารีต ประเพณี ซึ่งเป็นเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ผิดผี" โดยทำให้ ขวัญได้หนีหายไป ซึ่งทำให้เกิดโทษเฉพาะบุคคล เช่นทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อมีโรงพยาบาลทำให้ความเชื่อดังกล่าวลดลง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เชื่อเรื่องของการผิดผี นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเช่นพิธีการมัดมือ หรือ "หนี่ ซอ โข่" เป็นพิธีมัดมือเรียกขวัญ กินเลี้ยงปีใหม่ หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว โดยทำปีละ 2 ครั้ง คือในช่วงเดือนมกราคม และเดือนสิงหาคมของทุกปี แต่ละครอบครัวจะผูกข้อมือเรียกขวัญให้กับคนในครอบครัว โดยในระดับหมู่บ้านจะมีการรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสในหมู่บ้าน และร่วมพิธีรินเหล้าตามบ้านต่าง ๆ เมื่อผู้อาวุโสไปบ้านไหนก็จะผูกข้อมือให้กับเจ้าของบ้าน พิธีมัดมือควาย เมื่อชาวบ้านได้ควายมาใหม่แล้วก็จะมีการทำพิธีมัดมือควาย โดยเชิญหมอผีผู้นำพิธีกรรมประจำหมู่บ้าน มาเป็นผู้นำพิธี หมอผีจะนำด้ายขาวไปผูกไว้ที่เขาของควายทั้งสองข้าง แล้วกล่าวคำภาษาปกากะญอ การสู่ขวัญข้าว โดยเรียกพิธีดังกล่าวว่าขวัญข้าวเข้ายุ้ง มีการทำพิธีดังกล่าวเพื่อให้ข้าวเต็มยุ้งตลอดเวลา ต้องทำตลอดเมื่อเก็บข้าวเข้ายุ้ง (หน้า 49-53) ศาสนาพุทธได้เข้ามาในหมู่บ้านแต่ไม่มีใครรู้ว่าเริ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด โดยมีบทบาทอย่างมากเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ และการนับถือผีจะหายไปบ้างตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แต่ความเชื่อเรื่องการดูกระดูกไก่ และการนับถือผีบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่ |
|
Education and Socialization |
ก่อนที่จะมีการตั้งโรงเรียนขึ้นในชุมชน มีการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องวิถีชิวิตจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานในลักษณะการผสมกลมกลืนไปกับวิถีชีวิต การถ่ายทอดจะมีอยู่ในชีวิตประจำวัน จากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะสอนกันในบ้าน ในไร่นา อยู่ตลอดเวลา (หน้า 47) แต่เมื่อมีระบบการศึกษาทางภาครัฐเข้ามาสู่หมู่บ้านป่าแป๋ ก็ส่งผลต่อความเชื่อของชาวป่าแป๋มากยิ่งขึ้น โดยทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับผีและพิธีกรรมต่างๆ ของคนรุ่นใหม่ลดน้อยลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของประเพณีความเชื่อของหมู่บ้านป่าแป๋ |
|
Health and Medicine |
ในหมู่บ้านมีที่ตั้งของศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน ที่ชาวบ้านป่าแป๋เรียกว่า อนามัย มีหมอพื้นบ้านมารักษาสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยขึ้นมาทุกวันศุกร์ และกลับเย็นวันจันทร์ ดังนั้นอนามัยจะเปิดทุกวันศุกร์ และวันจันทร์ นอกจากนี้ยังมี อสม. ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพอนามัยและเบิกจ่ายยาพื้นฐานแก่ชาวบ้าน และเนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากบ้านโฮ่งนัก ชาวบ้านจึงนิยมไปใช้บริการที่โรงพยาบาลบ้านโฮ่ง ชาวบ้านที่เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีความเชื่อเรื่องผีอยู่ ก็จะไปโรงพยาบาลและทำพิธีเลี้ยงผี เช่น กรณีของแม่ติ๊บ และพ่อลี (หน้า 47) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของชาวป่าแป๋มี 2 ลักษณะคือ 1. ชุดที่เหมือนคนเมือง โดยจะใส่เมื่อมีการไปติดต่อกับคนพื้นล่าง หรือลงไปรับจ้างคนพื้นล่าง ก็จะนุ่งกางเกง กับสวมเสื้อยืด หรือเสื้อเชิ้ตตามแต่จะมี 2. ชุดปกากะญอ โดยผู้หญิงถ้าอยู่กับบ้านก็จะใส่เสื้อปกากะญอ นุ่งซิ่น หากไปไร่จึงสวมเตี่ยว และเสื้อแขนยาว ในช่วงเวลาเย็นชาวบ้านป่าแป๋ก็จะมีการสวมชุดปกากะญอกัน โดย ผู้ชายใส่เสื้อสีแดงสด สาวชาวป่าแป๋ที่ยังไม่แต่งงานจะแต่งชุดยาวถึงข้อเท้า สีขาวมีด้ายสีแดง สีน้ำเงิน เขียวทอเป็นลาย และมีชายเป็นพู่ห้อย ชาวป่าแป๋เรียกชุดนี้ว่า "เชวา" (เช=เสื้อ/ชุด ,วา=ดำขาว) ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่ชุดสีดำ ปักลวดลายด้วยลูกเดือยหิน และด้ายสีต่างๆ เรียกว่า "เชซู" (ชู แปลว่า สีดำ) (หน้า 44-45) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
หมู่บ้านป่าแป๋มีที่ตั้งของหน่วยงานภาครัฐ 2-3 หน่วยงาน เริ่มจากด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านป่าแป๋ มีการสอนภาษาไทย และภาษาเมือง มีการสร้างศุนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน เพื่อทำหน้าที่แทนอนามัยโดยมีการรับสมัครเจ้าหน้าที่ อสม. ให้เข้าอบรมเพื่อเข้าไปดูแลคนในบ้าน และมีการตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา มีการแจกพันธุ์ลิ้นจี่ และกาแฟให้มีการทดลองปลูก ตั้งกลุ่มทอผ้าขึ้น เป็นต้น มีการร่วมกับกลุ่มองค์การบริหารส่วนตำบลป่าพลูในการส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ หมู่บ้านป่าแป๋ยังเป็นพื้นที่เป้าหมายของการเข้ามาศึกษาชุมชนชองสถาบันการศึกษาอยู่บ่อยครั้ง (หน้า 56) |
|
Social Cultural and Identity Change |
หมู่บ้านป่าแป๋มีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน เมื่อมีการติดต่อกับโลกภายนอก การเข้ามาของสาธารณสุข และโรงเรียน ส่งผลกระทบต่อความคิดความเชื่อเรื่องผี และเรื่องขวัญในหมู่บ้าน แต่ในขณะเดียวกัน หมู่บ้านก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากภายนอก เช่น ความรู้เชิงนิเวศ ซึ่งส่งผลต่อความคิดในเรื่องการอนุรักษ์และกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชาวบ้านให้กลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น มีการสร้างกฎของหมู่บ้าน เป็นกลไกในการควบคุมพฤติกรรมของชาวบ้าน เพื่ออนุรักษ์ป่า (หน้า 105) |
|
Other Issues |
กระบวนการอยู่ร่วมกับป่า ผู้วิจัยได้เสนอกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าเป็น 2 มิติ โดยเป็นกระบวนการอยู่ร่วมกับป่ามิติที่เป็นนามธรรม และมิติที่เป็นรูปธรรม กระบวนการอยู่ร่วมกับป่ามิติที่เป็นนามธรรม คือการมองเรื่องความคิดความเชื่อ ซึ่งเห็นได้จากความเชื่อเรื่องผี จากกรณีของป่าช้า หรือ ปก่าโลปู คือเมื่อมีคนตายชาวบ้านจะนำไปเผาในป่า ไม่มีการสวด บริเวณเขตป่าช้าจึงเป็นเขตป่าต้องห้ามในการตัดต้นไม้หรือล่วงเกิน เพราะถือเป็นการรบกวนผีบรรพบุรุษ ผีของคนที่ตายไปอาจจะได้รับความเดือดร้อน ซึ่งทำให้ป่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมองในแง่วิธีคิด ความรู้เกี่ยวกับป่า และการดูแลรักษา โดยสะท้อนออกมาจากคำพูดที่สัมภาษณ์ชาวบ้าน เช่น การรักษาป่าและการใช้ชีวิตอยู่กับป่าอย่างพอมีพอกินของนายธนู อายุ 27 ปี เป็นต้น การะบวนการอยู่กับป่าในมิติที่เป็นรูปธรรม เห็นได้จากกฏของหมู่บ้านที่เกี่ยวข้องกับการรักษาป่า ในฐานะของ "หมู่บ้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม" พิธีกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่า โดยเห็นได้จาก "การบวชป่า" ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ของชาวบ้านป่าแป๋ เพราะเป็นงานที่คนจากพื้นล่างขึ้นมากันมาก และชาวบ้านป่าแป๋จะต้องเข้าร่วมทุกคน โรงเรียนจะหยุดสอนในวันนั้น เพื่อให้นักเรียนและครูเข้ามาร่วมพิธี โดยใช้ผ้าเหลืองผืนไม่ใหญ่นักห่มให้ต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้เติบโตต่อไป (หน้า 72-99) |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ ภาพถ่ายเพื่ออธิบายลักษณะหมู่บ้าน พิธีกรรม ความเชื่อ ของปกากะญอ และแผนผังที่แสดงวิธีคิด เช่น ภาพที่ 44 ภาวะเศรษฐกิจกับสำนึกการอนุรักษ์ (หน้า 98) |
|
|