|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),เครื่องแต่งกาย,แม่ฮ่องสอน |
Author |
นันทวัน อินทร์จันทร์ |
Title |
การศึกษารูปแบบเครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงโปและกะเหรี่ยงสะกอในเขต อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
Document Type |
อื่นๆ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
142 |
Year |
2546 |
Source |
รายงานประกอบวิชา ในหลักสูตรศิลปบัณฑิต(ศิลปะไทย) ภาควิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เครื่องแต่งกายกะเหรี่ยงมีความเป็นเอกลักษณ์ของตน สามารถบ่งบอกถึงกลุ่มสายชาติพันธุ์กะเหรี่ยงด้วยกัน โดยเฉพาะการ ใช้ผ้าทอแบบคาดหลัง (Back Strap Loom) ผู้หญิงจะมีบทบาทในการทอผ้ามาก เสื้อผ้าของกะเหรี่ยงไม่ว่ากลุ่มใด จะมีโครง สร้างพื้นฐานเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย การตัดเย็บเสื้อผ้าของกะเหรี่ยงเป็นการตัดเย็บแบบง่ายๆ คือการเย็บเสื้อ และชุดกระโปรงของหญิงกะเหรี่ยง นำผ้าที่ได้จากการทอผ้าแบบคาดหลังซึ่งเป็นผ้าหน้าแคบ จึงต้องนำผ้าที่ได้มาพับครึ่งเย็บต่อกัน โดยเว้นหัวเว้นแขนทั้ง 2 ข้างไว้โดยไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้า ส่วนผ้าซิ่นจะนำผ้ามาเย็บ ต่อกันประมาณ 2-3 ชิ้นขึ้นอยู่กับลวดลาย และขนาดตัวของผู้สวมใส่ หญิงสาวกะเหรี่ยงที่แต่งงานแล้วกับหญิงที่ยังไม่แต่งงานจะมีการแต่งกายที่มีลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน โดยเฉพาะการประดับตกแต่งลวดลายบนเสื้อผ้า ดังเช่น หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดกระโปรงสีขาว ส่วนหญิง กะเหรี่ยงโปว์ที่แต่งงานแล้วจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อและซิ่น ซึ่งนิยมใส่สีแดงและสีชมพู |
|
Focus |
ศึกษารูปแบบเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับของหญิงกะเหรี่ยงโปว์และกะเหรี่ยงสะกอ ลวดลายที่ปรากฏบนเครื่องแต่งกาย ความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบของเครื่องแต่งกายและเทคนิคการทำ ในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโปว์ กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลธิเบต - พม่า (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงแต่ละเผ่ามีภาษาพูดที่เกี่ยวพันกับภาษาต่างๆ ภาษาของกะเหรี่ยงสะกอ โปว์ และกะเหรี่ยงบเวมีความใกล้เคียงกันแต่ไม่สามารถเข้าใจกันได้ (หน้า 6) |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤศจิกายน 2545 - กุมภาพันธ์ 2546 |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงนับว่าเป็นชาวเขาที่มีมากที่สุด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเดิมที่กะเหรี่ยงอาศัยในดินแดนด้านตะวันออกของทิเบตแล้วเข้ามาตั้งอาณาจักรอยู่ในประเทศจีน เมื่อ 733 ปีก่อนพุทธกาล ชาวจีนเรียกว่าชนชาติโจว ภายหลังถูกกษัตริย์จีนรุกรานเมื่อ พ.ศ. 207 จึงพากันแตกพ่ายหนีลงมาอยู่บริเวณลุ่มน้ำแยงซี ต่อมาเกิดปะทะกับชนชาติไทย จึงถอยร่นมาอยู่ตามลำน้ำโขงและแม่น้ำสาละวินในเขตพม่า กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในเขตไทย ก่อนที่ชนชาติไทยจะเคลื่อนย้ายลงมาสู่แหลมสุวรรณภูมิ การอพยพครั้งสำคัญของกะเหรี่ยงเข้าสู่ประเทศไทยเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่าหลังสงครามกับพวกมอญ การอพยพนอกจากจะหลบหนีอันตรายแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจอีกด้วย(หน้า 5-6) |
|
Settlement Pattern |
หลักสำคัญของการกำหนดความเป็นหมู่บ้านคือ หมู่บ้านต้องเป็นหน่วยอิสระในการประกอบพิธีกรรมของตนเพื่อการเซ่นสรวงผีเจ้าที่ปีละ 2 ครั้ง โดยปกติหมู่บ้านจะตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มก้นกะทะ ล้อมรอบด้วยเนินเขาหรือที่ราบระหว่างหุบเขาที่สามารถไปสู่แหล่งน้ำลำธารได้สะดวก บ้านมักจะปลูกชิดติดกันแต่ไม่เป็นแถวเรียงขนานกัน ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลทางด้านศาสนา โครงสร้างของบ้านสร้างด้วยไม้ไผ่และแฝก ยกพื้นด้วยเสาไม้สูง โดยแต่ละบ้านจะมียุ้งข้าวแยกออกจากตัวบ้าน โดยทั่วไปแล้วขนาดของหมู่บ้านมักจะขึ้นอยู่กับความนับถือของชาวบ้านที่มีต่อเซี่ยเก็งคู เพราะสามารถดึงดูดกะเหรี่ยงจากหมู่บ้านอื่นมาอาศัยอยู่ด้วย (หน้า 7) |
|
Demography |
กะเหรี่ยงอาศัยกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ กะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มากที่สุด ซึ่งมีจำนวนระหว่าง 32,694-38,939 คน โดยอาศัยอยู่ที่อำเภออมก๋อยมากที่สุด มีจำนวนถึง 13,046 คน ส่วนอำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย มีประมาณ 967 คน ส่วนในจังหวัดลำปางมีประมาณ 1,840 คน ส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ทุกอำเภอและมีจำนวนรองลงมาจากจังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 6-7) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยทำการปลูกข้าวเป็นพืชหลักและปลูกพืชอื่นๆ ในไร่ของตนอีกด้วย เช่น ข้าวโพด ผัก ฟักทอง พริก นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังนิยมเลี้ยงไก่ หมู เพื่อใช้ในพิธี รวมถึงการเลี้ยง วัว ควายและช้างอีกด้วย รายได้ที่เป็นเงินสดของกะเหรี่ยงนอกจากจะขายปศุสัตว์แล้ว บางครั้งก็ได้จากการรับจ้างทำงานกับคนไทยหรือทำงานให้กะเหรี่ยงด้วยกัน (หน้า 9) |
|
Social Organization |
ครอบครัวของกะเหรี่ยงโดยมากเป็นครอบครัวเดี่ยว แต่ละครอบครัวจะมีไร่เป็นของตน การแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวเป็นกฎเคร่งครัดการหย่าร้างจึงมีน้อย หากเกิดการหย่าร้างขึ้นซึ่งอาจจะเป็นสามีหรือภรรยา ให้จ่ายค่าทดแทนแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนลูกๆ ที่เกิดขึ้นจากการแต่งงานมักจะอยู่ในความดูแลของภรรยา การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานจะถูกรังเกียจ ดังนั้น เด็กที่เกิดนอกสมรสจึงมีน้อย โดยปกติการแต่งงานระหว่างผู้สืบสายจากฝ่ายมารดาเดียวกันถูกห้าม แต่ไม่มีข้อห้ามการแต่งงานในวงศ์วานเดียวกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเสียชีวิต มรดกทรัพย์สินจะถูกนำมาแบ่งกันระหว่างคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่กับลูกๆ ของผู้ตาย หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับมรดกจะได้รับการชี้ขาดจากเซี่ยเก็งคูหรือหัวหน้าหมู่บ้าน โดยปกติแล้ว กะเหรี่ยงมีวิถีชีวิตสันโดษและสมถะไม่นิยมความรุนแรง การทำความผิด จะต้องมีการประชุมกันก่อน ก่อนที่จะตัดสินลงโทษ ชุมชนหรือสังคมกะเหรี่ยงโปว์ นับถือผีสายฝ่ายมารดาเป็นหลัก (หน้า 9-13) พ่อหม้ายที่ภรรยาเสียชีวิตและมีลูกเล็กอยู่ ก็จะไม่มีภรรยาใหม่หากลูกๆ ของเขาไม่ยินยอม เพราะเกรงว่าผีสกุลฝ่ายมารดาที่ภรรยาใหม่นับถือกับผีสกุลฝ่ายมารดาของลูกๆ จ ะอยู่ด้วยกันไม่ได้ (หน้า 17) |
|
Political Organization |
ผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในหมู่บ้านคือหัวหน้าหมู่บ้าน เรียกว่า "เซี่ยเก็งคู" นอกจากจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว ยังเป็นหัวหน้าในการทำพิธีกรรมฝ่ายชายในหมู่บ้านอีกด้วย นอกจากนี้ทางราชการมักจะแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านที่เป็นกะเหรี่ยงเพื่อทำหน้าที่ติดต่อกับอำเภอ ยกเว้นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกล (หน้า 8) หัวหน้าหมู่บ้านของกะเหรี่ยงสะกอคือ "ฮี-โข่" ในบางหมู่บ้าน ฮี-โข่ จะเป็นทั้งผู้นำตามประเพณีและผู้นำที่เป็นทางการ (หน้า 20) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงทุกหมู่บ้านจะประกอบพิธีกรรมเพื่อเซ่นสรวงผีเจ้าที่ซึ่งถือเป็นพิธีสำคัญที่สุดของหมู่บ้าน จัดขึ้นปีละ 2 ครั้งโดยมีหัวหน้าพิธีกรรมฝ่ายชาย (เซี่ยเก็งคู) หรือหัวหน้าหมู่บ้านผู้เฒ่าซึ่งได้ตำแหน่งโดยการสืบสายจากฝ่ายบิดาเป็นผู้ประกอบพิธี กะเหรี่ยงนอกจากจะนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์แล้วยังมีการนับถือผีควบคู่อีกด้วย โดยมีความเชื่อว่าแทบทุกหนทุกแห่งจะมีผีสิงสถิตอยู่ การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดจากการกระทำของผีร้ายต่างๆ เมื่อผู้ใดไม่สบายจะต้องจัดพิธีเลี้ยงผีโดยมีหมอผีหมู่บ้านเป็นผู้ประกอบพิธี นอกจากนี้กะเหรี่ยงยังมีความเชื่อว่าทุคนมีขวัญอยู่จำนวน 33 ขวัญ ซึ่งประจำอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความตายเกิดขึ้นเมื่อขวัญที่สำคัญๆ ของคนละทิ้งบุคคลแล้วท่องเที่ยวไปยังโลกของคนตาย (หน้า 7,11-13) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาลของกะเหรี่ยงจะคุ้นเคยกับสภาพดั้งเดิมที่เชื่อในเรื่องของผีควบคู่กับการใช้ยาสมุนไพร หากมีการป่วยก็โทษว่าผีทำ (หน้า 18,24) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กะเหรี่ยงชอบร้องเพลงและเต้นรำในงานรื่นเริงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานขึ้นปีใหม่หรือแม้กระทั่งงานศพ กะเหรี่ยงยังร้องเพลงรำพึงรำพันอย่างโหยหวนเพลงพื้นบ้านแบบดั้งเดิมเรียกว่า "ทา" เครื่องดนตรีของกะเหรี่ยงนอกจาก ฆ้อง กลองและซึงแล้วยังมีอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "กอย " ทำจากเขาควาย การเต้นรำของกะเหรี่ยงมีความคล้ายคลึงกับพวกไทยใหญ่ โดยจะก้าวเท้าเป็นจังหวะเร็วๆ และแกว่งมือไปมาด้วยลีลาที่น่าดู(หน้า 12) กะเหรี่ยงสะกอ ไม่มีการรื่นเริงร้องรำทำเพลง เครื่องดนตรีในวัฒนธรรมได้แก่พิณ มี 6-7 สายหรืออาจจะเป็น "ซึง" (หน้า 23) การทอผ้าและเครื่องแต่งกาย - การทอผ้าของกะเหรี่ยงมีรูปแบบการทอคล้ายกับการทอผ้าของพวกเปรูในสมัยโบราณและยังเหมือนการทอผ้าของชนเผ่าหนึ่งในแถบประเทศกัวเตมาลา ฟิลิปปินส์และแมกซิโก ผ้าทอของกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีลวดลายประกอบ ทั้งนี้ขึ้นกับการนำไปใช้ประโยชน์ เครื่องนุ่งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน เช่น ชุดหญิงสาวสะกอ จะมีลวดลายขวางลำตัว เหนืออกเล็กน้อย ส่วนผ้าของหญิงที่แต่งงานแล้วจะมีลวดลายสลับสีตลอดตัว หรือทอลวดลายบริเวณไหล่อย่างสวยงาม - การประดิษฐ์ลวดลายในผืนผ้าขณะทอมี 5 วิธี คือ ลายเส้นในเนื้อผ้า ลายสลับสี ลายจก ลายขิดและการทอผ้าโดยการแทรกวัสดุอื่นประกอบ เช่น ลูกเดือย พู่หรือกระจุกด้าย ส่วนเสื้อของหญิงคะยามีลักษณะคล้ายผ้าห่มคือ เป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งได้จากการนำผ้า 2 ผืนมีความยาวประมาณรอบตัวของผู้สวมใส่ มาเย็บต่อกันตามยาว เมื่อนำมาสวมใส่ก็จะทบครึ่งอ้อมพันตัวและผูกปมไว้เหนือไหล่ข้างใดข้างหนึ่งแล้วจึงคาดทับด้วยผ้าคาดเอวผืนยาว ส่วนผ้าถุงและโสร่งของหญิงกะเหรี่ยงสะกอและโปว์ที่แต่งงานแล้ว และโสร่งของผู้ชายกะเหรี่ยงโปว์ที่อพยพจากพม่าเข้ามาทางตาก จะมีลักษณะการประกอบเป็นผืนเหมือนกันคือ แบบใช้ผ้า 2 ผืนและ 3 ผืน (หน้า 26-28) - หญิงสาวกะเหรี่ยงโปว์ที่ยังไม่ได้แต่งงานจะสวมชุดสีขาว จะมีการประดับลวดลายมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะบริเวณบ่า ส่วนชุดกระโปรงตรงส่วนชายกระโปรงมีการทอแบบพู่หรือกระจุกด้าย แต่หญิงที่แต่งงานแล้วจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อและซิ่น ซึ่งนิยมใส่สีแดงและสีชมพู ส่วนการแต่งกายของหญิงกะเหรี่ยงสะกอ หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะสวมชุดกระโปรงสีขาว มีการตกแต่งเพียงเล็กน้อยช่วงตรงลายขวางของลำตัวใต้ราวนมหรือตรงช่วงปลาย ชายกระโปรงประดับด้วยพู่ ชุดของกะเหรี่ยงสะกอจะมีลวดลายน้อยกว่ากะเหรี่ยงโปว์ - ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะแต่งกายเช่นเดียวกับกะเหรี่ยงโปว์ แต่ลวดลายจะมีเฉพาะช่วงกลางจนถึงช่วงล่างของตัวเสื้อส่วนผ้าซิ่นก็คล้ายๆ กับผ้าซิ่นของกะเหรี่ยงโปว์แต่ไม่มีการทอเทคนิคการขิดทั้งผืนแบบกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 31) ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่แต่งงานแล้วบางคนนิยมใช้ผ้าโพกศีรษะซึ่งเป็นผ้าสี่เหลี่ยมสีขาว ตรงขอบผ้าถักด้วยด้ายสีสันหลากหลาย เพื่อกันแดดในหน้าร้อนและให้ความอบอุ่นในหน้าหนาว(หน้า 109) - กะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์จะสวมเครื่องประดับเหมือนกันคือ สร้อยลูกปัดเล็กๆ หลากหลายสีสันและใส่จำนวนมากๆ (หน้า 133) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมกะเหรี่ยงในปัจจุบันนิยมร้องเพลงแบบสมัยใหม่ เรียกว่า ต่า-ซะ-หวิ ซึ่งมีรากฐานมาจากเพลงสวดในคริสต์ศาสนา (หน้า 12) สมัยปัจจุบัน รูปแบบการใช้สีพื้นของผ้าเริ่มเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้สวมใส่(หน้า 104) ผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอที่แต่งงานแล้วบางคนนิยมใช้ผ้าโพกศีรษะซึ่งเป็นผ้าสี่เหลี่ยมสีขาว ตรงขอบผ้าถักด้วยด้ายสีสันหลากหลาย เพื่อกันแดดในหน้าร้อนและให้ความอบอุ่นในหน้าหนาวแต่สมัยปัจจุบันใช้ผ้าขนหนูโพกแทนเพราะสะดวกและหาซื้อได้ง่าย(หน้า 109) |
|
Map/Illustration |
ภาพ - ลักษณะผ้าซิ่นลาย "ทะแมคั่ว" (หน้า 60) - ลวดลายผ้าซิ่นที่คิดค้นขึ้นใหม่ (หน้า 61-64) - ลักษณะผ้าซิ่นกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 65-67) - ผ้าโพกศีรษะ (หน้า 68) - ลักษณะชุดหญิงกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 69) - ลักษณะลวดลายทอแบบพู่ (หน้า 70) - ลักษณะชุดกระโปรงหญิงกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 71-73) - ลักษณะชุดกระโปรงหญิงกะเหรี่ยงโปว์ที่แต่งงานแล้ว (หน้า 74) - ลักษณะเสื้อของหญิงกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 75-82) - ลักษณะผ้าซิ่นกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 83-85) - การทอแบบคาดหลัง (หน้า 85) - การโว๊นผ้า (หน้า 86) - ชุดหญิงสาวกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 87) - การแต่งกายของหญิงสาวกะเหรี่ยงสะกอที่ยังไม่ได้แต่งงาน (หน้า 88) - ชุดกะเหรี่ยงสะกอจะสวมตั้งแต่เด็กจนถึงวันแต่งงานจึงจะเปลี่ยน (หน้า 89) - ลักษณะชุดกระโปรงหญิงกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 90-94) - ชุดกะเหรี่ยงสะกอที่แต่งงานแล้ว (หน้า 95) - แบบเสื้อหญิงกะเหรี่ยงสะกอแบบดั้งเดิม (หน้า 96) - ลักษณะเสื้อหญิงกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 97-100) - ลักษณะผ้าซิ่นลาย "ทิชีมู" (หน้า101) - ลักษณะผ้าซิ่นลาย "ทะแมคั่ว" (หน้า 102) - ลักษณะผ้าซิ่นที่คอดค้นลายขึ้นใหม่ (หน้า 103) - ลักษณะผ้าซิ่นลายยกดอก (หน้า 105) - ผ้าโพกศีรษะ (หน้า 106) - การโพกศีรษะของหญิงกะเหรี่ยงสะกอในปัจจุบัน (หน้า 107) - ลักษณะชุดกระโปรงหญิงกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 108,112) - ชุดหญิงกะเหรี่ยงโปว์ที่แต่งงานแล้ว (หน้า 113) - แบบเสื้อหญิงกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 114-116) - ผ้าซิ่นหญิงกะเหรี่ยงโปว์ (หน้า 117-119) - หญิงกะเหรี่ยงโปว์ที่แต่งงานแล้วจะโพกศีรษะด้วยผ้าสีชมพู (หน้า 120) - แบบสร้อยของกะเหรี่ยง (หน้า 121) - ลักษณะต่างหู (หน้า 122) - ลักษณะต่างหูที่ประดับด้วยไหมพรม (หน้า 123) - รูปแบบการปักลูกเดือยที่เป็นสัญลักษณ์ป้องกันผี (หน้า 124) - รูปแบบชุดที่ทอตกแต่งด้วยกระจุกฝ้าย (หน้า 125) - เสื้อของหญิงกะเหรี่ยงโปว์ที่มีการตกแต่งตรงไหล่ (หน้า 126) - การตกแต่งลวดลายเสื้อของหญิงกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 128) - ลักษณะผ้าซิ่นกะเหรี่ยงโปว์ที่มีการทอลวดลายเต็มผืน (หน้า 128) - ลักษณะผ้าซิ่นกะเหรี่ยงสะกอใช้เทคนิคการขิด (หน้า 129) - ลักษณะผ้าซิ่นของหญิงกะเหรี่ยงสะกอ (หน้า 130) |
|
|