สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สังคม,ทรัพยากรธรรมชาติ,แม่ฮ่องสอน
Author ตุลวัตร พานิชเจริญ
Title การกล่อมเกลาทางสังคมในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 106 Year 2536
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ คณะศึกษาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมของชุมชนบ้านแม่หารมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติตัวองค์ความรู้ที่ชาวบ้านหรือบรรพบุรุษได้คิดค้นสืบต่อกันมานั้น มิได้ขาดออกจากความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างแนบแน่น (หน้า 81-82) ชุมชนกะเหรี่ยงมีวิถีชีวิตและการผลิตแบบยังชีพ มีระบบความเชื่อที่สัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ สามารถจำแนกได้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ ในระดับจิตวิญญาณ ระดับชุมชน ระดับเครือญาติและระดับครัวเรือน ความเชื่อได้ถูกปลูกฝังลงในจิตวิญญาณของสมาชิกภายในชุมชนและมีการสืบทอดโดยมีแผนของการเรียนรู้ที่ต่างจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ กล่าวคือ การเรียนรู้ของคนในชุมชนเกิดจากประสบการณ์ส่วนบุคคล ผ่านการปฏิบัติเพื่อลองผิดลองถูกแล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันระหว่างกลุ่มหรือชุมชน เพื่อสรุปเป็นบทเรียนและถ่ายทอดไปยังคนรุ่นหลังสืบต่อไป ในระดับชุมชน วิธีในการเรียนรู้ที่มีความสำคัญในการก่อให้เกิดความตระหนักรู้และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติคือ การร่วมพิธีกรรมที่สำคัญต่อชุมชนส่วนรวม เช่น การเลี้ยงผีขุนห้วย การเลี้ยงผีเจ้าเมือง ในขณะเดียวกันกลไกของรัฐที่มีอำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง ล้วนแต่เป็นปัจจัยและเงื่อนไขที่ทำให้ชุมชนมีการปรับเปลี่ยนระบบความคิดและมีการผลิตองค์ความรู้ใหม่ที่เหมาะสมขึ้น ซึ่งมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกชุมชน ระบบความคิดและความเชื่อ องค์ความรู้และองค์กรในการจัดการของชุมชนใดชุมชนหนึ่งจะสามารถดำรงอยู่เพื่อรับใช้หรือแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ จำเป็นต้องมีกระบวนการถ่ายทอดเรียนรู้และองค์กรชุมชนที่คอยทำหน้าที่ผสมผสานองค์ความรู้ทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ของชุมชนอย่างเหมาะสมและเกิดความสงบสุขท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สืบไป

Focus

ศึกษากระบวนการ วิธีการถ่ายทอดการเรียนรู้และการดำรงไว้ซึ่งความคิดในการอนุรักษ์ทรัพยากรตลอดจนเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดและเปลี่ยนแปลงกระบวนการถ่ายทอดการเรียนรู้ที่มีความเชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่หาร หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านกาด อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2536

History of the Group and Community

หมู่บ้านแม่หารเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับสมัยที่เริ่มก่อตั้งเมืองยวมใต้ (แม่สะเรียงในปัจจุบัน) ราว พ.ศ. 2483 กลุ่มชนดั้งเดิมเป็นกะเหรี่ยงที่เรียกตัวเองว่า "ปกาเกอะญอ" แปลว่า คน ยุคการตั้งถิ่นฐาน เมื่อประมาณ 150 ปีก่อน ระยะแรกได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนประมาณ 5-10 หลังคาเรือนในบริเวณที่ราบของหุบห้วยแม่หารต่อมาได้มีผู้คนขยับขยายรวมตัวกันก่อตั้งชุมชนขนาดใหญ่จนกลายเป็น "บ้านหลวง" มีอยู่ประมาณ 30-40 หลังคาเรือนและพัฒนาการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรพร้อมๆ กับชุมชนใกล้เคียง เช่น ชุมชนเมืองยวม ชุมชนแม่ต๋อบ เนื่องจากบ้านหลวงเกิดโรคระบาดต่อมาผู้นำชาวบ้านจึงเคลื่อนย้ายบ้านเรือนมาตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มห้วยแม่หาร ห่างจากที่เดิมลงมาทางใต้ 3 กิโลเมตรจนถึงปัจจุบัน ยุคสัมปทานป่าไม้ หลังจากศูนย์กลางอำนาจที่กรุงเทพฯ สามารถปฏิรูปการปกครองและดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางสำเร็จ ทางราชการได้แต่ตั้งผู้นำทางการให้ชุมชนโดยเรียกว่า "ผู้ใหญ่บ้าน" ในสมัยนั้นยังมีการตัดไม้อย่างเสรีโดยยึดกฏเกณฑ์ดั้งเดิมของชุมชนเป็นตัวควบคุมการใช้ทรัพยากรป่าไม้ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2497 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวาได้ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2506 ห้ามชุมชนตัดไม้จากป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ยุคแย่งชิงทรัพยากร ยุคนี้แสดงถึงพลังของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และได้พยายามที่จะต่อต้านสัมปทานการทำไม้ของบริษัทเอกชน แต่การต่อสู้ขัดขวางไม่สำเร็จเพราะกลุ่มต่อต้านถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผลให้บริษัทสามารถนำไม้ออกจากป่าได้ แต่หลังจากที่รัฐบาลได้ปิดป่าสัมปทานแล้ว ชาวบ้านแม่หารก็มีการดูแลรักษาป่าต้นน้ำด้วยตนเองมาตลอด(หน้า 33, 36-37)

Settlement Pattern

ไม่ปรากฏชัดเจน กล่าวเพียงว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ที่ราบริมฝั่งห้วยแม่หาร 158 หลังคาเรือนและห้วยแม่จ๋อน 25 หลังคาเรือน และเนื่องจากสังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมแบบครอบครัวขยาย แม้จะไม่ได้อยู่ชายคาเดียวกันแต่ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของลูกๆ ที่แต่งงานแล้วแยกเรือนออกไปก็ยังคงปลูกสร้างในอาณาบริเวณที่ใกล้เคียงกัน (หน้า 33,77)

Demography

ปัจจุบันประชากรบ้านแม่หารรวมถึงป๋อกแม่จ๋อนมีทั้งหมด 803 คน เป็นชาย 381 คน หญิง 422 คน รวม 183 หลังคาเรือนจำแนกตามกายภาคตามที่ราบริมฝั่งห้วยแม่หาร 158 หลังคาเรือนและห้วยแม่จ๋อน 25 หลังคาเรือน(หน้า 33)

Economy

วิธีการผลิตของชุมชนบ้านแม่หารแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะตามสภาพพื้นที่ได้แก่ ที่นา ที่สวนและที่ไร่ นอกจากใช้พื้นที่นาปลูกข้าวแล้ว นาบางที่ที่ใกล้ห้วยจะมีการปลูกพืชอื่นๆ หลังฤดูปลูกข้าว เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง หอม กระเทียม ยาสูบพื้นเมืองตลอดจนพืชผักสวนครัว ส่วนการเกษตรในสวนจะปลูกกล้วย มะม่วง กอไผ่และผักสวนครัวชนิดต่างๆ ไว้บริโภคในครัวเรือน นอกจากนี้ ชาวบ้านบางกลุ่มยังมีอาชีพเก็บของป่าขาย ตัดไม้และรับจ้างทำนาเพื่อแลกกับเงินหรือข้าวเปลือก (หน้า 39-40, 43)

Social Organization

ที่ดินสามารถใช้เป็นเกณฑ์การแบ่งชนชั้นทางสังคมออกเป็น 3 ลักษณะคือ ผู้ที่มีนามาก ส่วนมากจะเป็นผู้มีฐานะร่ำรวยในหมู่บ้าน สำหรับผู้มีนาและสวนพอกินพออยู่ จัดเป็นชนชั้นกลาง สำหรับผู้ที่ไม่มีนาเป็นของตนเอง กับผู้ที่ทำไร่ซึ่งมีมาก จัดเป็นคนยากจนในชุมชน (หน้า 39-40) สังคมกะเหรี่ยงนับถือญาติฝ่ายมารดา ผู้หญิงมีฐานะเป็นหัวหน้าตระกูล เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง นับถือพ่อแม่ คณาญาติ รวมทั้งผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง ดังนั้น กลุ่มตระกูลที่มีฝ่ายหญิงมากก็จะทำให้มีเสถียรภาพและมีอำนาจปกครองชุมชน(หน้า 45) ครอบครัวของกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวขยาย กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเกิดจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีและอบอุ่นในระดับครัวเรือนและขยายเผื่อแผ่ไปยังชุมชน หมู่บ้านและเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆ ในระดับครอบครัวของกะเหรี่ยงมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครัวเรือนค่อนข้างเด่นชัด (หน้า 69 - 70) นอกจากนี้ ยังมีองค์กรเหมืองฝายซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการจัดสรรน้ำก็จะมีการจัดระเบียบกลุ่มซึ่งมีหัวหน้าและสมาชิกซึ่งทำหน้าที่ต่างๆ (หน้า 49)

Political Organization

บ้านแม่หาร มีผู้ใหญ่บ้านและกลุ่ม อพป.ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทางราชการจัดขึ้นแต่ชาวบ้านจะเป็นผู้คัดเลือก ทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อยและการปกครองในหมู่บ้าน การปกครองในหมู่บ้านแม่หารแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 คุ้ม และมีการตั้งหัวหน้าคุ้มเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ใหญ่บ้าน ส่วนผู้นำตามประเพณีหรือกลุ่มผู้อาวุโส จะเป็นหัวหน้ากลุ่มตระกูลในชุมชนที่กลุ่มชาวบ้านเคารพนับถือมาก และผู้รู้อย่าง "ก่อโข่" นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้นำที่ไม่เป็นทางการคือ พระธรรมจาริกซึ่งเป็นกลุ่มคนภายนอกที่เข้ามามีบทบาทต่อชุมชนในด้านการพัฒนา ซึ่งกลุ่มนี้สามารถหาแหล่งทุนสนับสนุนหมู่บ้าน จึงเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในชุมชน (หน้า 48)

Belief System

ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ ณ ที่นี้สามารถจำแนกได้เป็น 4 ระดับได้แก่ (1) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กันในระดับจิตวิญญาณ กะเหรี่ยงเชื่อว่ามนุษย์ ดิน น้ำ ป่าไม้ ฯลฯ ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า (เก่ยจาวา) เมื่อสร้างทุกอย่างเสร็จก็เสด็จประทับที่ที่นอกเหนือจากระบบธรรมชาติทั้งหลาย โดยมีการมอบหมายให้เทพารักษ์คุ้มครองสิ่งต่างๆ ที่พระองค์สร้างขึ้น ทำให้กะเหรี่ยงนอกจากจะสำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติแล้ว ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เห็นได้จากการประกอบพิธีกรรมและอธิษฐานขอจากผู้ดูแลรักษาทุกครั้ง การประกอบพิธีเลี้ยงผีเจ้าเมืองเป็นพิธีที่มีความเชื่อว่าผีเจ้าเมืองและวิญญาณบรรพบุรุษสามารถบันดาลให้พวกเขาสมปรารถนาในทุกๆ เรื่อง ในพิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้ามืด มีการนำหมูมาฆ่าบริเวณหอเจ้าเมือง (2) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติในระดับชุมชน ชาวบ้านมีการจำแนกและจัดการทรัพยากรดิน น้ำและป่าไม้ให้สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต โดยจัดสรรตามลักษณะประโยชน์ใช้สอย ป่าสามารถออกเป็น ป่าต้นน้ำ ป่าใช้สอยและป่าพิธีกรรม แหล่งน้ำสามารถแบ่งตามประโยชน์ใช้สอยได้ 2 ลักษณะได้แก่ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรซึ่งมีการจัดทำระบบเหมืองฝายถึง 15 ลูกและแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ในส่วนของที่ดิน มีการแบ่งประเภทเป็น 3 ลักษณะได้แก่ ที่ดินสาธารณะ ที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกิน ในอดีตการทำไร่ต้องไม่เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในเขตป่าชุมชนอื่นถ้าล่วงล้ำต้องเสียควายเซ่นผีให้เขา ต้องไม่เป็นสถานที่ต้องห้ามตามความเชื่อ เช่น ยอดดอย "เดโซพา" ซึ่งเป็นที่สถิตของผีขุนห้วย เป็นต้น ต้องไม่เป็นป่าซับน้ำหรือตาน้ำไหล ดินต้องมีความอุดมสมบูรณ์ดีจะมีต้นไม้ใหญ่และวัชพืชขึ้นอย่างรกทึบและต้องถือตามโชคลาง เช่น ขณะเดินทาง ระหว่างไปเจองูเลื้อยตัดหน้า ให้ยุติการเดินทางทันที ค่อยไปวันใหม่ เพราะงูเป็นสัญลักษณ์ของหนทางที่ยาวไกลถึงไปก็ประสบผลสำเร็จได้ยาก เป็นต้น พิธีเลี้ยงผีขุนห้วย เป็นการขออำนวยพรให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์และขอให้ปกปักรักษาข้าวปลาอาหารให้อุดมสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะนำของเซ่นไหว้มาถวาย (3) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับระบบเครือญาติและบรรพบุรุษ ธรรมเนียมการสืบตระกูลของกะเหรี่ยงจะมีการสืบทอดหรือนับถือระบบเครือญาติฝ่ายมารดา ซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้าตระกูล ฝ่ายชายเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง ผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลนอกจากจะเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากลูกหลานในตระกูลแล้ว ยังได้รับการยอมรับนับถือจากชุมชนในฐานะผู้นำทางธรรมชาติ ที่มีความชำนาญในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของชุมชนอีกด้วย (4) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์ในระดับครัวเรือน ความเชื่อของกะเหรี่ยงในระดับครอบครัวที่ส่งผลต่อระดับชุมชน เช่น หากสมาชิกคนใดไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนในครอบครัวอื่น โดยยังมิได้แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี จะต้องทำพิธีขอขมาหมู่บ้าน หากไม่ทำพิธีดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อหมู่บ้านได้ เป็นต้น ในระดับครอบครัว นอกจากมีความเชื่อที่สัมพันธ์กับชีวิตแล้ว การแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครัวเรือนยังมีความชัดเจนอีกด้วย ส่วนความสัมพันธ์กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในระดับครัวเรือน ส่วนมากจะเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการทำมาหากินเป็นหลัก (หน้า 53 -82 ) ความเชื่อในระดับครอบครัว หากสมาชิกในครอบครัวคนใดไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนในครอบครัวอื่นโดยที่ยังมิได้แต่งงานจะต้องทำพิธีขอขมาหมู่บ้าน (หน้า 70)

Education and Socialization

สังคมกะเหรี่ยง ลูกผู้หญิงจะถูกสอนโดยผู้เป็นแม่และผู้อาวุโสในเรื่องเกี่ยวกับการดำรงชีวิตต่างๆ อีกทั้งยังได้เรียนรู้จากการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ในขณะที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกัน เมื่อเพื่อนฝูงมีประสบการณ์มากกว่าก็จะคอยแนะนำกัน ส่วนเด็กผู้ชายก็จะได้รับการสอนจากผู้เป็นพ่อ นอกจากนี้ ยังได้รับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจากเพื่อนและผู้อาวุโสอีกด้วย (หน้า 77-78) หมู่บ้านแม่หาร ทางราชการได้ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษาในหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ.2496 เป็นหลักสูตรที่กำหนดมาจากส่วนกลางโดยมีครูซึ่งเป็นข้าราชการจากส่วนกลางมาสอน (หน้า 88) ในยุคของการให้สัมปทานการทำไม้ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ จากชุมชนที่มีสิทธิและอำนาจตัดสินใจ มาเป็นการปกครองโดยตัวบทกฏหมาย ซึ่งผ่านทางการปกครองและการศึกษาจากส่วนกลาง และกลายเป็นการยอมรับการถูกปกครองไปโดยปริยาย จากการจัดการศึกษาสมัยใหม่ของรัฐบาล ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ความเชื่อและการดำรงอยู่ของคนในชุมชน มีผลทำให้การกล่อมเกลาทางสังคมของบ้านแม่หารเปลี่ยนแปลงไปด้วย (หน้า 86-90)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงมีอุปนิสัยที่อ่อนน้อมและเคารพต่อธรรมชาติและเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน (หน้า 62,69)

Social Cultural and Identity Change

แต่เดิมวิถีชีวิตของชาวบ้านแม่หารมีความเป็นอยู่ที่ผูกพันกับการทำไร่ข้าวมาตลอด ต่อมาระยะหลังมีการบุกเบิกนาดำมากขึ้น การทำไร่จึงค่อยๆ ลดลง (หน้า 41) ในอดีต กะเหรี่ยงดำรงชีพด้วยการทำไร่ข้าวหมุนเวียน เมื่อเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวบ้านจะปล่อยที่ไร่ทิ้งไว้ 7-10 ปีเพื่อรอให้ดินฟื้นความอุดมสมบูรณ์ตามวิถีแห่งธรรมชาติ (หน้า 73)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

- ตารางแสดงการแจกแจงการถือครองที่ดินในหมู่บ้านแม่หาร(44) - แผนที่แสดงที่ตั้งจังหวัดแม่ฮ่องสอน(34) - แผนที่แสดงที่ตั้งอำเภอแม่สะเรียง(35)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 23 เม.ย 2556
TAG ปกาเกอะญอ, จกอ, คานยอ, กะเหรี่ยง, สังคม, ทรัพยากรธรรมชาติ, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง