|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,ประวัติ,วัฒนธรรม,การเปลี่ยนแปลง,พะเยา |
Author |
จารุวรรณ พรมวัง |
Title |
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางประการของชาวไทลื้อ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
172 |
Year |
2536 |
Source |
หลักสูตรปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมโดยทั่วไปของไทลื้อ และศึกษากระบวนการ แนวโน้ม และปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของไทลื้อในด้านภาษา การแต่งกาย และประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งพบว่าไทลื้อมีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่สิบสองปันนา ประเทศจีน แต่ไทลื้อที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทย รวมทั้งที่บ้านทุ่งมอกอพยพเข้ามาโดยการถูกกวาดต้อน และการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศจีน ซึ่งเมื่อเข้ามาอยู่ได้นำรูปแบบวัฒนธรรมประเพณีเข้ามาปฏิบัติทำให้ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ได้ แต่การศึกษาพบว่าประเพณีและวัฒนธรรมบางประการของไทลื้อที่บ้านทุ่งมอกมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการขยายตัวของสาธารณูปโภค ทำให้รับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ทั้งทางสื่อและผู้คนที่เข้ามาติดต่อ และการแต่งงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ โดยวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ การแต่งกาย และเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดคือ ภาษา ส่วนประเพณีเกี่ยวกับความเชื่อมีทั้งที่เปลี่ยนและคงรูปแบบบางประการไว้ โดยผู้ที่มีการศึกษาสูง อายุน้อย และมีสถานะทางสังคมสูง จะยอมรับสิ่งใหม่และการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย |
|
Focus |
เป็นการศึกษาที่เน้นถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางประการของไทลื้อ โดยเฉพาะในด้านประเพณีความเชื่อ ภาษา และการแต่งกาย รวมทั้งศึกษาถึงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมโดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาข้อมูลทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อในดินแดนสิบสองปันนาเพื่อเปรียบเทียบกับไทลื้อในเขตพื้นที่เลือกศึกษา และเพื่อแสดงให้เห็นถึงการอนุรักษ์และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้เน้นการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของไทลื้อใน 4 ประเด็น คือ ประเพณีการตานธรรม การทำพิธีส่งเคราะห์เฮินบ้านเมือง การแต่งกายและภาษา ซึ่งแม้ว่าจะยังถือปฏิบัติมาแต่มีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดและรูปแบบบางประการ อย่างเช่นในการตานธรรม ดั้งเดิมจะมีการทำทุกปี โดยทำทั้งอุทิศกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และทำเพื่อสะสมบุญให้ตัวเองซึ่งเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ แต่ในปัจจุบันได้ลดความสำคัญลงมาก หรือพิธีส่งเคราะห์เฮินบ้านเมือง แต่เดิมมีผู้ชายเข้าร่วมพิธี แต่ปัจจุบันก็มีผู้หญิงร่วมด้วย แม้แต่การแต่งกายซึ่งแสดงเอกลักษณ์เฉพาะของไทลื้อ ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น ไม่มีการโพกหัว ทั้งนี้ผู้วิจัยได้พยายามอธิบายวิธีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในลักษณะทางวัฒนธรรม หรือประเพณี จากเงื่อนไขหลาย ๆ ประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การมีการคมนาคมที่สะดวกสบายเป็นชุมชนเปิด และมีการติดต่อกับโลกภายนอกมาก ทำให้ได้รับวัฒนธรรมจากภายนอก รวมทั้งการแต่งาน อย่างไรก็ตาม ภาษาลื้อยังคงมีความสำคัญในฐานะที่เป็นภาษาแม่ โดยมีการใช้ภาษา "คำเมือง" เป็นภาษารอง ติดต่อกับคนภายนอก ส่วนภาษาไทยมาตรฐานเป็นภาษาทางการใช้ในโรงเรียนเท่านั้น (หน้า 114-116, 146, 149-151, 153) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้วิจัยระบุว่าในดินแดนสิบสองปันนาใช้ภาษาลื้อเป็นภาษาพูดและเขียน มีตัวอักษรเป็นของตนเองทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ ซึ่งมีต้นตอมาจากอักษรมอญโบราณ ซึ่งอักษรไทลื้อบางครั้งเรียกว่า "อักษรไทยน้อย" ซึ่งเป็นต้นแบบของหนังสือธรรมในล้านนาและอีสานของไทยด้วย แต่สำหรับภาษาไทลื้อที่บ้านทุ่งมอกนั้น ไม่พบภาษาเขียน หรืออักษรไทลื้อจะพบแต่ตัวเมืองหรืออักษรธรรมล้านนาเท่านั้น แต่จากการตรวจสอบการออกเสียง ปรากฏว่าไทลื้อบ้านทุ่งมอกยังออกเสียงตามภาษาลื้อทุกประการ โดยมากใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน และนอกจากนี้ภาษาพูดของไทลื้อบ้านทุ่งมอกที่พบมี 4 ลักษณะ คือ พูดภาษาไทยมาตรฐาน พูดไทยล้านนาหรือคำเมือง พูดภาษาลื้อ และพูดทั้งสองภาษา (หน้า 59, 139, 142-144) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ผู้วิจัยอธิบายว่าดั้งเดิมไทลื้อตั้งถิ่นฐานกระจายกันอยู่ทั่วไปในแคว้นสิบสองปันนาทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน ในประเทศจีน ในอาณาบริเวณประมาณ 25,500 ตารางกิโลเมตร แต่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องอาณาเขต ที่ฝรั่งเศษได้ยึดพื้นที่บางส่วนทางตอนใต้ไปรวมกับลาว และอังกฤษยึดพื้นที่ทางตะวันตกไปรวมกับพม่า จึงทำให้มีถิ่นฐานไทลื้อในลาวและพม่าด้วย (หน้า 26-27) สำหรับการตั้งถิ่นฐานของไทลื้อทางตอนเหนือของประเทศไทย ก็สืบเนื่องมาจากหลายเหตุการณ์ด้วยกัน เช่น ประมาณ พ.ศ. 1839 พระยามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ ก็ได้รวบรวมคนไทกลุ่มต่าง ๆ มาไว้รอบ ๆ เมือง สงครามหลายครั้งระหว่างล้านนากับพม่า ก็ทำให้มีการกวาดต้อนคนไท ในเส้นทางเข้ามาอยู่ในอาณาบริเวณของล้านนา และเมื่อพระยากาวิละได้ต่อสู้ให้ล้านนาเป็นอิสระตั้งเมืองเชียงใหม่ได้ (ประมาณ พ.ศ. 2339) ก็ยังไปกวาดต้อนผู้คนในแคว้นสิบสองปันนามาไว้ในบริเวณเมืองเชียงใหม่อีก และเมื่อเมืองกรุงเทพมีอำนาจเหนือล้านนา ประมาณสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ให้เจ้าเมืองนครน่าน ไปตีแคว้นสิบสองปันนากวาดต้อนไทลื้อมาจากเมืองล้า เมืองพง และอื่น ๆ มาไว้ที่เชียงม่วน และเชียงคำ (จังหวัดพะเยาในปัจจุบัน) ซึ่งไทลื้อบ้านทุ่งมอกในปัจจุบันก็เป็นเชื้อสายของบรรพบุรุษที่เข้ามาในครั้งหลังนี้ ส่วนการตั้งถิ่นฐานของไทลื้อหลังจากนี้จะเกิดจากการอพยพเมื่อประเทศจีนเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ประมาณหลัง พ.ศ. 2492 (หน้า 31-32, 34) นอกจากนี้จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในบ้านทุ่งมอก บรรพบุรุษอพยพเข้ามาในการนำของพระยาคำอุ่นตาลจากเมืองล้า เมืองพง ซึ่งรอบแรกมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านหนองบัว อ.ท่าวังผา จ.น่าน และเมื่อชุมชนขยายขึ้นจึงมีบางส่วนอพยพมาทุ่งมอก และมีไทลื้อจาก งาว ห้วยหลวง และเทิง มาสมทบ ซึ่งในตอนแรกเรียกว่า "บ้านทุ่งอะม๊อก" เพราะพบอะม๊อก (โลหะชนิดหนึ่ง) ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นสัก และไม้เต็ง รัง จากนั้นประมาณ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2520 บ้านทุ่งมอกกลายเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเขตการปกครองของ อ. เชียงม่วน จ.พะเยา (หน้า 87) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้านของไทลื้อนิยมตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาใกล้ฝั่งแม่น้ำ ลักษณะการตั้งบ้านเรือนเป็นแบบแนวยาว (Lineal Village) เลียบริมฝั่งแม่น้ำ หรือพื้นสันเขา ซึ่งมีพื้นที่เพียงพอสำหรับไร่นา มีลานอยู่หน้าเรือนไม่กว้างขวางมากนัก ปลูกเป็นร้านหรือข่วงขนาดพอนั่งได้ 7-8 คน ใช้สำหรับนั่งปั่นฝ้าย ลักษณะของเรือนแตกต่างจากบ้านชาวเหนือเพียงน้อย และเรือนหนึ่งอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวตั้งแต่ 2-10 ครอบครัว ซึ่งมีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยโดยใช้ฝาเรือนกั้นเป็นห้องโถง ห้องนอน และครัว ส่วนใต้ถุนเรือนเป็นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์ (หน้า 37-38) |
|
Demography |
บ้านทุ่งมอกมีจำนวนประชากรทั้งหมด 251 ครัวเรือน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,356 แยกเป็นประชากรชาย 676 คน หญิง 680 คน (หน้า 90) |
|
Economy |
ไทลื้อมีอาชีพหลักคือการเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าว ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารแต่ยังแสดงถึงความมั่นคงของสังคมด้วย ในด้านการค้าขายอาจกล่าวได้จากประวัติศาสตร์ของสิบสองปันนาในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงปลายศตวรรษที่ 20 เป็นการค้าขายระยะทางไกลถึงทิเบต เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงจีน ซึ่งตลาดในสิบสองปันนามี 2 ประเภท คือ ระบบตลาดการค้าระหว่างแคว้น และตลาดแบบยังชีพ สำหรับคนไทและคนกลุ่มน้อยเพื่อขายสินค้าทางการเกษตร นอกจากนี้ไทลื้อในสิบสองปันนายังมีสินค้าหัตถกรรม โดยเฉพาะการทอผ้าฝ้าย จักสาน งานช่างไม้ เป็นต้น สำหรับไทลื้อที่บ้านทุ่งมอกมีอาชีพหลักคือการเกษตรกรรมเช่นเดียวกัน ทั้งทำนา ทำสวน ทำไร่ และปลูกพืชผักต่างๆ สำหรับการปลูกข้าวนั้นมักปลูกข้าวเหนียวไว้เพื่อบริโภค และสามารถทำนาได้ปีละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชอื่นๆ เพื่อการค้า เช่น ยาสูบ ถั่ว ข้าวโพด ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วง และส้มโอ นอกจากการเกษตรกรรมแล้วไทลื้อบ้านทุ่งมอกยังมีการทำประมงน้ำจืดหนองน้ำรัด และอ่างห้วยหมูเน่าควบคู่กันไปด้วย (หน้า 54-57, 93-96) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของไทลื้อบ้านทุ่งมอกเป็นครอบครัวขยายแบบชั่วคราว คือเมื่อลูกสาวแต่งงานจะนำลูกเขยเข้ามาอยู่บ้าน จนกระทั่งมีลูกหรือลูกสาวคนต่อไปแต่งงานจึงสามารถย้ายออกไปปลูกเรือนใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นครอบครัวเดี่ยว และส่วนมากลูกสาวที่แต่งงานสุดท้ายจะเป็นผู้ดูแลพ่อแม่ต่อไป ส่วนในเรื่องการนับญาติ ไทลื้อนับญาติทั้งสองฝ่าย โดยที่ให้ความสำคัญกับฝ่ายชายเป็นใหญ่ในครอบครัว โดยแม่มักสอนลูกสาวให้เคารพสามี (หน้า 36-37, 90-91) |
|
Political Organization |
ไทลื้อเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนสิบสองปันนาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2493 มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจสังคมช้า และระบอบการปกครองเป็นแบบศักดินาค่อนข้างมาก ซึ่งมีเจ้าแผ่นดินเป็นประมุข แต่ดินแดนสิบสองปันนาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หงวนเป็นต้นมา เจ้าแผ่นดินเชียงรุ่งเกือบทุกรัชกาลได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักจีนให้เป็น "เจ้าแสนหวีเชียงรุ่ง" ไทลื้อถือว่าพญาเจิง (เจือง) เป็นปฐมกษัตริย์ของสิบสองปันนา เมื่อสิ้นอำนาจพญาเจิงอาณาจักรสิบสองปันนาก็อ่อนแอลง จนกระทั่งขึ้นตรงต่อเจ้าแผ่นดินจีน ซึ่งในประวัติศาสตร์สิบสองปันนามีเจ้าแผ่นดิน 44 องค์ โดยการบริหารมีรัฐบาลเรียกว่า "สนาม" ประกอบด้วยเสนาอำมาตย์เรียกว่า "ท้าวขุนเหนือสนาม" ที่สำคัญที่สุดมี 4 คน คือ เจ้าเชียงฮา ธุหลวงเค้า ฮ้อยด่างบ้านขุม และฮ้อยด่างจอมวัง โดยสนามจัดให้มีการประชุมหัวเมืองปีละ 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังมี "สนามใน" ทำหน้าที่เป็นกรมวังหรือสำนักพระราชวัง มีพระเจ้าแผ่นดินรับผิดชอบโดยตรง แต่งตั้งให้เจ้าอุปราชาเป็นเค้าสนามใน และเจ้าหลวงปราสาทกับนาแนเป็นรองเค้าสนามใน ซึ่งท้าวขุนและเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างมีศักดินา หรือ "บาทนา" ทั้งหมด 7 ขั้นด้วยกัน เพื่อให้รู้ถึงฐานันดรศักดิ์ และเรียกประชาชนว่า "ไพร่เมือง" โดยแบ่งออกเป็น "ไทเมือง" คือ ชาวพื้นเมือง เป็นผู้ทำหน้าที่บวงสรวงพระเสื้อเมือง พระเสื้อบ้าน และถือที่ดินค่อนข้างดีและมาก อีกกลุ่มคือ ไคนเรือนเจ้า" คือข้าของเจ้า หรือข้าของคนชั้นสูง ซึ่งดินแดนสิบสองปันนามีหัวเมืองประมาณ 30 หัวเมือง มีโครงสร้างอำนาจในรูปแบบ "การแบ่งอำนาจ" ของ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้มีอำนาจในเมือง และอำนาจของชาวนาท้องถิ่น สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่นไทยลื้อเรียกหมู่บ้านว่า "บ้าน" และเรียกผู้ปกครองหมู่บ้านว่า "พ่อบ้าน" ผู้ช่วยเรียก "แม่บ้าน" แต่เป็นผู้ชาย ปัจจุบันเรียกว่า "นายบ้าน" แต่ละหมู่บ้านมี "กว้าน" ซึ่งประกอบด้วย แม่บ้าน "แก่บ้าน" ซึ่งเป็นชายอาวุโสและมีอิทธิพล "ขุนแขก หรือเสมียน ซึ่งกิจการต่างๆ ในหมู่บ้านจะได้รับการพิจารณาจากกว้านหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีพ่อล่ามที่ทำหน้าที่เป็นคนกลางเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกับท้าวขุน และประชาชนในท้องถิ่น สำหรับบ้านทุ่งมอกมีการปกครองที่ขึ้นต่อรัฐ โดยมีผู้ใหญ่บ้านซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากภาครัฐ ทำหน้าที่ปกครองดูแลลูกบ้าน (หน้า 44-54, 92-93) |
|
Belief System |
ในดินแดนสิบสองปันนาไทลื้อทุกคนเชื่อในศาสนาพุทธ ควบคู่กับการนับถือพราหมณ์ และผี ซึ่งผีเป็นความเชื่อพื้นบ้าน โดยเฉพาะผีเรือน ผีบ้าน ผีเมือง ที่คนในชุมชนยึดมั่น และจากความเชื่อของไทลื้อจึงมีประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยสามารถแยกได้เป็น 4 ด้าน คือ - ประเพณีพิธกรรมที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น การบวชลุกแก้ว และการกินก๋วยสลาก - ประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อ เช่น เข้ากรรมส่งเคราะห์ ตานจอมกุนไปบ่ป้อก การสัก และปี๋ใหม่ - ประเพณีเกี่ยวกับการทำมาหากิน เช่น พิธีรอกเมือง และพิธีบวงสรวงเทวดากาด - ประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับความรื่นเริง เช่น การขับลื้อ สำหรับไทลื้อที่บ้านทุ่งมอกนั้นนับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับความเชื่อเรื่องผีเช่นเดียวกับไทลื้อที่สิบสองปันนา และในหมู่บ้านเองมีวัดเก่าแก่ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน นอกจากนี้ ยังมีพิธีกรรมบางอย่างที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่ภายในหมู่บ้าน ได้แก่ พิธีเข้ากรรม พิธีส่งเคราะห์ ซึ่งเป็นพิธีเก่าแก่ที่จัดขึ้นเพื่อไหว้และเลี้ยงผี ทั้งผีหมู่บ้าน ผีเรือน และผีเมือง รวมถึงเทวดาประจำที่ต่าง ๆ ประเพณีตานธรรม ซึ่งเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ขึ้นเฮินใหม่หรือพิธีขึ้นบ้านใหม่ และขึ้นข้าวทั้งสี่ ซึ่งเป็นพิธีที่ขาดไม่ได้ในงานมงคลต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องบอกท้าวทั้งสี่ เพื่อให้ท่านบันดาลแต่สิ่งที่ดีแก่เจ้าบ้านเจ้าเรือนผู้เคารพบูชา โดยในงานการศึกษา ผู้วิจัยได้ให้รายละเอียดของพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีส่งเคราะห์ และประเพณีตานธรรม ของไทลื้อบ้านทุ่งมอก (หน้า 65-69, 101-104, 107-132) |
|
Education and Socialization |
ศูนย์กลางการศึกษาของชุมชนคือวัด ผู้ที่รู้หนังสือส่วนมากจึงเป็นผู้ชาย โดยเมื่อเด็กอายุย่างเข้า 7-8 ปี พ่อแม่มักส่งลูกเข้าบวชเรียน สำหรับปัจจุบันในดินแดนสิบสองปันนามีทั้งโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษารวมกันกว่าพันแห่ง แต่สำหรับการศึกษาที่บ้านทุ่งมอกนั้น เช่นเดียวกับชนบทไทยทั่วไป และผู้ที่รู้หนังสือมักเป็นผู้ชายเนื่องจากได้บวชเรียน ซึ่งในระหว่างที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาปรากฏว่าในชุมชนมีโรงเรียนที่เปิดสอนระดับชั้นประถมศึกษา 1 โรง คือ โรงเรียนบ้านทุ่งมอก สำหรับการขัดเกลาทางสังคมนั้นไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ได้ปรากฏอยู่อย่างประปรายในงานการศึกษาว่ามีการอบรมสั่งสอนสมาชิกให้รับรู้ถึงค่านิยม และบทบาททางสังคม รวมถึงตำนาน และภูมิปัญญาต่าง ๆ โดยผ่ายทางคำบอกเล่า และการจดบันทึกของบรรพบุรุษ (หน้า 59, 98) |
|
Health and Medicine |
งานการศึกษากล่าวถึงการแพทย์และสาธารณสุขของไทลื้อในสิบสองปันนาว่ามีการบันทึกความรู้ทางการแพทย์และเภสัชไทไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ ปนกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ รวมทั้งมีตำรายาที่อธิบายถึงอาการของโรค การใช้สมุนไพร และผลข้างเคียงอย่างละเอียด ซึ่งรูปแบบต่าง ๆ ของยาไทมีทั้งแบบฝน อบ อบยา และทายา แต่สำหรับไทลื้อที่บ้านทุ่งมอกไม่ปรากฏว่าพบการรักษาด้วยสมุนไพรในหมู่บ้าน นอกจากการนำสมุนไพรมาต้มให้ผู้ที่คลอดลูกใหม่ดื่มกัน มีแต่ปรากฏอยู่ในตำรายาเท่านั้น ซึ่งในอดีตมีการปฏิบัติ แต่สำหรับการรักษาตามความเชื่อ เช่น การสังเคราะห์ การเลี้ยงผี หรือการทานข้าวคู่ปียังมีอยู่ และถึงแม้ว่าบ้านทุ่งมอกจะอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลมากนัก หากเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยมักหาซื้อยาที่มีขายในร้านของชำมารับประทานเอง (หน้า 64-65, 100) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในด้านงานสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะวัดของไทลื้อมีลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากวัดทั่วไปในล้านนา เช่น รูปทรงของหลังคาวิหาร ตำแหน่งทางเข้าออกและช่องลม รวมถึงลวดลายการตกแต่ง ซึ่งตัววิหารเป็นทรงเตี้ย ก่ออิฐดินเผาสอด้วยปูนแบบโบราณ หลังคาเรือนเก็จ 2 ชั้น มุงด้วยไม้แป้นเก็จ มีประตูไม้ และหน้าต่างพอให้แสงเข้าได้ สำหรับแท่นธรรมาสน์ คล้ายมณฑป หรือปราสาทรูปพานทอง ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม จากนั้นเป็นรูปมาลัยลูกแก้วประดับกระจก และด้านหน้าเป็นช่องประตูมีบันไดพาดขึ้นลง ในด้านการแต่งกายของไทลื้อบ้านทุ่งมอกค่อนข้างมีเอกลักษณ์ โดยผู้ชายใส่เสื้อแขนยาวสีดำคราม บางตัวเอวลอย ขลิบด้วยแถบผ้าสีต่าง ๆ มีผืนต่อสายหน้าป้านมาติดกระดุมเงินที่ใกล้รักแร้และเอว ส่วนกางเกงเป็นกางเกงก้นลึก เรียกว่า "เต่ว 3 ดูกบ้าง (3 ตะเข็บ) เต่วโหย่งบ้าง" หากผู้ใส่เป็นคนสำคัญเป้ากางเกงจะลึกเป็นพิเศษ อาจถึงกับมีผู้เดินตามคอยถือเป้า สำหรับสตรีไทลื้อ สวม "เสื้อปั๊ด" แขนยาวสีดำคราม รัดรูป เอวลอย มีสายหน้าเฉียงมาผูกติดกันด้วยฝั้นหรือแถบผ้าเล็กๆ ตรงมุมลำตัว ชายเสื้อนิยมลอยขึ้นทั้งสองข้าง สาบเสื้อขลิบด้วยแถบผ้าสีต่าง ๆ ประดับด้วยกระดุมเงินเม็ดเล็ก ๆ เรียงกัน นุ่งผ้าซิ่น ซึ่งมีลวดลายตรงกลางของตัวซิ่น มีผ้าโพกผมซึ่งมักเป็นสีขาว ทรงผมเกล้ามวยสูง ค่อนไปทางขวา มี "ว้องผม" และประดับด้วยปิ่นปักผม นอกจากนี้ ยังมีเข็มขัดเงิน กำไลข้อมือ ต่างหู ที่โดยมากทำจากเงิน นอกจากนี้ ยังมี "ผ้าเช็ด" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของตนเอง แต่ปัจจุบันการแต่งกายตามแบบลื้อที่กล่าวมาข้างต้นได้เปลี่ยนแปลงไป สำหรับวรรณกรรมได้กล่าวถึงวรรณกรรมในสิบสองปันนาว่าแบ่งได้ 2 ประเภท คือวรรณกรรมมุขปาฐะ และลายลักษณ์อักษร ซึ่งคล้ายคลึงกับวรรณกรรมในล้านนา สำหรับวรรณกรรมมุขปาฐะนั้นแบ่งได้เป็น เพลงชาวบ้าน นิทานพื้นบ้าน คำอู้บ่าวสาว ปริศนาคำทาย เพลงกล่อมเด็ก และสุภาษิต คำเรียกขวัญ ส่วนวรรณกรรมลายลักษณ์อักษรแบ่งได้เป็น ตำรายาสมุนไพร ตำนาน วรรณกรรมชาดก คำสอน และคำขับต่างๆ (หน้า 63-64, 101-102, 132-134) |
|
Folklore |
ในตำนานพื้นบ้านเมืองสิบสองปันนาได้กล่าวถึงความเป็นมาของดินแดนสิบสองปันนาว่า เดิมเป็นป่าดงหลวงรกร้างเรียกว่า เมืองแม่ย่าป่าหมารายหลวง เพราะมีผู้หญิงล้วน ส่วนผู้ชายถูกฆ่าโดยหมารายหลวงตัวหนึ่งซึ่งเป็นใหญ่และเป็นสามีของผู้หญิงในเมือง ต่อมาเมื่อหมารายหลวงถูกเจ้าเกลือกกลั้วฆ่าตาย ผู้คนจึงเพิ่มขึ้นทั้งหญิงและชาย จึงตั้งเมืองขึ้น 2 เมือง คือ เมืองแม่ย่า และเมืองหมาราย ซึ่งต่อมาคือเมืองเชียงรุ่ง และเมืองฮำ นอกจากนี้ยังมีตำนานพื้นเมือง "พระเจ้าเลียบโลก" เป็นตำนานทางศาสนาภาษาลื้อว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเหิรฟ้าเลียบโลกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา และตอนเหิรฟ้าถึงเมืองลื้อนั้นเป็นเวลารุ่งแจ้งพอดี จึงเรียกเมืองนี้ว่า "เชียงรุ่ง" นอกจากนี้ในพงศาวดารล้านช้างได้กล่าวถึงพ่อขุนบรม หรือที่ตำนานน่านเจ้าเรียกว่าพระเจ้าพีล่อโก๊ะ กษัตริย์แห่งเมืองแส ผู้สร้างเมืองแถง พระองค์มีโอรส 7 องค์ ซึ่งต่อมาออกไปสร้างเมืองต่างๆ ได้แก่ ชวา (หลวงพระบาง) หัวแต (สิบสองปันนา) แกวซ่องบัว (หัวพันทั้งห้าทั้งหก) โยนก อโยธยา เชียงคน และพวน นอกจากตำนานดังกล่าวแล้วในหนังสือพื้นเมืองของไทลื้อกล่าวว่า พญาเจิงเป็นเจ้าเมืองหอคำองค์ที่ 1 มีโอรส 4 องค์ หนึ่งในนี้คือ สามไคเมือง ผู้ครองเมืองเชียงรุ่งแทนพ่อ มีโอรสชื่ออ้ายกูร และอ้ายกูรมีโอรสชื่อท้าวรุ่งแก่นชาย เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 ซึ่งมีธิดาชื่อ นางอั้วมิ่งหรือนางเพทายคำขยาย แต่งงานกับพระยาลาวเม็ง เจ้าเมืองเงินยาง และมีโอรสชื่อ พระยามังราย ต้นราชวงศ์มังรายที่ครองเมืองเชียงใหม่ (หน้า 29-30) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในงานการศึกษาได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ถึงแม้มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางประการทางประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อปรับให้เหมาะสมกับภาวะปัจจุบัน แต่ไทลื้อมิได้มีการเปลี่ยนแปลงจนสูญสิ้นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนเอง ยังคงพยายามธำรงเอกลักษณ์ของตนไว้เมื่อมีการติดต่อกับผู้อื่น และกล่าวกับบุคคลอื่นว่าตนเองเป็นคนลื้อเสมอ โดยมีฮีต (ประเพณี) เป็นของตนเอง (หน้า 162) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้วิจัยกล่าวในงานการศึกษาว่าไทลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในงานวิจัยได้วิเคราะห์ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมบางประการของไทลื้อที่บ้านทุ่งมอก โดยเน้นเฉพาะ ประเพณีตานธรรม การส่งเคราะห์เฮิน-บ้าน-เมือง การแต่งกาย และภาษา ซึ่งเป็นประเพณีและวัฒนธรรมที่มีอยู่แต่เดิมและปฏิบัติสืบเนื่องกันมานาน แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการ อาจเนื่องด้วยสาเหตุดังนี้ คือ ภาวะทางเศรษฐกิจ การคมนาคมที่สะดวก การแพร่เข้ามาของวัฒนธรรมใหม่ สภาพอากาศ ความทันสมัย รวดเร็ว และสะดวกสบาย สำหรับภาษานั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่มีศัพท์ใหม่เกิดขึ้น แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง ด้วยสาเหตุจากการแต่งงานนอกกลุ่มมากขึ้น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาอื่น และการติดต่อค้าขาย นอกจากนี้สำหรับวัฒนธรรมไทลื้อเล็กน้อยที่แสดงถึงเอกลักษณ์บางอย่างยังปรากฏให้เห็นแต่บางอย่างไม่เหลือปฏิบัติอีกแล้ว เช่น การสัก ทรงผมชาย การตกแต่งกางเกง การสร้างบ้านเป็นแนวยาว เครื่องโม่ข้าว การขุดหลุมปลูกพืช เป็นต้น (หน้า 145-165) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แสดงเขตติดต่อจีน-พม่า-ลาว-ไทย (หน้า 27) แผนที่แสดงดินแดนสิบสองปันนา (หน้า 28) แผนที่แสดงหมู่บ้านในอำเภอเชียงม่วน (หน้า 88) แผนที่แสดงหมู่บ้านทุ่งมอก หมู่ที่ 5 โดยสังเขป (หน้า 89) |
|
|