สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),เกษตรกรรม,สังคมวัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,เชียงใหม่
Author ธันวดี ดอนวิเศษ
Title การเปลี่ยนแปลงระบบการทำเกษตรและผลกระทบที่มีต่อการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่ลอง
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 71 Year 2545
Source หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต (บัณฑิตอาสาสมัคร) สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

การศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการทำการเกษตรและผลกระทบที่มีต่อการดำรงชีวิตของชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านแม่ลอง โดยพบว่า ระบบการทำไร่หมุนเวียนได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง คือ การถูกจำกัดพื้นที่ในการทำกินของชาวบ้าน ทำให้พื้นที่ไร่หมุนเวียนมีจำนวนลดลงแต่เดิมที่เคยมี 7-8 แปลง เหลือเพียง 3-4 แปลง ชาวบ้านใช้พื้นที่แปลงที่ 1 ปลูกข้าวไร่แบบเดิม โดยใช้แปลงที่ 2 ปลูกพืชเศรษฐกิจในรอบปีการผลิตและสลับหมุนเวียน ในการปลูกพืชแต่ละแปลงจะถูกพักนาน 3 ปี เกิดการเปลี่ยนระบบการผลิตเพื่อบริโภคอย่างเดียวไปเป็นเพื่อการค้าด้วย พืชเศรษฐกิจชนิดแรกที่ปลูก คือ ถั่วแดง ต่อมาชาวบ้านหันมาปลูกถั่วเหลือง กะหล่ำปลี และแครอท ตามลำดับ ทำให้ปัจจุบันกะหล่ำปลีและแครอทกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ การลงทุนในการปลูกพืชทั้ง 2 ชนิดค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ทำให้ต้องกู้เงินมาลงทุนอันส่งผลต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้าน ทำให้จำนวนไร่หมุนเวียนลดลง ผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือน การคาดการณ์ในอนาคตชาวบ้านร่วมกันเห็นว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัวคงจะดีกว่าปัจจุบัน เพราะจะปลูกพืชเศรษฐกิจให้มากขึ้นควบคู่กับการปลูกข้าวไร่

Focus

ผู้วิจัยมุ่งศึกษาระบบการทำไร่หมุนเวียนตามแบบเดิมและการเปลี่ยนแปลงระบบการทำไร่หมุนเวียนของชาวบ้านแม่ลอง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อีกทั้งศึกษาถึงการคาดการณ์และความคาดหวังในอนาคต (หน้า 1)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ใน หมู่ที่ 3 บ้านแม่ลอง ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านที่บ้านแม่ลองเป็นกะเหรี่ยงสะกอ โดยเรียกตัวเองว่า ปกากอเญอ (หน้า 6)

Language and Linguistic Affiliations

การติดต่อระหว่างภายในชุมชนใช้ภาษากะเหรี่ยง แต่ถ้าติดต่อกับบุคคล ภายนอกรวมทั้งการติดต่อกับหน่วยงานราชการจะใช้ภาษาคำเมือง ผู้ชายและเด็กสามารถพูดภาษาคำเมืองและภาษาไทยได้มากกว่าผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงไม่ค่อยได้ติดต่อกับบุคคลภายนอก นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังมีตัวอักษรกะเหรี่ยงเป็นของตนเอง โดยผู้ที่อ่านและเขียนได้ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นพ่อแม่ ไปจนถึงคนแก่ แต่ก็มีหลายคนที่ไม่รู้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ (หน้า 21) การตั้งชื่อและนามสกุล คำนำหน้าที่เรียกชื่อผู้หญิง คือ "หน่อ" ส่วนผู้ชายใช้คำว่า "พา" แล้วจึงตามด้วยภาษากะเหรี่ยง ต่อมา เมื่อต้องไปติดต่อกับหน่วยงานราชการจึงต้องมีชื่อภาษาไทยเพื่อความสะดวก แต่เดิมชาวบ้านไม่มีนามสกุลใช้ เริ่มมีใช้เมื่อ พ.ศ. 2520 โดยการไปขอใช้ที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม จึงมีหลายครอบครัวที่นามสกุลร่วมกัน แม้ไม่ใช่ญาติกัน (หน้า 16-7)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเริ่มเข้าไปเก็บข้อมูลในชุมชนเมื่อไร เพียงแต่ระบุว่าใช้เวลาประมาณ 7 เดือน (หน้า คำนำ)

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงบ้านแม่ลองอพยพมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง โดยหัวหน้าหมู่บ้านหรือฮีโข่ (ผู้นำตามธรรมชาติ) เป็นผู้ตั้งหมู่บ้านมาประมาณร้อยกว่าปี ในอดีตมีครัวเรือนเพียง 4-5 ครอบครัว เมื่อมีการแต่งงานจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นทำให้พื้นที่หมู่บ้านขยายออกไป และเมื่อมีหน่วยงานจากทางราชการต้องการให้มีที่อยู่ถาวรเป็นหลักแหล่ง ทำให้ตั้งเป็นชุมชนจนถึงปัจจุบัน ส่วนการตั้งชื่อหมู่บ้านมาจากลำห้วยที่ไหลผ่านคือ ลำห้วยแม่ลอง การพัฒนาหมู่บ้านแม่ลองมีขึ้นตามลำดับ เช่น ใน พ.ศ. 2517 ทางอำเภอแม่แจ่มประกาศพื้นที่หมู่บ้านแม่ลองเป็นป่าสงวนแห่งชาติแม่แจ่มซึ่งมีพื้นที่ 34,375 ไร่ และในวันที่ 12 ก.ค. พ.ศ. 2527 ได้เปิดการสอนหนังสือแก่นักเรียนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง โดยโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแม่ลองในพ.ศ. 2537 เข้าร่วมโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน และพ.ศ. 2538 ศูนย์พัฒนาและเผยแพร่พลังงานภูมิภาค จ.เชียงใหม่ ได้สร้างระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ (หน้า 6-7)

Settlement Pattern

การตั้งบ้านเรือน หมู่ที่ 3 บ้านแม่ลอง มี 2 กลุ่มบ้าน คือ บ้านแม่ลองเหนือและบ้านแม่ลองใต้ห่างกันประมาณ 1 กม.ตั้งอยู่บนบริเวณไหล่เขาและเนินเขา มีลักษณะการตั้งอยู่รวมกัน แต่เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอการตั้งบ้านเรือนจึงขยายออกไปตามไหล่เขา ลักษณะบ้านเรือน ประกอบ ด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ ตัวบ้าน ยุ้งฉาง ลานบ้าน และครกกระเดื่องตำข้าว ใต้ถุนบ้านที่ยกพื้นสูง 1-2 ม. เพื่อเลี้ยงสัตว์และเก็บฟืน ตัวบ้านมีเสาขนาดเล็ก 12-15 ต้น ใช้หญ้าคาหรือใบตองสาดมุงหลังคา ส่วนฝาผนังทำจากไม้ผ่าซีกหรือไม้กระดาน ซึ่งมีบางหลังที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและสังกะสี โดยฝาผนังและพื้นทำด้วยไม้กระดาน บ้านที่สร้างจากวัสดุธรรมชาติ จะมีเพียงห้องเอนกประสงค์ห้องเดียวใช้ทั้งนอน ทำอาหารและกินอาหาร รวมทั้งรับแขก ยังมีชานบ้านเล็กๆ สำหรับพักผ่อน ส่วนบ้านที่สร้างจากวัสดุแบบใหม่ จะแยกห้องนอนเป็นสัดส่วนสำหรับลูกชายและลูกสาว ส่วนพ่อแม่ยังคงนอนบริเวณห้องไฟ (ห้องครัว) โดยห้องนี้มีเตาไฟเพื่อประกอบอาหาร และให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว ด้านบนเตาไฟจะมีชั้นเก็บของ 3 ชั้น และเป็นที่ผึ่งเมล็ดพืชผักสำหรับใช้ในการเพาะปลูก ชานบ้านมีไว้เป็นที่ทำงานยามว่าง เช่น ทอผ้า จักสาน (หน้า 21-23)

Demography

ประชากรที่หมู่บ้านแม่ลองมีครัวเรือน 2 กลุ่มบ้านรวมทั้งหมด 79 ครัวเรือน มี 10 ครัวเรือนไม่มีเลขที่บ้านแต่ใช้ทะเบียนบ้านร่วมกับญาติพี่น้อง โดยมีประชากรรวม 399 คน โดยแบ่งเป็นชาย 191 คน และหญิง 208 คน โดยกลุ่มอายุระหว่าง 15-44 ปีมีมากที่สุดมีจำนวน 191 คน ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อชุมชนมากเพราะเป็นวัยแรงงาน รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 5-14 ปี มีจำนวน 111 คนส่วนประชากรในวัยเด็กและชราถือว่ามีจำนวนน้อย โดยมี 46 คนและ 27 คน ตามลำดับ (หน้า 15-16)

Economy

ชาวบ้านแม่ลองทุกครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนเท่านั้น "ข้าวไร่" เป็นพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมสำหรับปลูกในพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณบนภูเขา ที่ราบลุ่มมีน้อย ปลูกตามแนวลาดเอียงของพื้นที่ใช้น้ำฝนในการเพาะปลูก ส่วนการทำนาขั้นบันไดมีน้อยเพราะที่ราบลุ่มมีน้อย ชาวบ้านอาศัยการทำไร่หมุนเวียน เป็นการทำนาแบบสวนผสม ในช่วงฤดูการผลิตแต่ละปี ชาวบ้านต้องหมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่การทำไร่เพื่อปล่อยให้พื้นที่ไร่ข้าวเดิมได้พักฟื้น โดยหมุนเวียน 4 ปีจึงกลับมาทำซ้ำ นอกจากนี้ยังมีพืชชนิดอื่น ได้แก่ กะหล่ำปลีและแครอท เพื่อขายให้กับพ่อค้าคนกลาง เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเพื่อลงทุนซื้อเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยและสารเคมี แรงงานเป็นสำคัญคือ สมาชิกในครอบครัว โดยผู้ชายรับผิดชอบงานหนักในไร่นา ส่วนผู้หญิงดูแลงานบ้านงานเรือน การดำรงชีวิตประจำวันของชาวบ้านผูกพันกับป่า เพราะถือเป็นแหล่งหาอาหาร เช่น หน่อไม้ ผักกูด หอย ปลา เป็นต้น ทุกครอบครัวจะเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ วัว ควาย ไว้ในบริเวณหมู่บ้านและรอบหมู่บ้าน เป็นการเลี้ยงเพื่ออาหารและขายเป็นรายได้เสริม การใช้จ่ายในการซื้อสิ่งจำเป็น เช่น เกลือ พริก ฝ้าย อาหารแห้งเป็นต้น ภายในหมู่บ้านมีร้านค้า 6 ร้าน สินค้าส่วนใหญ่เป็นจำพวกอาหารแห้ง เครื่องปรุงอาหาร และขนม การถือครองที่ดิน การจับจองและการถือครองที่ดินเป็นการตกลงกันเองระหว่างชาวบ้าน จากนั้นจึงทำรั้วล้อมรอบบริเวณไร่หรือพื้นที่ของตน เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงเข้ามา พื้นที่ไร่หมุนเวียนเป็นการจับจองมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ แต่ถ้าหากซื้อขายเป็นการตกลงกันเองระหว่างชาวบ้านบางครั้งก็เป็นการแลกเปลี่ยน พื้นที่ของหมู่บ้านแม่ลองมีทั้งหมด 34,375 ไร่ แบ่งเป็นที่อยู่อาศัย 406 ไร่ พื้นที่ไร่หมุนเวียน 548 ไร่ มีจำนวน 79 ครอบครัว พื้นที่ปลูกข้าวนา 315 ไร่ มีจำนวน 23 ครอบครัว และพื้นที่ที่เหลือเป็นป่าอนุรักษ์และป่าชุมชน ทำให้ชาวบ้านโดยพื้นที่ไร่หมุนเวียนลดลงเหลือ 3-4 แปลง จากเดิม 7-8 แปลง อาชีพ -- ทำข้าวไร่ เป็นการปลูกไว้บริโภคในครอบครัว โดยทำปีละ 1 ครั้ง แล้วเก็บไว้ในยุ้งฉางสำหรับนำมาตากและสีต่อไป -- ทำนาขั้นบันได เนื่องจากพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขามีน้อย และมีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ครอบครองที่ดิน และต้องพึ่งพาการผันน้ำจากลำห้วยเพื่อทำนา -- ล่าสัตว์ โดยมากเป็นหน้าที่ผู้ชายซึ่งใช้ปืนยาวที่ทำเอง สัตว์ป่าที่ล่าได้ เช่น หมู ป่า เก้ง นก เป็นต้น -- การหาของป่า ในแต่ละฤดูป่าจะมีพืชผักหลายชนิดเป็นอาหาร ชาวบ้านสามารถนำมาขายให้กับคนเมืองหรือแลกเปลี่ยนกับชุมชนใกล้เคียง เช่น หน่อไม้ เห็ด -- รับจ้าง เป็นอาชีพที่พบน้อย มีประมาณ 7 คนที่ไปทำงานกับคนพื้นราบในช่วงที่ว่างจากการเกษตร -- ทอผ้า มีการรวมกลุ่มหัตถกรรมท้องถิ่นเพื่อทอขาย -- ปลูกกะหล่ำปลีและแครอท เป็นรายได้หลักของชาวบ้านแม่ลองและเป็นจำนวนมาก (หน้า 26-28)

Social Organization

การรวมกุล่มทางเศรษฐกิจ - กลุ่มธนาคารข้าวหมู่บ้านแม่ลอง เพื่อแก้ปัญหาข้าวไม่เพียงพอในการบริโภค โดยคิดอัตราการยืม 10 ถัง คืน 12 ถัง หรือยืม 5 ถัง คืน 6 ถัง - กลุ่มเครือข่ายลุ่มน้ำแม่ลอง เพื่อดูแลอนุรักษ์พื้นที่ป่า ซึ่งมีจำนวนสมาชิกครอบคุลมหลายหมู่บ้าน โดยมีการออกสำรวจป่าทุกเดือนเพื่อป้องกันไฟป่าแลการบุกรุกเข้าไปตัดไม้ - กองทุนหมู่บ้านฯ เป็นนโยบายของรัฐเพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งให้กับชุมชนและฝึกให้รู้จักการจัดการและบริหารกองทุน - กลุ่มเยาวชน เป็นการรวมกลุ่มเยาวนชนของ 2 หย่อมบ้าน เพื่อความสามัคคีและช่วยเหลือกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ภายในชุมชนและใกล้เคียง (หน้า 29)

Political Organization

ก่อนปี พ.ศ. 2520 บ้านแม่ลองมีฮีโข่ปกครองหมู่บ้าน ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหมู่บ้านต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านพิธีกรรมและเป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน การเป็นหัวหน้าหมู่บ้านสืบตำแหน่งทางสายเลือด โดยให้บุตรชายคนโต ต่อมาหน่วยงานราชการให้คนพื้นราบที่ทางอำเภอแม่แจ่มแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนการเลือกเองของชาวบ้าน เนื่องจากชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ในปี พ.ศ. 2538 ชาวบ้านรู้หนังสือมากขึ้นและสามารถปกครองตนเองได้ จึงได้มีการเลือกผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 2 คน นอกจากนี้บ้านแม่ลองยังมีผู้นำตามธรรมชาติ (ฮีโข่) ซึ่งดูแลด้านประเพณีและความเชื่อของหมู่บ้าน อันเป็นที่เคารพของหมู่บ้านใกล้เคียงด้วย (หน้า 23-24)

Belief System

ศาสนาที่ชาวบ้านแม่ลองนับถือมี 2 แบบ คือ ศาสนาคริสต์ และผี โดยในอดีตชาวบ้านแม่ลองนับถือผีอย่างเดียว ปัจจุบันชาวบ้านที่นับถือศาสนาคริสต์จำนวน 294 คน ประกอบพิธีกรรมทุกวันอาทิตย์และชาวบ้านถือว่าเป็นวันหยุดไม่ออกไปทำงาน โดยจะทำพิธี 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็น ส่วนที่นับถือผีมีจำนวน 105 คน ประกอบพิธีกรรมตามประเพณีดั้งเดิม ผู้ที่มีบทบาทในการประกอบพิธีกรรม คือ พ่อเฒ่าจาดู อนุสรณ์ความดี (ฮีโข่) ประเพณี ที่ยังสืบทอดกันมาแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) พิธีมงคล - ประเพณีเกี้ยวสาว ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งที่นับถือผีและศาสนาคริสต์จะอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่ได้ จึงทำให้ไม่มีโอกาสพบปะพูดคุยกันมาก โดยอาศัยงานต่างๆ เป็นโอกาสในการรู้จักกัน และหนุ่มจะมาหาที่บ้านในยามกลางคืน และในช่วงที่เกี้ยวสาวตาม พ่อแม่จะเปิดโอกาสให้ลูกของตนเองได้พูดคุยและศึกษานิสัยจนกว่าจะตกลงแต่งงานกัน - พิธีกรรมแต่งงาน ฝ่ายเจ้าบ่าวจะแห่ขบวนมาบ้านเจ้าสาว แล้วจะมีการฆ่าสัตว์ทำพิธีเลี้ยงผี จากนั้นฝ่ายเจ้าสาวจะรับเอาถุงย่าม (ถือเป็นของหมั้น) เก็บไว้บนบ้าน และจากนั้นทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะดื่มเหล้ามงคล ส่วนหนุ่มสาวที่นับถือศาสนาคริสต์พิธีจะคล้ายกับคู่ที่แต่งแบบนับถือผี แต่ต่างกันที่จะทำพิธีในวันที่ 1 ที่บ้านเจ้าสาว และสามารถเปลี่ยนชุดขาวเป็นชุดแม่บ้านได้เลย และทำพิธีที่โบสถ์ -- ประเพณีมัดมือปีใหม่จะจัด 2 ครั้ง ประมาณเดือนกุมภาพันธ์และตุลาคม เป็นการเรียกขวัญให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัวก่อนการเพาะปลูกและเพื่อเป็นการขอพรจากผีหรือบรรพบุรุษ 2) พิธีแก้เคล็ดหรือแก้ปัญหา -- การเลี้ยงผี รักษาอาการป่วย เป็นพิธีกรรมที่สืบต่อกันมา ผีของกะเหรี่ยงมีความเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น ผีน้ำ ผีป่า ผีบ้านผีเรือน ซึ่งจะมีพิธีกรรมคล้ายๆ กัน โดยของที่ต้องเตรียมได้แก่ สัตว์เลี้ยง (ไก่หรือหมู) เหล้า เทียน ดอกไม้ หัวหน้าครอบครัวจะบอกกล่าวผี โดยใช้เหล้าเทราดลงพื้น จากเซ่นผีด้วยเนื้อสัตว์ที่ทำสุก ในการเลี้ยงผีแต่ละครั้งเป็นการขอขมาในสิ่งที่ล่วงเกินและเพื่อขอให้คุ้มครอง -- พิธีกรรมงานศพ ชาวบ้านถือว่างานศพสำคัญ ชาวบ้านทุกคนจะมาร่วมงาน ถ้าผู้ตายเป็นแม่บ้านต้องรื้อบ้านและฆ่าสัตว์ทุกชนิด เพราะสิ่งของเหล่านี้เป็นสมบัติของแม่บ้านเพราะเก็บไว้จะไม่เป็นมงคล จนกว่าจะผ่านไป 1-2 ปี จึงนำกลับมาสร้างใหม่ เมื่อครบวันตั้งศพและการซอ (การเดินรอบศพพร้อมกับร้องเพลงซอ) จะนำไปฝังที่ป่าช้า (หน้า 33-39)

Education and Socialization

บ้านแม่ลองมีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สอนมาตั้งแต่ปี 2527 ปัจจุบันเปิดสอนในระดับชั้น ป.1-ป.6 มีนักเรียนรวม 110 คน โดยมากจะเป็นเด็กที่อยู่ในชั้นป.1 มีจำนวน 28 คน โดยมีผู้เรียนจบชั้นสูงสุดไปแล้ว 3 รุ่น จำนวน 20 คน ทั้งนี้มีเด็กที่เรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาจำนวน 5 คน เป็นการสอบชิงทุนของโรงเรียนในอำเภอแม่แจ่ม ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือภาษาไทย ทั้งการพูด การอ่านและการเขียนโดนเฉพาะผู้หญิงและคนแก่บางคนพูดภาษาไทยและภาษาคำเมืองไม่ได้เลย แต่ในปัจจุบันมีผู้ที่รู้หนังสือมากขึ้นจากการเรียนหนังสือในระบบและการติดต่อสื่อสารกับบุคคลภายนอก (หน้า 32-33)

Health and Medicine

ในอดีตชาวบ้านเชื่อเรื่องการเจ็บป่วยไม่สบายเป็นการกระทำของผี การรักษาให้หายคือการเลี้ยงผี ปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ลดลงเนื่องจากหน่วยงานราชการเข้าไปให้ความรู้ ทำให้ชาวบ้านหันมาใช้สถานพยาบาลควบคู่กับการรักษาด้วยสมุนไพร มีเรือนพยาบาลอยู่ภายในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน รวมทั้งหมู่บ้านแม่ลองยังอยู่ในความดูแลของสถานีอนามัยบ้านสองธาร ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะปวดเมื่อยตามร่างกายเนื่องจากการทำงาน ส่วนเด็กพบว่าเป็นโรคหวัดเป็นประจำและจากรายงานตามโครงการภาวะโภชนาการของโรงเรียนมีเด็กเป็นโรคขาดสารอาหารระดับ 1 จำนวน 6 คน และโรคที่พบในโรงเรียนได้แก่ มีเหา โรคผิวหนัง ปัจจุบันชาวบ้านได้รับบัตรประกันสุขภาพ 30 บาท เพื่อช่วยในการรักษาพยาบาลให้กับชาวบ้าน เพราะมีรายได้น้อยรวมทั้งเป็นนโยบายของรัฐบาล ด้านการคุมกำเนิดชาวบ้านได้รับคำแนะนำและส่งเสริมให้คุมกำเนิดโดยไปขอยาเม็ดคุมกำเนิดหรือฉีดยาคุมตามวันเวลาที่นัดหมายจากหมอชาวบ้านหรือจาก สสช. และสถานีอนามัยบ้านสองธาร (หน้า 30-31)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้หญิงมีความสามารถในด้านงานฝีมือ ในการทอผ้า เสื้อผ้าส่วนใหญ่จะทอเองด้วยมือซึ่งจะใช้เองในครอบครัว รูปแบบการทอผ้ามีลักษณะคล้ายกับการทอผ้าของชาวเปรูโบราณ และเหมือนชนเผ่าหนึ่งในประเทศกัวเตมาลา ฟิลิปปินส์ ปัจจุบันการทอผ้ากะเหรี่ยงเริ่มเปลี่ยนไปเป็นแบบ back strap (คือ การทอผ้าโดยการกำหนดความหย่อนตึงของด้ายจากคานไม้ 2 ท่อน) ซึ่งทำให้เนื้อผ้ามีความเรียบและแน่น สม่ำเสมอ แต่ในปัจจุบันชาวบ้านนิยมซื้อฝ้ายสำเร็จรูปเพราะไม่เสียเวลาในการผลิต หาซื้อง่าย และสะดวกไม่ต้องมาย้อมสี การแต่งกายของชาวบ้านแม่ลองมีเอกลักษณ์บ่งบอกถึงชาติพันธุ์ตนเอง โดยผู้ชายทุกเพศทุกวัยจะแต่งตัวเหมือนกัน คือ สวมเสื้อทอสีแดงพื้น เรียกว่า "เชวอ" และมีทำลวดลายด้วยสี โดยลายนั้นเหมือนกับรูปทรงเสื้อ โดยเป็นเสื้อทรงกระสอบแขนสั้น คอวี ตกแต่งด้วยพู่ห้อยตามชายเสื้อ ส่วนกางเกงแบบคนไทยเพราะไม่มีลักษณะของเฉพาะ และยังมีถุงย่ามสีแดง รวมทั้งในอดีตชายกะเหรี่ยงจะมีผ้าโพกศรีษะด้วย สำหรับผู้หญิงโสดจะต่างจากหญิงที่แต่งงานแล้ว สังเกตได้จากชุดหญิงสาวจะสวมชุมกระโปรงสีขาวยาวถึงข้อเท้า เรียกว่า "เชวา" หมายถึง หญิงบริสุทธิ์ จะใส่ชุดขาวนี้จนกระทั่งแต่งงานจึงจะเปลี่ยนใส่ชุดแม่บ้านได้ และผู้หญิงที่มีครอบครัวจะสวมเสื้อผ้า 2 ท่อนเรียกว่าชุดแม่บ้าน ซึ่งมี 2 ชนิด คือ 1.เชชา คือ เสื้อปักด้วยเบอะ (ลูกเดือย) ซึ่งมีลักษณะเอวลอย โดยสีที่ทอ แล้วแต่ความชอบ เป็นเสื้อแขนสั้นคอวี เมื่อทอเสร็จจะนำมาปักเบอะเป็นลวดลาย 2. เชอู คือ เสื้อที่ใช้วิธีการจกหรือปักด้วยผ้า โดยรูปทรงเหมือนเชชา แต่ต่างกันที่ลวดลาย และต่างจากชุมชนอื่น และผู้หญิงจะนุ่งซิ่นที่มีลวดลายสีแดงและชมพู ส่วนผู้เฒ่าหญิงจะแต่งกายตามแบบหญิงกะเหรี่ยงแบบเดิม คือ สวมกำไลเงินแขนทั้ง 2 ข้าง สวมลูกปัดสีที่คอ ใส่ต่างหูที่มีลักษณะใหญ่ และมีลอยสักตามแขนและมือด้วยหมึกดำ แต่ในปัจจุบันเด็กและวัยรุ่นนิยมแต่งกายเหมือนคนทั่วไป จะสวมชุดประจำเผ่าในวันที่มีพิธีสำคัญๆ และจะแต่งชุดประจำเผ่าทุกวันศุกร์เนื่องจากกฎระเบียบของโรงเรียน (หน้า17-20) การละเล่นพื้นบ้าน ยามว่างจากการเกษตร ในอดีตจะมีกิจกรรมเพื่อความบันเทิงและพักผ่อน เช่น แงะนะ (การรำดาบในพิธีกรรมแต่งงานของกะเหรี่ยงในอดีต ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปจากคู่บ่าวสาว) ตีกลอง เป่าขลุ่ย เป่าเขาควาย และเล่นบือโบ (เป็นการนำต้นข้าวที่เกี่ยวแล้วมาตัดช่วงระหว่างกลางที่มีปล้อง แล้วเป่าให้เกิดเสียง) การละเล่นชนิดหนึ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์คือ "แงะนะ" ซึ่งกำลังสูญหายไปจากสังคมกะเหรี่ยงบ้านแม่ลองเนื่องจากขาดผู้สืบทอด ปัจจุบันนี้พบว่าเด็กและผู้ปกครองนิยมสร้างเครื่องเล่นหรือของเล่นขึ้นเอง จากวัสดุที่มีในธรรมชาติ เช่น คอเหนาะต่อ (เป็นไม้ไผ่ลำยาว 2 ลำ ด้านล่างเจาะรูเพื่อสอดคานไม้สำหรับเหยียบคล้ายกับไม้โถกเถกในภาคกลาง) คอแลคู๊คู (ทำจากไม่ไผ่เหลาบางและยาวสามารถนำปลายทั้ง 2 ด้านม้วนและมัดติดกัน ใช้เล่นโดยนำไม้อีกท่อนมาตีห่วงกลิ้งไปมา) มอเต๊าะปุ๊ว่า (ทำจากไม้ลักษณะคล้ายกับรถลาก วิธีเล่นนั้นจะนั่งบนไม้แล้วใช้เท้าลากไปกับพื้น) การละเล่นเหล่านี้เหมาะกับช่วงหน้าแล้ง (หน้า29-30)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

จากการเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตรทำให้ชาวบ้านมีชีวิตยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากต้องพึ่งพิงสังคมภายนอกในด้านเศรษฐกิจ ต้องพึ่งพาระบบกลไกราคาตลาด เพื่อนำเงินมาเป็นปัจจัยในการซื้อสินค้ารวมทั้งชาวบ้านลดการพึ่งพาตนเอง เช่น ในช่วงที่เริ่มปลูกถั่วแดง ชาวบ้านไม่นิยมปลูกฝ้ายแล้ว เนื่องจากขั้นตอนยุ่งยากในการตาก ปั่น และย้อมสี ดังนั้น ชาวบ้านจะหันไปซื้อฝ้ายสำเร็จรูปจากตลาดแทน อาหารการกิน ชาวบ้านแม่ลองทุกวันนี้ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารสำเร็จรูป เช่น อาหารกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป ปลาทูเค็ม จากร้านค้าในชุมชน ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านจะอาศัยแหล่งอาหารจากป่า โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสังคมภายนอก แม้ว่าชาวบ้านจะสามารถหาประโยชน์ใช้สอยจากพื้นที่ป่า พื้นที่ทำกินได้ แต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการ สำหรับการทำไร่หมุนเวียน 3-4 ปี แล้วกลับมาทำซ้ำในที่เดิม ทำให้พื้นที่ได้พักฟื้นน้อย แร่ธาตุและความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศมีผลต่อผลผลิตเช่นกัน เพราะหากปริมาณฝนน้อยก็ได้ผลผลิตไม่เต็มที่ ส่งผลให้นอกจากจะไม่เพียงพอต่อการบริโภคแล้ว ชาวบ้านยังต้องกู้ยืมข้าวจากธนาคารข้าว และต้องใช้คืนหลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ดังนั้นหากมีปริมาณข้าวพอสำหรับบริโภคในครอบครัว ชาวบ้านจะไม่เดือดร้อนในการกู้ยืมข้าว (หน้า 59-60)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

การเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตร ภายหลังปี พ.ศ. 2517 หมู่บ้านแม่ลองไร่หมุนเวียนได้ถูกจำกัดและลดปริมาณลงจากการเข้ามาของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ลอง เพื่อกันพื้นที่ให้เป็นป่าสงวน ในปี พ.ศ. 2527 รัฐเข้ามาส่งเสริมการเกษตรเพราะเดิมชาวบ้านปลูกฝิ่นและมีพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามา จนในปีพ.ศ.2529 เกิดการจัดการพื้นที่ของหมู่บ้าน พื้นที่ทำกิน ป่าอนุรักษ์ ดังนั้นจึงกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตร นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตในวิธีการปลูกข้าวแบบขั้นบันได จากการส่งเสริมของเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อเพิ่มผลผลิตปริมาณข้าวผลิต ที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค เป็นผลให้ได้ปริมาณข้าวเฉลี่ย 80-100 ถังปี๊บ/ไร่ แต่จากการถูกจำกัดจำนวนพื้นที่จึงต้องเปลี่ยนการใช้พื้นที่หมุนเวียนจำนวน 3-4 แปลงนั้นทำไร่หมุนเวียนแบบเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2532 ชาวบ้านหันมาเริ่มปลูกพืชเสริมที่เคยปลูกในไร่หมุนเวียน แต่เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยพืชเหล่านั้นได้แก่ ถั่วแดง ถั่วเหลือง กะเหล่ำปลี และแครอท (หน้า 53-59)

Map/Illustration

แผนที่แสดงหมู่บ้านแม่ลอง ม.3 ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ (หน้า 16) ภาพสภาพทั่วไปของหมู่บ้านแม่ลองที่ล้อมรอบด้วยไร่หมุนเวียน (หน้า 6) ภาพหย่อมบ้านแม่ลองเหนือและบ้านแม่ลองใต้ (หน้า8) ภาพการทอเสื้อกะเหรี่ยง (หน้า 18) ภาพบรรยากาศภายในบ้านจากวัสดุธรรมชาติและการผึ่งเมล็ดพันธุ์(หน้า23) ภาพหญิงกะเหรี่ยงกำลังหุงข้าว (หน้า 26) ภาพไร่หมุนเวียนและนาขั้นบันได (หน้า 27) ภาพโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแม่ลอง (หน้า 31) ภาพหมูที่ใช้ในการทำพิธีแต่งงาน (หน้า 36) ภาพงานแต่งงานแบบกะเหรี่ยง (หน้า 37) ภาพการเลี้ยงผีเพื่อรักษาผู้ป่วย (หน้า 38) ภาพน้ำกินน้ำใช้ของชาวบ้าน (หน้า 41)

Text Analyst ศรายุทธ โรจน์รัตนรักษ์ Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), เกษตรกรรม, สังคมวัฒนธรรม, การเปลี่ยนแปลง, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง