สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),เครื่องประดับเงิน,ลำพูน
Author มีพร ปริญญาพล
Title อาชีพการทำเครื่องประดับเงินของชนเผ่ากะเหรี่ยงหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 80 Year 2544
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอาชีวศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

หมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้ม เริ่มตั้งชุมชนครั้งแรกโดยมีกะเหรี่ยงที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาและครูบาชัยยะวงศาพัฒนาที่ออกเผยแพร่พุทธศาสนาไปยังที่ต่างๆ ได้ติดตามกับครูบาวงศาพัฒนาเพื่อมาทำบุญและเพื่อนับถือศาสนาพุทธและได้มีอาชีพทางการเกษตรเหมือนกับกะเหรี่ยงที่อื่น แต่ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2523 ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขากับหน่วยงานอื่นๆ ได้เข้ามาส่งเสริมอาชีพทำเครื่องประดับเงินจนเป็นอาชีพสำคัญอาชีพหนึ่งของชุมชน จากการศึกษากระบวนการทำเครื่องประดับเงิน พบว่า วัตถุดิบที่ใช้คือเม็ดเงิน โดยมีพ่อค้าคนกลางเป็นคนนำมาให้ พร้อมกับลวดลาย อุปกรณ์ในการทำเครื่องประดับเงิน จะแบ่งได้เป็นประเภทดังนี้ อุปกรณ์การทุบ อุปกรณ์การขัด อุปกรณ์การหลอม อุปกรณ์การรีด และอุปกรณ์สำหรับแกะลาย การออกแบบลวดลายพบว่า ชาวบ้านไม่ได้ออกแบบเอง พ่อค้าคนกลางที่นำเม็ดเงินมาส่ง จะออกแบบให้ ชาวบ้านจะเก็บลวดลายไว้เพื่อให้คนที่สนใจสั่งทำ ส่วนลวดลายเดิมของชาวกะเหรี่ยง สำหรับกำไรจะเป็นลายเกลียว ตุ้มหูเป็นลักษณะปลายบาน สร้อยสำหรับห้อยคอเดิมชาวกะเหรี่ยงจะใส่ลูกปัด ส่วนโครงการส่งเสริม พบว่า มีโครงการเดียวคือ เมื่อ พ.ศ. 2523 โดยการสนับสนุนของศูนย์พัฒนาชาวเขาจังหวัดลำพูน พัฒนาชุมชน องค์การยูนิเซฟและโครงการสงเคราะห์เด็กยากจน โดยมีสมาชิกในโครงการจำนวน 18 คน ปัจจุบันไม่มีโครงการส่งเสริมเพราะชาวบ้านมีการรวมกลุ่มกันเพื่อการบริหารกันเอง

Focus

ศึกษาความเป็นมาและกระบวนการทำเครื่องประดับเงินของชนเผ่ากะเหรี่ยง หมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง

Language and Linguistic Affiliations

บางแห่งสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากภาษาในตระกูลมอญ - เขมร บางแห่งว่ามาจากต้นตระกูลจีน - ธิเบต เป็นต้น(หน้า 6)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2544

History of the Group and Community

ในประเทศไทย กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาวเขาที่มีจำนวนมากที่สุด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเดิม กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในดินแดนด้านตะวันออกของธิเบต แล้วเข้ามาตั้งอาณาจักรในประเทศจีน เมื่อ 733 ปีก่อนพุทธกาลหรือประมาณ 3,238 ปีล่วงมาแล้ว ชาวจีนเรียกว่าชนชาติโจว ต่อมาถูกกษัตริย์จีนรุกรานเมื่อ พ.ศ. 207 จึงแตกพ่ายหนีลงมาบริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ต่อมาเกิดประทะกับชนชาติไทย จึงถอยร่นลงมาอยู่ตามลุ่มน้ำโขงและแม่น้ำสาละวินในเขตพม่า กะเหรี่ยงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยครั้งสำคัญในสมัยพระเจ้าอลองพญาเนื่องจากภัยสงครามและปัญหาทางเศรษฐกิจ คนไทยภาคกลางเรียกชนกลุ่มนี้ว่า "กะเหรี่ยง" พม่าเรียกว่า "กะยิ่น" (KAYIN) คนพื้นเมืองภาคเหนือและพวกไทใหญ่เรียกว่า "ยาง" ส่วนชาวยุโรปเรียก "KAREN" กะเหรี่ยงถูกจัดอยู่ในตระกูลธิเบต - พม่า แบ่งออกเป็นแขนงสำคัญคือ กระเหรี่ยงสกอ กะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงบเวและกะเหรี่ยงตองตูหรือปะโอ(หน้า 4-5) ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่ในจังหวัดลำพูนได้ตั้งรกรากดั้งเดิมอยู่ในจังหวัดลำพูนมาประมาณ 100 ปี ยกเว้นหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม ที่เป็นหมู่บ้านที่ตั้งใหม่เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2514 โดยชาวเขาเหล่านี้ได้อพยพมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่และตาก(หน้า 38) หมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม เริ่มตั้งชุมชนเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2513 ขณะนั้นมีกะเหรี่ยง 6 ครอบครัว ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 มีชาวเขาอพยพมาอีก 50 ครอบครัวและปี พ.ศ. 2516 มีการอพยพเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ถึง 300 ครอบครัว ในปี พ.ศ. 2519 ทางราชการได้ยกฐานะเป็นหมู่บ้านของทางราชการ (หน้า 40)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงนิยมปลูกบ้านอยู่บริเวณที่ลุ่มก้นกระทะหรือที่ราบในหุบเขาที่มีภูเขาล้อมรอบ มีน้ำใช้จากลำห้วย ส่วนใหญ่ปลูกบ้านเรือนตามสภาพแวดล้อม ขนาดของแต่ละหมู่บ้านเฉลี่ย 25 หลังคาเรือน ตัวเรือนนิยมสร้างด้วยไม้ไผ่และแฝกตลอดทั้งหลัง บ้านยกพื้น มีชายคาคลุมตลอดรอบบ้าน หลังคาสูง มีเพียงห้องเดียว มีเตาไฟอยู่ตรงกลาง บ้านที่ปลูกมักอยู่ชิดกันแต่ไม่ปลูกเรียงแถวต่อกัน แต่ละบ้านมักจะมียุ้งข้าวต่างหากจากตัวบ้าน (หน้า 7)

Demography

กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในประเทศพม่ามากที่สุด จากการสำรวจประชากรกะเหรี่ยงในประเทศพม่าเมื่อ พ.ศ. 2474 มีประมาณ 1,340,000 คนในจำนวนนี้เป็นกะเหรี่ยงสกอ 500,000 คน กะเหรี่ยงโปว์ 473,000 คน กะเหรี่ยงปะโอ 223,000 คนและกะเหรี่ยงบเวหรือคะยา 32,000 คน สำหรับในประเทศไทยเมื่อ ปี พ.ศ. 2538 - 2531 มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงทั้งสิ้น 2,082 หมู่บ้านจำนวน 275,354 คน กะเหรี่ยงทั่วไปมีความสูงขนาดปานกลาง กะเหรี่ยงในพื้นราบมีความสูงโดยเฉลี่ย 5 ฟุต 4 นิ้ว รูปร่างดีกว่ากะเหรี่ยงบนเขา ซึ่งมีความสูงเฉลี่ยต่ำกว่า 3 นิ้ว ผู้หญิงกะเหรี่ยงจะมีรูปร่างเล็กกว่าผู้ชาย รูปร่างอวบสมบูรณ์ (หน้า 6) จังหวัดลำพูนมีจำนวนประชากรชาวเขาทั้งสิ้น 4,217 หลังคาเรือน 4,477 ครอบครัว 21,534 คน จำแนกเป็นชาย 6,684 คน หญิง 6,644 คน เด็กชาย 4,202 คนและเด็กหญิง 4,004 คน อำเภอที่มีชาวเขามากที่สุดคือกิ่งอำเภอทุ่งหัวช้าง มีประชากรชาวเขา 8,923 คน อำเภอลี้มี 6,301 คน ส่วนอำเภอที่มีชาวเขาน้อยที่สุดคืออำเภอบ้านโฮ่ง จำนวน 2,042 คน ประชากรชาวเขาบ้านห้วยต้ม มีทั้งหมด 746 หลังคาเรือน 864 ครอบครัว 3,614 คน จำแนกเป็นชาย 1,134 คน หญิง 1,095 คน เด็กชาย 723 คนและเด็กหญิง 662 คน (หน้า 32,36-37) โรงเรียนบ้านห้วยต้ม เปิดสอนระดับประถมศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 ปัจจุบันมีครู 22 คนและนักเรียน 629 คน ซึ่งร้อยละ 99.72 เป็นนักเรียนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (หน้า 43) หมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้ม มีประชากรประมาณ 5,102 คน บ้านเรือนราว 1,000 หลังคาเรือน (หน้า 1)

Economy

เดิมพื้นที่ของชุมชนเป็นป่าแพะ ทุรกันดาร แหล่งน้ำมีน้อย กะเหรี่ยงที่มาอยู่ได้ปรับปรุงพื้นที่เพื่อทำไร่ทำนา บางส่วนก็รับจ้างคนเมืองที่อาศัยอยู่รอบๆ หมู่บ้าน รายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้อยู่ในความดูแลของมูลนิธิโครงการหลวง ประชากรกระเหรี่ยงบางส่วนจึงหันไปประกอบอาชีพการทอผ้าและการทำเครื่องประดับเงินเป็นอาชีพหลักแทน สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น (หน้า 1) ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยปลูกข้าเป็นหลักคือปลูกข้าวไร่และข้าวในนาแบบขั้นบันได ผลผลิตเพียงพอต่อการบริโภคเท่านั้น มิได้นำไปขาย ยกเว้นว่ามีผลิตผลเกินความต้องการนอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชอื่นๆ ในไร่ เช่น ผัก ฟักทอง พริก มะเขือ กะเหรี่ยงยังนิยมเลี้ยงไก่และหมู ไว้ใช้ในพิธีต่างๆ เลี้ยงวัว ควายและช้างสำหรับบรรทุกลากของ รายได้ที่เป็นเงินสดนอกจากจะได้จากปศุสัตว์ ได้จากการรับจ้างต่างๆแล้ว ยังได้จากการขายผลิตภัณฑ์สินค้าหรือหัตถกรรมต่างๆ เช่น ตะกร้า ผ้าทอ เครื่องครัว อีกด้วย (หน้า 10) รายได้ของชาวเขาในจังหวัดลำพูน ปี พ.ศ.2530 มาจากการประกอบอาชีพการเกษตร ร้อยละ 28.43 การเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 23.51 และประกอบอาชีพอื่นๆ ร้อยละ 48.06 (หน้า 37) โดยทั่วไปหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้มมีอาชีพหลักคือ การเพาะปลูก ทำไร่ ทำนา รายได้จากการเพาะปลูกมาจากการปลูกข้าวโพด ถั่วลิสง พริก แต่ก็ยังมีผลผลิตต่อครัวเรือนต่ำ เดิมหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้มเป็นหมู่บ้านมังสวิรัติ จึงไม่มีการเลี้ยงสัตว์ภายในหมู่บ้าน แต่บางครอบครัวที่มีฐานะดีได้ฝากเลี้ยงกับคนไทยพื้นเมือง สัตว์ที่เลี้ยงมากที่สุดคือวัว รองลงมาคือ หมู ไก่และช้าง การเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวจึงเลี้ยงไว้เพื่อการขายมากกว่าการบริโภค อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ได้แก่การทอผ้าด้วยมือนอกจากนี้ชาวบ้านยังหางานรับจ้างต่างๆ ทั้งในและนอกหมู่บ้าน (หน้า 41 - 42)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

จังหวัดลำพูนแบ่งการปกครองเป็น 5 อำเภอกับอีก 1 กิ่งอำเภอ มี 48 ตำบล 428 หมู่บ้านและมีกลุ่มชาวเขา 49 หมู่บ้าน (หน้า 32) หลังจากหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้มถูกยกฐานะเป็นหมู่บ้านของทางราชการจึงมีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คนโดยการคัดเลือกของราษฎรในหมู่บ้านปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทนของทางราชการและมีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้านจำนวน 9 คนเพื่อเป็นผู้นำทางการพัฒนา นอกจากนี้ ในทางศาสนามีการตั้งบุคคลสูงอายุที่ชาวบ้านให้ความเคารพ จำนวน 8 คนเป็นผู้นำกลุ่มทางศาสนาซึ่งชาวบ้าน เรียกว่า "อาจารย์" (หน้า 40,42)

Belief System

กะเหรี่ยงบางส่วนในประเทศไทยนับถือพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา แต่ทั้งหมดมีการนับถือผีควบคู่ไปกับการนับถือศาสนาของตน ผีที่กะเหรี่ยงนับถือมี 2 อย่างคือ ผีเรือนกับผีบ้าน กะเหรี่ยงมีการเลี้ยงผีเรือนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ส่วนผีบ้าน เป็นผีสำคัญตนหนึ่งเพราะมีความสำคัญเกี่ยวกับการเกษตรและพิธีกรรมเกี่ยวกับความสุขของคนทั้งหมู่บ้าน การเลี้ยงผีจะจัดขึ้นปีละ 2 ครั้งซึ่งคนในหมู่บ้านทั้งหมดต้องเข้าร่วมพิธี นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังมีความเชื่อเรื่องขวัญ เชื่อว่าคนเรามีขวัญ 33 ขวัญ ประจำอยู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความเจ็บป่วยโดยมากจึงเชื่อว่าเกิดจากขวัญใดขวัญหนึ่งร่อนเร่พเนจรไป การรักษาพยาบาลจึงต้องเกี่ยวกับการล่อให้ขวัญกลับคืนมาอยู่ที่เดิมของมันในร่างกายของคนที่เจ็บป่วย (หน้า 11) ประชากรทั้งหมดของหมู่บ้านนับถือศาสนาพุทธ ถือศีล 5 และไม่มีการบริโภคเนื้อสัตว์โดยเฉพาะกลุ่มที่อพยพมาในระยะแรกๆ ผู้ใดบริโภค สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านจะดลใจให้ออกจากหมู่บ้าน (หน้า 43)

Education and Socialization

หมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้มมีโรงเรียน 4 แห่งคือ โรงเรียนสังกัดประถมศึกษาแห่งชาติ โรงเรียนอนุบาลก่อนวัยเรียนของหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาประจำหมู่บ้านพระบาทห้วยต้ม โรงเรียนผู้ใหญ่ของการศึกษานอกโรงเรียนและโรงเรียนสอนภาษากะเหรี่ยงและภาษาไทยของเอกชน(หน้า 43)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงโปว์ ผู้ชายปกติสวมชุดสีดำ ถ้ามีงานพิธีจะใช้สีแดงตัดด้วยเส้นสีขาว บางคนใช้สีขาวมีลายสีเล็กๆ ยาวลงไปครึ่งขา สวมกางเกงสีดำแบบกางเกงจีน แต่กว้างก้นหย่อน หญิงสาวจะมีแถบผ้าสีแดงกว้างประมาณ 1 คืบ ปิดคาดรอบลำตัวบริเวณหน้าอก มีผ้าสีดำเป็นปลอกแขนยาวถึงข้อมือ มีหวายกลมๆ คาดเป็นตอนๆ ชายผ้าด้านล่างปักลวดลายสีแดง ใต้แขนเสื้อจะสั้น และมีปลอกโลหะซ้อนกันจากข้อศอกหลายชั้น กะเหรี่ยงสกอ ผู้ชายจะสวมกางเกงขายาวสีดำและชุดทรงกระบอกสอบหลวมๆ เป็นเสื้อตัวตรง ไม่มีแขนแต่เว้นช่องศีรษะและแขนสองข้างไว้ ตัวเสื้อยาวแค่ครึ่งขา บางคนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วทับด้วยเสื้อชุดสีแดง บ้างก็สวมเสื้อชุดสีดำ สำหรับหญิงสาวจะสวมชุดทรงกระสอบสีขาวยาวถึงข้อเท้า บางชุดทอเป็นเส้นสีแดงเล็กๆ รอบสะโพกและกลางขา แขนสั้นผ่าคอเป็นรูปสามเหลี่ยม มวยผมไว้ด้านหลัง พันด้วยเส้นด้ายถักสีแดงหรือโพกด้วยผ้าสีขาว หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อสั้นลงมาแค่ใต้เอว สีครามเข้ม ตรงครึ่งอกล่างเย็บด้วยเส้นด้ายกับลูกเดือย หินสีขาวเป็นรูปตารางหมากรุกหรือเป็นจุดสีขาวๆ กะเหรี่ยงบเว ผู้หญิงสวมชุดสีแดงและสีดำ มีผ้าขาวพันรอบเอวแล้วห้อยชายมาไว้ด้านหน้า 2 แฉก มีผ้าผืนใหญ่คลุมไหล่ คลุมผม บางทีโพกผ้าสีแดงผืนใหญ่ ส่วนผู้ชายนอกจากเสื้อสีแดงและดำแล้ว ยังนิยมสวมเสื้อและกางเกงลายแดงสลับขาว เป็นเส้นตรงจากบนถึงล่าง กะเหรี่ยงตองสู พม่าเรียกกะเหรี่ยงขาว ส่วนกะเหรี่ยงสกอ เรียกตองสูว่า กะเหรี่ยงดำเพราะผู้หญิงใส่ชุดดำทั้งหมด (หน้า 8 -9) การทำเครื่องเงิน รูปแบบการทำเครื่องเงินของชนเผ่ากะเหรี่ยง ได้แก่ การหล่อ การทุบ การดุน การติดต่อ การสาน การพัน การหุ้ม กะไหล่ คือการเคลือบสิ่งที่เป็นโลหะด้วยเงินและการคร่ำ คือการนำเงินฝังเป็นลวดลายลงในโลหะอื่น การแกะสลักลวดลาย จะใช้เครื่องมือประเภทสิ่วหรือเครื่องมือแกะสลักตอกด้วยค้อนให้เกิดความสูงต่ำ การแกะสลักลายมี 2 วิธีคือ การแกะลายด้านในและการสลักลายด้านนอก (หน้า 16-18) วัตถุดิบหรือเม็ดเงินได้จากพ่อค้าคนกลางซื้อมาให้ อุปกรณ์ในการผลิตเครื่องประดับเงินส่วนใหญ่จะมีค้อนขนาดต่างๆ ตะไบ แปรง เบ้าหลอม เหล็กตอกลาย กระบวนการผลิตเครื่องประดับเงิน เริ่มจากนำเม็ดเงินใส่ลงเบ้าใช้ความร้อนเผาให้ละลาย แล้วเทใส่แม่พิมพ์ จะได้เงินที่เป็นแท่ง แล้วนำไปรีดให้เป็นแผ่น นำเงินแผ่นไปตอกลายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ (หน้า 67 -68)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ด้วยกระแสวัฒนธรรมจากภายนอก ทำให้สภาพความเป็นอยู่และการดำเนินวิถีชีวิตเปลี่ยนไป สมาชิกของชุมชนออกไปประกอบอาชีพประเภทต่างๆ มากขึ้น ทำให้ความรู้ในการประกอบอาชีพการทำเครื่องประดับเงิน ของหมู่บ้านวัดพระบาทห้วยต้มเหลืออยู่เฉพาะในครัวเรือน (หน้า 1) ปัจจุบันคนหนุ่มสาวรับเอาความเจริญจากภายนอกเข้าสู่หมู่บ้านทำให้พิธีกรรมดั้งเดิมถูกยกเลิกไปเกือบหมด ที่เหลืออยู่คือพิธีกรรมกินเลี้ยงในวันปีใหม่เท่านั้น(หน้า 44)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง - จำนวนกลุ่มบ้านครัวเรือนและประชากรชาวเขาจำแนกตามอำเภอ(36) - รายได้ชาวเขาจังหวัดลำพูน(37) - จำนวนประชากรชาวเขาบ้านห้วยต้ม(37) - รายได้จากการประกอบอาชีพอื่นๆ (38) - กลุ่มชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพระบาทห้วยต้มตามภูมิลำเนาเดิมที่อพยพมา พ.ศ.2530 (39) ภาพ - บ้านกะเหรี่ยง(8) - การแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงที่แต่งงานแล้ว(9) - การแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงที่ยังไม่แต่งงาน(10) - เครื่องเงิน(13) - อุปกรณ์สำหรับทำเครื่องเงิน(15) - เครื่องเงิน(17) - วัตถุดิบเม็ดเงิน(44) - อุปกรณ์การทุบ ได้แก่ ค้อน(45) - อุปกรณ์การทุบ ได้แก่ ที่รองทุบเป็นไม้(46) - อุปกรณ์การทุบ ได้แก่ ที่รองทุบเป็นหิน(46) - อุปกรณ์การหลอม ได้แก่ เบ้าหลอมแบบทำเอง(47) - อุปกรณ์การหลอม ได้แก่ เบ้าหลอมแบบ(47) - อุปกรณ์สำหรับเมื่อหลอมเสร็จแล้วเทลงแม่พิมพ์(48) - อุปกรณ์สำหรับการหลอมได้แก่เครื่องสูบลม(48) - อุปกรณ์การรีดเงินที่หลอมเป็นแท่งให้เป็นแผ่น(49) - อุปกรณ์สำหรับดึงแผ่นเงินที่รีดแล้วเพื่อให้ตรง(50) - อุปกรณ์สำหรับแกะลาย(51) - อุปกรณ์สำหรับทำลวดลาย(51) - อุปกรณ์สำหรับประกอบการแกะลาย ได้แก่ กรรไกร(52) - อุปกรณ์สำหรับขัด เดิมเป็นแปรงทองเหลือง(52) - อุปกรณ์สำหรับขัด เดิมเป็นตะไบ(53) - อุปกรณ์สำหรับขัดปัจจุบัน(53) - การเผาเงิน(54) - นำเงินที่แข็งตัวแล้วออกจากเบ้า(55) - นำแท่งเงินที่ได้ไปรีดให้เป็นแผ่น(55) - นำแผ่นเงินที่รีดแล้วไปดึงให้ตรง(56) - นำแผ่นเงินที่ดึงแล้วไปตัดเพื่อทำลวดลายตามต้องการ(56) - ตอกลวดลายตามต้องการ(57) - ใช้แปรงขัดเพื่อลบรอยคม(57) - นำไปร้อยตามแบบที่ต้องการ(58) - ตุ้มหูแบบดั้งเดิม(59) - กำไรแบบดั้งเดิม(59) - ลวดลายเครื่องเงินที่พ่อค้าคนกลางมาสั่งทำ(60- 62)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 05 ก.ย. 2555
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), เครื่องประดับเงิน, ลำพูน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง