|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การทอผ้า,ภาคเหนือ |
Author |
ศริญญา นาคราช, สุภัทรา รัตนคอน |
Title |
ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงกับการทอผ้า |
Document Type |
อื่นๆ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
64 |
Year |
|
Source |
รายงานประกอบวิชา Folk Art and Handicraft 104310 คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การทอผ้าของกะเหรี่ยงมี 2 ชนิดคือ การทอธรรมดาและการทอลวดลาย การทอผ้าของกะเหรี่ยงจะใช้ด้ายซึ่งทำจากใยฝ้ายเท่านั้น ผ้าที่ได้จากการทอแบบกะเหรี่ยงจะเป็นผ้าหน้าแคบ ดังนั้นเครื่องนุ่งห่มจึงมีลักษณะคงที่คือนำผ้าทั้งผืนเย็บประกอบกันโดยพยายามหลีกเลี่ยงการตัด สีที่ใช้ย้อมจะมี 2 ชนิด ได้แก่ สีวิทยาศาสตร์ และสีธรรมชาติซึ่งได้จากพันธุ์ไม้ต่างๆ เช่น เปลือกไม้สัก ยอดต้นสัก เปลือกปอแดง ขมิ้น ต้นคราม เป็นต้น การประดิษฐ์ลวดลายในผืนผ้าขณะทอมี 5 วิธีคือ ลายเส้นในเนื้อผ้า ลายสลับสี ลายจก ลายขิดและการทอลายโดยการแทรกวัสดุอื่นประกอบ นอกจากนี้ การประดับลวดลายบนลายผ้าสามารถบอกถึงสถานะทางสังคมของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย เช่น เสื้อของหญิงในหมู่บ้านภูเหม็นบนที่แต่งงานแล้วจะมี 2 แบบ แบบแรกทอลายทั้งตัวและแบบที่ทอเป็นผ้าพื้นทั้งผืน มักจะมีพื้นเป็นสีดำหรือสีน้ำเงิน แล้วทอดอกหรือปักลวดลายด้วยด้ายหรือไหมพรมสีชมพูเข้มหรือสีแดงเป็นหลัก ส่วนซิ่นก็จะมี 2 แบบ คือ ลายขวางตลอดทั้งตัว ส่วนแบบที่สอง เป็นลายขวางและใช้ผ้าที่ทอจากที่ทอเข็มขัดคาดหลังสามชิ้นมาเย็บต่อกันเช่นกันแต่ต่างกันที่ส่วนหัวซิ่นจะทอเป็นผ้าพื้นแดงช่วงกว้างๆ เป็นต้น แต่ปัจจุบันเด็กส่วนใหญ่นิยมใส่เสื้อและกางเกงสำเร็จรูปที่หาซื้อได้จากพ่อค้าในตลาด |
|
Focus |
ศึกษาวัฒนธรรมการทอผ้าและการแต่งกาย วิธีทอ วัสดุ การตัดเย็บ วิธีการเก็บรักษาผ้าของกะเหรี่ยงในภาคเหนือของประเทศไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงถูกจัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ธิเบต (หน้า 1) นักภาษาศาสตร์ได้แบ่งกะเหรี่ยงออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงคะยาและกระเหรี่ยงตองสู (หน้า 2-3) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงในประเทศไทย เป็นกลุ่มชนที่เคยอาศัยอยู่ต้นแม่น้ำสาละวิน ประเทศพม่า อพยพเข้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในระยะแรกอพยพในลักษณะธรรมชาติ ต่อมาในราวศตวรรษที่ 24 จนถึงปัจจุบัน ได้อพยพเข้ามาเพราะความขัดแย้งทางการปกครองกับรัฐบาลพม่า มีหลักฐานว่ากะเหรี่ยงได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 250 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (หน้า 1) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงตั้งบ้านเรือนอยู่รวมกัน หมู่บ้านละ 5 หลังขึ้นไป ส่วนมากตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร (หน้า 2) |
|
Demography |
บ้านภูเหม็นบน มีประชากรกะเหรี่ยงจำนวน 167 คน เป็นกะเหรี่ยงโปว์จำนวน 157 คนและเป็นคนไทยที่แต่งงานเข้ามาในหมู่บ้านอีก 10 คน ประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ชายหญิงที่แต่งงานแล้วและเด็กๆ ไม่ค่อยมีคนหนุ่มคนสาว เพราะส่วนใหญ่จะไปทำงานนอกหมู่บ้าน (หน้า 56) |
|
Economy |
สังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมที่ผลิตเพื่อยังชีพ เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการเกษตรทำไร่เลื่อนลอยแบบหมุนเวียน มีการเพาะปลูกข้าวไร่และนาดำตลอดจนการปลูกพืชประเภทอื่นแซม เช่น พริก ถั่ว งา ยาสูบ นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงหมูและไก่เพื่อใช้ในพิธีกรรม เลี้ยงวัวและควายเพื่อขาย เลี้ยงช้างไว้ใช้งาน (หน้า 3) ทุกครัวเรือนจะปลูกฝ้ายไว้เพื่อใช้ในการทอเครื่องนุ่งห่มสำหรับสมาชิกในครอบครัว (หน้า 16) |
|
Social Organization |
กะเหรี่ยงมีลักษณะครอบครัวเดี่ยวนับถือบรรพบุรุษสายมารดา (หน้า 2) |
|
Political Organization |
ในแต่ละหมู่บ้านจะมีหมอผี(ฮีโข่) เป็นผู้นำทางสังคมในการประกอบพิธีกรรมและเสมือนเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน บางหมู่บ้านจะพบว่าผู้ใหญ่บ้านกับฮีโข่เป็นคนเดียวกัน (หน้า 2) |
|
Belief System |
ความเชื่อของกะเหรี่ยง มี 3 แบบหลักคือ การนับถือผีและวิญญาณ การนับถือศาสนาพุทธและการนับถือศาสนาคริสต์ แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 ยังคงนับถือผี วิญญาณบรรพบุรุษหรือผีบ้านผีเรือนซึ่งคอยคุ้มครองและให้ความสุข ประเพณที่สำคัญของกะเหรี่ยงคือประเพณีขึ้นปีใหม่ จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ต้นฤดูกาลการเพาะปลูก ในพิธีฉลอง จะมีการนำเหล้าและเนื้อไก่ไปบรวงสรวงต่อผีและวิญญาณ จากนั้นจะมีการดื่มเหล้าและผูกข้อมือด้วยด้ายดิบให้คำอวยพรต่อกัน กะเหรี่ยงจะไม่มีการเต้นรำแต่จะมีการซอรอบกองไฟในพิธีศพโดยมีการร้องเพลงชี้ทางให้แก่วิญญาณผู้ตาย (หน้า 2) |
|
Education and Socialization |
กะเหรี่ยงที่เกิดในประเทศไทยจะได้รับการศึกษาทั้งในโรงเรียนประถมศึกษาในหมู่บ้านและการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ ประมาณปี พ.ศ.2375 มิชชั่นนารีอเมริกันแบบติสท์ ได้นำอักษรพม่ามาประดิษฐ์เป็นตัวหนังสือของกะเหรี่ยง แต่ปัจจุบันทางราชการได้ห้ามมิให้มีการเผยแพร่ศาสนาโดยใช้ภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยเท่านั้น (หน้า 2-3) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การทอผ้า - การทอผ้าของกะเหรี่ยงจะใช้ด้ายซึ่งทำจากใยฝ้ายเท่านั้น การปั่นฝ้ายให้เป็นเส้นด้ายตามวิธีของกะเหรี่ยง มีขั้นตอนดังนี้ นำสมอฝ้ายตากแดด ทำความสะอาด หีบฝ้ายเอาเมล็ดออก การสางเส้นใยและการวางเส้นใยแล้วปั่นและทำให้เป็นไจ (หน้า 16-18) - สีที่ใช้ย้อมจะมี 2 ชนิด ได้แก่สีวิทยาศาสตร์และสีธรรมชาติ ซึ่งได้จากพันธุ์ไม้ต่างๆ เช่น เปลือกไม้สัก ยอดต้นสัก เปลือกปอแดง ขมิ้น ต้นคราม (หน้า 27-28 ) -การย้อมลายผ้าของกะเหรี่ยง จะย้อมให้เป็นลวดลายติดสีเพียงบางส่วน โดยการห่อหุ้มด้ายส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีด้วยใบไม้หรือพันด้วยเชือกกล้วย ผ้าที่ย้อมด้วยวิธีนี้เมื่อนำไปทอจะใช้เป็นด้ายยืน ซึ่งทำให้ลายไม่เปลี่ยนแปลง ต่างกับการทอผ้าของจังหวัดแพร่และจังหวัดน่านซึ่งใช้ด้ายแบบนี้เป็นด้ายขวาง(หน้า 31) - การทอผ้าของกะเหรี่ยงมี 2 ชนิดคือ การทอธรรมดาและการทอลวดลาย การทอธรรมดาหรือลายขัด คือการสอดด้ายขวางเข้าไประหว่างด้ายยืนซึ่งแยกสลับกัน ขึ้น 1 ลง 1 หรือขึ้น 2 ลง 2 ผ้าที่ได้จะเป็นสีเดียวกันตลอดผืน การทอลวดลาย ความนิยมเกี่ยวกับการประกอบลวดลายเพื่อตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน เช่น ชุดหญิงสาวสะกอ จะมีลวดลายขวางลำตัวบริเวณเหนือหน้าอกเพียงเล็กน้อย ผ้าถุงของหญิงแต่งงานแล้วจะมีลวดลายสลับสีตลอดทั้งตัว เสื้อผู้หญิงโปว์จะทอลวดลายบริเวณไหล่อย่างสวยงาม - การประดิษฐ์ลวดลายในผืนผ้าขณะทอมี 5 วิธีคือ ลายเส้นในเนื้อผ้า ลายสลับสี ลายจก ลายขิดและการทอลายโดยการแทรกวัสดุอื่นประกอบ การทอลายจกของกะเหรี่ยงคล้ายกับของคนไทยพื้นราบแถบจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ์และราชบุรีมาก แต่ความละเอียดในด้านสีสันและลวดลายจะมีน้อยกว่า (หน้า 40-44) เครื่องนุ่งห่ม - ผ้าที่ได้จากการทอแบบกะเหรี่ยงจะเป็นผ้าหน้าแคบ ดังนั้นเครื่องนุ่งห่มจึงมีลักษณะคงที่คือ นำผ้าทั้งผืนเย็บประกอบกันโดยพยายามหลีกเลี่ยงการตัด (หน้า 46) เด็กในหมู่บ้านภูเหม็นบนจะสวมชุดทรงกระสอบยาวสีขาว หญิงสาวจะเปลี่ยนจากการแต่งชุดทรงกระสอบสีขาวมาเป็นชุดเสื้อและซิ่นได้หลายกรณี เช่น เปลี่ยนเพราะแต่งงาน เปลี่ยนเพราะมีประจำเดือนแล้ว เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่มีการกำหนดอายุตายตัว สาวที่เปลี่ยนมานุ่งซิ่น-ใส่เสื้อแล้วจะไม่เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดทรงกระสอบสีขาวอีก - เสื้อของหญิงในหมู่บ้านภูเหม็นบนที่แต่งงานแล้วจะมี 2 แบบ แบบแรกทอลายทั้งตัวและแบบที่สองทอเป็นผ้าพื้นทั้งผืน มักจะมีพื้นเป็นสีดำหรือสีน้ำเงิน แล้วทอดอกหรือปักลวดลายด้วยด้ายหรือไหมพรมสีชมพูเข้มหรือสีแดงเป็นหลัก - ส่วนซิ่นก็จะมี 2 แบบ คือ ลายขวางตลอดทั้งตัว ส่วนแบบที่สอง เป็นลายขวางและใช้ผ้าที่ทอจากที่ทอเข็มขัดคาดหลังสามชิ้นมาเย็บต่อกันเช่นกันแต่ต่างกันที่ส่วนหัวซิ่นจะทอเป็นผ้าพื้นแดงช่วงกว้างๆ เด็กหญิงและสาวๆ กะเหรี่ยงบ้านห้วยฮ่อมนอก จะสวมชุดทรงกระสอบยาวมีทั้งสีขาวและสีอื่นๆ ปักตกแต่งบริเวณหน้าอกและชายด้านล่างของชุด ที่ชายเสื้อจะปล่อยเป็นชายครุยมีด้ายห้อยอยู่ ซิ่นของหญิงที่แต่งงานแล้ว ตัวซิ่นจะได้จากการเย็บผ้าหน้าแคบสองชิ้นเข้าด้วยกัน ส่วนเด็กชายจะแต่งแบบชาวพื้นราบทั่วไป (หน้า 56 - 64) เครื่องดนตรีของกะเหรี่ยงมี พิณ 5 สายใช้ดีดประกอบเพลงเล่านิทานหรือเพลงเกี้ยวสาว (หน้า 2) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
กะเหรี่ยงพวกที่อพยพมาระยะแรกๆ ได้มีการผสมกลมกลืนทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับคนไทยพื้นราบ แต่กะเหรี่ยงที่อพยพมารุ่นหลังระยะ 50 ปียังคงอยู่ในลักษณะสังคมชนเผ่าของตนเอง ปัจจุบันเพลงเกี้ยวสาวและเพลงเล่านิทานกำลังจะเสื่อมหายและเพลงไทยลูกทุ่งกำลังเป็นที่นิยมแทน กะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับคนพื้นเมืองโดยการนำผลิตผลทางการเกษตรที่เหลือจากการบริโภคมาแลกกับเกลือหรือยารักษาโรคและเลี้ยงวัว ควายเพื่อขายให้กับพ่อค้าคนเมือง แต่เดิมกะเหรี่ยงเป็นเผ่าที่ไม่เคยมีการปลูกฝิ่นเพราะถือเป็นการผิดประเพณี แต่ปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นแรงงานรับจ้างปลูกฝิ่นให้กับชาวเขาเผ่าม้ง (หน้า 1-3) ปัจจุบันกะเหรี่ยงนิยมสวมกางเกงสำเร็จรูปซื้อจากตลาดพื้นราบ (หน้า 40) เด็กในหมู่บ้านภูเหม็นบน ปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมใส่เสื้อและกางเกงที่หาซื้อได้จากพ่อค้าในตลาด (หน้า 56) |
|
Other Issues |
จากหลักฐานการค้นคว้าทางโบราณคดี สันนิษฐานว่ามนุษย์รู้จักการทอผ้าตั้งแต่ 4,500 - 8,000 ปีมาแล้ว การทอผ้าในระยะแรกพบว่ามี 3 ระยะคือ - ระยะแรกการนำเส้นใยพืชมาสานขัดกันโดยไม่มีแบบแผน - ระยะที่ 2 การขึงเส้นใยหรือเส้นด้ายจากคานเรียงขนานกันในแนวตั้ง ถ่วงด้วยน้ำหนักลงด้วยไม้คานอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงดึงให้ด้ายยืน เมื่อสอดด้ายขวางสลับเข้าไประหว่างด้ายยืนและดึงให้ตึงจะทำให้เนื้อผ้าแน่น - ส่วนระยะที่ 3 คือการนำเส้นด้ายมาขึงระหว่างไม้หลัก 2 อัน ซึ่งจะทำให้เส้นด้ายยืนมีความตึงที่สม่ำเสมอ การขึงลักษณะนี้มี 2 ลักษณะคือขึงในแนวตั้งและขึงในแนวนอน (หน้า 5-6) |
|
Map/Illustration |
ภาพ - ลักษณะหนึ่งของการนำเส้นใยพืชมามัดเรียงกันเป็นผืน(หน้า 5) - เครื่องทอผ้า(หน้า 6) - เครื่องทอแบบ Horizontal Type(หน้า 7) - เครื่องทอแบบ Back - Strup ของชาวเปรูสมัยโบราณ(หน้า 8) - การทอผ้าของกะเหรี่ยง(หน้า 11) - เครื่องทอแบบตะกอเดียว(หน้า 11) - เครื่องทอแบบหลายตะกอ(หน้า 12) - แม่บ้านกะเหรี่ยงปั่นเส้นด้ายจากฝ้ายและทอทำเครื่องนุ่งห่ม(หน้า 12) - ที่ทอผ้าแบบเข็มขัดคาดหลังซึ่งใช้เส้นด้ายยืนที่ต่อก้นตลอดเป็นวงกลม(หน้า 13) - แผ่นหนังสำหรับคาดด้านหลัง(หน้า 14) - ไม้พันผ้า(หน้า 14) - ไม้กระทบหรือหน่อทาแพะ(หน้า14) - ไม้ช่วยแยกด้ายหรือกลูโข่(หน้า 15) - ไม้หน่อสะยา(หน้า15) - ไม้ขึ้นเครื่องทอ(หน้า 16) - การตากฝ้าย(หน้า 18) - เครื่องหีบฝ้าย(หน้า19) - เครื่องมือสำหรับยิงฝ้าย - น่อผี(หน้า20) - อุปกรณ์การล่อฝ้ายให้เป็นหลอด(หน้า21) - การล่อฝ้ายให้เป็นหลอด(หน้า22) - เครื่องปั่นผ้าย(หน้า 24) - "ลูควา" ที่พันด้ายให้เป็นใจ(หน้า25) - เครื่องฟันด้ายให้เป็นใจแบบตั้ง(หน้า 25) - การกระตุกใจด้ายขณะตาก(หน้า26) - ลักษณะของเปลือกนมวัวที่ทุบแล้ว เมื่อนำไปย้อมจะให้สีแดง(หน้า 27) - ขั้นตอนการย้อมสี(หน้า 28) - การย้อมสีด้ายของกะเหรี่ยง(หน้า 29) - อุปกรณ์สำหรับย้อมลายน้ำไหล(หน้า 31) - การแยกด้ายก่อนผูกเป็นเปลาะๆ (หน้า 32) - มัดของด้ายที่ย้อมแล้ว(หน้า 32) - แสดงให้เห็นขั้นตอนของด้ายจากด้ายสีขาวมาเป็นลายน้ำไหล การกรอด้ายขวาง(หน้า 33) - ลักษณะการกรอด้ายขวาง(หน้า 33) - การเรียงส่วนประกอบบนไม้ "แทเบรอะ" (หน้า 35) - การเรียงด้ายระยะที่ 1 (หน้า 36) - การเรียงด้านระยะที่ 2 (หน้า 36) - เครื่องทอเมื่อประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว(หน้า 38) - ตำแหน่งของผู้ทอเมื่อวางเครื่องทออยู่ในลักษณะตึงพอดี(หน้า 39) - การทอธรรมดา(ลายขัด)(หน้า 40) - ลายเส้นตามแนวตั้ง(หน้า 41) - ลายเส้นตามแนวนอน(หน้า 41) - การทอลายสลับสี(หน้า 42) - ลักษณะผ้าลายจกของกะเหรี่ยงโป(หน้า 42) - ผ้าลายตีนจกของ จ.ราชบุรี(หน้า 43) - ผ้าลายขิดของกะเหรี่ยง(หน้า 44) - ลายขิดของอีสาน(หน้า 44) - วิธีทอลูกเดือยประกอบในเนื้อผ้า(หน้า 45) - การทอผ้าประกอบกระจุกด้ายของกะเหรี่ยงโป(หน้า 45) - การเย็บผ้าถุงแบบใช้ผ้า 2 ผืน(หน้า 47) - การเย็บผ้าถุงแบบใช้ผ้า 3 ผืน(หน้า 48) - ลักษณะการเย็บผ้าถุงกะเหรี่ยงคะยา(หน้า 48) - การเย็บประกอบเป็นชุดยาว(หน้า 49) - ย่ามธรรมดา(หน้า 50) - ย่ามมีลาย(หน้า 50) - การเย็บเป็นกางเกง(หน้า 51) - การตรึงตะเข็บ(หน้า 52) - การเย็บเก็บริมหรือเก็บชายผ้า(หน้า 52) - วิธีเก็บชายย่าม(หน้า 53) - วิธีเก็บชายผ้าห่ม(หน้า 53) - วิธีเก็บชายย่ามและชุดหญิงสาว(หน้า 53) - ลักษณะเครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงโป(หน้า 55) - ลักษณะเครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงสะกอ(หน้า 55) - เด็กหญิงที่แต่งกายด้วยชุดยาวทรงกระสอบสีขาวและน้องที่ใส่เสื้อที่หาซื้อได้ทั่วไปที่ บ้านภูเหม็นบน(หน้า 57) - เสื้อแบบหนึ่งที่ทอเป็นลายทั้งตัว(หน้า 58) - เสื้อแบบที่สองที่ทอเป็นผ้าพื้นเย็บเป็นตัวเสื้อแล้วนำมาปักลายทั้งตัว(หน้า 58) - ซิ่นแบบแรกทั้งผืนแสดงส่วนตีนและตัวซิ่น(หน้า 59) |
|
|