สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),วิธีคิดเกี่ยวกับป่า,การปรับตัว,วรรณกรรม,ลำพูน
Author วรุตม์ ศิริกิม
Title กระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชุมชนกะเหรี่ยง:ศึกษาเฉพาะกรณี หมู่บ้านป่าแป๋ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 110 Year 2546
Source บัณฑิตวิทยาลัย สาขาวิชานโยบายและการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกริก
Abstract

ผู้วิจัยได้มองกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชาวป่าแป๋ เป็น 2 มิติ คือ มิติของนามธรรม และมิติของรูปธรรม กระบวนการในมิตินามธรรมเป็นเรื่องของวิธีคิดเป็นหลัก แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นเรื่องของความคิดความเชื่อของชาวป่าแป๋ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องผี และขวัญ แต่ไม่ใช่เลือนหายไป แต่มีการประยุกต์ เชื่อมโยงความรู้จากภายนอกมากขึ้นกว่าความรู้ดั้งเดิมของชุมชน ทำให้เกิดการผสมระหว่างความรู้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสนา และส่วนที่สองเป็นวิธีคิดความรู้เกี่ยวกับป่าและการดูแลรักษาป่า ชาวป่าแป๋มีความคิดต่อป่าว่าเป็นแหล่งน้ำ ต้นน้ำที่อยู่อาศัยของสัตว์ เป็นที่พักพิงจึงต้องมีการอนุรักษ์ไว้ เพราะถ้าไม่มีป่าก็ไม่มีน้ำ มิติที่เป็นรูปธรรม คือการนำเอามิติที่เป็นนามธรรมข้างต้นมาเปลี่ยนเป็นปรากฎการณ์ที่เห็นได้ในชุมชน โดยเห็นได้จากกฎของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนภายนอกเห็นว่าเขารักษาป่าไว้ได้ (หน้า 101-102)

Focus

การศึกษากระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชุมชนกะเหรี่ยง โดยวิเคราะห์จาก ประวัติศาสตร์ชุมชน วิถีชีวิต ความคิดความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม พฤติกรรมการใช้ประโยชน์ การรักษาผืนป่าของชุมชนบ้านป่าแป๋ (หน้า 29)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ชาวบ้านป่าแป๋เป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า ปกากะญอ กะเหรี่ยงสะกอ เป็นกลุ่มที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด อาศัยอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือตอนบน ชื่อเรียกที่รู้จักกันในท้องถิ่น คือ ยางขาว ยางกะเลอ ยางป่า (หน้า 7) ปัจจุบันพบว่าชาวป่าแป๋บางส่วนเป็นกะเหรี่ยงโป เนื่องจากการเข้ามาแต่งงานกับชาวบ้านป่าแป๋

Language and Linguistic Affiliations

ใช้ภาษาปกากะญอในการสื่อสารเรื่องราว ปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ ในการพูดคุยกับคนในกลุ่ม (หน้า 41)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยได้ใช้เวลาในการอยู่ในพื้นที่ที่ศึกษาประมาณ 6 เดือน โดยแบ่งออกเป็น2 ระยะ โดยครั้งแรกคือช่วงเดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายน 2546 ผู้วิจัยได้อาศัยอยู่ครั้งละ 2-3 วันโดยได้เข้าพื้นที่ 9 ครั้ง และระยะที่ 2 คือช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน 2546 โดยเป็นการพักอาศัยนาน ๆ โดยกลับลงมา 2 สัปดาห์ต่อครั้ง (หน้า 35)

History of the Group and Community

ประวัติของปกากะญอหมู่บ้านป่าแป๋ ได้อพยพมาจากจังหวัดเชียงใหม่เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2436 หรือประมาณร้อยกว่าปีที่ผ่านมาโดยมีประมาณสิบกว่าหลังคาเรือน เดินทางข้ามสันเขามาจากบ้านแม่ยุย ตำบลบ้านตาล อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณดอยช้าง จังหวัดลำพูน ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 บ้านดอยช้างถูกผนวกเข้ากับบ้านห้วยหละ ตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวนคนในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้นจึงได้แยกออกมาตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ และได้มีการเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจากบ้านดอยช้าง เป็นบ้านป่าแป๋ ซึ่งหมายถึงจุดที่สูงที่สุด โดยเป็นหมู่ 7 ของตำบลป่าพลู เมื่อ พ.ศ. 2514 มีผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ "นายมะลิโย บุญเป็ง " (หน้า 44-45)

Settlement Pattern

บ้านป่าแป๋เป็นชุมชนที่ถูกครอบคลุมโดยป่าสงวนบ้านโฮ่ง เป็นส่วนหนึ่งของเขตลุ่มน้ำชั้น 1เอ ชาวบ้านป่าแป๋ส่วนใหญ่มีที่ทำกินที่ได้รับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ แต่ไม่มีเอกสารสิทธิของทางราชการ ที่ทำกินของชาวป่าแป๋จะอยู่นอกเขตอนุรักษ์ของหมู่บ้าน และจะจับจองเป็นเจ้าของถาวร (หน้า 42) การสร้างบ้านเรือนในปัจจุบันเป็นเรือนบ้านไม้กระดาน หาได้จากในป่า ยกใต้ถุนสูง มีลักษณะเหมือนบ้าน 2 หลังติดกัน โดยหลังหนึ่งจะเป็นห้องครัว และอีกหลังหนึ่งจะเป็นห้องนอน สำหรับบ้านบางหลังส่วนที่เป็นห้องครัวยังสร้างด้วยไม้ไผ่อยู่เช่นเดิม

Demography

หมู่บ้านป่าแป๋เป็นหมู่บ้านขนาดเล็ก ในปี พ.ศ.2545 หมู่บ้านป่าแป๋มีจำนวนครัวเรือน 67 หลังคาเรือน 73 ครอบครัว ประชากรทั้งหมด 284 คน แยกเป็นชาย 109 คน หญิง 87คน เด็กชาย 46 คน เด็กหญิง 42 คน ชาวป่าแป๋เมื่อก่อนเป็นปกากะญอทั้งหมด แต่ปัจจุบันพบว่าบางส่วนเป็นกะเหรี่ยงโป และมีกะเหรี่ยงที่อื่นเป็นผู้ชาย มาแต่งงานกับผู้หญิงบ้านป่าแป๋ ชาวบ้านเรียกว่า "เป็นเขย" โดยการแต่งงานจะนับฝ่ายผู้หญิง ดังนั้นจึงเห็นผู้ชายจากที่อื่นเป็นเขยบ้านป่าแป๋หลายคน

Economy

ชาวบ้านป่าแป๋ในอดีตมีการทำไร่ พื้นที่ที่ใช้ทำไร่ชาวบ้านเรียกว่า ฉกี่ โดยชาวป่าแป๋จะทำไร่หมุนเวียน แต่ละบ้านจะมีที่ไร่อยู่ประมาณ 5-7 แปลงและมีการทำไร่หมุนเวียนไปแต่ละปี แต่เมื่อคนมากขึ้นการบุกรุกถางไร่จึงเกิดขึ้น และเมื่อหมู่บ้านได้เข้ามาเป็นหมู่บ้านที่อนุรักษ์ป่าไม้แล้วทำให้เกิดการจำกัดพื้นที่ไร่ของแต่ละบ้าน โดยปัจจุบันเหลือประมาณบ้านละ 3 แปลง (หน้า 84) แต่เนื่องจากดินที่หมู่บ้านป่าแป๋ส่วนใหญ่เป็นดินแดงทำให้เกิดปัญหาด้านการเกษตรเนื่องจากผลผลิตไม่ดี ผลผลิตไม่เพียงพอแก่การบริโภค ผลผลิตไม่ได้มาตราฐาน ทำให้ชาวบ้านรับการช่วยเหลือจากทางราชการโดยเข้ามาสนับสนุนให้มีการปลูกกาแฟ (หน้า 42, หน้า 86) โดยมีการปลูกแซมไว้ตามป่า ซึ่งปลูกแล้วได้ผลดี และสนับสนุนให้ปลูกลิ้นจี่ แต่ผลผลิตออกมาน้อยมาก

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ในอดีตชาวป่าแป๋มีการนำโดยผู้นำเผ่าที่เรียกว่า "ปกาฮีโข่" ต่อมาเมื่อมีการยกระดับให้เป็นหมู่บ้านจึงมีการเปลี่ยนเป็นพ่อหลวงบ้าน หรือผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง โดยมีวาระครั้งละ 5 ปี มาจากการเลือกตั้ง บ้านป่าแป๋มีผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว 7 คน ในปี 2535 ได้เริ่มมีการแต่งตั้งกรรมการหมู่บ้านขึ้น มีกรรมการหมู่บ้าน 10 คน และมีพยานอีก 44 คน โดยกรรมการหมู่บ้านจะเป็นผู้อาวุโสหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ นอกจากพ่อหลวงแล้วยังมีการแต่งตั้งผู้ช่วยขึ้น ไปดูแลแต่ละส่วนของหมู่บ้านป่าแป๋โดยแบ่งเป็นป๊อก มีจำนวน 4 ป๊อก (หน้า 55-56)

Belief System

ในอดีตชาวบ้านป่าแป๋มีการนับถือผีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยผ่านพิธีกรรมการเลี้ยงผีต่างๆ เช่น ผีไร่ ผีป่าผีดอย และมีความเชื่อเรื่องของขวัญ เมื่อมีการกระทำใดๆ ที่ผิดไปจากจารีต ประเพณี ซึ่งเป็นเป็นสิ่งที่เรียกว่า "ผิดผี" โดยทำให้ ขวัญได้หนีหายไป ซึ่งทำให้เกิดโทษเฉพาะบุคคล เช่นทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อมีโรงพยาบาลทำให้ความเชื่อดังกล่าวลดลง แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เชื่อเรื่องของการผิดผี นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมเช่นพิธีการมัดมือ หรือ "หนี่ ซอ โข่" เป็นพิธีมัดมือเรียกขวัญ กินเลี้ยงปีใหม่ หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว โดยทำปีละ 2 ครั้ง คือในช่วงเดือนมกราคม และเดือนสิงหาคมของทุกปี แต่ละครอบครัวจะผูกข้อมือเรียกขวัญให้กับคนในครอบครัว โดยในระดับหมู่บ้านจะมีการรดน้ำดำหัวผู้อาวุโสในหมู่บ้าน และร่วมพิธีรินเหล้าตามบ้านต่าง ๆ เมื่อผู้อาวุโสไปบ้านไหนก็จะผูกข้อมือให้กับเจ้าของบ้าน พิธีมัดมือควาย เมื่อชาวบ้านได้ควายมาใหม่แล้วก็จะมีการทำพิธีมัดมือควาย โดยเชิญหมอผีผู้นำพิธีกรรมประจำหมู่บ้าน มาเป็นผู้นำพิธี หมอผีจะนำด้ายขาวไปผูกไว้ที่เขาของควายทั้งสองข้าง แล้วกล่าวคำภาษาปกากะญอ การสู่ขวัญข้าว โดยเรียกพิธีดังกล่าวว่าขวัญข้าวเข้ายุ้ง มีการทำพิธีดังกล่าวเพื่อให้ข้าวเต็มยุ้งตลอดเวลา ต้องทำตลอดเมื่อเก็บข้าวเข้ายุ้ง (หน้า 49-53) ศาสนาพุทธได้เข้ามาในหมู่บ้านแต่ไม่มีใครรู้ว่าเริ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด โดยมีบทบาทอย่างมากเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ และการนับถือผีจะหายไปบ้างตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แต่ความเชื่อเรื่องการดูกระดูกไก่ และการนับถือผีบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่

Education and Socialization

ก่อนที่จะมีการตั้งโรงเรียนขึ้นในชุมชน มีการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องวิถีชิวิตจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานในลักษณะการผสมกลมกลืนไปกับวิถีชีวิต การถ่ายทอดจะมีอยู่ในชีวิตประจำวัน จากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จะสอนกันในบ้าน ในไร่นา อยู่ตลอดเวลา (หน้า 47) แต่เมื่อมีระบบการศึกษาทางภาครัฐเข้ามาสู่หมู่บ้านป่าแป๋ ก็ส่งผลต่อความเชื่อของชาวป่าแป๋มากยิ่งขึ้น โดยทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับผีและพิธีกรรมต่างๆ ของคนรุ่นใหม่ลดน้อยลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของประเพณีความเชื่อของหมู่บ้านป่าแป๋

Health and Medicine

ในหมู่บ้านมีที่ตั้งของศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน ที่ชาวบ้านป่าแป๋เรียกว่า อนามัย มีหมอพื้นบ้านมารักษาสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยขึ้นมาทุกวันศุกร์ และกลับเย็นวันจันทร์ ดังนั้นอนามัยจะเปิดทุกวันศุกร์ และวันจันทร์ นอกจากนี้ยังมี อสม. ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพอนามัยและเบิกจ่ายยาพื้นฐานแก่ชาวบ้าน และเนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากบ้านโฮ่งนัก ชาวบ้านจึงนิยมไปใช้บริการที่โรงพยาบาลบ้านโฮ่ง ชาวบ้านที่เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีความเชื่อเรื่องผีอยู่ ก็จะไปโรงพยาบาลและทำพิธีเลี้ยงผี เช่น กรณีของแม่ติ๊บ และพ่อลี (หน้า 47)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของชาวป่าแป๋มี 2 ลักษณะคือ 1. ชุดที่เหมือนคนเมือง โดยจะใส่เมื่อมีการไปติดต่อกับคนพื้นล่าง หรือลงไปรับจ้างคนพื้นล่าง ก็จะนุ่งกางเกง กับสวมเสื้อยืด หรือเสื้อเชิ้ตตามแต่จะมี 2. ชุดปกากะญอ โดยผู้หญิงถ้าอยู่กับบ้านก็จะใส่เสื้อปกากะญอ นุ่งซิ่น หากไปไร่จึงสวมเตี่ยว และเสื้อแขนยาว ในช่วงเวลาเย็นชาวบ้านป่าแป๋ก็จะมีการสวมชุดปกากะญอกัน โดย ผู้ชายใส่เสื้อสีแดงสด สาวชาวป่าแป๋ที่ยังไม่แต่งงานจะแต่งชุดยาวถึงข้อเท้า สีขาวมีด้ายสีแดง สีน้ำเงิน เขียวทอเป็นลาย และมีชายเป็นพู่ห้อย ชาวป่าแป๋เรียกชุดนี้ว่า "เชวา" (เช=เสื้อ/ชุด ,วา=ดำขาว) ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่ชุดสีดำ ปักลวดลายด้วยลูกเดือยหิน และด้ายสีต่างๆ เรียกว่า "เชซู" (ชู แปลว่า สีดำ) (หน้า 44-45)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

หมู่บ้านป่าแป๋มีที่ตั้งของหน่วยงานภาครัฐ 2-3 หน่วยงาน เริ่มจากด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านป่าแป๋ มีการสอนภาษาไทย และภาษาเมือง มีการสร้างศุนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน เพื่อทำหน้าที่แทนอนามัยโดยมีการรับสมัครเจ้าหน้าที่ อสม. ให้เข้าอบรมเพื่อเข้าไปดูแลคนในบ้าน และมีการตั้งศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา มีการแจกพันธุ์ลิ้นจี่ และกาแฟให้มีการทดลองปลูก ตั้งกลุ่มทอผ้าขึ้น เป็นต้น มีการร่วมกับกลุ่มองค์การบริหารส่วนตำบลป่าพลูในการส่งเสริมให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ หมู่บ้านป่าแป๋ยังเป็นพื้นที่เป้าหมายของการเข้ามาศึกษาชุมชนชองสถาบันการศึกษาอยู่บ่อยครั้ง (หน้า 56)

Social Cultural and Identity Change

หมู่บ้านป่าแป๋มีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน เมื่อมีการติดต่อกับโลกภายนอก การเข้ามาของสาธารณสุข และโรงเรียน ส่งผลกระทบต่อความคิดความเชื่อเรื่องผี และเรื่องขวัญในหมู่บ้าน แต่ในขณะเดียวกัน หมู่บ้านก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากภายนอก เช่น ความรู้เชิงนิเวศ ซึ่งส่งผลต่อความคิดในเรื่องการอนุรักษ์และกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าของชาวบ้านให้กลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น มีการสร้างกฎของหมู่บ้าน เป็นกลไกในการควบคุมพฤติกรรมของชาวบ้าน เพื่ออนุรักษ์ป่า (หน้า 105)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

กระบวนการอยู่ร่วมกับป่า ผู้วิจัยได้เสนอกระบวนการอยู่ร่วมกับป่าเป็น 2 มิติ โดยเป็นกระบวนการอยู่ร่วมกับป่ามิติที่เป็นนามธรรม และมิติที่เป็นรูปธรรม กระบวนการอยู่ร่วมกับป่ามิติที่เป็นนามธรรม คือการมองเรื่องความคิดความเชื่อ ซึ่งเห็นได้จากความเชื่อเรื่องผี จากกรณีของป่าช้า หรือ ปก่าโลปู คือเมื่อมีคนตายชาวบ้านจะนำไปเผาในป่า ไม่มีการสวด บริเวณเขตป่าช้าจึงเป็นเขตป่าต้องห้ามในการตัดต้นไม้หรือล่วงเกิน เพราะถือเป็นการรบกวนผีบรรพบุรุษ ผีของคนที่ตายไปอาจจะได้รับความเดือดร้อน ซึ่งทำให้ป่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมองในแง่วิธีคิด ความรู้เกี่ยวกับป่า และการดูแลรักษา โดยสะท้อนออกมาจากคำพูดที่สัมภาษณ์ชาวบ้าน เช่น การรักษาป่าและการใช้ชีวิตอยู่กับป่าอย่างพอมีพอกินของนายธนู อายุ 27 ปี เป็นต้น การะบวนการอยู่กับป่าในมิติที่เป็นรูปธรรม เห็นได้จากกฏของหมู่บ้านที่เกี่ยวข้องกับการรักษาป่า ในฐานะของ "หมู่บ้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม" พิธีกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่า โดยเห็นได้จาก "การบวชป่า" ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ของชาวบ้านป่าแป๋ เพราะเป็นงานที่คนจากพื้นล่างขึ้นมากันมาก และชาวบ้านป่าแป๋จะต้องเข้าร่วมทุกคน โรงเรียนจะหยุดสอนในวันนั้น เพื่อให้นักเรียนและครูเข้ามาร่วมพิธี โดยใช้ผ้าเหลืองผืนไม่ใหญ่นักห่มให้ต้นไม้ เพื่อให้ต้นไม้เติบโตต่อไป (หน้า 72-99)

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้ใช้แผนที่ ภาพถ่ายเพื่ออธิบายลักษณะหมู่บ้าน พิธีกรรม ความเชื่อ ของปกากะญอ และแผนผังที่แสดงวิธีคิด เช่น ภาพที่ 44 ภาวะเศรษฐกิจกับสำนึกการอนุรักษ์ (หน้า 98)

Text Analyst ธีรัช สีหะกุลัง Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), วิธีคิดเกี่ยวกับป่า, การปรับตัว, วรรณกรรม, ลำพูน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง