|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),สังคม,ทรัพยากรธรรมชาติ,แม่ฮ่องสอน |
Author |
ตุลวัตร พานิชเจริญ |
Title |
การกล่อมเกลาทางสังคมในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
106 |
Year |
2536 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ คณะศึกษาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมของชุมชนบ้านแม่หารมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติตัวองค์ความรู้ที่ชาวบ้านหรือบรรพบุรุษได้คิดค้นสืบต่อกันมานั้น มิได้ขาดออกจากความเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอธิบายให้เห็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างแนบแน่น (หน้า 81-82) ชุมชนกะเหรี่ยงมีวิถีชีวิตและการผลิตแบบยังชีพ มีระบบความเชื่อที่สัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ สามารถจำแนกได้เป็น 4 ระดับ ได้แก่ ในระดับจิตวิญญาณ ระดับชุมชน ระดับเครือญาติและระดับครัวเรือน ความเชื่อได้ถูกปลูกฝังลงในจิตวิญญาณของสมาชิกภายในชุมชนและมีการสืบทอดโดยมีแผนของการเรียนรู้ที่ต่างจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ กล่าวคือ การเรียนรู้ของคนในชุมชนเกิดจากประสบการณ์ส่วนบุคคล ผ่านการปฏิบัติเพื่อลองผิดลองถูกแล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันระหว่างกลุ่มหรือชุมชน เพื่อสรุปเป็นบทเรียนและถ่ายทอดไปยังคนรุ่นหลังสืบต่อไป ในระดับชุมชน วิธีในการเรียนรู้ที่มีความสำคัญในการก่อให้เกิดความตระหนักรู้และมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติคือ การร่วมพิธีกรรมที่สำคัญต่อชุมชนส่วนรวม เช่น การเลี้ยงผีขุนห้วย การเลี้ยงผีเจ้าเมือง ในขณะเดียวกันกลไกของรัฐที่มีอำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง ล้วนแต่เป็นปัจจัยและเงื่อนไขที่ทำให้ชุมชนมีการปรับเปลี่ยนระบบความคิดและมีการผลิตองค์ความรู้ใหม่ที่เหมาะสมขึ้น ซึ่งมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกชุมชน ระบบความคิดและความเชื่อ องค์ความรู้และองค์กรในการจัดการของชุมชนใดชุมชนหนึ่งจะสามารถดำรงอยู่เพื่อรับใช้หรือแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ จำเป็นต้องมีกระบวนการถ่ายทอดเรียนรู้และองค์กรชุมชนที่คอยทำหน้าที่ผสมผสานองค์ความรู้ทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ของชุมชนอย่างเหมาะสมและเกิดความสงบสุขท่ามกลางสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สืบไป |
|
Focus |
ศึกษากระบวนการ วิธีการถ่ายทอดการเรียนรู้และการดำรงไว้ซึ่งความคิดในการอนุรักษ์ทรัพยากรตลอดจนเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดและเปลี่ยนแปลงกระบวนการถ่ายทอดการเรียนรู้ที่มีความเชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่หาร หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านกาด อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านแม่หารเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับสมัยที่เริ่มก่อตั้งเมืองยวมใต้ (แม่สะเรียงในปัจจุบัน) ราว พ.ศ. 2483 กลุ่มชนดั้งเดิมเป็นกะเหรี่ยงที่เรียกตัวเองว่า "ปกาเกอะญอ" แปลว่า คน ยุคการตั้งถิ่นฐาน เมื่อประมาณ 150 ปีก่อน ระยะแรกได้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนประมาณ 5-10 หลังคาเรือนในบริเวณที่ราบของหุบห้วยแม่หารต่อมาได้มีผู้คนขยับขยายรวมตัวกันก่อตั้งชุมชนขนาดใหญ่จนกลายเป็น "บ้านหลวง" มีอยู่ประมาณ 30-40 หลังคาเรือนและพัฒนาการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรพร้อมๆ กับชุมชนใกล้เคียง เช่น ชุมชนเมืองยวม ชุมชนแม่ต๋อบ เนื่องจากบ้านหลวงเกิดโรคระบาดต่อมาผู้นำชาวบ้านจึงเคลื่อนย้ายบ้านเรือนมาตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มห้วยแม่หาร ห่างจากที่เดิมลงมาทางใต้ 3 กิโลเมตรจนถึงปัจจุบัน ยุคสัมปทานป่าไม้ หลังจากศูนย์กลางอำนาจที่กรุงเทพฯ สามารถปฏิรูปการปกครองและดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางสำเร็จ ทางราชการได้แต่ตั้งผู้นำทางการให้ชุมชนโดยเรียกว่า "ผู้ใหญ่บ้าน" ในสมัยนั้นยังมีการตัดไม้อย่างเสรีโดยยึดกฏเกณฑ์ดั้งเดิมของชุมชนเป็นตัวควบคุมการใช้ทรัพยากรป่าไม้ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2497 มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวาได้ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2506 ห้ามชุมชนตัดไม้จากป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ยุคแย่งชิงทรัพยากร ยุคนี้แสดงถึงพลังของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และได้พยายามที่จะต่อต้านสัมปทานการทำไม้ของบริษัทเอกชน แต่การต่อสู้ขัดขวางไม่สำเร็จเพราะกลุ่มต่อต้านถูกกล่าวหาว่าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผลให้บริษัทสามารถนำไม้ออกจากป่าได้ แต่หลังจากที่รัฐบาลได้ปิดป่าสัมปทานแล้ว ชาวบ้านแม่หารก็มีการดูแลรักษาป่าต้นน้ำด้วยตนเองมาตลอด(หน้า 33, 36-37) |
|
Settlement Pattern |
ไม่ปรากฏชัดเจน กล่าวเพียงว่าบ้านเรือนตั้งอยู่ที่ราบริมฝั่งห้วยแม่หาร 158 หลังคาเรือนและห้วยแม่จ๋อน 25 หลังคาเรือน และเนื่องจากสังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมแบบครอบครัวขยาย แม้จะไม่ได้อยู่ชายคาเดียวกันแต่ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของลูกๆ ที่แต่งงานแล้วแยกเรือนออกไปก็ยังคงปลูกสร้างในอาณาบริเวณที่ใกล้เคียงกัน (หน้า 33,77) |
|
Demography |
ปัจจุบันประชากรบ้านแม่หารรวมถึงป๋อกแม่จ๋อนมีทั้งหมด 803 คน เป็นชาย 381 คน หญิง 422 คน รวม 183 หลังคาเรือนจำแนกตามกายภาคตามที่ราบริมฝั่งห้วยแม่หาร 158 หลังคาเรือนและห้วยแม่จ๋อน 25 หลังคาเรือน(หน้า 33) |
|
Economy |
วิธีการผลิตของชุมชนบ้านแม่หารแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะตามสภาพพื้นที่ได้แก่ ที่นา ที่สวนและที่ไร่ นอกจากใช้พื้นที่นาปลูกข้าวแล้ว นาบางที่ที่ใกล้ห้วยจะมีการปลูกพืชอื่นๆ หลังฤดูปลูกข้าว เช่น ถั่วลิสง ถั่วเหลือง หอม กระเทียม ยาสูบพื้นเมืองตลอดจนพืชผักสวนครัว ส่วนการเกษตรในสวนจะปลูกกล้วย มะม่วง กอไผ่และผักสวนครัวชนิดต่างๆ ไว้บริโภคในครัวเรือน นอกจากนี้ ชาวบ้านบางกลุ่มยังมีอาชีพเก็บของป่าขาย ตัดไม้และรับจ้างทำนาเพื่อแลกกับเงินหรือข้าวเปลือก (หน้า 39-40, 43) |
|
Social Organization |
ที่ดินสามารถใช้เป็นเกณฑ์การแบ่งชนชั้นทางสังคมออกเป็น 3 ลักษณะคือ ผู้ที่มีนามาก ส่วนมากจะเป็นผู้มีฐานะร่ำรวยในหมู่บ้าน สำหรับผู้มีนาและสวนพอกินพออยู่ จัดเป็นชนชั้นกลาง สำหรับผู้ที่ไม่มีนาเป็นของตนเอง กับผู้ที่ทำไร่ซึ่งมีมาก จัดเป็นคนยากจนในชุมชน (หน้า 39-40) สังคมกะเหรี่ยงนับถือญาติฝ่ายมารดา ผู้หญิงมีฐานะเป็นหัวหน้าตระกูล เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง นับถือพ่อแม่ คณาญาติ รวมทั้งผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง ดังนั้น กลุ่มตระกูลที่มีฝ่ายหญิงมากก็จะทำให้มีเสถียรภาพและมีอำนาจปกครองชุมชน(หน้า 45) ครอบครัวของกะเหรี่ยงเป็นครอบครัวขยาย กะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเกิดจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีและอบอุ่นในระดับครัวเรือนและขยายเผื่อแผ่ไปยังชุมชน หมู่บ้านและเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆ ในระดับครอบครัวของกะเหรี่ยงมีการแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครัวเรือนค่อนข้างเด่นชัด (หน้า 69 - 70) นอกจากนี้ ยังมีองค์กรเหมืองฝายซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการจัดสรรน้ำก็จะมีการจัดระเบียบกลุ่มซึ่งมีหัวหน้าและสมาชิกซึ่งทำหน้าที่ต่างๆ (หน้า 49) |
|
Political Organization |
บ้านแม่หาร มีผู้ใหญ่บ้านและกลุ่ม อพป.ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทางราชการจัดขึ้นแต่ชาวบ้านจะเป็นผู้คัดเลือก ทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องความสงบเรียบร้อยและการปกครองในหมู่บ้าน การปกครองในหมู่บ้านแม่หารแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 คุ้ม และมีการตั้งหัวหน้าคุ้มเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ใหญ่บ้าน ส่วนผู้นำตามประเพณีหรือกลุ่มผู้อาวุโส จะเป็นหัวหน้ากลุ่มตระกูลในชุมชนที่กลุ่มชาวบ้านเคารพนับถือมาก และผู้รู้อย่าง "ก่อโข่" นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้นำที่ไม่เป็นทางการคือ พระธรรมจาริกซึ่งเป็นกลุ่มคนภายนอกที่เข้ามามีบทบาทต่อชุมชนในด้านการพัฒนา ซึ่งกลุ่มนี้สามารถหาแหล่งทุนสนับสนุนหมู่บ้าน จึงเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในชุมชน (หน้า 48) |
|
Belief System |
ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ ณ ที่นี้สามารถจำแนกได้เป็น 4 ระดับได้แก่ (1) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กันในระดับจิตวิญญาณ กะเหรี่ยงเชื่อว่ามนุษย์ ดิน น้ำ ป่าไม้ ฯลฯ ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า (เก่ยจาวา) เมื่อสร้างทุกอย่างเสร็จก็เสด็จประทับที่ที่นอกเหนือจากระบบธรรมชาติทั้งหลาย โดยมีการมอบหมายให้เทพารักษ์คุ้มครองสิ่งต่างๆ ที่พระองค์สร้างขึ้น ทำให้กะเหรี่ยงนอกจากจะสำนึกในการเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติแล้ว ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เห็นได้จากการประกอบพิธีกรรมและอธิษฐานขอจากผู้ดูแลรักษาทุกครั้ง การประกอบพิธีเลี้ยงผีเจ้าเมืองเป็นพิธีที่มีความเชื่อว่าผีเจ้าเมืองและวิญญาณบรรพบุรุษสามารถบันดาลให้พวกเขาสมปรารถนาในทุกๆ เรื่อง ในพิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้ามืด มีการนำหมูมาฆ่าบริเวณหอเจ้าเมือง (2) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติในระดับชุมชน ชาวบ้านมีการจำแนกและจัดการทรัพยากรดิน น้ำและป่าไม้ให้สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต โดยจัดสรรตามลักษณะประโยชน์ใช้สอย ป่าสามารถออกเป็น ป่าต้นน้ำ ป่าใช้สอยและป่าพิธีกรรม แหล่งน้ำสามารถแบ่งตามประโยชน์ใช้สอยได้ 2 ลักษณะได้แก่ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรซึ่งมีการจัดทำระบบเหมืองฝายถึง 15 ลูกและแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ในส่วนของที่ดิน มีการแบ่งประเภทเป็น 3 ลักษณะได้แก่ ที่ดินสาธารณะ ที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกิน ในอดีตการทำไร่ต้องไม่เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในเขตป่าชุมชนอื่นถ้าล่วงล้ำต้องเสียควายเซ่นผีให้เขา ต้องไม่เป็นสถานที่ต้องห้ามตามความเชื่อ เช่น ยอดดอย "เดโซพา" ซึ่งเป็นที่สถิตของผีขุนห้วย เป็นต้น ต้องไม่เป็นป่าซับน้ำหรือตาน้ำไหล ดินต้องมีความอุดมสมบูรณ์ดีจะมีต้นไม้ใหญ่และวัชพืชขึ้นอย่างรกทึบและต้องถือตามโชคลาง เช่น ขณะเดินทาง ระหว่างไปเจองูเลื้อยตัดหน้า ให้ยุติการเดินทางทันที ค่อยไปวันใหม่ เพราะงูเป็นสัญลักษณ์ของหนทางที่ยาวไกลถึงไปก็ประสบผลสำเร็จได้ยาก เป็นต้น พิธีเลี้ยงผีขุนห้วย เป็นการขออำนวยพรให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์และขอให้ปกปักรักษาข้าวปลาอาหารให้อุดมสมบูรณ์ โดยชาวบ้านจะนำของเซ่นไหว้มาถวาย (3) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์กับระบบเครือญาติและบรรพบุรุษ ธรรมเนียมการสืบตระกูลของกะเหรี่ยงจะมีการสืบทอดหรือนับถือระบบเครือญาติฝ่ายมารดา ซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้าตระกูล ฝ่ายชายเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิง ผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลนอกจากจะเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องจากลูกหลานในตระกูลแล้ว ยังได้รับการยอมรับนับถือจากชุมชนในฐานะผู้นำทางธรรมชาติ ที่มีความชำนาญในการประกอบพิธีกรรมต่างๆของชุมชนอีกด้วย (4) ความเชื่อที่มีความสัมพันธ์ในระดับครัวเรือน ความเชื่อของกะเหรี่ยงในระดับครอบครัวที่ส่งผลต่อระดับชุมชน เช่น หากสมาชิกคนใดไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนในครอบครัวอื่น โดยยังมิได้แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี จะต้องทำพิธีขอขมาหมู่บ้าน หากไม่ทำพิธีดังกล่าวอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อหมู่บ้านได้ เป็นต้น ในระดับครอบครัว นอกจากมีความเชื่อที่สัมพันธ์กับชีวิตแล้ว การแบ่งบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครัวเรือนยังมีความชัดเจนอีกด้วย ส่วนความสัมพันธ์กับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในระดับครัวเรือน ส่วนมากจะเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการทำมาหากินเป็นหลัก (หน้า 53 -82 ) ความเชื่อในระดับครอบครัว หากสมาชิกในครอบครัวคนใดไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคนในครอบครัวอื่นโดยที่ยังมิได้แต่งงานจะต้องทำพิธีขอขมาหมู่บ้าน (หน้า 70) |
|
Education and Socialization |
สังคมกะเหรี่ยง ลูกผู้หญิงจะถูกสอนโดยผู้เป็นแม่และผู้อาวุโสในเรื่องเกี่ยวกับการดำรงชีวิตต่างๆ อีกทั้งยังได้เรียนรู้จากการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ในขณะที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกัน เมื่อเพื่อนฝูงมีประสบการณ์มากกว่าก็จะคอยแนะนำกัน ส่วนเด็กผู้ชายก็จะได้รับการสอนจากผู้เป็นพ่อ นอกจากนี้ ยังได้รับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจากเพื่อนและผู้อาวุโสอีกด้วย (หน้า 77-78) หมู่บ้านแม่หาร ทางราชการได้ดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษาในหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ.2496 เป็นหลักสูตรที่กำหนดมาจากส่วนกลางโดยมีครูซึ่งเป็นข้าราชการจากส่วนกลางมาสอน (หน้า 88) ในยุคของการให้สัมปทานการทำไม้ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ จากชุมชนที่มีสิทธิและอำนาจตัดสินใจ มาเป็นการปกครองโดยตัวบทกฏหมาย ซึ่งผ่านทางการปกครองและการศึกษาจากส่วนกลาง และกลายเป็นการยอมรับการถูกปกครองไปโดยปริยาย จากการจัดการศึกษาสมัยใหม่ของรัฐบาล ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ความเชื่อและการดำรงอยู่ของคนในชุมชน มีผลทำให้การกล่อมเกลาทางสังคมของบ้านแม่หารเปลี่ยนแปลงไปด้วย (หน้า 86-90) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงมีอุปนิสัยที่อ่อนน้อมและเคารพต่อธรรมชาติและเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน (หน้า 62,69) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แต่เดิมวิถีชีวิตของชาวบ้านแม่หารมีความเป็นอยู่ที่ผูกพันกับการทำไร่ข้าวมาตลอด ต่อมาระยะหลังมีการบุกเบิกนาดำมากขึ้น การทำไร่จึงค่อยๆ ลดลง (หน้า 41) ในอดีต กะเหรี่ยงดำรงชีพด้วยการทำไร่ข้าวหมุนเวียน เมื่อเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวบ้านจะปล่อยที่ไร่ทิ้งไว้ 7-10 ปีเพื่อรอให้ดินฟื้นความอุดมสมบูรณ์ตามวิถีแห่งธรรมชาติ (หน้า 73) |
|
Map/Illustration |
- ตารางแสดงการแจกแจงการถือครองที่ดินในหมู่บ้านแม่หาร(44) - แผนที่แสดงที่ตั้งจังหวัดแม่ฮ่องสอน(34) - แผนที่แสดงที่ตั้งอำเภอแม่สะเรียง(35) |
|
|